ตอนที่ 21 : Login 19 : ชีเปลือยและกิ้งก่าดึกดำบรรพ์
Login 19 : ชีเปลือยและกิ้งก่าดึกดำบรรพ์
ภายในสวนสาธารณะ....
“หม่าม๊าช่วยหนูด้วย!”
เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงที่ยังเยาว์วัย อายุราวเจ็ดถึงแปดขวบ
เด็กหญิงถูกมนุษย์ต่างดาวจับแยกจากมารดา
“ไม่นะ! เอาลูกฉันคืนมาเถอะขอร้องล่ะ!”
ผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะเป็นแม่กำลังร้องคร่ำครวญ พยายามจะเข้าไปชิงตัวลูกสาวคืน แต่ก็ถูกมนุษย์ต่างดาวอีกตนจับตัวไว้
มนุษย์ต่างดาวที่อยู่ที่นี่เป็นชั้นศิษย์ทั้งหมด พวกมันทำตามคำสั่งที่ว่าให้คัดเอาแต่เด็กชาวโลกอายุเจ็ดถึงสิบขวบ ส่งไปให้ เดอะ เธียร์เตอร์ ที่อยู่ในความดูแลของราชครูลำดับที่สี่
แม่ของเด็กถูกผลักจนล้มลง ส่วนเด็กหญิงก็ถูกพาไปรวมกับกลุ่มเด็กที่คัดออกมา
กลุ่มของเด็กมีกันอยู่แปดคน ทุกคนอายุไล่เลี่ยกันไม่ห่างกันมาก ในบรรดาเด็กเหล่านั้นนอกจากเด็กหญิงแล้ว ทุกคนไม่มีพ่อแม่ มาคร่ำครวญตามทวงแบบนั้น เพราะต่างก็ตายไปแล้วหรือ ไม่ก็ถูกจับแยกกันไปก่อนหน้านี้
บริเวณรอบๆ ยังมีคนหนุ่มสาวอยู่อีกมากมาย แต่ไม่มีใครลุกขึ้นมาประท้วงเลยซักคนเดียว
ทุกคนทำเพียงแค่มองดูแล้วก็ไม่ทำอะไร ไม่สิ ...ทำอะไรไม่ได้เลยมากกว่า
เพราะถึงจะขัดขืนมนุษย์ต่างดาวไปก็ไม่ชนะ
พวกตนที่ถูกทำให้กลายเป็น NPC ไม่มีทางเอาชนะได้ หรือต่อให้ยังไม่กลายเป็น NPC พวกเขาก็ต่อต้านมนุษย์ต่างดาวที่มีความแข็งแกร่งกว่าไม่ได้อยู่ดี
ดังนั้นการที่ถูกจับแยกหรือถูกสั่งให้ไปแสดงละครชีวิตประจำวัน ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำตามอย่างช่วยไม่ได้ มันเป็นเรื่องปกติที่ชินชากันไปแล้วตลอดระยะเวลาสี่ปีที่โลกถูกปกครองโดยเผ่าต่างดาว
แต่สี่ปีที่ผ่านมามนุษย์ก็ไม่ได้หยุดก้าวเดิน
ยังคงกระเสือกกระสนจนกระทั่งบัดนี้
แล้วการกระเสือกกระสนนั้น ก็ทำให้มนุษย์สามารถจัดการกับมนุษย์ต่างดาวได้
"อ๊าก!!"
มีเสียงกรีดร้องดังแว่วมาจากทางที่ต้นไม้ขึ้นหนาจนมืดครึ้ม
ทุกสายตาหันไปตามเสียงนั้น ร่างของมนุษย์ต่างดาวชั้นศิษย์ตนหนึ่งลอยละลิ่วออกมาจากส่วนที่มืดครึ้มและหล่นลงกระแทกพื้น
ค่าพลังชีวิตของมนุษย์ต่างดาวตนนั้นว่างเปล่า ร่างกายเริ่มการย่อยสลายตัวเองร่างกายละลายเป็นของเหลวคล้ายกับปรอทและไหลซึมลงดินไป ทิ้งไว้เพียงเสื้อผ้าที่เป็นหลักฐานว่ามันเคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน
"หยุดนะ! เมษา!"
"พี่เมษาคร้าบ!"
มีเสียงแว่วมาอีกเป็นเสียงของเด็กสาวกับเด็กหนุ่มอย่างละเสียง
ร่างกำยำเรือนผมสีแดงปรากฏตัวออกมาจากแนวต้นไม้อันแสนอึมครึม
เด็กหนุ่มสวมใส่เครื่องแบบทหารกำลังวิ่งตรงเข้ามา ผ้าคลุมสีดำสนิทพริ้วไหวไปตามแรงลม แววตาจริงจังฉาบไว้ด้วยความดุดันราวกับจะทำล่ยล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า นั่นคือ... เมษา ธุวดารกะ ในตอนที่ออกรบ
มนุษย์ต่างดาวทั้งหมดพากันวางมือจากสิ่งที่ทำแล้วจับอาวุธเตรียมต่อสู้ ถ้าเป็นตามปกติแล้วคงจะมีแค่ไม่กี่ตนที่จับอาวุธขึ้นมาทันทีที่เจอการคุกคามจากมนุษย์ แต่ความกดดันที่เมษาปล่อยออกมาทำให้เป็นแบบนั้น พวกมันรับรู้ได้ถึงความไม่ธรรมดา แค่จัดการมนุษย์ต่างดาวไปตนหนึ่งก็เป็นเครื่องยืนยันย่างดีแล้ว
เมื่อเห็นดังนั้นเมษาก็ยิ้มพลางหักนิ้วไปมา
"เฮอะ ดาหน้ากันเข้ามาเลยไอ้พวกต่างดาว"
แล้วพูดด้วยเสียงเหี้ยมเกรียม
การต่อสู้เริ่มขึ้น
เมษาพุ่งตัวออกไป พวกมนุษย์ต่างดาวก็แห่กันเข้ามารุม มีตนหนึ่งเข้ามาประชิดแล้วเงื้อดาบขึ้น
เมษาเบี่ยงตัวหลบ ดาบจึงฟันพลาดไป จากนั้นก็ปล่อยหมัดชกเข้าที่ใบหน้าของมนุษย์ต่างดาว ร่างของมันลอยละลิ่วไปไกลพร้อมกับค่าพลังชีวิตที่ลดลงฮวบฮาบ
ขณะเดียวกันพวกมนุษย์ต่างดาวที่มีอาวุเป็นไม้เท้าและไม้คฑาก็เริ่มร่ายอาคม
"อัคนีบอล (Akni Ball)"
เสียงร่ายคาถาดังประสานกัน ทุกตนหวดไม้เท้าและสบัดไม้คฑากันอย่างพร้อมเพรียง ลูกบอลเพลิงขนาดเท่าลูกฟุตบอลพุ่งออกจากปลายไม้ มุ่งตรงมาที่เมษา
พวกมนุษย์ต่างดาวที่สู้ระยะประชิดต่างพากันหลบออกจากวิถีจู่โจม แต่เด็กหนุ่มไม่หลบ เพราะถ้าหลบตาม ไม่ว่าจะทางไหนก็มีแต่คมดาบของศัตรูคอยจ้องจะแทงใส่ ดังนั้นจึงหลบไม่ได้
แต่เมษาก็ไม่ได้คิดจะหลบอยู่แล้ว เขาดึงพลางคลุมที่ติดอยู่กับไหล่ออกแล้วขว้างมันออกไป
ลูกไฟพุ่งชนใส่ผ้าคลุม ถ้าเป็นตามปกติผ้าคลุมจะมอดไหม้ในพริบตาแล้วลูกไฟที่เหลือก็จะพุ่งต่อไปข้างหน้า แต่ผ้าคลุมของเครื่องแบบเป็นของพิเศษที่มีอำนาจในการป้องกันการโจมตี ดังนั้นลูกไฟทั้งหมดจึงเข้าปะทะกับผ้าคลุมโดยที่ไม่มีหลุดรอดไปถึงตัวของเด็กหนุ่ม
ถึงสุดท้ายแล้วผ้าคลุมจะติดไฟและมอดไหม้ไปจนหมดก็ตาม แต่มันก็สร้างโอกาสให้
โอกาสที่จะเข้าถึงตัวพวกยิงลูกไฟ เมษาไม่รอช้าคว้าโอกาสนั้นในทันที เพียงอึดใจเดียวที่เส้นทางเปิดโล่งเพราะพวกที่สู้ประชิดตัวหลบออกข้างทางตอนที่ลูกไฟจู่โจมมา
เมษาเข้าประชิดตัวแล้วกระหน่ำปล่อยหมัดต่อเนื่องราวกับลมพายุโหมพัด ถึงจะไม่ตายในทันทีแต่ทุกตนที่โดนหมัดต่างก็หมดสตินอนหมอบพื้นกันหมด
มีตนหนึ่งที่รอดพ้นจากพายุหมัดกำลังวิ่งหนีออกห่าง
"จะหนีไปไหนเล่า”
เมษาคำรามแล้วปล่อยหมัดพร้อมกับประกาศว่า
“กราวิตี้พันซ์! (Gravity Punch)"
คลื่นพลังกระจายตัวออกจากหมัด แลเห็นเป็นรอยกระเพื่อมในอากาศ คลื่นแผ่กระจายออกไปจนถึงตัวมนุษย์ต่างดาว จากนั้นก็หดตัวกลับทันที แรงดึงดูดของคลื่นดึงตัวมนุษย์ต่างดาวกลับมา ลำตัวชนเข้ากับหมัดแล้วสลบไป
ตอนนั้นเองก็มีมนุษย์วิ่งออกมาจากแนวต้นไม้อีก... เป็นกวินทร์กับมีนา ที่ส่งเสียงตะโกนก่อนเมษาจะออกมานั่นเอง
กวินทร์มาทันมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นพอดี
"นั่นมัน?!"
คำถามต่อเหตุการณ์ที่มนุษย์ต่างดาวถูกดึงกลับไปหาหมัดของเมษาผุดขึ้นมา
มีนาเป็นผู้ตอบคำถามนั้นให้
"หมัดแรงดึงดูดน่ะค่ะ เป็นสกิลของบิลด์คลาสวอยด์ที่จะดูดเป้าหมายที่อยู่ไกลเข้ามาชกค่ะ"
“วอยด์...”
“ค่ะ ที่แปลว่าความว่างเปล่านั่นแหละ”
ระหว่างการสนทนานั้นเอง เมษาก็ใช้สกิลใหม่ๆ ออกมาอีก
"เชิร์ตออฟ! (Shirt off)"
เด็กหนุ่มตะโกน จับที่เสื้อของตัวเองแล้วดึงออก ด้วยพลังของสกิลเสื้อที่เป็นเครื่องแบบติดกระดุมแน่นหนาก็คลายตัวหลุดออกมาอย่างง่ายดาย เสื้อสลายตัวไปทันทีที่ถอดออก
"ทำไมจู่ๆ ก็ถอดเสื้อล่ะครับเนี่ย"
กวินทร์พูดสายตาที่จับจ้องไปยังเมษานั้นแสดงความตกใจออกมา
"เป็นสกิลของวอยด์อีกเหมือนกันค่ะ ถอดเครื่องสวมใส่ส่วนบนทั้งหมดออกแล้วเพิ่มพลังโจมตีอย่างมหาศาลชั่วขณะหนึ่ง"
เป็นอย่างที่มีนาว่า เรือนร่างของเมษาที่เดิมก็มีกล้ามเนื้อบางๆ ให้เห็นอยู่บ้างตอนนี้ขยายตัวขึ้นจนเห็นได้ชัดเจน พลังทำลายของหมัดที่ชกใส่มนุษย์ต่างดาวก็เพิ่มขึ้นด้วย แถบพลังชีวิตถูกลดลงมากกว่าตอนแรกทั้งที่ถูกชกด้วยมือเปล่าเหมือนเดิมแท้ๆ
กวินทร์พูด
"เป็นสกิลที่ประหลาดดีนะครับ"
มีนาพูด
"ก็งั้นแหละค่ะ วอยด์น่ะแปลว่าความว่างเปล่าแก่นของบิลด์คลาสนี้เลยสื่อเป็นนัยยะออกไปแบบนั้น นอกจากนี้วอยด์ยังเป็นบิลด์คลาสที่มีแพสซีฟสกิลสำคัญๆ เจอะที่สุดเลยนะคะ"
"พาสซีฟสกิลเนี่ยหมายถึงสกิลที่จะทำงานเองก็ต่อเมื่อเงื่อนไขครบใช่ไหมครับ"
"ค่ะ เมื่อกี้ที่ถอดเสื้อ ออกไปทำให้พาสซีฟทำงานเพิ่มขึ้นมาสองอย่างคือ'เชิร์ตเลสมาสเตอรี่ (Shirtless Mastery)' ช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วทำให้หลบหลีกง่ายขึ้นและเพิ่มพลังป้องกันกับค่าความต้านทานสภาวะผิดปกติระดับหนึ่งด้วยค่ะ"
พอได้ยินได้อย่างกวินทร์ก็ทำตาโตแล้วกล่าวว่า
"โหว แบบนั้นถึงถอดเสื้อไปแล้วพลังป้องลดลงก็ไม่ใช่ปัญหาเลยนะครับ"
"ถ้าเรื่องพลังป้องกันล่ะก็ตอนถอดมีที่เด็ดกว่านั้นเยอะเลยล่ะค่ะ เมื่อกี้พูดค้างไว้อีกสกิลหนึ่งสินะคะ นั่นคือพาสซีฟสกิลที่จะทำงานเมื่อไม่ได้สวมใส่เครื่องป้องกันส่วนบน สกิล 'ร่างเกราะอันเปลือยเปล่า' จะทำให้ความเสียหายที่ได้รับลดลงหนึ่งในสิบค่ะเป็นสกิลที่เมษาอัพจนเต็มแล้วด้วยนะคะ"
"สุดยอด..."
กวินทร์กล่าวดวงตาเป็นประกาย มีนาที่เห็นเข้าก็หัวเราะร่วนพลางกล่าวต่อไปว่า
"ฮิๆ นอกจากเรื่องพลังป้องกันแล้วพลังโจมตีเองก็มีพาสซีฟสนับสนุนเหมือนกันค่ะเห็นเมษาใช้มือเปล่าแบบนั้นแต่ว่าสกิล 'แบร์นัคเคิล(Bare Knuckle) ที่จะทำงานเมื่อไม่ได้สวมใส่อาวุธน่ะทำให้ชกแต่ละทีแรงประมาณโดนรถชนเลยนะคะ"
"สุดยอดเกินไปแล้วแบบนี้ไม่ใส่เครื่องป้องกัน ไม่ถืออาวุธแต่ยังเก่งได้ขนาดนั้น บิลด์คลาสวอยด์นี่มันสุดยอดจริงๆ"
"อ้าว ที่สุดยอดนี่หมายถึงคลาสอย่างเดียวเหรอคะนึกว่าหมายถึงเมษานะเนี่ย ฮิๆ"
เด็กสาวกล่าวพลางอมยิ้ม สนุกสนานไปกับปฏิกิริยาแบบเด็กน้อยที่รุ่นน้องแสดงออกมา
กวินทร์ยังคงไม่รู้ตัวว่าตนเองแสดงออกอย่างซื่อตรงจนน่าแกล้งก็ตอบว่า
"พี่เมษาก็สุดยอดนะครับใช้บิลด์คลาสแบบนั้นได้น่ะ"
"นั่นสิคะสุดยอดจริงๆ นั่นแหละที่กล้าใช้บิลด์คลาสที่โดนตราหน้าว่าเป็นชีเปลือยน่ะค่ะ"
"หา?...ชีเปลือย..."
บทสนทนาหยุดลงแค่ตรงนั้น เพราะเสียงต่อว่าของเมษาดังมา
"เฮ้ย! อย่ามัวแต่ฝอยกันอยู่สิฟระมาช่วยกันบ้างเด้!"
สายตาของทั้งคู่หันไปทางเมษาที่ยังคงซัดกับมนุษย์ต่างดาวได้อย่างราบรื่น ยังไม่มีใครสร้างบาดแผลให้กับเรือนร่างที่เปลือยเปล่านั่นได้เลย
แล้วมีนาก็พูด
"อ้าว ก็เห็นเมษาชิลๆ อยู่พวกเราก็เลยคิดว่าไม่ต้องออกโรงแล้วซะอีก"
เมษาตอบกลับไป
"หุบปากแล้วรีบมาช่วยกันซักทีเหอะ"
แล้วปล่อยหมัดขวาตรงสังหารมนุษย์ต่างดาวตนหนึ่งที่แถบพลังชีวิตใกล้หมดตายในหมัดนั้น
...ถึงจะพูดว่าให้ช่วย แต่เมษาก็ไม่เปิดช่องให้เข้าไปช่วยเหลือได้เลย เด็กหนุ่มมีฝีมือมากเกินไป มนุษย์ต่างดาวชั้นศิษย์ที่มีเลเวลประมาณสามสิบเหล่านี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ด้วยซ้ำ พวกมันต่อสู้ตามสัญชาตญาณราวกับเป็นสัตว์เทวะ
ต่างจากกลุ่มที่บุกโจมตีห้องคิงเมื่อคราวก่อนอย่างลิบลับ พวกนั้นมีเลเวลมากกว่าเจ้าพวกนี้ก็จริง แต่หนนั้นก็มากันแค่สี่ตน เทียบกับตอนนี้ที่มีกันอยู่เกือบสิบยังแตกต่างกันมาก ความแตกต่างที่เกิดขึ้นคือการที่มีตัวที่เป็นชั้นศิษย์คอยสั่งการ แค่จุดนั้นเพียงจุดเดียวเท่านั้นเอง
กวินทร์ก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปช่วยอย่างไร จากสายตาแล้วเขาก็ประเมินได้ไม่ต่างกับที่มีนาคิด เมษาเก่งเกินไปจนไม่ต้องเข้าไปช่วย หนำซ้ำถ้าสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปอาจจะโดนลูกหลงแทน ในตอนนั้นเองที่ปลายสายตาก็มองเห็นเงา
เงาที่กำลังลอบเข้ามาจู่โจมจากทางด้านหลัง
"อ๊ะ! พี่มีนาข้างหลัง"
คำเตือนของกวินทร์ช้าเกินไป...
จอบในมือของมีนาได้ชิงเคลื่อนไหวไปก่อนหน้านั้นนานแล้ว
"เนโครดราก้อน! (Necro Dragon)"
แววตาของเด็กสาวเย็นชาลงแวบหนึ่ง หล่อนเงื้อจอบแล้วฟันลงไปบนพื้นพลางตะโกนว่า
"สเตโกซอมบี้ (Stegozombie)"
พื้นที่จอบขุดลงไประเบิดออกทันที
มนุษย์ต่างดาวที่เข้ามาจู่โจมกระเด็นไปเพราะแรงระเบิด
มีเสียงร้องดังกึกก้อง เสียงของสัตว์ขนาดใหญ่ ท่อนกระดูกสีขาวผุดขึ้นมาจากใต้พื้นดินแล้วลากเอาร่างกระดูกทั้งร่างขึ้นมา
ร่างกายขนาดใหญ่ยักษ์ประกอบขึ้นจากท่อนกระดูกเล็กโตจำนวนมาก เรียงตัวเหมือนกับกิ้งก่าดึกดำบรรพ์ ข้าหน้าสั้นกว่าขาหลังมีแผ่นเกล็ดเรียงบนหลังยาวไปจนถึงปลายหาง
สายตาของกวินทร์จ้องมองอสูรกระดูกด้วยความหวั่นเกรง พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาเล็กน้อย
"ด..ไดโนเสาร์.."
แต่มีนาก็กล่าวขัดคำพูดนั้นทันทีว่า
"เนโครดราก้อนต่างหากล่ะคะ อาชีพของชั้นคือซัมมอนเนอร์จอมเวทย์ผู้เชี่ยวชาญการอัญเชิญอสูร แล้วบิลด์คลาสของฉันก็คือเนโครแมนเซอร์(Necromancer) สายผู้ใช้ซากศพมังกร เนโครดราก้อนน่ะค่ะ"
มีนายื่นมือออกไป แล้วลูบมันบนกระดูกส่วนที่เป็นศีรษะของอสูรกระดูกที่เรียกว่า ‘เนโครดราก้อน สเตโกซอมบี้’ มันส่งเสียงครางออกมาทั้งที่ไม่มีอวัยวะจะทำแบบนั้น แต่เรื่องที่มันเป็นเพียงกระดูกแล้วยังขยับเคลื่อนไหวได้ก็ยังไม่มีคำอธิบายเลยด้วยซ้ำไป
ขนาดตัวที่ใหญ่ของสเตโกซอมบี้ดึงดูดพวกมนุษย์ต่างดาวมา มีอยู่สี่ตนที่ย้ายเป้าจากเมษามาล้อมมีนากับกวินทร์แทน
"อุหวา~ มากันไม่หยุดเลยนะคะเนี่ย”
มีนาพูดอย่างนั้น แต่แววตาของเธอไม่ได้ฉายแววความกังวลออกมาเลยซักนิดเดียวกลับกันเธอกำลังยิ้ม... ยิ้มให้กับสถานการณ์ที่กำลังถูกฝูงมนุษย์ต่างดาวล้อมแบบนี้
“ให้แรพเตอร์จังกินซะเลยก็แล้วกันค่ะ"
พูดจบก็เงื้อจอบแล้วฟันลงไปอีกครั้ง
"เนโครดราก้อน เวโรซอมบี้แรพเตอร์ ! (Velozombieraptor)"
พื้นระเบิดออกแต่ไม่รุนแรงเท่ากับตอนที่เรียก สเตโกซอมบี้ กลับกันมันทำให้เกิดคลื่นช็อกพุ่งออกจากจุดที่จอบขุดลงไป
คลื่นช็อกเคลื่อนที่วนเป็นวงกลมล้อมรอบจุดที่พวกเขายืน คั่นอยู่ตรงกลางระหว่างมนุษย์ต่างดาวกับพวกมีนา แล้วคลื่นก็ระเบิดออกพร้อมกับมีเงาของสิ่งหนึ่งกระโดดออกมา
สิ่งนั้นมีกันสองตัว พวกมันกระโจนใส่มนุษย์ต่างดาวเคราะห์ร้าย ใช้เล็บเท้าที่แหลมคมราวกับใบมีดโกนเจาะทะลุหน้าอกเหยื่อแล้วเกาะอยู่อย่างนั้น ใช้ฟันคมกริบขย้ำศีรษะฉีกกระชากจนขาดออกจากลำตัว จากนั้นมนุษย์ต่างดาวอีกสองตนก็ถูกกระชากคอด้วยวิธีเดียวกัน มนุษย์ต่างดาวทั้งสี่ตายสนิทในพริบตาเดียว โดยที่ไม่ต้องรอให้ลดแถบพลังชีวิตจนหมดหากถูกแยกศีรษะกับลำตัวออกจากกันก็จะถือว่าตายทันทีมันเป็นกฎของเกม เป็นกฎของโลกที่ล่มสลายใบนี้
เจ้าสิ่งปริศนาที่ฉีกกระชากมนุษย์ต่างดาว เป็นร่างกระดูกขนาดเล็กเท่าไก่ตัวหนึ่ง โครงสร้างกระดูกเรียงตัวเหมือนกับไดโนเสาร์พันธุ์เล็กที่เคยเห็นในหนัง เจ้าตัวร้ายที่มีพฤติกรรมการล่าเหยื่อคล้ายกับฝูงหมาป่า มีเล็บเท้าแหลมคมเหมือนมีดพับเก็บได้ เป็นไดโนเสาร์ที่มีชื่อว่า เวโรซีแรพเตอร์ (Velociraptor) พอกลายมาเป็นสกิลก็เลยเรียกว่า เวโรซอมบี้แรพเตอร์ไป แต่ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะตั้งชื่อที่ดูน่ารักกว่าให้แทน
มีนาเรียกมันว่า ‘แรพเตอร์จัง’ ตั้งชื่อเล่นแบบญี่ปุ่นเหมือนที่เคยได้ยินหรือได้อ่านในการ์ตูนให้กับซากศพไดโนเสาร์แบบนี้รสนิยมของเธอเองก็เหลือรับประทานพอๆ กับเมษาที่กล้าใช้ บิลด์คลาสที่โดนตราหน้าว่า ‘ชีเปลือย’ เรียกได้ว่าสมกับที่เป็นพี่น้องฝาแฝด
เมษาเก็บมนุษย์ต่างดาวไปได้เกือบหมดแล้ว ตอนนี้ก็กำลังสู้กับตนสุดท้าย
มนุษยืต่างดาวเพศชายรูปร่างกำยำล่ำสันกว่าตนอื่นๆ สายอาชีพดูเหมือนจะเป็นโคลสเซอร์ หรือผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิดตัวเหมือนกับของเขา ความอึดทีมีมากเพราะสายอาชีพและความเป็นเผ่าพันธุ์ต่างดาวทำให้ หมัดของเมษาทำอะไรได้ไม่มาก
ดาบบรอดซอร์ด (Broad Sword) ของมนุษย์ต่างดาวเงื้อขึ้นมา เมษาหลบมัน ดาบจึงฟาดเข้ากับกระถางก้อนอิฐที่เรียงตัวล้อมต้นไม้จนแตกละเอียด หากว่าโดนเข้าไปจะต้องเป็นแผลฉกรรจ์อย่างแน่นอน ดังนั้นจะต้องลบให้พ้นทั้งหมด เพราะหลังจากนี้ไปยังต้องไปทำภารกิจเก็บเลเวลต่ออีกจะให้ร่างกายบาดเจ็บหนักไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็จะเสียเวลารักษาตัวอีก
‘ถ้างั้นก็ต้องจัดการซะตอนนี้เลย’
มนุษย์ต่างดาวเงื้อดาบขึ้นอีก
แต่หนนี้เมษาไม่หลบ กลับหยุดรอเหมือนกับเล็งจังหวะเอาไว้
“ตรงนั้น !”
เมษาชกไปที่ข้อมือของมนุษย์ต่างดาวซึ่งจับดาบอยู่
“ปลดศาสตรา!”
ทันใดนั้นดาบก็ปลิวออกจากมืออย่างง่ายดายและหายไป
ไม่เพียงเท่านั้น เมษาปล่อยหมัดที่สองออกไปต่อเนื่องทันที
"ปลดยุทธภัณฑ์!"
ทันทีที่หมัดปะทะเข้ากับลำตัวของมนุษย์ต่างดาว ชุดเสื้อผ้าท่อนบนก็หลุดกระจายออกไปหมดในพริบตาเดียว
เมษาดึงหมัดกลับมา
“ซุสนัคเคิล! (Zeus Knuckle)”
ประกายไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบบนหมัดแต่ยังไม่ทันจะชกออกไป กำปั้นของมนุษย์ต่างดาวก็ลอยเข้ามาเสียก่อน
อั่ก!
เมษาถูกชกเข้าที่แก้ม ใบหน้าหันไปตามแรงปะทะ
ความรุนแรงของหมัดที่มีพลังเหนือมนุษย์นั้นไม่ต่างอะไรกับถูกทุบด้วยค้อนปอนด์
กระดูกคอบิดตัวจนแทบหัก ลมหายใจสะดุดไปแวบหนึ่ง เขาเกือบจะสลบอยู่ตรงนั้นแต่ก็ยังทนเอาไว้ได้
ใบหน้าของเด็กหนุ่มปูดบวม มีเลือดไหลซึมออกจากริมฝีปากที่แตก
แต่มันก็หยุดมือของเขาไม่ได้อีกแล้ว กำปั้นที่มีสายฟ้าสถิตชกเข้าที่ท้อง
มนุษย์ต่างดาวตัวงอเหมือนกุ้งและชักกระตุกเพราะไฟฟ้า แถบพลังชีวิตลดลงจนหมด จากนั้นร่างกายก็เริ่มละลายหายไป
นั่นคือมนุษย์ต่างดาวตนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในที่แห่งนี้ การต่อสู้จบลงไปแล้ว พวกเขาเป็นฝ่ายชนะโดยที่ไม่มีใครต้องเสียสละ
แล้วมีนาก็พูดเหมือนกับรอจังหวะอยู่
"อ้อ ไม่ใช่แค่ถอดเสื้อโชว์อย่างเดียวนะคะ แต่ยังโฉบไปปลดของชาวบ้านได้ด้วยเพราะงั้นเขาถึงเรียกกันอีกอย่างว่าบิลด์คลาสโรคจิตน่ะค่ะ"
หนนี้กวินทร์เบื่อที่จะตบมุกแล้ว เด็กหนุ่มจึงทำเพียงแค่หัวเราะ
"แหะๆ"
เมษาถ่มน้ำลายผสมเลือด พลางใช้หลังมือปาดเอาคราบเลือดที่ติดริมฝีปากออก
"หยุดนินทาระยะเผาขนกันซักทีเหอะ"
แล้วแสดงใบหน้ารำคาญ จากนั้นก็เดินเข้ามารวมกลุ่ม
“ว่าแต่...แล้วเสื้อที่ถอดออกไปล่ะครับ ?”
จู่ๆ กวินทร์ก็ถามขึ้นมา
มีนาทำท่าจะตอบอยู่แล้ว แต่เมษาก็พูดแทรกขึ้นมา
“ก็ถูกเก็บไว้ในอินเวนทอรี่ไง”
พูดพลางเปิดหน้าจอแล้วดึงเสื้อออกมาใส่หลวมๆ ไม่ติดกระดุม
“ต่อไปก็ต้องอธิบายให้พวกนั้นเข้าใจสถานการณ์ก่อนสินะ”
สายตาของทั้งสามหันไปทางเดียวกัน พวกคนที่ถูกจับเป็น NPC กำลังจ้องกลับมา
“พวกนั้นเป็นใครน่ะ...”
“ชุดทหาร...หรือว่าจะเป็นทหารกันน่ะ”
“แต่พวกนั้นยังเด็กกันอยู่เลยนะ”
“เอาชนะมนุษย์ต่างดาวได้...พวกนั้นจะใช่มนุษย์จริงๆ เหรอ”
ดูเหมือนว่าพวกมนุษย์ NPC จะไม่รู้จักองค์กรเมตไตรย แล้วก็ไม่รู้เลยด้วยว่าในตอนนี้มนุษย์กำลังขัดขืนมนุษย์ต่างดาวอย่างสุดกำลังอยู่
มีนาพูด
“เดี๋ยวฉันจัดการให้เองก็แล้วกันค่ะ เพราะว่าจะให้เด็กเอ๋อหรือเจ้าสมองกล้ามไปพูดเกลี้ยกล่อมคนพวกนั้นน่ะ คงจะไม่ได้สิน้า~
“ผมไม่ได้เอ๋อนะครับ!”
“ว่าใครสมองกล้ามกันห๊ะ!”
การตอบสนองของเด็กหนุ่มทั้งสองเป็นไปตามที่คิด มีนาพูดต่อไปว่า
“อุ๊ยตาย! ยังไม่ได้บอกเลยนะคะว่าใครที่เอ๋อ ใครที่สมองกล้ามกันน่ะร้อนตัวกันจังเลยนะคะ”
พลางหัวเราะคิกคัก ใบหน้าของสองหนุ่มแดงระเรื่อขึ้นมาเพราะความโกรธโดยเฉพาะเมษาที่แดงจัดกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“เดี๋ยวเหอะเธอ!”
“แหม โกรธแบบนี้ตกลงยอมรับว่าตัวเองสมองมีแต่กล้ามเนื้อจริงๆสิน้า~”
พวกเขายังคงแลกบทสนทนากันอย่างออกรสชาติ ราวกับเส้นด้ายแห่งความตึงเครียดหย่อนลง
ในตอนนั้นเอง...
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ไม่ใช้แค่คนเดียวแต่มีมากกว่าสิบ ทั้งหมดกำลังเคลื่อนย้ายมาที่นี่
จากนั้นก็มีเสียงพูดดังแว่วมา
“พวกแกสินะชาวโลกที่มาบุกรุก เดอะ เธียเตอร์ ของท่านโซเดียมราชครูลำดับที่ห้าของพวกเราน่ะ”
เจ้าของเสียงเป็นชายมนุษย์ต่างดาวรูปร่างท้วมตามใบหน้ามีรอยย่นบ่งบอกถึงอายุวัยกลางคน ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างแปลกที่มนุษย์ต่างดาวมีพวกที่ดูแก่กว่าวัยหนุ่มสาวอยู่ด้วย แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือมนุษย์ต่างดาวตนนี้สวมผ้าคลุมสีขาว ซึ่งนั่นหมายความได้เพียงอย่างเดียว
“ชั้นครูเหรอ! ตอนนี้เนี่ยนะ”
มีนาเอ่ยขึ้นมาด้วยความตกตะลึง
เมษาก็พูดด้วยเสียงที่ตึงเครียดเช่นกัน
“บัดซบเอ้ย!”
แต่กวินทร์กลับถามหาแผนรับมือต่อทันที
“จะทำยังไงต่อดีครับ!”
แล้วชักดาบออกมา ดาบสีขาวผุดผ่องราวกับหิมะ ‘ทซึกิชิโระ’ (พระจันทร์ขาว)
เด็กหนุ่มรุ่นน้องไม่ได้แสดงอาการหวาดผวาออกมาเลยแม้แต่น้อย กลับกันพอเริ่มเครียดสีหน้าของเขาก็ดูเปล่งประกาย แววตามุ่งมั่นแสดงเจตจำนงที่ต้องการจะปกป้องพวกพ้องแจ่มชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้น
ดังนั้นพวกเขาที่เป็นรุ่นพี่ก็จะทำตัวกระโตกกระตากให้เห็นไม่ได้ แล้วเริ่มเรียกกำลังใจกลับคืนมา
มีนากวาดสายตามองรอบทิศเพื่อประเมินสถานการณ์
นอกจากมนุษย์ต่างดาวชั้นครูแล้วก็ยังมีพวกชั้นศิษย์ตามหลังมาอีกนับสิบ พวกมันเดินออกมาจากเงาของแนวต้นไม้ที่อยู่ถัดจากด้านหลังของกลุ่มมนุษย์ NPC
มองตัวเลขที่แสดงบนแถบพลังชีวิตของตัวชั้นครูแล้วครุ่นคิดหาทางรับมือ
Phosphorus Lv. 50
[///// 6100:6100 /////]
“อาจจะพอชนะ...ได้ค่ะ”
มีนาพูดออกมาอย่างนั้น แต่เธอเองก็ยังลังเลในความคิดของตัวเองจนเผลอแสดงออกผ่านทางน้ำเสียง
“แต่คงต้องสู้ตายกันไปข้างเลยใช่ไหมล่ะ”
เมษาพูดเสริม
“ก็แหงล่ะฝ่ายนั้นน่ะชั้นครูเลยนะ แต่ว่าเลเวลก็ไม่ได้ห่างกับฝั่งเราซักเท่าไหร่อย่างดีที่สุดก็อาจจะแค่ลากเลือดกันหมดนี่แหละ”
กวินทร์ก็ถามแทรกขึ้นมาว่า
“ต้องทำยังไงบ้างครับ บอกมาได้เลยผมจะทำให้สำเร็จเองจะไม่มีใครต้องตายที่นี่ครับ!”
น้ำเสียงของกวินทร์เด็ดเดี่ยว ดูน่าเชื่อถือขึ้นมาทันทีที่เขาเปลี่ยนเป็นโหมดเอาจริง
ดังนั้นก็น่าจะฝากฝังเรื่องสำคัญได้อยู่เหมือนกัน ....มีนาคิดเช่นนั้น
“ถ้างั้นฝากดึงความสนใจศัตรูไว้ทีนะคะ ระหว่างนั้นฉันจะเตรียมเรียกไม้ตายสุดยอดออกมาค่ะ”
“ครับ!”
จากนั้นเมษาก็ถามขึ้นมาว่า
“จะเอาเจ้านั่นออกมาอย่างงั้นเหรอ”
“ใช่เพราะงั้นถ้าให้สัญญาณแล้วเมษาก็ช่วยดึงพวกมันไปรวมกันทีล่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยทุกคนก็แยกจากกันทันที
การประชุมแผนการกินเวลาไม่นานก็จริงแต่ช่วงเวลาสั้นๆ แค่นั้นก็ทำให้พวกมนุษย์ต่างดาวเข้ามาล้อมจนถูกปิดทางหนีเอาไว้หมด
วิธีสุดท้ายที่จะกอบกู้วิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสก็เหลือเพียงวิธีเดียว
เทคโนโลยีที่เมตไตรยคิดค้นขึ้นมาเพื่อจัดการกับมนุษย์ต่างดาว
เดม่อนแอพลิเคชั่น...
เมษากำหมัด ตั้งการ์ดมวยแล้วพูดว่า
“เดม่อนแอพ จงมาสถิตร่าง โพสเซชั่นสเตท (Possession State)”
ทันใดนั้นเองก็ปรากฏรอยสักเครื่องหมายกากบาทสีแดงชาดที่ต้นแขนทั้งสองข้าง มันคืออาวุธของเด็กหนุ่ม อาวุธสำหรับบิลด์คลาสวอยด์ที่จะแสดงประสิทธิภาพสูงสุดได้จำเป็นต้องใช้แต่มือเปล่าทำให้อาวุธชิ้นนี้มาในรูปแบบของรอยสักแทน
อำนาจของมันไม่เพียงแต่เสริมพลังในการโจมตีแต่ยังเป็นอาวุธที่ช่วยเสริมในเรื่องของการป้องกันด้วยกล่าวคือเป็นอาวุธที่มีทั้งพลังโจมตีและพลังป้องกันอยู่ในตัวเอง โดยปกติแล้วจะซ่อนตัวกลมกลืนไปกับสีผิวของผู้สวมใส่ จนกว่าจะถอนการติดตั้งออก ดังนั้นสาเหตุที่มันกลายเป็นสีแดงก็การสั่งใช้งานเดม่อนแอพนั่นเอง
จากนั้นเมษาก็ประกาศชื่อของปีศาจที่ติดตั้งอยู่ในอาวุธของตน
“เทวะ มหากาฬ! ( Mahakala)”
แอพปีศาจทำงาน เงาของเมษาขยายใหญ่เป็นสองเท่า แล้วเมื่อทำท่าชกใส่ศัตรูที่อยู่ห่างออกไป ถึงหมัดจริงจะชกไปไม่ถึง แต่เงาของหมัดกลับยืดออกและทำร้ายเป้าหมาย
มนุษย์ต่างดาวที่ถูกเงาชกกระเด็นตัวปลิวไปอย่างง่ายดาย
“เมื่อกี้มันอะไรกันน่ะ ชกด้วยเงา...พวกมันทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ”
มนุษย์ต่างดาวชั้นครูออกอาการตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก บางทีคงจะไม่รู้จักเมตไตรยแล้วก็ไม่รู้จักอาวุธติดตั้งปีศาจด้วย
กวินทร์ที่เห็นแบบนั้นก็เกิดอยากลองแอพอันใหม่ที่เพิ่งได้มา
“ดีล่ะงั้นลองใช้แจ็คฟรอสดูเลยละกัน”
จากนั้นก็ควงดาบแล้วปักมันลงบนพื้น
“แช่แข็งให้หมดเลยภูตปีศาจแจ็คฟรอส! (JackFrost)”
คลื่นความเย็นแพร่กระจายออกจากตัวดาบที่ปักลงบนพื้น ทุกสิ่งที่คลื่นสัมผัสมันจะถูกแช่แข็งในทันที ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า ทั้งหมดที่อยู่ในรัศมีของคลื่นความเย็นต่างจับตัวเป็นน้ำแข็งในพริบตา พวกชั้นศิษย์ที่ยืนอยู่ในอาณาเขตความหนาวเย็นนั้นรองเท้าถูกน้ำแข็งยึดจับเอาไว้กันหมด
“เจ๋งเลยแบบนี้พวกมันก็ขยับ...”
กวินทร์ที่ตั้งใจจะพูดว่า ‘ขยับไปไหนไม่ได้’ กลับกลายเป็นต้องกลืนคำพูดนั้นไป เมื่อพวกชั้นศิษย์ที่โดนแช่แข็งรองเท้าพากันเตะเท้าจนน้ำแข็งที่ยึดจับหลุดออกอย่างง่ายดาย สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครที่ถูกพลังของแอพปีศาจจับเอาไว้ได้เลยซักตนเดียว
จากนั้นกวินทร์ก็ต้องวิ่งหนีพวกชั้นศิษย์ที่แห่กรูกันเข้ามา พลางสบถด้วยความเจ็บใจไปว่า
“ไหงแอพปีศาจผมกากงี้เนี่ยยย!!”
เมษาเหลือบไปมองแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจ
“ทำอะไรของมันล่ะเนี่ย”
จากนั้นก็ตวัดแขนให้เงายืดออกไปกวาดเท้าพวกชั้นศิษย์ที่วิ่งไล่สะดุดขาล้มหน้าคะมำพื้น ทำให้กวินทร์มีเวลาตั้งหลัก
“ขอบคุณที่ช่วยครับพี่เมษา!”
รุ่นน้องตะโกนมาอย่างนั้น
การต่อสู้ดำเนินไปเหมือนจะราบรื่น นั่นเพราะว่ามนุษย์ต่างดาวที่เป็นชั้นครูไม่ได้ออกคำสั่งอะไรเลย ไม่ได้ทำอะไรซักอย่างนอกจากดูพวกชั้นศิษย์ต่อสู้ด้วยตัวเอง
มีนาที่เตรียมการเสร็จก็ตะโกนให้สัญญาณ
“เมษาเอาเลย!”
เด็กหนุ่มยิ้มแล้วตอบรับสัญญาณ
“กำลังรออยู่เชียว”
จากนั้นก็หยิบกระดาษยันต์ที่เขียนอักษรอาคมออกมาจากกระเป๋ากางเกงสามแผ่น แล้วโปรยมัน
"เกทออฟทันนฮอยเซอร์ (Gate of Tannhauser)"
วินาทีที่ประกาศชื่อสกิลเสร็จ ยันต์อาคมก็ระเบิดต่อเนื่องทั้งสามแผ่นสร้างมวลสสารสีดำลอยอยู่ในอากาศ สสารดำนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังที่คาดเดาไม่ได้ มันสร้างแรงดึงดูดมหาศาลดึงทุกอย่างที่อยู่โดยรอบเข้ามาหา
“เฮ้ย! นายน่ะ”
เมษาตะโกนเรียกกวินทร์ แต่เจ้าตัวเหมือนจะยังไม่รู้และชี้เข้าหาตัวเองราวกับจะถามว่า เรียกเขาอย่างนั้นหรือ?
“ใช่นายนั่นแหละ รีบมาเกาะตัวชั้นไว้เร็ว”
กวินทร์กึ่งวิ่งกึ่งพุ่งตัวเข้ามากอดแขนของเมษาไว้แล้วถามคำถามทันที
“นั่นมันอะไรน่ะครับ สกิลที่ต้องใช้ยันต์อาคมช่วยไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
"วอยด์น่ะเป็นบิลด์เดียวของสายอาชีพโคลสเซอร์ที่ใช้เวทมนต์ได้แต่โดยพื้นฐานแล้วยังไม่ใช่อาชีพที่เชี่ยวชาญด้านเวทมนต์ ถ้าต้องใช้สกิลที่พึ่งพาพลังเวทมนต์ขั้นสูงก็จะใช้ยันต์อาคมเข้าช่วยน่ะ ส่วนสกิลนั่นเดี๋ยวดูไปก็รู้เอง"
สิ้นคำสสารดำก็เร่งแรงดึงดูดมากขึ้น จนพวกมนุษย์ต่างดาวชั้นศิษย์โดนแรงดึงดูดดึงเข้ามากระจุกรวมกันอยู่ที่เดียว หากกวินทร์ไม่รีบหนีไปหาเมษาก่อน ก็จะถูกแรงดึงดูดพาไปกระจุกรวมกับพวกมนุษย์ต่างดาวด้วย
ตรงนี้เองที่มีนาได้เริ่มทำการปิดฉาก
เด็กสาวเงื้อจอบแล้วฟันลงพื้น
“เนโครดราก้อน ทีแรนโนซอมบี้ !! (Tyrannozombie)”
ทันใดนั้น เนโครดราก้อนที่เรียกออกมาก่อนหน้านี้ทั้งหมดก็สลายไป
จากนั้นซากกระดูกไดโนเสาร์ตัวใหม่ก็ผุดขึ้นมาจากพื้นส่งเสียงคำรามดึงกึกก้อง
ซากกระดูกกิ้งก่าดึกดำบรรพ์ที่ถูกเรียกว่า ‘ทรราชย์ ‘ กระโหลกศีรษะมีขนาดใหญ่เต็มไปด้วยซี่ฟันอันแหลมคมและกรามทรงพลังที่บดขยี้กระดูกให้เป็นผงได้ นัยน์ตาที่กลวงโบ๋กลับส่องแสงสว่างสีแดงออกมาราวกับดวงไฟ
ปากอ้ากว้าง
ไอความร้อนสูงลอยออกมาจากตรงนั้น
กระดูกทั้งตัวเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม
มีนาออกคำสั่งมันให้ปิดฉากพวกชั้นศิษย์ที่ตอนนี้ถูกดูดไปรวมกันเป็นกระจุกเดียวและไม่สามารถขยับหนีได้
“ทีราโน่จัง ยิงเลยโลด ดราโกนิกเอ็กซ์ทินชั่น !!”
ลำแสงเพลิงพุ่งออกจากปากของร่างกระดูก และแผดเผาพวกชั้นศิษย์ ลำแสงไม่ได้ยิงมาแค่หนเดียวแต่กราดยิงเป็นสิบๆ ครั้งจนกระทั่งพื้นที่ตรงนั้นกลายเป็นทะเลเพลิงไป
หลังจากยิงลำแสงเพลิงจนกระดูกทั้งร่างมีอุณหภูมิสูงหลายร้อยองศา ร่างก็ลุกไหม้แล้วสลายไป
ตอนนี้เหลือแค่มนุษย์ต่างดาวชั้นครูเพียงตนเดียว
แต่เมื่อสายตาทั้งสามพุ่งเป้าไปที่นั่น มนุษย์ต่างดาวชั้นครูที่ร่างท้วมกลับไม่ได้ยืนอยู่ แต่วิ่งหนีไปแล้ว
แถมไม่ได้ไปเปล่ายังพาตัวเด็กผู้หญิงที่ถูกทำ NPC ไปด้วย
“เอาลูกฉันคืนมา---”
แม่ของเด็กร้องไห้ฟูมฟายไล่ตามหลังไป
ไม่มีทางเลือกอื่น.... นอกจากต้องตามไป
แล้วพวกเมษาก็มุ่งหน้าไปยังด้านหลังของแนวต้นไม้ที่มืดมิด ที่ซึ่งมนุษย์ต่างดาวหนีหายไป
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

318 ความคิดเห็น
-
#285 Conflagration (จากตอนที่ 21)วันที่ 1 มกราคม 2562 / 11:49Some no mai, Tsukishiro!#2850