ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #226 : Login 223: ความทะเยอทะยานที่เรียกว่า ‘บาเบล’

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 148
      5
      25 เม.ย. 61

    Login 223: ความทะเยอทะยานที่เรียกว่า บาเบล

     

                วันที่ 1 มกราคม

                7 นาฬิกา 30 นาที

     

                อิงศรก้าวเท้าไปตามเส้นทางซึ่งมองไม่เห็นเพราะเส้นทางโดนถมด้วยสายหมอก แต่ข้างใต้เท้าคือหุบเหวลึก

                หลังออกจากหมู่บ้านที่ค้างคืนพวกเขาก็เดินไปตามสันเขาร่วมครึ่งชั่วโมงจึวมาถึงเส้นทางที่ถูกปกปิดไว้ด้วยหมอก ต้องอาศัยแสงจากไฟฉายที่รูบิเดียมซึ่งนำหัวขบวนส่องตัดหมอกเป็นตัยเทียบว่าพวกเขาไปได้ไกลแค่ไหนแล้ว

                นอกจากนี้ยังให้ทุกคนผูกเชือกมัดตัวเองเรียงกันมาทั้งแถวหากมีใครก้าวพลาดตกลงไปก็จะได้ช่วยดึงเอาไว้หรือไม่ก็พากันตกลงไปหมดนี่เลย

                พวกเขาไม่ได้เตรียมอุปกรณ์มาพร้อมขนาดนั้นแต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้หรอก ด้วยร่างกายที่เพิ่มพูนเลเวลจนเต็มที่แล้ว เลเวล 144 ทำให้ประสาทสัมผัสเฉียบคมมากจนไม่มีทางก้าวพลาดได้

                ด้านหลังอิงศรไล่ไปคือมิ่งขวัญและพวกพ้องคนอื่นๆ จนไปสุดที่ปลายแถวคือนรินทร์ ส่วนที่คอยดึงให้พวกเขาเดินไปข้างหน้าก็เป็นซีเซียม โพแทสเซียมและลิเธียมจากนั้นก็เป็นแถวพวกลูกน้องของรูบิเดียม ส่วนพวกเครื่องทำสวนนำหน้ารูบิเดียมไปก่อนแล้ว

                พวกเขาเดินข้ามถนนหมอกที่พาดจากภูเขาลูกหนึ่งไปยังจุดหมายที่มองไม่เห็นแล้วมาถึงจุดที่ว่านั่นอย่างปลอดภัยทุกคน

                “…”

                ถ้ามาเกิดอะไรขึ้นเอาตอนนี้คงไม่ต้องเดินหน้าต่อแล้วกับอีแค่เดินข้ามเหวยังทำไม่ได้พวกเขาคงไม่รอดจากการเผชิญหน้ากับพระเจ้า

                หลังจากรอจนคิดว่าทุกคนน่าจะข้ามกันมาหมดแล้วรูบิเดียมก็ขานให้นับจำนวน

                เจ้าพวกนั้นน่ะยังอยู่กันครบรึเปล่า

                ต้องตรวจสอบว่าทุกคนอยู่กันครบหรือไม่ รอบๆ มีแต่หมอกทัศนวิสัยย่ำแย่เกินบรรยาย

                อิงศรจึงตะโกนไปเพื่อให้พวกพ้องขานรับมา

                มีใครหายไปบ้างรึเปล่าลองขานรับหน่อย

                อยู่

                ทุกคนตอบกลับมาเป็นเสียงเดียวกัน เสียงของทั้งสิบคนผสมปนเปกันมาแต่ก็ยังแยกออกเขาใช้เวลาอยู่กับเจ้าพวกนี้มานานพอดูเลยทีเดียว

                จากนั้นจึงขานกลับไปให้รูบิเดียม

                ทางนี้ครบทุกคนแล้วจะเอายังไงต่อ

                เดินมาข้างหน้านี่สิ

                หลังจากเสียงของรูบิเดียมดังขึ้น แสงไฟสายก็แกว่งอยู่ที่ปลายทางข้างหน้าซึ่งมองไม่เห็นเพราะหมอก

                พวกเขาเดินตามแสงไฟที่ส่องมา

                สายลมปะทะเข้ามา

                จู่ๆ หมอกก็เริ่มเบาบางลงเฉพาะแค่ตรงทางที่เดินมาข้างหน้านี่เท่านั้น ข้างหลังหมอกยังหนาทึบอยู่

                เมื่อพวกเขาเดินมาจนสุดทางหมอกก็หายไปหมด

                มีลมพัดอยู่รอบๆ ทุ่งหญ้ารกร้างซึ่งกว้างประมาณสนามฟุตซอลสองสนามเลยไปจากนั้นก็เป็นหุบเหวลึกกับท้องฟ้าที่ไร้เส้นขอบ

                แล้วบนทุ่งรกร้างนั่นเองก็มีหอคอยสูงเสียดฟ้าตั้งท้าสายลมอยู่

                เมื่ออิงศรแหงนหน้ามองหอคอยก็รู้สึกว่า สูงมาก สูงจนไม่เห็นแม้แต่ยอด

                ปลายสุดของหอคอยคงทะลุก้อนเมฆขึ้นไปจนถึงชั้นสตราโทสเฟียร์ไปแล้วหรืออาจจะสูงขึ้นไปถึงสรวงสวรรค์เลยก็ได้

                หอคอยเรียงด้วยอิฐสีขาวซึ่งดูแล้วไม่น่าสร้างขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยีของสมัยก่อนแม้มันจะดูเก่าแก่มากก็ตามที อย่าว่าแต่สมัยก่อนเลยด้วยสภาพภูมิศาสตร์แบบนี้แล้วต่อให้เป็นยุคนี้ก็ยังสร้างหอคอยสูงขนาดนี้บนที่ทุรกันดารขนาดนี้ไม่ได้แน่

                บาเบล หอคอยซึ่งในตำนานว่ากันว่ามนุษย์ในสมัยที่ใช้ภาษาเพียงหนึ่งเดียวเป็นผู้สร้างเพื่อจะเชื่อมต่อผืนผิภพกับสรวงสวรรค์ ดังนั้นพระเจ้าจึงพิโรธทำให้มนุษย์แยกภาษาแตกต่างกันจนไม่สามารถสื่อสารกันได้และเกิดความขัดแย้งหอคอยจึงหยุดการก่อสร้างไป

                นี่คือสัญลักษณ์ของความทะเยอทะยานที่ยังหลงเหลืออยู่ มันบอกเล่าว่าครั้งหนึ่งมนุษย์เคยหยิ่งผยองเพียงใด

                แล้วในวันนี้ลูกหลานของบรรพบุรุษเหล่านั้นก็กลับมาเยือนที่นี่อีกครั้งด้วยความปรารถนาที่จองหองยิ่งกว่าในอดีตกาล

                พวกเขาคือคนบาปที่มุ่งหวังโลกในแบบที่ต้องการจนถึงขั้นละทิ้งความเป็นมนุษย์ คิดหาญกล้าจะท้าทายพระเจ้า

                “…”

                แต่อิงศรก็คิดว่า...เพราะพระเจ้าเองที่เป็นฝ่ายกดดันให้มนุษย์ต้องทำแบบนั้นไม่ใช่หรือ

                ถ้าอย่างนั้นการเดินทางมาที่นี่ของพวกเขาก็อาจจะเป็นแค่การเต้นอยู่บนฝ่ามือของพระเจ้าหรือของใครบางคนอีกก็ได้

               

                ระหว่างที่พวกเขายืนทัศนาหอคอยกันอย่างตื่นตาตื่นใจอยู่นั่น รูบิเดียมก็ส่งเสียงเรียกจากบันไดทางเข้าหอคอย

                เข้ามาข้างในสิ

                อิงศรเดินไปตามที่ชวน ผ่านบานประตูที่พวกมนุษย์ต่างดาวชั้นครูเพิ่งจะผลักเข้าไปเมื่อกี้แล้วก็โผล่เข้าไปในหอคอยที่กว้างขวางคนละเรื่องกับที่มองเห็นจากด้านนอก

                ภายในกว้างขวางเป็นอย่างมาก กว้างพอจะยัดสนามฟุตบอลเข้ามาได้ พื้นที่ภายในวนเป็นวงกลม

                ตรงกลางมีแท่นหินซึ่งดูจากที่ไกลๆ แล้วก็พอจะเดาได้ว่าเป็นเทอมินัลเคลื่อนย้าย

                ที่นั่นมีคนยืนอยู่

                เนื่องจากพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมากพวกเขาจึงยังมองไม่เห็นว่าใครที่ยืนอยู่ตรงนั้น

                แต่ว่าพอเดาได้

                ซีลอร์ด

                อิงศรเรียกชื่อของคนที่น่าจะอยู่ที่นั่นแล้วเดินเข้าไป ทุกคนก็เดินตามมา

                คนๆ นั้นมีปฏิกิริยากับการเรียกของเขา

                “…”

                ที่ยืนอยู่ใจกลางแท่นหินที่เรียงกันเป็นวงล้อมซึ่งก็คือเทอมินัลเคลื่อนย้ายนั้นเป็นเด็กหนุ่ม

                เรือนผมสีขาว แววตาคมกริบ

                สวมเฮดโฟน เสื้อวอร์มสีแดง กางเกงยีนส์

                และเท้าไม่ติดพื้น นั่งไขว่ห้างทั้งที่ตัวลอยกลางอากาศ

                มาถึงจนได้นะอิงศร

                นาน

                นานแค่ไหนกันแล้วนะที่ไม่ได้ยินเสียงหมอนี่อีกเลยตั้งแต่แยกกันที่สนามรบนั่น

                หนึ่งวัน สองวันสิบสองวันเข้าไปแล้ว

                นั่นก็จงใจด้วยรึเปล่า เลข 12 เลขจำนวนของเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์

                พอเจอหน้ากันซีลอร์ดก็ยิงคำถามมาทันที

                แล้วคำตอบล่ะ

                คำตอบ

                คำตอบว่าจะก้าวเดินต่อไปอย่างไรสินะ

                เมื่อรู้แล้วว่าแอดมินิสเทรเตอร์ไม่ยอมเจรจาดีๆ ด้วยแน่แล้วมนุษย์อย่างพวกเขาซึ่งถูกตัดสินให้เป็นวัชพืชไปแล้วยังจะก้าวเดินต่อไปแบบไหนอีก

                คำตอบนั้นง่ายมาก ก็พวกเขาเดินทางมาถึงที่นี่ก็นับเป็นคำตอบได้แล้ว แต่ก่อนจะตอบออกไปจำเป็นต้องยืนยันในเรื่องอื่นๆ ให้เป็นที่แน่ใจเสียก่อน

                ฉันจะถามอะไรซักหน่อยก่อนแล้วค่อยให้คำตอบคงไม่ว่ากันนะ

                ได้สิ ทุกอย่างที่ตอบได้ผมจะตอบให้เองการที่เธอมาถึงที่นี่ได้เท่ากับมีคุณสมบัติครบทุกอย่างแล้ว

                งั้นก่อนอื่นเลยไอ้คุณสมบัติที่ว่านั่นคืออะไรแล้วใช้อะไรเป็นเกณฑ์การประเมินในเมื่อนายเป็นคนให้รูบิเดียมไปรับฉันมาล่ะ

                ทดสอบความสามารถในการตัดสินใจน่ะ อยากดูว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไรเมื่อเวลาแห่งการสิ้นสุดใกล้จะมาถึง การที่มาที่นี่ได้หมายความว่าเธอได้เลือกที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าโดยปล่อยวางทุกอย่างแล้วสินะ

                การปล่อยวางทีว่าคงหมายถึงความบาดหมางที่มีต่อรูบิเดียมอย่างนั้สินะเพราะแบบนั้นเองคนที่มารับพวกเขาถึงต้องเป็นรูบิเดียม

                มีแค่นั้นเหรอบททดสอบที่ว่าน่ะ

                “....”

                แน่นอนว่าเขาถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบนเกาะร้างที่ได้พบกับกฤษณะและรับรู้ตัวตนของฟาวเดชั่นอี

                แต่ซีลอร์ดก็ยังทำเป็นไม่รู้เรื่องซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้หรอกในเมื่อหมอนี่อ่านใจเขาได้ย่อมต้องรู้ว่ากำลังถามหาอะไร

                แต่แล้วหมอนั่นก็ยอมตอบออกมา ที่ตอบช้าคงเพราะกำลังเรียบเรียงคำพูด

                นั่นเป็นการปูพื้นฐานให้...จำเป็นต้องรู้เรื่องราวโดยละเอียดทั้งเรื่องของ เทวะ กับ อสูร เลยให้ไปที่สถานทดลองที่เหลืออยู่ของอารย-สนธยา แต่เรื่องที่เจอฟาวเดชั่นอีเนี่ยแค่บังเอิญเท่านั้น บางทีพวกเขาเองก็อาจจะกำลังจ้องฉวยโอกาสในตอนที่จุดจบกำลังจะมาเยือนก็ได้

                แล้วเรื่องที่สิงห์ ไม่สิแฟรนเซียมมาจากโลกในอีกความเป็นไปได้นั่นล่ะ

                หนนี้ซีลอร์ดคิ้วกระตุกไปบ้าง ที่จริงคิดว่าน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขากำลังคิดจะถามถึงเรื่องนี้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้

                ตอบมาสิ

                ไม่ได้

                ทำไม...

                แต่ซีลอร์ดก็พูดขัดมาว่า

                นั่นเป็นข้อมูลที่รูบิเดียมหามาได้เอง น่าแปลกเหมือนกันนะที่ผมไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับบุตรแห่งแสงที่ชื่อแฟรนเซียมมาตั้งแต่แรก

                แล้วหันเหสายตาไปที่รูบิเดียม อิงศรก็หันไปเช่นกัน

                พวกเขาต้องการคำตอบจากหล่อนแล้วหล่อนก็ตอบให้ฟัง

                นั่นเป็นเรื่องที่แฟรนเซียมแชร์ข้อมูลร่วมกับฉันเท่านั้นพวกเครื่องทำสวนไม่รู้เรื่องตัวตนของฟาวเดชั่นอีด้วยซ้ำมันเป็นแบบนั้นใช่ไหมล่ะไฮโดรเจนมีเรื่องที่นายไม่รู้ก่อนจะมาเจอฉันกับสิงห์

                หล่อนเน้นย้ำชื่อของ สิงห์ ธุวดารกะ แทนที่จะเป็นแฟรนเซียม เป็นไปได้ว่ากำลังหมายถึงตอนที่พวกหล่อนได้พบกับซีลอร์ดเป็นครั้งแรก

                ซีลอร์ดพูด

                การพบเจอกันระหว่างพวกเรามีปริศนาอยู่มากมายเลยสินะจะว่าไปความทรงจำของผมก็เลือนรางน่าดูแทบจะจำไม่ได้เลยว่าก่อนหน้านั้นทำยังไงถึงได้มาพบกัน

                หมายความว่าตัวซีลอร์ดเองก็ยังคลุมเครือในเรื่องของแฟรนเซียมอย่างนั้นหรือ?

                แต่ว่าเรื่องแค่นั้นอ่านใจรูบิเดียมก็พอ...

                แล้วแม้แต่เธอเองก็ยังคลุมเครือเลยนี่นะ

                ซีลอร์ดพูดมาอย่างนั้น หมายความว่ากระทั่งตัวรูบิเดียมเองก็ยังไม่ได้รู้ถึงเบื้องลึกทั้งหมด

                แล้วซีลอร์ดก็หันมาพูดกับเขาต่อ

                ยังมีคำถามอีกไหม

                อิงศรพยักหน้า

                ถ้าทำให้แอดมินิสเทรเตอร์เข้าใจถึงเส้นทางของพวกเราได้จะสามารถย้อนกลับไปก่อนโลกจะล่มสลายได้ใช่ไหม

                ได้สิ

                นั่นรวมถึงการแก้ไขความเป็นจริงที่เกิดขึ้นด้วยรึเปล่า

                ช่วยขยายความมันให้ผมหน่อยสิเธอเล่นคิดกับพูดเป็นความหมายเดียวกันแบบนั้นผมทำความเข้าใจไม่ได้หรอกนะ

                อิงศรหรี่ดวงตาลง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จุดอ่อนของการอ่านใจ ดูเหมือนมันจะอ่านความคิดที่กำลังนึกออกมาเป็นตัวอักษรจึงไม่สามารถขยายความหมายของสิ่งที่กำลังคิดได้ มันเป็นอย่างนั้นสินะ

                ก่อนหน้านี้สิงห์เคยพูดเอาไว้

                อิงศรนึกย้อนกลับไป ย้อนไปถึงตอนที่ต่อสู้กับสัตว์เทวะมังกรที่สิงสู่มีนา

                โลกหลังจากนี้ไปมนุษย์จะไม่ต้องการเทพหรือปีศาจอีกพวกแกมันก็แค่โปรแกรมที่ชำรุดไปแล้ว ได้แต่รอวันที่จะอันอินสตอลออกก็เท่านั้น

                การที่พูดมาแบบนั้นมีความเป็นไปได้อยู่

                ถ้าหากว่า...

                เขายับยั้งความคิดตัวเองไว้เพราะกำลังคิดไปอีกว่านี่เป็นการเข้าข้างตัวเองอยู่หรือเปล่า

                แต่ก็คิดไปแล้ว....

                ถ้าหากว่าแฟรนเซียมเองก็ยังเป็น สิงห์ ธุวดารกะ อยู่ถึงแม้จะมาจากอีกความเป็นไปได้ก็ตาม

                แต่ถ้าหากหมอนั่นยังคิดว่า...แต่เดิมที่โลกกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะมนุษย์ยื่นมือเข้าหาปีศาจนั่นเองถ้าหากว่าความปรารถนาของแฟรนเซียมเป็นเรื่องเดียวกันแล้วล่ะก็คงจะคิดเหมือนๆ กับที่เขากำลังคิด

                ไม่สิบางทีตั้งแต่ตอนนั้นก็จงใจพูดเหมือนหว่านล้อมเขาที่กำลังต่อต้านเพื่อจะช่วยมีนา หว่านล้อมให้มีความคิดที่จะตัดความเป็นจริงที่ว่าโลกนี้มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างเทพหรือปีศาจอยู่

                จะสร้างโลกที่ไม่มีเทพหรือปีศาจเข้ามายุ่งเกี่ยวแล้วก็ทำให้โลกดำเนินไปโดยผู้มีความสามารถการที่จะทำแบบนั้นได้แสดงว่าแม้แต่การเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของโลกก็สามารถกระทำได้ อย่างเช่นย้อนเวลากลับไปแล้วทำให้เรื่องที่ว่ามนุษย์เคยยื่นมือเข้าหาปีศาจไม่เคยเกิดขึ้น ทำให้อารย-สนธยาไม่เกิดขึ้น ธุวดารกะ หรือ ฟาวเดชั่นอีก็ไม่เคยมี มันทำแบบนั้นได้รึเปล่านี่คือคำถามของฉัน

                พอได้ฟังเขาพูดจนจบซีลอร์ดก็ปรายยิ้มออกมา

                มีส่วนที่คล้ายกันนะกับเธอเนี่ย

                หมายถึงความปรารถนาน่ะเหรอ

                รู้เหมือนกันเหรอ

                อิงศรเบ้หน้าตอบไปว่า

                เออสิ รู้จนสะอิดสะเอียนเลยล่ะ

                นั่นก็แค่พูดประชด...ลึกๆ แล้วตนเองคิดว่ายังห่างชั้นกับ สิงห์ อยู่แม้ว่าจะเลือกทางเดินที่แตกต่างกันแต่สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเขาเดินวัดรอยเท้าหมอนั่นมาตลอด สุดท้ายก็กลายเป็นทำแบบเดียวกัน

                ใช้ความปรารถนาของตัวเองสร้างโลกที่ปรารถนาขึ้นมา

                “…”

                พอได้ยินเขาพูดแบบนั้นซีลอร์ดก็จ้องเขม็งมา ราวกับพยายามจะมองให้ทะลุอะไรบางอย่าง

                แล้วทำท่าถอนหายใจราวกับเหนื่อยหน่าย

                ปากไม่ตรงกับใจเลยนะเธอเนี่ย เอาเถอะเรื่องที่ถามมานั่นน่ะถ้าสามารถเข้าใช้งานบัลลังก์แห่งสวรรค์ได้ก็สามารถเขียนแก้ไขแทร็กข้อมูลของอาคาชิกเรคคอร์ดเพื่อแก้ไขความเป็นจริงได้

                แล้วไอ้การเข้าใช้งานบัลลังก์อะไรนั่นจะใครก็ใช้ได้งั้นเหรอ

                ถ้าโดยผลลัพธ์แล้วมันก็ใช่ล่ะนะ แต่ว่าคนๆ นั้นที่เข้าใช้งานบัลลังก์แห่งสวรรค์จะกลายเป็นแอดมินิสเทรเตอร์และไม่สามารถดำรงอยู่ในวัฏจักรได้อีก

                หรือก็คือถ้าเขาขึ้นไปใช้งานบัลลังก์สวรรค์ก็จะไม่สามารถอยู่อย่างมนุษย์ได้อีก

                หรือต่อให้ใครก็ตามไปทำแทนก็ต้องประสบกับชะตากรรมที่เหมือนกับตายทั้งเป็นอยู่ดี ถึงจะไม่รู้ว่าตอนที่กลายเป็นพระเจ้าไปแล้วจะยังเป็นอัตตาตัวตนเดิมอยู่หรือเปล่าก็ตามที

                สรุปก็คือเป็นทางเลือกที่ต้องมีการเสียสละในตอนสุดท้ายหากยังปรารถนาโลกที่ถูกต้อง

                แต่ว่า...

                แล้วถ้าให้เครื่องทำสวนเป็นผู้ใช้งานแทนล่ะ

                อิงศรคิดว่านั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

                ก็อย่างที่ว่าไปนั่นแหละจะใครก็ได้ทั้งนั้น

                ราวกับวางแผนเอาไว้เลยทีเดียว เพราะนี่เท่ากับว่า

                งั้นถ้าพวกฉันจัดการกับแอดมินิสเทรเตอร์แล้วจะให้นายขึ้นเป็นแอดมินคนถัดไปแทนล่ะ

                นั่นคือคิดเผื่อกรณีที่ไม่สามารถเจรจากับแอดมินิสเทรเตอร์ได้อย่างนั้นสินะ

                ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเป็นแบบนั้นนี่

                แล้วทำไมถึงต้องเป็นผมล่ะหรือว่าแค่ยกตัวอย่างแบบไม่ได้เจาะจงกัน

                อย่างนายยังต้องถามอีกเรอะแค่นั้นอ่านใจเอาก็ได้นี่

                ไม่ล่ะ ผมอยากให้เธอแสดงทัศนคติทั้งหมดต่อพวกพ้องที่จะร่วมเป็นมือเป็นเท้าให้เธอทำตามเป้าหมายจะดีกว่า

                ชิ

                อิงศรเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจนัก ไม่พอใจเรื่องคำพูดที่ว่าเขาจะใช้พวกพ้องเป็นมือเป็นเท้านั่น

                แต่ซีลอร์ดก็พูดต่อราวกับจะแก้ตัว

                จากนี้ไปจะเป็นบททดสอบที่ยากที่สุดอย่างน้อยถ้าได้ตายโดยที่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไรก็ย่อมดีกว่าจริงไหมล่ะ ได้รู้คนที่ตัวเองยอมเอาชีวิตเข้าแลกนั้นเป็นคนแบบไหนหรือเธอจะยึดหลักการกุมหัวใจคนแบบที่สิงห์ชอบพูดอยู่บ่อยๆ ล่ะ

                อิงศรตะคอก

                เออ เออ เออ รู้แล้วพูดก็ได้!

                หวังให้ซีลอร์ดหยุดพ่นคำพูดที่จะทำให้กลุ่มเกิดความลังเลหรืออะไรที่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายเมื่อต้องเผชิญหน้าบททดสอบที่ว่า

                เพราะนายเข้าใจมนุษย์ดีไง

                เป็นเหตุผลที่เรียบง่ายดีนะ

                ก็ง่ายๆ แบบนั้นแหละ หากเป็นหมอนี่ ถ้าหากว่าเป็นซีลอร์ดที่เข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์อย่างแท้จริงคงตัดสินได้อย่างเป็นธรรม หรืออย่างน้อยที่สุดเขาก็คิดแบบนั้น

                พอเรื่องมันดำเนินมาในลักษณะนี้ก็อดจะพูดไมได้แต่ว่า...

                ให้ตายเถอะนี่นายคำนวณไว้แต่แรกแล้วใช่ไหมให้พวกฉันโค่นพระเจ้าแล้วนายก็ขึ้นครองบัลลังก์สวรรค์ซะเองยังไงมันก็มีแต่ทางนั้น

                มันดูเป็นการสร้างสถานการณ์อย่างนั้นจริงๆ ถึงจะพอรู้อยู่แล้วว่าเครื่องทำสวนผู้เถรตรงกับทุกเรื่องแล้วก็เป็นแบบนั้นกันทุกเครื่องคงจะไม่หัวเสขนาดวางแผนไว้ขนาดนี้

                ทุกอย่างในวันนี้ดำเนินมาเพราะโชคชะตาล้วนๆ หรือถ้ามีใครบงการอยู่แล้วอยากจะให้พวกเขาโค่นล้มแอดมินิสเทรเตอร์จริงๆ ล่ะก็อยากจะให้โผล่หัวออกมา อยากจะเห็นหน้าคนที่บงการได้ขนาดนี้ซักครั้งก่อนแล้วค่อยเป็นเบี้ยให้ใช้ก็ไม่ว่า

                หรือไม่เขาก็แค่คิดมากเกินไป โลกมักจะเป็นแบบนี้เสมอใจดีอย่างกับเสแสร้งแล้วก็โหดร้ายเหมือนเล่นสนุก มนุษย์มักถูกบีบบังคับให้เลือกอยู่เสมอๆ

                ถ้าหากว่าแอดมินิสเทรเตอร์เป็นผู้สร้างโลกใบนี้ขึ้นมาก็อยากจะถามอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงสร้างโลกที่วิปริตและมีอารมณ์ขันอันร้ายกาจ แบบตรงตามตัวอักษรถึงขนาดนี้

                ถ้าเป็นไปได้ในโลกที่เกิดขึ้นใหม่หลังจบบททดสอบนี้อย่างน้อยๆ เขาก็อยากจะให้โลกเรียนรู้ที่จะอ่อนโยนเสียบ้าง

                แล้วซีลอร์ดก็ตอบคำถามมา

                ไม่รู้สิผมเองก็ไม่ได้คาดหวังเช่นนั้น ถ้าโค่นแอดมินิสเทรเตอร์ได้จริงเธอเองจะขึ้นเป็นพระเจ้าเลยก็ได้เหมือนกันนะขอแค่มีพลังคำพูดนั้นก็จะไม่เพ้อเจ้ออีกต่อไป

                สรุปแล้วก็วกกลับมาที่เรื่องพื้นฐาน เป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก

                แค่มีพลังแล้วเอาชนะให้ได้ทุกอย่างที่หวังไว้ก็จะเป็นจริงจะไม่ได้เป็นคำพูดเพ้อเจ้ออีก

                ไม่เอาหรอกเรื่องเป็นพระเจ้าเนี่ยนายจัดการไปก็แล้วกัน

                งั้นคำตอบของเธอก็คือจะก้าวเดินต่อไปอย่างนั้นสินะถึงแม้ว่าจะไม่เห็นทางสำเร็จเลยก็ตาม

                นั่นเป็นประโยคคำถามที่มอบทางเลือกให้เพียงแค่ ใช่ หรือ ไม่

                แค่ทางเลือกง่ายๆ สองทางเลือกแต่พอเลือกแล้วจะหันหลังกลับไม่ได้อีก สมมติว่าถ้าตอบไม่แล้วทำตัวขี้ขลาดบอกให้พวกพ้องหนีออกจากหอคอยแล้วไปใช้เวลาอีกไม่กี่สิบวันที่เหลือก่อนจะถูกลบหายไปอย่างผาสุก

                ลองเลือกทางแบบนั้นขึ้นมาได้โดนฆ่าตายอยู่ตรงนี้จริงๆ แน่ ไม่ว่าจะรูบิเดียม หรือ แม้แต่ซีลอร์ดกับพวกเครื่องทำสวน เจ้าพวกนี้บีบบังคับพวกเขามาตั้งแต่แรก

                งั้นถ้าเลือกตอบใช่ พวกเขาก็จะกระเถิบเข้าใกล้ปากเหวไปอีกหน่อยแต่ยังได้หายใจอยู่ พอไปเผชิญหน้าพระเจ้าแล้วก็เหมือนเหยียบลงไปในเหวเรียบร้อยได้หายใจต่อจนกว่าจะตกลงไปกระแทกพื้นข้างล่างแล้วก็ตาย

                ทั้งที่ก่อนจะมาที่นี่พูดปลุกใจกันมาซะดิบดีแต่พอเอาเข้าจริงแล้วแค่การตอบคำถามว่าใช่ หรือ ไม่ ยังรู้สึกลำบากเลย

                ตอนนั้นเองก็มีเสียงดังมาจากทางด้านหลัง

                ศร

                พี่ศร

                คุณอิงศร

                อิงศร

                ศร

                แล้วก็เสียงเรียกอีกมากมายจากครอบครัวและพวกพ้อง เสียงผลักดันที่เปี่ยมไปด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจผลักดันแผ่นหลังของเขา

                อิงศรกันกลับไปครั้งหนึ่ง แววตาของพวกพ้องกำลังเปล่งประกาย ทุกคนไว้ใจในตัวเขาและพร้อมจะร่วมทางไปด้วยจนถึงที่สุด

                ถ้าอย่างนั้นวิธีตอบรับก็มีแค่วิธีเดียว มีเพียงคำตอบเดียวที่ถูกต้องที่สุด

                อิงศรหันไปพูดกับซีลอร์ด

                พวกเราอาจจะทำไม่สำเร็จแล้วตายคาบทดสอบก็ได้ ไม่สิยังไงก็ตายแน่ๆ จะต้องมีคนตายอย่างแน่นอน แต่ว่า....

                ถึงตรงนี้แล้วคำพูดบั่นทอนกำลังใจที่ให้ไปนั่นก็คงไม่มีผลอะไรกับพวกบ้าบอที่เหลือรวมถึงตัวเขาเองที่กำลังจะพูดประโยคบ้าสุดกู่ของที่สุดในชีวิตออกมา

                เราจะเอาวันคืนที่ถูกต้องกลับคืนมาพวกเราจะก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะมนุษย์เท่านั้นที่จะกอบกู้มนุษย์ด้วยกันได้!”

                แล้ววันตัดสินก็เริ่มขึ้นจากตรงนี้

                วันนี้มนุษย์จะลากพระเจ้าลงจากบัลลังก์

                วันนี้มนุษย์จะกำหนดยุคสมัยของตัวเอง

                วันนี้คือวันโลกาวินาศที่แท้จริง

                เกม โกง วันโลกาวินาศ จบลงแล้ว จากนี้ไปคือวันโลกาวินาศของพระเจ้า

                ซีลอร์ดพยักหน้ารับคำตอบที่เต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งหมายของพวกเขาทั้งสิบเอ็ดคนไว้แล้วพูด

                ดีใจที่ได้ยินแบบนั้น

                พลางผายมือวาดเหนือพื้นที่พวกเขายืนอยู่ พื้นเปล่งแสงแล้วดับวูบ

                บนพื้นที่เคยราบเรียบ ว่างเปล่า และเป็นสีขาว กลับปรากฏร่องซึ่งแกะสลักเป็นรูปต่างๆ

                เป็นสัญลักษณ์สิบสองรูปเรียงวนกันเป็นวงกลมล้อมรอบพื้นที่พวกเขายืน

                สัญลักษณ์ของเครื่องทำสวนทั้งสิบสองนั่นเองแล้วที่ใจกลางทั้งวงล้อมซึ่งก็คือจุดที่ซีลอร์ดกับเขายืนอยู่

                ก็มีแท่นหินผุดขึ้นมาจากข้างใต้พื้น มันเลื่อนขึ้นมาจนมีความสูงประมาณเอวที่โคนแท่นหินเชื่อมกับร่องซึ่งขุดเป็นทางเชื่อมไปยังสัญลักษณ์ทั้งสิบสอง เป็นต้นน้ำของระบบพิธีกรรมนั่นเอง

                ซีลอร์ดพูด

                ทีนี้ก็ไปยืนตามตำแหน่งของเดือนเกิดแต่ละคนล่ะไล่จากทางนั้น

                ซีลอร์ดชี้ไปทางขวามือ ที่ๆ มีสัญลักษณ์รูปปีกนกกับเงาผู้หญิงในท่านั่ง

                นั่นคือเซพทรูสตาร์คนที่เกิดเดือนกันยายนไปยืนบนนั้น

                นรินทร์คือคนที่เดินไปยืนบนสัญลักษณ์ที่ว่า จากนั้นก็วนชี้ว่าแต่ละสัญลักษณ์คือเดือนใดบ้าง พวกเขาทยอยกันไปยืนบนสัญลักษณ์แต่ละรูปโดยที่ไม่มีใครเกิดเดือนซ้ำกันเลยแม้แต่คนเดียว จนกระทั่งครบทั้งสิบเอ็ดคนจึงเหลือเพียงสัญลักษณ์ของเดือนสิงหาคมที่ยังคงว่างอยู่

                ซีลอร์ดพูด

                ไม่มีคนที่เกิดเดือนสิงหาคมเลยสินะ

                นั่นก็เพราะแฟรนเซียมตั้งใจว่าจะอยู่ในการทดสอบนี้ด้วยมาแต่แรกถึงได้ไม่มีคนที่จะอยู่ในตำแหน่งเดือนสิงหาคมอยู่ที่นี่เลย แต่ที่ทำไปก็สูญเปล่าลองมาถึงขั้นนี้แล้วยังไม่มีใครโผล่มาขัดขวาง แฟรนเซียมคนนั้นคงจะตายไปจริงๆ แล้ว

                งั้นก็เริ่มเลยนะ

                ทว่าไม่ทันที่จะตอบหอคอยก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้นเสียก่อน เป็นแรงสั่นสะเทือนที่ไม่ได้มากมายอะไรแต่เพราะทุกคนที่นี่มีเลเวลที่สูงทำให้ประสาทสัมผัสเฉียบคมมากขึ้นจนสามารถสัมผัสความสั่นสะเทือนอันไม่ธรรมดานี้ได้

                มีอะไรกำลังเข้ามาใกล้หอคอยแห่งนี้

                อะไรบางอย่างที่มีจำนวนไม่น้อยแถมยังหนักขนาดทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนขึ้นมาถึงยอดของภูเขาสูงแบบนี้ได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×