คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #221 : Login 218: การเดินทางครั้งสุดท้าย
Login 218: การเดินทางครั้งสุดท้าย
ย้อนกลับมายังช่วงเวลาปัจจุบัน…
อิงศรและพวกพ้องได้รับข้อมูลของ
‘ฟาวเดชั่นอี’ องค์กรผู้อยู่เบื้องหลัง
เมตไตรยและอารย-สนธยาจากปากของราชครูมนุษย์ต่างดาวลำดับที่สามรูบิเดียม
แล้วก็...
สิงห์
ธุวดารกะ ได้ตายไปตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ 12
ปีก่อนที่มีการทดลองแอพพลิเคชั่นปีศาจที่จัดขึ้นโดยพวกเทวทูตที่บงการเมตไตรย
ส่วนราชามนุษย์ต่างดาวแฟรนเซียมก็เป็น
สิงห์ ธุวดารกะ ในโลกอนาคต
โลกในอีกความเป็นไปได้หนึ่งที่มนุษย์กลายเป็นมนุษย์ต่างดาว นั่นคือข้อมูลทั้งหมดที่อิงศรสรุปออกมาได้
รูบิเดียมพูด
“เดิมทีที่พวกเราเรียกตัวเองว่ามนุษย์ต่างดาวก็เป็นสิ่งที่กำหนดมาจากฟาวเดชั่นอีเหมือนกันเจ้าพวกนั้นเป็นคนหนุนหลังมาโดยตลอดเป็นองค์กรที่มีปริศนาทั้งจำนวนสมาชิกที่ไม่รู้ว่ามีกันอยู่กี่คน
ขนาดขององค์กรใหญ่แค่ไหน ไม่มีใครรู้เลย แต่ที่แน่ๆ
แฟรนเซียมมาจากองค์กรนั่นเพราะว่าสิงห์ ธุวดารกะน่ะตายไปแล้วตั้งแต่ตอนที่มีการทดลองเดม่อนแอพรุ่นทดลองแล้วเกิดผิดพลาด”
อิงศรพูด
“พูดซะอย่างกะจะโบ้ยความผิดทั้งหมดให้เจ้าพวกนั้นเลยรึไง”
“ถ้าเป็นแบบนั้นพวกนายก็คงทำใจร่วมมือกับฉันได้ง่ายกว่าจริงไหมล่ะ”
”…”
อิงศรจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
ไม่รู้ว่าที่พูดเมื่อกี้พูดจริงหรือพูดเล่น
หล่อนเป็นคนช่างประชดประชันหากดูจากวิธีการพูดตอนที่เป็นกุมภา
ธุวดารกะและตอนที่เป็นรูบิเดียมนี่ก็เหมือนกันไม่มีผิด
ถ้าอย่างนั้นลองซักต่ออีกซักคำถามก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเชื่ออีกฝ่ายแล้วรับข้อเสนออีกที
แต่อิงศรรู้ว่านั่นมันเป็นไปไม่ได้
จนถึงตอนนี้รอบเกาะถูกปิดล้อมด้วยกองยานที่รูบิเดียมนำมา
ฟังจากเสียงเครื่องยนต์ที่ดังแว่วมาแล้วคงมีไม่ต่ำกว่าสิบ
ถึงทางนี้จะมีซีเซียมที่อันดับสูงกว่าอีกฝ่ายแต่ถ้าต้องปะทะกันยังไงก็ต้องมีคนตาย
ตัวเขาในตอนนี้ไม่อยากจะสูญเสียพวกพ้องไปแม้แต่คนเดียวนับเป็นความอ่อนแอที่ทำให้อำนาจต่อรองหมดไปโดยสิ้นเชิง
แล้วถึงจะแกล้งทำเป็นว่าตัวเองสามารถยอมเสียได้ทุกอย่างแล้วทำตัวมีอำนาจต่อรองกับอีกฝ่ายก็คงจะถูกมองออกในทันที
“แต่ว่าฟาวเดชั่นอีคงไม่ใช่ปัญหาเพราะเป้าหมายเดิมของพวกนายคือการย้อนกลับไปใช่ไหมล่ะถ้าอย่างนั้นการแก้ไขปัญหาก็คงจะรวมถึงการใช้พลังของแอดมินิสเทรเตอร์เขียนแก้กลไกของโลกไม่ให้เดินกลับมาทางนี้อีกถ้าเป็นแบบนั้นฟาวเดชั่นอีก็น่าจะหายไปตามกลไกการแก้ไขของพวกนาย
สำหรับฉันน่ะขอแค่โลกไม่หายไปก็พอแล้ว”
รูบิเดียมกล่าว
หล่อนรู้เป้าหมายของพวกเขาแล้วยังรู้กระทั่งวิธีการทั้งที่ตัวเขาเองยังไม่รู้
โดยที่ตั้งใจว่าจะถามซีลอร์ดอีกทีเลยด้วยซ้ำ
“ซีลอร์ดเล่าให้ฟังกระทั่งเรื่องแบบนั้นด้วยเรอะ”
“แค่บอกมาว่านายตั้งใจจะย้อนกลับไป
แค่นั้นก็คาดเดาความคิดแบบเด็กๆ ของนายออกแล้วล่ะ เราอยู่ด้วยกันตั้งเป็นเดือนๆ
เลยนี่เมื่อสามปีก่อนน่ะ”
เรื่องที่เป็นกังวลมันไม่ใช่ระวังตัวแจเกินเหตุจริงๆ
นั่นแหละ
รูบิเดียมอ่านพวกเขาออกหมดแถมยังรู้วิธีการมากกว่าพวกเขาเสียอีก
“ความทรงจำของสีดาในหัวฉันน่ะมันเน่าหายไปหมดแล้วล่ะฉันเลิกเล่นเป็นพระรามแล้ว”
พอพูดไปแบบนั้นรูบิเดียมก็ชี้ข้ามไหล่เขาไปยังพวกพ้องที่อยู่ด้านหลัง
อิงศรรับรู้ได้ถึงอารมณ์อันคุกรุ่นที่แผ่ลงบนแผ่นหลัง
“แต่ดูเหมือนพวกข้างหลังนั่นจะยังลืมกันไม่ลงนะ”
พอเหลือบสายตาไปตามที่รูบิเดียมว่าก็มองเห็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ
พวกเด็กกำพร้าทั้งห้าคนกำลังแสดงสีหน้าไปต่างๆ
นานา แต่โดยรวมก็คือฟูที่ทำหน้ามุ่ยข่มความโกรธอยู่นั่นแหละเข้าใจได้ง่ายที่สุด
“พี่สีดาน่ะ…เป็นแค่เรื่องโกหกสินะ”
น้ำเสียงของฟูสั่นกลั้วไปด้วยความเสียใจ
เสียใจที่โดนหักหลัง
การที่รูบิเดียมยกเรื่องนั้นขึ้นมาพูดมันทำให้การเจรจามีแต่จะแย่ขึ้นจนไม่รู้แล้วว่าหล่อนตั้งใจจะมาทำอะไรกันแน่
ดังนั้นคงต้องตักเตือนอีกฝ่ายรวมถึงจะเป็นการช่วยดึงสติพวกพ้องกลับมาไปในตัว
“ถ้าตั้งใจจะมาญาติดีก็อย่าหาเรื่องทะเลาะสิเฟ้ย”
“โทษทีละกันมันติดเป็นนิสัยน่ะ”
อีกฝ่ายยักไหล่ไปด้วยท่าทางแบบนั้นมันจะยิ่งทำให้แย่ลงไปอีกไม่ใช่เหรอ
ขืนคุยกันต่อไปแบบนี้คงมีแต่พังเท่านั้น
ตอนนั้นเอง
มีนาก็…
“แหมๆๆ
พอเห็นเด็กหนุ่มหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้วมันรู้สึกกระชุ่มกระชวยดีสินะคะพี่กุมภาก็เห็นชอบแหย่เมษาเล่นบ่อยๆ
นิสัยฉันเองก็ติดมาจากใครก็ไม่รู้เน้อ อะฮะฮะ”
หล่อนพูดเสียงหวานแล้วหัวเราะปิดท้ายอย่างน่าหมันไส้
“…”
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแต่รูบิเดียมถึงกับหยุดต่อล้อต่อเถียงทันที
ไอ้การพูดล้อเล่นแบบนั้นใช้ได้ผลกับยัยนี่ด้วยเรอะ
“แล้วตกลงว่ายังไง”
ดูเหมือนจะถามว่าพวกเขาจะรับข้อเสนอรึเปล่า
รูบิเดียมยังคงน่าสงสัยเกินไปจริงๆ
แต่ว่า…
อิงศรหันกลับไป…มองทุกคน จากอารมณ์ของพวกพ้องในตอนนี้ไม่คิดว่าจะมีใครตอบรับคำเชิญชวนของรูบิเดียมหรอก
แต่หล่อนเป็นหนทางเดียวที่จะไปสู่เป้าหมายของพวกเขาได้อย่างไรก็ต้องร่วมมือกับหล่อนถึงแม้จะเป็นกับดักก็ตาม
ดังนั้นอิงศรจึงยืนยันกับทุกคนอีกครั้ง
“ทุกคนฟังฉันหน่อย”
สายตาของพวกพ้องจับจ้องมา
มันพูดยากจริงๆ ที่จะขอความร่วมมือ
ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าที่ผ่านๆ
มาเมื่อเขาพูดหรือเสนออะไรทุกคนจะทำตามอย่างสมัครใจแต่ว่านั่นเพราะเป็นเรื่องที่ต้องทำ
เพราะเกี่ยวเนื่องกับชีวิตในสถานการณ์ที่คับขันแต่คราวนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของตัวเองว่าการร่วมมือกับรูบิเดียมคือหนทางที่เร็วที่สุดที่จะช่วยโลกใบนี้ได้
แต่ว่ามันยังมีทางเลือกอื่นที่ไม่ต้องฝืนใจทุกคนเพื่อไปกับรูบิเดียมถ้าเจ้าพวกนี้เลือกทางแบบนั้นเขาก็พร้อมจะติดตามทุกคนไปเหมือนกัน
จะให้ซีเซียมช่วยถ่วงเวลาแล้วก็หนีไปด้วยกันทั้งหมด…
แผนน่ะมีอยู่แล้ว
แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะทำให้เรื่องมันง่ายเอาไว้ก่อน
“เคยถามไปแล้วก็จริงแต่จะขอถามอีกครั้งนะ ตอนนี้ทั้งเมตไตรย ทั้งอารย-สนธยา
ก็ไม่มีอีกแล้วถึงจะเหมือนทำตัวสูงส่งเป็นฮีโร่ไปหน่อยแต่ไม่มีใครอื่นจะช่วยโลกได้นอกจากพวกเราแล้วล่ะ
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเพราะไม่รู้ว่าจะต้องใบ้เวลานานแค่ไหนดังนั้นถ้าจะร่วมมือกับรูบิเดียมพวกนายคิดกันอย่างไงบ้างล่ะ”
ความเงียบบังเกิดขึ้นในทันทีและถึงจะยังไม่มีใครเอ่ย
ปาก ปรึกษากันเขาก็…
“ถ้าใครไม่อยากมาด้วยก็ให้บอกออกมา
ไม่ต้องห่วงฉันไม่ทิ้งไว้หรอกจะพาไปด้วยกันนี่แหละแต่จุดที่ต้องเสี่ยงอันตรายถึงจะมีแค่ฉันคนเดียวก็จะเข้าไปเองเพราะงั้นถ้าไม่อยากล่ะก็ให้…”
แต่มีนาก็พูดขัดขึ้นมา
“แหม
คำถามแบบนี้ยังต้องถามอีกเหรอคะไม่ตามคุณอิงศรไปโลกก็แตกอยู่ดีคงต้องเลยตามเลยแล้วล่ะค่ะ”
จากนั้นนรินทร์ก็เสริมมาว่า
“ผมก็จะไปด้วย
ก็ตัดสินใจแล้วว่าจากนี้ไปเหตุผลที่จะมีชีวิตคืออิงศรนี่นาแล้วก็เพื่อแก้ไขไม่ให้อารย-สนธยาเดินทางผิดด้วย”
จากนั้น
ฟู มิกซ์ พลอย นิว เน็กส์ก็…
“พวกเราก็จะไปด้วย”
กวินทร์พูด
“ไม่เกี่ยงอยู่แล้วครับถ้าพี่ศรว่าดียังไงก็ว่าตาม”
เมษาพูด
“ก็นะ พี่กุมภาคนนั้นลงทุนมาขอร้องเองไม่ตอบรับคงไม่ได้”
แล้วยิ้มเยาะใส่รูบิเดียม
แต่เจ้าหล่อนก็ทำเป็นเมินๆ ไป
อิงศรมองไปที่พวกราชครูโดยที่ไม่ต้องออกปาก
โพแทสเซียมก็จับมือลิเธียมแล้วตอบกลับมาทันที
“ยังไงก็ต้องกระเต็งกันไปอยู่แล้วนี่เน้อ~ ถึงซุงลูลู่จะน่าสงสัยก็เถอะแต่โดนล้อมแบบนี้คงหนีไปไหนไม่ได้อยู่ดี”
”งั้นซีเซียมนายล่ะจะว่ายังไง”
ราชครูผู้มีใบหน้าเหมือนตัวเองหลบสายตาชักสีหน้าเล็กน้อยแต่ก็ตอบตกลง
“ก็เป็นคำขอร้องจากไฮโดรเจนด้วยว่าให้ช่วยพวกนายนี่นะแล้วก็...”
ซีเซียมเปลี่ยนสีหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างอวดดี
“ฉันเป็นฮีโร่เพราะงั้นก็ต้องทำตัวเป็นฮีโร่อยู่แล้วจริงไหมล่ะ”
นั่นคือคำตอบว่าจะไปด้วยอย่างนั้นสินะ
ตอนนี้คนเดียวที่ยังไม่ออกความเห็น
อิงศรมองไปยังน้องชายที่นิ่งเงียบมาได้ซักพักแล้ว
“…”
มิ่งขวัญไม่ได้ตอบอะไรแค่พยักหน้า
แค่นั้นก็รู้เรื่องแล้ว
ดูเหมือนว่าความต้องการที่จะตอบสนองเขาจะมีมากกว่าความรู้โกรธแค้นเคืองรูบิเดียมหรือไม่ก็แม้แต่การตัดสินใจในตอนนี้
เส้นทางนี้คือทางเลือกที่ดีที่สุดซึ่งทุกคนคิดเป็นอย่างเดียวกัน
โลกเหลือเวลาไม่มากแล้วอีกแค่ยี่สิบวันเท่านั้นถ้ามัวแต่เอ้อระเหยก็จะสายเกินแก้
อิงศรหันกลับไปพูดกับรูบิเดียม
“ถ้างั้นก็มาสรุปเรื่องที่เราต้องทำเพื่อช่วยโลกกันก่อนเลยเถอะ”
“ขอบใจที่ได้ยินนายพูดแบบนั้นนะ
ถ้างั้นไปขึ้นยานก่อนเราจะคุยกันที่นั่น”
ครู่ต่อมาก็มียานบินลำหนึ่งขนาดพอๆ
กับรถบรรทุกเห็นจะได้บินข้ามหัวพวกเขาไปลงจอดที่ชายหาด
รูบิเดียมเดินนำพวกเขามาจนถึงยานรูปทรงสามเหลี่ยมสีดำทั้งลำยื่นขาตั้งโลหะออกมาจากมุมทั้งสามใต้ท้องยาน
พวกเขาถูกสั่งให้รอก่อนแล้วรูบิเดียวก็เขยิบเข้าไปใกล้กับตัวยาน
ทำท่าเหมือนส่งสัญญาณมือ แล้วใต้ท้องยานก็แหวกออกมีแท่นบันไดยื่นลงมา
หล่อนหันกลับมาเรียกพวกเขา
“ขึ้นมาสิอาจจะคับแคบไปหน่อยแต่เราจะไปเปลี่ยนเครื่องกันที่ดอนเมืองอีกที”
แล้วก้าวขึ้นแท่นบันไดเข้าในยาน
อิงศรกับพวกพ้องเดินตามขึ้นไป
ทันทีที่เข้ามาข้างใน
ก้นับเป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาเห็นภายในยานของพวกมนุษย์ต่างดาว
รอบด้านกลายเป็นมืดสนิทเพราะผนังห้องสีดำท่านั้นที่ไม่มีการตกแต่งใดๆ
เป็นเพียงสีดำเรียบๆ
เท่านั้น
มีเพียงแสงไฟดวงเล็กๆ
บนเพดานที่คอยให้ความสว่างจนพอมองเห็นภายในตัวยาน
เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม
ห้องเครื่องอยู่ใกล้กับห้องโดยสารพอสมควรคงเพราะไม่ได้เป็นยานลำเลียงโดยเฉพาะภายในจึงมีพื้นที่ค่อนข้างคับแคบ
เป็นทางเดินที่มีเก้าอี้ติดตั้งไว้เพียงฝั่งเดียวทอดยาวไปจนสุดผนังด้านใน
แล้วด้านบนสุดก็มีกระจกหน้าต่างที่มองเห็นห้องนักบิน มีมนุษย์ต่างดาวตนหนึ่งเป็นผู้ควบคุม
แล้วบนเก้าอี้ติดผนังก็มีผู้โดยสารนั่งรออยู่ก่อนแล้วถึงสามคน
คนหนึ่งคอกรกฎ
ธุวดารกะ อีกสองคนเป็นเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิง
เด็กชายคนนั้นสวมเครื่องแบบกองกำลังแซดเหมือนที่พวกเขาสวมและมีหูสุนัข
อิงศรเรียกเด็กคนนั้น
“โดโกบาร์...”
พวกพ้องที่ตามขึ้นมากันหมดแล้วพอได้ยินเสียงเขาก็กุลีกุจอกันเบียดตัวแทรกเข้ามาดูว่าเขากำลังคุยกับใคร
โดโกบาร์หันมาแล้วพูด
“มีอะไรมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก”
ไม่ได้ถูกเรียกแบบนั้นมานานแค่ไหนกันแล้วนะ
แต่ว่าการที่โดโกบาร์มาอยู่ที่นี่ก็แสดงว่ารูบิเดียมไม่ได้โกหก
เรื่องที่จะร่วมมือกับพวกเขา
“ไหนบอกว่าการหาที่ตั้งของบาเบลเป็นบททดสอบของพวกฉันไงหรือเปลี่ยนใจแล้ว”
“สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว”
“สถานการณ์หมายความว่ายังไง”
ท่าทางจะมีเรื่องมากกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีก
บางทีการเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาซึ่งติดเกาะมาห้าวันอาจจะเป็นเรื่องร้ายแรงถึงกับทำให้รูบิเดียมยอมมาช่วยเหลือแบบนี้จะเป็นเรื่องอะไรกันนะ
โดโกบาร์พูดต่อ
“เมื่อสี่วันก่อนมันหายไปน่ะสิ”
“อะไรหาย”
แต่แล้วเด็กผู้หญิงซึ่งแต่งกายด้วยเครื่องแบบของมนุษย์ต่างดาวและนั่งอยู่เคียงข้างโดโกบาร์ก็พูดแทรกมา
“ก็เครื่องทำสวนน่ะซี้”
อิงศรจ้องเขม็งไปที่เด็กหญิงแล้วพิจารณา
เธอสวมเครื่องแบบมนุษย์ต่างดาวชั้นศิษย์ก็จริงแต่เส้นผมกลับดูเหมือนสีเทามากกว่าจะเป็นสีเงินแบบพวกมนุษย์ต่างดาวทั่วไปแล้วก็ไม่มีหน้าจอแสดงพลังชีวิตกับชื่อด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นที่ผ่านมายังไม่เคยเห็นมนุษย์ต่างดาวอายุน้อยขนาดนี้มาก่อนเธอดูเด็กกว่านิวที่เด็กที่สุดในกลุ่มพวกเขา
ดูจะอ่อนปีกว่าโดโกบาร์ที่อยู่ในร่างเด็กเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้นจึงสรุปว่าไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวแต่แค่เอาเครื่องแบบมาสวมเท่านั้นแล้วการที่หล่อนมาอยู่กับโดโกบาร์ก็เป็นไปได้ว่า...
“นั่นใครน่ะ”
อิงศรถามแล้วชี้ไปที่เด็กหญิง
“ผู้กัดแทะวัชพืชแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์ จูเนอร์มินาร์ (Junerminar)”
อย่างที่คิดไว้เลย
เธอก็เป็นเครื่องทำสวนด้วย
จูเนอร์มินาร์พูดต่อจากที่ค้างไว้
“หายวับไปเลยล่ะแถมยังหายกันต่อเนื่องเลยด้วยยังกับมีตัวอะไรไล่ล่าพวกเราอยู่”
***ลงเลทไปสองวันเต็มๆ เลยรอบนี้ TwT พอดีติดเชงเม้ง เลยไม่ได้ปั่นรัวๆ เลยฮะ
แล้วก็อาทิตย์หน้างดหนึ่งอาทิตย์นะครับ เนื่องจากจะวางเนมไปจนถึงตอนอวสานเลย
อย่างที่ได้บอกไปว่าเรื่องนี้จะจบลงในเดือนเมษาครับ(ไม่ได้เอพริลฟูลเดย์เน่อ)
เท่ากับว่าเราได้เดินทางมาถึงจุดสุดท้ายของเรื่องกันแล้วจะเป้นยังไงก็ติดตามกันต่อไปนะครับ***
ความคิดเห็น