ตอนที่ 222 : Login 219: ความสูญสิ้นชั่วพริบตา
Login 219: ความสูญสิ้นชั่วพริบตา
เวลา 20.00 น.
แม้แต่คืนนี้พระจันทร์ก็ยังขึ้นเต็มดวงอย่างผิดวิสัย
สถานที่คือบนลานของสนามบินดอนเมือง
อิงศรกับพวกพ้องทุกคนยืนกระจุกตัวกันอย่างหลวมๆ อยู่ที่นั่นรวมพวกราชครูซีเซียม โพแทสเซียม และ ลิเธียม
โดนรูบิเดียมสั่งให้รออยู่ที่นี่เพื่อเตรียมพาหนะโดยสารสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ
โดยที่ให้เหตุผลว่าระหว่างทางไม่รู้ว่าจะเจอสัตว์เทวะบนฟ้าบ้างรึเปล่า พวกรูปแบบบินบนฟ้าน่ากลัวกว่าบนพื้นโลกแล้วพวกเขาต่อสู้กันบนท้องฟ้าไม่ได้ดังนั้นการเตรียมพาหนะที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ
รูบิเดียมบอกว่าจะคุยเรื่องเพิ่มขีดจำกัดเลเวลอีกทีตอนขึ้นยาน หล่อนบอกว่าบนนั้นมีเครื่องมือพร้อมไว้แล้ว
ดังนั้นตอนนี้จึงได้แต่รอไปเรื่อยๆ
เท่ากับเวลาหมดไปอีกหนึ่งวัน เท่านี้โลกก็เหลือเวลาก่อนจะหายไปอีกแค่ 19 วันเท่านั้น
อิงศรมองสำรวจไปรอบๆ พื้นที่เพื่อฆ่าเวลารวมถึงหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อนเผื่อเกิดฉุกเฉินขึ้นมา
แต่บริเวณโดยรอบจะมืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเลยถ้าหากไม่ได้ไฟจากยานบินของพวกมนุษย์ต่างดาวที่จอดล้อมสนามบินไว้ช่วยเปิดส่องทางให้ อีกเหตุผลของการส่องไฟคงจะทำเพื่อจับตาดูไม่ให้พวกเขาหนีออกไปแม้แต่คนเดียวด้วยกระมัง
ถึงจะร่วมมือกันแล้วแต่สถานภาพโดยรวมก็เหมือนพวกเขาตกอยู่ในกำมือของรูบิเดียมและคอยทำตามที่หล่อนต้องการอยู่ดี
หล่อนไม่อยากจะหายไปพร้อมกับโลกใบนี้ดังนั้นจึงพูดเรื่องร่วมมือกันแล้วหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้
เท่านี้หนทางสำหรับเป้าหมายข้างหน้าก็สะดวกขึ้นแล้วแต่ยังมีอีกเรื่องที่คาใจอยู่
“…”
อิงศรเหลือบสายตามองไปยังจุดที่โดโกบาร์กับเด็กสาวผมสีเทาไว้ทรงผูกแกละที่อายุพอๆ กันกับร่างมนุษย์ของโดโกบาร์และสวมเครื่องแบบมนุษย์ต่างดาว
จูเนอร์มินาร์ ผู้กัดแทะวัชพืชแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์
ดูเหมือนจะมีชื่อเรียกแบบนั้น ดังนั้นจึงเป็นเครื่องทำสวนเหมือนกับโดโกบาร์ไม่ผิดแน่
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้พูดคุยกันบนยานโดยสารระหว่างที่มุ่งหน้ามายังสนามบินดอนเมือง
เรื่องที่ว่าเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ทยอยหายไปราวสี่วันก่อน
จากที่ว่ามานั้นดูเหมือนจะมีคนอื่นเริ่มเคลื่อนไหวเหมือนกันและถ้าขนาดพวกเครื่องทำสวนด้วยกันเองยังไม่รู้สาเหตุ เจ้าสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่คงจะต้องเป็นองค์กรหรือกลุ่มอำนาจที่ทรงพลังเอามากๆ ขนาดทำให้เครื่องสวนเป็นกังวลได้ขนาดนี้
‘กลุ่มเงินทุนสวรรค์อนธการ ฟาวเดชั่นอี’ เป็นชื่อแรกๆ ที่พอจะนึกขึ้นมาได้จากรายการอำนาจระดับสูงที่สามารถยึดโลกในตอนนี้ได้ ซึ่งรูบิเดียมบอกว่าถ้าแผนการของเขาสำเร็จพวกนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาที่ต้องกังวล นั่นหมายความว่าพวกมันยังไม่มีพลังที่พอจะเทียบเท่าผู้ควบคุมความเป็นไปของโลกอย่างนั้นสินะ
แต่ว่าความมั่นใจของรูบิเดียมจะมาจากการคาดการณ์ของเธอเองหรือว่ารู้ปูมหลังอะไรขององค์กรมากไปกว่าที่บอก นั่นก็เป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา
ดังนั้นก็เลยได้แต่รอเท่านั้น รอแล้วก็ขบคิดเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้เพื่อฆ่าเวลา
“…”
ยังไม่ทันจะได้หายใจทิ้งขว้างเรื่อยเปื่อยตัวปัญหาก็แจ้นเข้ามาแล้ว
มีนาทำหน้าแป้นแล้นเดินย่างสามขุนเข้ามาหา
“โลกจะโดนลบหายไปแม้แต่ดวงดาวบนท้องฟ้าเลยเหรอคะ”
แล้วชี้ให้ดูท้องฟ้า
ที่นั่นเป็นท้องฟ้าทางทิศเหนือ แต่ไม่มีดาวเหนือส่องสว่างให้เห็น....
มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นที่เฉิดฉาย การกลืนกินใกล้จะลามมาถึงที่นี่แล้วเหมือนกัน
อิงศรพูด
“แต่ยังเห็นพระจันทร์ชัดอยู่นะ”
พระจันทร์ขึ้นเต็มดวงอย่างผิดวิสัยมาหลายวันแล้ว
พอลองนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่ได้เผชิญหน้ากับแอดมินิสเทรเตอร์เป็นครั้งแรกที่สนามรบนั่น ลูนาริส ปรากฏโฉมด้วยรูปลักษณ์แบบดวงจันทร์ ก็เลยคิดว่ามันราวกับถูก ‘ลูนาริส’ จับตามองอยู่อย่างไรอย่างนั้น
จู่ๆ มีนาก็พูดเรื่องไร้สาระขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“บนนั้นจะมีกระต่ายไหมคะ”
“พูดเป็นนิทานไปได้นะเธอเนี่ยจะไปมีได้ไงกันเล่า”
แต่มีนาหันมาจ้องหน้าเขา
“งั้นที่ไม่อยู่บนดวงจันทร์เพราะว่ายืนอยู่ตรงนี้แล้วตัวหนึ่งสินะคะ”
พูดพร้อมส่งสายตาเจ้าเล่ห์มา
“…”
“พระจันทร์สวยขนาดนี้คุณกระต่ายคงจะหมายตาเอาไว้”
“คิดจะพูดอะไรของเธอกันแน่”
มีนายกนิ้วชี้มาชูต่อหน้า ปลายนิ้วชี้ไปที่พระจันทร์เหมือนจะอ้างอิงถึงเรื่องนั้น
“ก็นั่นไงคะภาษาญี่ปุ่นพระจันทร์เขาเรียกว่า ทซึกิ แล้วตอนนี้คุณอิงศรเริ่มจะพระจันทร์ฉันบ้างไหมล่ะคะ”
อิงศรได้แต่ปั้นหน้าเป็นงง แต่ความจริงเขารู้แล้วว่าจุดประสงค์ของมีนาคืออะไร
ถ้าไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ที่ต้องร่วมงานกับซากิริบ่อยๆ ก็เลยไปค้นคว้าคำศัพท์แสลงประเทศบ้านเกิดที่หล่อนชอบพ่นออกมาคงไม่เข้าใจว่า ‘พระจันทร์’ มันพ้องเสียงกับคำว่า ‘ชอบ’
แต่ทำไมช่วงนี้หล่อนถึงเอาแต่พูดเรื่องนี้กับเขากันล่ะ มันไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรที่จะต้องรีบสารภาพรักเลยนี่แล้วก่อนหน้านี้หล่อนก็ไม่เคยแสดงออกในแนวนั้นมาก่อนเลย
หรือไม่นี่ก็เป็นแค่การแกล้งกันเล่นอย่างหนึ่งเหมือนทุกที
“นี่เธอพิศมัยอะไรในตัวฉันกันแน่”
เขาลองถามไปแบบนั้น ลองแหย่เท้าเข้าในจุดที่คิดว่าเป็นกับดักแกล้งที่เด็กสาววางล่อ
แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด
ใบหน้าของมีนาแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อย หล่อนทำท่าทีลุกลี้ลุกลนชนนิ้วชี้สองมือเข้าด้วยกันเหมือนพยายามนึกหาคำพูด
“คือว่า…ก็แบบว่า”
“เอาจริงดินี่เธอชอ…”
“ชู่ว!”
มีนายื่นมือมาปิดปากเขาไว้ก่อนจะทันพูดตบประโยคแล้วทำท่าเป่านิ้วเป็นนัยว่าเสียงดังเกินไปแล้ว
แต่ก็ไม่มีใครทันสังเกตหรือหันมา ที่จริงแล้วพวกเขาก็ไม่ได้สนทนากันดังขนาดนั้นอยู่แล้ว ออกจะเบาจนเหมือนพูดกระซิบกันด้วยซ้ำ
อิงศรดึงมือเจ้าหล่อนออกแล้วถามด้วยเสียงที่เบา
”นี่ ถ้าจะแกล้งกันล่ะก็ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาเลยนะเว้ย”
“นี่ฉันพูดจริงจังอยู่นะคะ”
แต่อิงศรทำหน้าเชื่อคำพูดนั้นไม่ลง
ทว่า…
มีนาก้มหน้าหลบสายตาแล้วพูดด้วยความเขินอาย
“ก็คุณอิงศรช่วยชีวิตฉันเอาไว้หลายครั้งแล้ว”
พอเห็นแววตาของมีนาแล้วอิงศรก็เปลี่ยนความคิดใหม่
ก่อนโลกจะล่มสลาย มีนา เป็นคนป่วยที่ต้องนอนอยู่แต่ห้องมาตลอดบางทีเธออาจจะแค่ตื่นตัวกับการมีรักแรกพบหรืออะไรพวกนั้น
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะได้รับการช่วยเหลือมันก็แค่ความรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเท่านั้นจะเอาเรื่องแบบนั้นมาพูดว่าเป็นความรักไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็เหมือนเอาตัวเข้าแลกเป็นการทดแทนคุณเลยไม่ใช่หรือ
มันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น
ถ้าอย่างนั้นเขาก็ไม่ต้องการมัน ความรักควรจะเป็นสิ่งที่เจ้าตัวสมัครใจด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีผลประโยชน์อะไรมาข้องเกี่ยว
นั่นคือรูปแบบของความรักในอุดมคติที่อิงศรคิดให้เป็น
เขาพยายามทำตัวว่าเข้าใจความรัก ทั้งที่ตัวเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์มา
แต่ลึกๆ ในหัวใจมันกลับรู้สึกสดใสกับการที่เธอมาบอกชอบอยู่นิดหน่อย
“…”
เขาพยายามปฏิเสธตัวเองที่รู้สึกแบบนั้น พร่ำบอกตัวเองว่ามันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ เป็นแค่สัญชาตญาณของเพศผู้เท่านั้น
แต่เมื่อเห็นความตั้งใจจริงของมีนาแล้วก็รู้สึกว่าจะหนีต่อไปไม่ได้
ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าเขาทำร้ายความรู้สึกเธอทางอ้อม
“…”
เขาไม่อยากจะทำร้ายพวกพ้องไม่ว่าจะด้วยทางใดก็ตาม
“โอเค…เข้าใจแล้วถ้างั้นฉันจะตอบความรู้สึกของตัวเองให้ฟัง”
อิงศรพยายามเรียบเรียงคำพูดอยู่ในหัว
ถึงจะเป็นมีนาจอมแก่นคนนั้นแต่เรื่องหน้าตาแล้วถือว่าเป็นผู้หญิงที่สวยน่ารักคนหนึ่งเลยทีเดียว
หล่อนเป็นคนเฉลียวฉลาดและมีความสามารถถ้าให้พูดโดยไม่อคติแล้วมีนาก็เป็นคนที่อยากจะให้มาอยู่เคียงข้าง
แต่ว่า…
นั่นจะนับเป็นความรักหรือเปล่านะ
ความรู้สึกนี้น่าจะเรียกว่าความนับถือมากกว่าความรักหรือเปล่า
ความคิดว่าไม่ควรจะสานต่อความสัมพันธ์ที่จะก่อให้เกิดปัญหานั้นผุดขึ้นมา
…แล้ว
เหตุผล
ข้ออ้าง
ความกลัวที่จะเสี่ยง…
สิ่งเหล่านั้นพองตัวขึ้นมา
อีกเดี๋ยวก็จะต้องเข้าสู่การต่อสู้ครั้งสุดท้าย
ใช่…นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อการเผชิญหน้ากับแอดมินิสเทรเตอร์เริ่มขึ้นทุกอย่างก็จะถูกตัดสิน
เป็นเพราะกำลังกังวลเรื่องนั้นเลยทำให้ตัดสินใจทำในสิ่งที่เก็บซ่อนเอาไว้ภายในออกมาแต่นั่นย่อมไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริง ไม่มีทางเป็นความรักไปได้
มันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบที่เกิดจากการถูกบีบคั้นเท่านั้นเอง
“คือว่า…”
อิงศรตั้งใจจะตอบปฏิเสธออกไปให้ชัดเจน แต่กลับพูดไม่ออก
เขาอ้าปากพะงาบๆ อยู่แบบนั้น กลืนคำพูดที่จะปฏิเสธการสานสัมพันธ์ลงไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
แล้วก็พูดไม่ออกอยู่อย่างนั้น
แต่มีนาก็ยังรอ รอโดยไม่ติติงหรือต่อว่า
แบบนั้น…
มันยิ่งทำให้รู้สึกหลงใหลในตัวเธอขึ้นมา
ยัยนี่ก็มีด้านที่สมหญิงกว่าที่คิดซะอีก…เขาคิดลอยๆ แต่นั่นคงจะเป็นความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง
ถ้างั้นก็ไม่ควรโกหกตัวเอง
“คือ…”
ทว่า ในตอนนั้นเองก็มีเสียงเตือนว่ามีเมล์เข้าดังขึ้นมา
ไม่ได้ดังแค่ของเขาคนเดียวแต่ทุกคนที่อยู่ตรงนี้รวมถึงพวกมนุษย์ต่างดาวทุกคนได้รับเมล์พร้อมๆ กันอย่างไม่น่าเป็นไปได้
หน้าจอเมล์เปิดขึ้นเองอัตโนมัติและแจ้งประกาศสำคัญ มันเป็นรูปแบบเวลาที่มีการอัพเดทสำคัญของเกมเกิดขึ้น
เมล์ฉบับนั้นแจ้งว่าเกมได้ถูกอัพเดทใหม่และมีใจความสำคัญสั้นๆ แค่
‘สัตว์เทวะจะไม่ดรอปไอเทมอีกต่อไป’
กับอีกบรรทัดหนึ่ง…
‘โลกจะถูกลบหายไปในอีก 19 วัน’
มันเขียนไว้สั้นๆ เพียงแค่นั้น ซึ่งผิดวิสัยของซีลอร์ดเป็นอย่างมาก
คนที่ประกาศอัพเดทเกมได้น่าจะมีแค่ซีลอร์ดคนเดียวแล้วที่หัวเมล์ก็จ่าหน้าชื่อผู้ส่งเป็น ‘GM’ ถ้าอย่างนั้นก็มีแต่หมอนั่นเท่านั้นแหละ
แต่ประกาศนี้มันช่างโหดร้ายเสียเหลือเกิน เป็นการมอบความสิ้นหวังอันยิ่งใหญ่ให้กับมนุษย์เลยก็ว่าได้
ในทุกวันนี้การดำรงชีพปัจจัยหลักที่จะขาดไม่ได้เลยคืออาหารจากสัตว์เทวะ แต่จากประกาศเมื่อครู่เท่ากับว่าพวกเขาถูกตัดเสบียงเสียแล้ว
รอบตัวกำลังวุ่นวาย ทุกคนพุ่งเป้าความสนใจไปที่ประกาศอัพเดทจนวางมือนากสิ่งที่ทำอยู่กันหมด
แม้แต่มีนาก็ด้วย
หล่อนยกเรื่องของเมล์ขึ้นมาถาม
“คุณอิงศรคะแบบนี้มัน…”
เขาพยักหน้าให้คำถามที่เธอพูดไม่หมด
“งานนี้ชักช้าไม่ได้อีกแล้วล่ะ”
ถึงจะมีเสบียงตุนเอาไว้บ้าง แต่ก็อยู่ได้ไม่ถึงสิบวัน ถ้าไม่รีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนเสบียงจะหมดพวกเขาคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอจะต่อกรกับแอดมินิสเทรเตอร์
แล้วมันก็ยังน่าแปลก...
การมอบความสิ้นหวังให้ถึงขนาดนี้ไม่น่าจะเป็นการตัดสินใจของซีลอร์ด ต่อให้จะเป็นการทำเพื่อเร่งรัดบททดสอบก็ตามทีมันก็ยังหักดิบเกินไป
หมอนั่นเองน่าจะรู้ เมื่ออาหารกำลังจะขาดแคลนมนุษย์ในตอนนั้นจะเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด แล้วยิ่งได้รับรู้ว่าตัวเองจะถูกทำลายไปในตอนสุดท้าย ความสิ้นหวังจะเกิดขึ้นมากมายขนาดไหนกัน
พูดได้ว่ามนุษยชาติคงจบสิ้นแล้ว
ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นคำสั่งของแอดมินิสเทรเตอร์
เป็นสารท้ารบจากพระเจ้าอย่างนั้นสินะ
พระเจ้าคงกำลังตรัสว่า
...มาสิมนุษย์เอ๋ย มนุษย์แสนเหิมเกริม
ขึ้นมาบนบัลลังก์แห่งนี้แล้วจะฆ่าพวกเจ้าเสีย...
@@@
“และนั่นก็คือทางเดินที่แสงสว่างซึ่งมองเพียงความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเลือกเดินกลับกันความมืดมองเห็นความเป็นไปได้มากมาย…”
เจ้าของคำพูดนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกสีขาวหันหน้าเข้าหาโต๊ะพลาสติกสีขาวเช่นกัน
ชายผมยาวหยิกหยอย เรือนผมสีดำ ผิวเข้ม ริมฝีปากหนาแบบชาวต่างชาติ
อีคริปส์ เจ้าของร้านกาแฟนั่นเอง ตัวจริงของเขาคือมหาเทพที่ชักนำผู้คนจากโลกต่างความเป็นไปได้มาร่วมในสงครามระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าในยุคสมัยนี้
เวลาดังกล่าวผ่านมาจากวันที่ประกาศอัพเดทตัดเสบียงมาได้สามวัน
โลกถูกกัดกินไปมากจนไม่หลงเหลือเป็นแผ่นทวีปอีกต่อไป เป็นเหมือนหมู่เกาะที่รอวันจมลงสู่ก้นทะเลแห่งความว่างเปล่า
ราวกับน้ำท่วมโลกอีกครา
แต่ไม่มีผู้ที่ได้รับโองการจากพระเจ้าให้ออกมาต่อเรือแล้วกวาดต้อนสิ่งมีชีวิตอย่างละคู่ขึ้นเรือเหมือนในตำนาน
น้ำที่จะท่วมก็ไม่ใช่น้ำแต่เป็นความว่างเปล่าที่ไม่อาจะต่อต้านและไม่มีเรือใดจะลอยลำเหนือ มฤตยูดำอันเคว้งคว้างนี่ได้
”รวมถึงความล้มเหลวด้วย”
มหาเทพกำลังคนกาแฟในถ้วยที่เตรียมเอาไว้บนโต๊ะ ข้างๆ นั้นมีแก้วใส่นมสำหรับผสมวางอยู่อีกแก้ว
เขาทอดสายตาไปยังอีกฟาก ในสถานที่ที่ความว่างเปล่ายังคืบคลานไปไม่ถึง
ท่ามกลางซากปรักหักพังของเมืองซึ่งไม่รู้ว่าเป็นที่ไหนแล้วเพราะโลกถูกความว่างเปล่ากลืนกินไปมากจนแผ่นดินเปลี่ยนรูปร่างไปจากเดิม
แฟรนเซียมยืนอยู่ที่นั่นและกำลังดูดกลืนเครื่องทำสวนสามเครื่องด้วยกัน
อสรพิษจักรกลซึ่งมีครีบและเหงือกดั่งมัจฉา ‘ผู้ไหลเวียนแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์’ เวโนมาชาร์ (Venomarchar)
จักรกลรูปแพะมีเขายายโง้งวนไปข้างหลัง มีปุยเมฆสีขาวบริสุทธิ์ห่อหุ้มลำตัวคล้ายขนแกะ ‘ผู้ขับกล่อมแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์’ เอกาพริลุสซาร์ ( Aegaprilusar)
จักรกลรูปร่างเหมือนวัว แต่มีโหนกหน้าผากกับเขายาวโง้งเหมือนกระทิง ‘ผู้เหยียบย่ำวัชพืช’ เมยอกซาร์ (Mayoxar)
ทั้งสามเครื่องออกอาละวาดจากสถานที่ซึ่งอยู่ห่างกันหลายพันกิโลเมตรจนกระทั่งมาบรรจบกันที่นี่ ระหว่างทางกวาดล้างมนุษย์ไปมากมายแล้วก็มาเจอแฟรนเซียมที่กำลังออกล่าเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์
การกลืนกินในครั้งนี้ทำให้มีเครื่องทำสวน 6 เครื่องที่ถูกกลืนกินเข้าไปซึ่งถ้ารวมกับอีก 3 เครื่องที่พังไปก่อนแต่เขาใส่พลังในส่วนของสามเครื่องนั้นไปให้ตอนที่ทำให้ อาซีดาฮากา กลายเป็น ‘อหุราคา’ แล้วเท่ากับว่า แฟรนเซียมจะมีพลังเทียบเท่าเครื่องทำสวน 9 เครื่องด้วยกัน
จุดที่มหาเทพตั้งโต๊ะชงกาแฟนั้นอยู่ห่างออกมาโดยมีความว่างเปล่าเป็นเส้นแบ่งกั้นราวกับแม่น้ำสายใหญ่ เป็นแผ่นดินเพียงส่วนน้อยที่กว้างพอแค่ขยับตัวไปมาบนเก้าอี้เท่านั้นและทางก็ทอดยาวไปอีกเล็กน้อย
ที่นั่นมีเด็กสาวคนหนึ่งนั่งทรุดเข่าอยู่กับพื้น
เด็กสาวเนื้อตัวมอมแมมและหิวโหยจดจ้องมาทางนี้ด้วยสายตาวิงวอนเหมือนอยากจะขอความช่วยเหลือ เพราะการอัพเดทของเกมโลกาวินาศในครั้งที่ผ่านมาได้ตัดเสบียงของมนุษย์ไปจนหมด
ดังนั้นเด็กสาวจึงต้องผ่านช่วงเวลาอันโหดร้ายของการแก่งแย่งเสบียงที่เหลืออยู่จากฝูงมนุษย์ที่เคยอยู่ร่วมกันมา
ทุกคนพุ่งใส่กันด้วยความโมโห ปล้นฆ่าและแย่งชิงของกิน
ฆ่ากระทั่งคนที่เคยช่วยเหลือกันมาตลอดเวลาสี่ปีที่โลกล่มสลายได้อย่างง่ายดาย
ถึงขั้นกินกันเองก็มี เธอรอดจากช่วงเวลานั้นมาได้ด้วยการซ่อนตัวจนกระทั่งเครื่องทำสวนมาถึงที่แห่งนี้และนำความว่างเปล่ามา
ไม่มีใครเหลือรอดอีก เหลือเพียงแค่เธอคนเดียว
นั่นคืออดีตของเด็กสาวที่มองเห็นได้จากการจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเธอ ด้วยอำนาจแห่งเทพที่เขามีจึงรับรู้ได้จนถึงต้นกำเนิด
มองทะลุไปถึงอดีตของเธอ
เด็กสาวผู้น่าสงสารที่ในโลกก่อนการล่มสลายต้องพิการดวงตา
เธอเฝ้าภาวนาอยากจะมองเห็นแสงสว่างอีกครั้ง ปรารถนาจะมองเห็นโลกอันเน่าเฟะที่เธอคิดว่ามันงดงามด้วยความเดียงสา
“ข้าจะทำให้เจ้าสมปรารถนา”
มหาเทพพูดกับตัวตนในอดีตของเด็กสาว
เขียนทับอดีตของเด็กสาวจากปัจจุบัน ทำให้เธอระลึกความด้วยเนื้อเรื่องที่ถูกเขียนทับลงไปใหม่
“อะ...”
เด็กสาวครางแล้วเม้มริมฝีปากแน่น
เธอได้รับสัญญาที่จะทำให้ดวงตากลับมามองเห็นอีกครั้ง ซึ่งเธอได้พรตามนั้นเพราะอมฤตที่ตกลงมาได้เยียวยาความพิการของเธอแล้วก็...
“ไม่...ไม่ใช่แบบนี้”
เด็กสาวพยายามจะกรีดร้องแต่ไม่เรี่ยวแรงพอเธอได้แต่กุมขมับอย่างทรมาน
ทรมานเพราะความนึกคิดเป็นพิษ
ทรมานเพราะคิดว่าที่โลกล่มสลาย ผู้คนมากมายต้องตายเป็นเพราะความเอาแต่ใจของเธอ
มหาเทพมองดูเหยื่อที่ดิ้นรนทรมานเพราะความรู้สึกผิดบาปแล้วยิ้มกระหยิ่ม
“ใช่ ความปรารถนาของเจ้าทำให้สวนแห่งนี้งดงาม”
พอพูดออกไปแบบนั้น
เด็กสาวที่ได้ยินเช่นนั้นก็เค้นแรงทั้งหมดที่มีเหลืออยู่ในร่างออกมาเพื่อระบายความผิดบาปที่รับไม่ไหวออกไป เพราะหวังจะได้ลดทอนความทรมานของตัวเอง
“ม่ายย!!!”
เด็กสาวกรีดร้องพร้อมกับเดินถอยห่างออกไป เธอไม่ได้ระวังว่าข้างหลังมีอะไรอยู่แล้วก้าวเท้าจมลงไปในความมืดอันว่างเปล่าที่กำลังกัดกินโลก
“ฉ....ฉัน”
ความว่างเปล่ายึดจับขาของเด็กสาวแล้วเริ่มกลืนกิน
ตัวตน ความทรงจำ ประวัติศาสตร์
การมีอยู่ของเธอถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า ไม่มีใครที่จดจำเด็กสาวคนนี้ได้อีกทั้งในปัจจุบันและอนาคตจากนี้ไป
“ฉันเป็นใครกัน”
รวมถึงตัวเธอเองก็จะลืมไปด้วยเช่นกัน ลืมเลือนไปว่าเคยมีตัวตนอยู่บนสวนแห่งนี้ ความว่างเปล่ากลืนเด็กสาวเข้าไปจนหมดแล้วคืบคลานต่อไป
มหาเทพสูดลมหายใจแล้วผ่อนออก ความรู้สึกเมื่อครู่นั้นชวนให้ระทึกใจไม่น้อย
ยามที่มนุษย์รับเอาความหวังและความสิ้นหวังไว้ในตัวจนกระทั่งถูกกลืนกินโดยความว่างเปล่านั้น
เป็นความรื่นรมย์
เป็นนโยบาย
เป็นกฎของโลกที่สร้างขึ้นมา
มหาเทพยกถ้วยกาแฟที่คนอยู่จนถึงเมื่อครู่เทใส่อีกแก้วที่รินนมไว้ครึ่งหนึ่ง เป็นการทำสลับกันอย่างจงใจ จากที่ควรจะเทนมใส่กาแฟ นั่นเพราะอยากได้ความรู้สึกที่พิเศษ
ความรู้สึกที่เหมือนกับความมืดกำลังกลืนกินแสงสว่าง ความหวังเปลี่ยนเป้นความสิ้นหวัง
และกลายเป็นความว่างเปล่าในตอนสุดท้าย
กาแฟสีดำค่อยๆ อาบย้อมน้ำนมสีขาว จากนั้นก็ใส่ช้อนลงไปคนจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว
เขายกมันขึ้นมาสูดดมกลิ่นคาเฟอีนที่ลอยโชยขึ้นมา
กลิ่นหอมหวานที่ช่วยกระตุ้นให้ประสาททำงานดีขึ้น
กลิ่นแห่งความพินาศที่รอจะอาบย้อมทุกสรรพสิ่ง
แล้วกระดกแก้วดื่มจนหมด
“หอมหวานจริงๆ ความว่างเปล่าเอ๋ย เจ้ายังคงเป็นเบลนด์ที่ถูกใจข้าอยู่เช่นเคย”
***อาทิตย์นี้ลงสองตอนนะครับ เท่ากับมีอีกตอนวันศุกร์นี้ ตอนแรกว่าจะลงสามตอนแหละแต่เวลากระชั้นชิดเกินตอนที่เขียนพล็อตเสร็จก็ล่วงมาวันจันทร์เข้าไปแล้วยังไม่ได้ปั่นต้นฉบับเลย TwT แอ่ววว***
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
