ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #207 : Login 204: สถานที่ซึ่งอสูรตื่นจากนิทรา3

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 193
      7
      21 ก.พ. 61

    Login 204: สถานที่ซึ่งอสูรตื่นจากนิทรา3

     

                ตอนนี้รู้แล้วว่าคนที่บุกรุกเข้ามาในเรือนหลังนี้ก่อนพวกเขาน่าจะเป็นมิ่งขวัญ

                แต่อสูรที่พวกเขาไล่ตามมาล่ะไปไหนแล้ว?

                จนถึงตอนนี้พวกเขาเหยียบเข้ามาในห้องเปล่าๆ ของเรือนหลังนี้ก็ปาเข้าไปหลายนาทีแล้วแต่ก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้น

                หรือว่ามันจะทะลุกำแพงหนีไปข้างหลังกันแล้วนะ บางทีที่เข้ามาข้างในเรือนนี่อาจจะแค่ล่อให้หลงทางรึเปล่า

                “…”

                นึกอยู่พักหนึ่ง นรินทร์ก็คิดขึ้นมาได้ว่าแอพพลิเคชั่นปีศาจ เมลคีเซเดคที่พัฒนามาจาก นัยน์ตาปีศาจแห่งลาพาสของเขานั้นมีความสามารถแกะรอยพ่วงมาด้วย

                นรินทร์ดึงแว่นปีศาจที่คาดอยู่บนหน้าผากลงและทำให้เทวทูตเมลคีเซเดคที่ซ่อนตัวจากโหมดพักชั่วคราวปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง

                ต้องขอบคุณ ซากิริ อามาเนะ นักวิจัยสัตว์เทวะที่เคยเจอกันก่อนหน้านี้ เขาได้ยินจากเน็กส์ว่าหล่อนช่วยอัพเกรดลาพาสให้น่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้ขอบคุณเรื่องนี้หล่อนก็จากไปเสียก่อน

                ได้ยินตอนแรกก็นึกตกใจอยู่เหมือนกันว่ามนุษย์สามารถพัฒนาปีศาจได้เองง่ายๆ แบบนั้นได้อย่างไร

    แต่พอรู้ตัวจริงของซากิริ อย่าง เทวทูตซาคคิเอล แล้วความสงสัยนั่นก็เป็นอันคลี่คลาย

                ถึงอย่างนั้นก็เถอะมันก็ยังมีคนที่พัฒนาปีศาจได้เองอยู่คนหนึ่ง

                อิงศรนั่นเอง ถึงจะไม่มีเรื่องตัวจริงของซากิริเป็นเทวทูต เข้ามาก็คงจะปัดเป็นกรณีเดียวกับอิงศร

                ถึงอย่างไรเสียโลกใบนี้มันก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ทั้งนั้น

                โลกที่ความเป็นไปได้ไม่ถูกจำกัดเอาไว้แห่งนี้

                “…”

                แว่นตาส่งข้อมูลการแกะรอยที่ประมวลผลเสร็จมาแล้ว ภาพของห้องอันว่างเปล่าที่มีน้ำท่วมขังอยู่ครึ่งหนึ่งโดยทำมุมเอียงประมาณสามสิบองศาพอมองผ่านเลนส์ของแว่นก็เห็นภาพเป็นสีแดงเหมือนมองผ่านกล้องอินฟาเรด

                จากประตูที่พวกเขาเข้ามามีร่องรอยถูกทิ้งไว้ให้เห็นเป็นรอยสีดำเหมือนมีอะไรลากผ่านตรงนี้ไปจนถึงกลางห้องที่มีเชือกแขวนห้อยลงมา เชือกซึ่งมัดเป็นบ่วงเหมือนเอาไว้แขวนคอมนุษย์

                พอมองไปตรงนั้นผ่านแว่นตาก็มองเห็นเงาดำลางๆ ที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น

                “เปิดเผยมันออกมาเมลคีเซเดค

                นรินทร์ออกคำสั่งกับปีศาจ เมลคีเซเดคที่อยู่ด้านหลังผงกศีรษะแล้วเปล่งแสงจากเซ็นเซอร์ที่ดวงตาจักรกลออกไป

                แสงสาดกระทบพื้นที่บริเวณตรงนั้นจนเห็นพื้นกลายเป็นสีแดงที่มีเงาสีดำพาดทับ

                เงาร่างอันบิดเบี้ยว ผอมเพรียว ร่างเปลือยเปล่าเผยผิวหนังซึ่งเต็มไปด้วยรอยสัก ใบหน้ามีเคราขึ้นรกรุงรังจนแทบมองไม่เห็นรายละเอียดอื่นๆ

                อสูรซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นมาตลอดจนกระทั่งโดนเมลคีเซเดคเปิดเผยที่ซ่อน

                นรินทร์งัดแว่นตาขึ้นไปคาดหน้าผากอีกครั้งทำให้เมลคีเซเดคหายไปเพราะกลับไปยังโหมดพักชั่วคราวแต่ผลการเปิดเผยที่ซ่อนของอสูรนั้นไม่ได้หายตามไปด้วย

                คนอื่นๆ ก็เริ่มสังเกตุเห็นอสูรแล้วเหมือนกัน แล้วอสูรก็รู้ตัวแล้วว่าโดนพวกเขามองเห็นเข้าให้

                อสูรเบนสายตามาทางนี้แล้วพูดเหมือนคำราม

                “พวกมึงเอาอีกแล้วอยากจะได้สมบัติของกูขนาดนั้นเลยรึไง

                สมบัติ? ดูเหมือนอสูรจะกำลังเข้าใจพวกเขาผิด เพราะแบบนั้นเลยมาโจมตีรึเปล่านะ

                นรินทร์คิดว่าลองเจรจาดูก็ไม่เสียหาย

                “เดี๋ยวก่อนครับพวกเราน่ะไม่ได้มีเจตนาร้ายนะครับ เรื่องสมบัติอะไรนั่นก็ไม่รู้เรื่องด้วยพวกเราแค่…”

                แต่อสูรกลับตะคอกมาว่า

                “กูไม่สน! พวกมึงขึ้นมาบนเกาะของกู พวกมึงมาบุกถิ่น กูจะฆ่าพวกมึง!

                แล้วพุ่งจู่โจมเข้ามา

                “ให้ตายเถอะไม่ยอมฟังกันเลยแฮะ

                นรินทร์สบถใส่อสูรตนนั้น มือกำไม้เท้าแน่นพลางคิดหาสกิลที่จะยับยั้งอีกฝ่ายเพื่อยื้อเวลาให้ได้พูดคุยกัน

                ทว่า

                “อัก

                จู่ๆ อสูรก็หยุดชะงักไป ร่างกายชักกระตุกเหมือนโดนไฟดูด ทั้งที่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย

                แล้วก็มีเสียงดังแว่วมา เป็นเสียงขลุ่ยที่มีทำนองน่าพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่เป็นขลุ่ยแต่ท่วงทำนองกลับดุดันและสร้างความฮึกเหิมราวกับเสียงแตรแห่งสงคราม

                คงเป็นเพราะเสียงขลุ่ยที่ว่าอสูรถึงได้ชะงักไป แม้แต่พวกเขาที่ฟังท่วงทำนองนั่นก็ยังพลอยอึดอัดหายใจไม่สะดวกขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

                ไม่นานนักเสียงขลุ่ยก็หยุดบรรเลง เจ้าของเสียงขลุ่ยปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่ายีนเคียงข้างอสูรที่ตัวแข็งทื่อทันทีที่เสียงขลุ่ยหยุดบรรเลง

                ที่นั่นมีชายหนุ่มผู้งดงามราวกับเทวดาในชุดสูทสีดำสนิท ทั้งหมวกทรงเค้กผ้ากำมะหยี่ ทั้งถุงมือ และกางเกงสแล็คขายาว ทั้งหมดเป็นสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า มือทั้งสองพยุงขลุ่ยทองคำจรดริมฝีปากแสดงความเป็นเจ้าของท่วงทำนองเมื่อครู่

                ชายหนุ่มมีใบหน้าอันปราดเปรื่อง ปอยผมสีดำหยิกหยักศกลอดลงมาจากใต้หมวก เงาของปีกหมวกบดบังรอบบริเวณสายตาเอาไว้ทำให้ดูลึกลับ

                ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส

                “ไม่ไหวๆ พวกของไม่สมบูรณ์เนี่ยยังไงก็ใช้การไม่ได้อยู่วันยังค่ำ

                นรินทร์ถาม

                “นั่นใครน่ะ

                “นั่นมันคำถามของทางนี้ต่างหากพวกเจ้านั่นแหละใครกันถึงได้ล่วงล้ำเข้ามาในเขตทดลองของเราได้

                “เขตทดลองงั้นเหรอ?”

                นรินทร์ทวนคำพูดของอีกฝ่ายด้วยความฉงนหวังให้อธิบาย แต่ชายหนุ่มผู้นั้นก็หาได้สนใจไม่

                “แต่เอาเถอะถามไปก็เท่านั้นเพราะทางนี้รู้ดีเสียยิ่งกว่าอะไรว่าพวกเจ้าคือเหล่ามนุษย์ที่ไปยุ่งเกี่ยวกับฟันเฟืองของผู้ควบคุมสูงสุดที่ทางเรากำลังเฝ้าจับตาดูอยู่แท้ๆ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะมาหากันถึงถิ่นแบบนี้

                พอได้ยินแบบนั้นโพแทสเซียมก็พูดว่า

                “ดูเหมือนทางนั้นจะรู้จักพวกเรานะครับ

                ท่าทางดูเหมือนแบบนั้นเลยแหละ แล้วก็ดูจากบรรยากาศแล้วไม่น่าจะใช่มนุษย์ด้วย

                ปีศาจ

                มนุษย์ต่างดาว

                หรือ อสูรที่มีความนึกคิด

                เป็นตัวอะไรกันแน่นะ

                นรินทร์ที่ครุ่นคิดแบบนั้นจึงถามโพแทสเซียมโดยไม่หันไปมอง

                “แล้วเอเลี่ยนอย่างพวกนายพอจะมีข้อมูลบ้างรึเปล่าล่ะ

                “ไม่รู้สิครับแต่ว่ากลิ่นอายแบบนั้นไม่ใช่ชาวโลกธรรมดาแน่นอน

                ท่าทางว่าข้อมูลจะมีไม่พอ ตอนนั้นเองอีกฝ่ายก็พูดออกมาเอง ข้อมูลเรื่องตัวตนที่ชัดเจนและฟังดูน่าตกใจ

                “ข้าคือดิวินิแดด ผู้โปรดสัตว์ กฤษณะ

                คำพูดนั่นทำให้นรินทร์ตาเบิกกว้าง

                “ดิวินิแดดเหรอ ถ้างั้นก็อารย-สนธยาน่ะสิ

                แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธทันที

                “อารย-สนธยาเหรอไม่ใช่หรอก...นั่นเป็นเพียงหน่ออ่อนของพวกเราเท่านั้น

                “หน่ออ่อน? หมายความว่ายังไงกันน่ะ

                พอถามไป กฤษณะก็แค่นเสียงหัวเราะ

                “หึๆๆ ข้าจะบอกนามอันแท้จริงที่กำลังเคลื่อนไหวโลกใบนี้ให้พวกเจ้ารู้ก็ได้นะพวกเราคือผู้สนับสนุนการวิจัยที่จะช่วยผืนแผ่นดินอันฟอนเฟะที่ผู้ควบคุมใช้มันต่างถังขยะแห่งนี้

                อีกฝ่ายพูดไปก็พลางทำท่าทางใหญ่โตราวสติไม่ดี

                “พวกเราคือ กลุ่มเงินทุนสวรรค์อนธกาล ฟาวเดชั่นอี (Foundation E)’ ยังไงล่ะ

                กลุ่มเงินทุนสวรรค์อนธกาล?

                ฟาวเดชั่นอี?

                มีแต่ชื่อที่ไม่รู้จักแล้วก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนทั้งนั้น

                ความสงสัยผุดขึ้นเต็มอก

                ทว่า... ในใจของนรินทร์ไม่ได้มีแต่คำถามวนเวียนอยู่เท่านั้นแต่มันเริ่มมีอุณหภูมิของความโกรธคุกรุ่นขึ้นมา

                นรินทร์สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันชั่วร้ายและอันตรายจากคนๆ นี้ เท่านั้นยังไม่พอ

                ยังรู้สึกอีกว่าเคยพบกับคนๆ นี้ที่ไหนมาก่อน ซักที่ในความทรงจำอันเลือนลางกำลังร้องบอกว่าคนผู้นี้คือศัตรู

                “พวกคุณมีเป้าหมายอะไรกันแน่ แล้วทำอะไรกับเกาะนี้ ที่นี่มันเคยเกิดอะไรขึ้น เคยทดลองเรื่องอะไรอยู่

                แต่กฤษณะไม่ตอบ... กลับเอาแต่จดจ้องมาที่เขาก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา

                “หืมอ๋อ เจ้าสินะผู้ที่สืบทอดความเป็นไปได้หนึ่งของเรานรินทร์นารายณ์

                นามนั้นมัน...

                “อึก อย่าพูดชื่อนั่นนะ

                มันทำให้นรินทร์คิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ความโกระผุดขึ้นมาอีก ความแค้นที่หายไปแล้วกลับคืนมาราวกับภูเขาที่สงบได้ตื่นขึ้นอีกครั้ง

                กฤษณะยิ้มเยาะพลางกล่าวอย่างลิงโลด

                “ทำไมล่ะ ก็นั่นคือเจ้าไม่ใช่รึ อ้อรู้แล้วเพราะทำให้นึกถึงเรื่องที่ไม่อยากนึกสินะก็มารดาแท้ๆ ยอมขายวิญญาณให้กับข้าผู้นี้เพื่อคืนชีพเจ้านี่นา

                ว่าไงนะ?

                เรื่องนั้นมัน...

                “หมายความว่ายังไง!

                นรินทร์พูดตะคอกด้วยความโกรธที่ควบคุมไม่ได้ เขาไม่รู้แล้วว่าในเวลานี้ทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกโกรธเกรี้ยวขนาดนี้

                เพราะเพลงขลุ่ยเมื่อกี้?

                เพราะกลิ่นอายของมัน?

                หรือเพราะคำพูดยั่วยุที่พูดด้วยน้ำเสียงใสซื่อนั่นกันแน่?

                เขาไม่รู้เลยจริงๆ

                แล้วกฤษณะที่ยืนชมสีหน้าอันบิดเบี้ยวไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายนั่นก็กล่าวอย่างบันเทิงใจ

                “ก็แบบนี้ไง

                อีกฝ่ายตั้งท่ากางแขนยืดอกผายผึ่งราวกับจะโบยบิน

                “คนที่รับฝากเอาเดธอาคานาร์จากท่านผู้นั้นไปมอบให้กับแม่ของเจ้าก็คือกฤษณะผู้นี้เองยังไงล่ะหรือถ้าพูดให้ชัดกว่านี้ข้าคือคนที่เจ้าสมควรโกรธแค้นที่สุดคนหนึ่งล่ะมั้งเพราะตอนที่ไปเสนอเงินทุนให้กับเจ้าอาวาสอารย-สนธยา ข้าเองก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้น

                ไม่ไหวแล้วควบคุมความโกรธไม่ได้อีกแล้ว

                นรินทร์ตะหวาดใส่ครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ที่น่ารังเกียจนั่นไปว่า

                “แกเป็นคนล่อลวงพ่อกับแม่ฉันอย่างนั้นสินะ

                เมื่อได้เห็นนรินทร์หัวร้อนแบบนั้น กฤษณะก็ตอบรับอย่างยินดีเป็นที่สุด

                “ใช่!

                แล้วจับขลุ่ยตั้งท่าจะเป่ามันแต่ก็กล่าวยั่วยุมาอีก

                “เอ้า โหมกระพือความโกรธเข้าไปอีกสิก่อนที่ข้าจะส่งเจ้าจะกลับคืนสู่ธุลีดินจะขอใช้ประโยชน์จากเจ้าให้มากกว่านี้หน่อย

                ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้มายุยง ถึงได้คิดจะกำจัดเขาแต่ตอนนี้ความโกรธมันครอบงำความนึกคิดไปหมดแล้ว

                ไม่สนอะไรอีกแล้ว

                ขอฆ่าไอ้หมอนี่ก่อน

                ในสมองมีแต่คำพูดแบบนั้นลอยอยู่เต็มไปหมด

                กฤษณะยังพูดต่อไปอีกว่า

                “เมื่อกี้ถามสินะว่าที่นี่เคยเกิดอะไรขึ้น ที่นี่เคยเป็นสถานที่ทดลองสร้างอสุรามาก่อนแต่ก็ล้มเหลวอย่างที่เห็น เพราะตอนที่ทำการทดลองนั้นยังไม่มีแม้แต่อมฤตเลยด้วยซ้ำ พวกตัวอย่างทดลองก็ต้องฆ่ามนุษย์เป็นๆ เพื่อทำให้วิญญาณกลายเป็นอสูรแต่ก็จบที่เป็นอสุราไม่ได้อยู่ดี ลงท้ายสติสัมปชัญญะก็ถูกจิตของอสูรดั้งเดิมที่ไปเอามาจากเมืองโบราณของมนุษย์กลืนกินจนหลงลืมวิญญาณในปัจจุบันไปสิ้นเลยผนึกไว้ที่นี่แล้วก็ละทิ้งเกาะแห่งนี้ไป

                แล้วเอื้อมมือไปจับไหล่ของอสูร

                “ แต่ไหนๆ ก็สร้างมาแล้วขอใช้ดูหน่อยก็แล้วกัน อสูรน่ะมีพลังในการสิงสู่เป็นหลักแต่เพราะพวกมันเป็นของล้มเหลวเลยสิงได้แต่สิ่งที่อ่อนแอกว่า น่าเสียดายที่นี่ไม่มีคนที่อ่อนแอกว่ามันเลย

                กฤษณะกล่าวแบบนั้นพลางกวาดตามองไปรอบๆ ห้องราวกับจะหาเหยื่อ

                แล้วสายตาเจ้าปัญหานั่นก็หยุดที่เน็กส์

                “เป็นเจ้าก็แล้วกัน

                แล้วยกขลุ่ยขึ้นเป่า เสียงขลุ่ยมีพลังอำนาจวิเศษปะปนมาด้วยเหมือนกับเป็นอาคม เสียงของมันทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนล้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน

                “อึก นี่มันอะไรกันน่ะ

                นรินทร์พยายามปิดหูด้วยมือแต่เสียงก็ยังทะลุผ่านเข้าไปได้อยู่ดี ลงท้ายก้รู้สึกล้าไปทั้งตัวจนยกแขนไม่ขึ้น แม้แต่แรงจะจับไม้เท้าก็ยังไม่มี

                เขาปล่อยไม้เท้าตกพื้นแล้วทรุดเข่าลงข้างหนึ่ง คนอื่นก็มีอาการทรมานแบบเดียวกัน

                ในตอนนั้นเอง ที่กฤษณะผลักอสูรที่จับไว้ อสูรกลายเป็นเงาแล้วพุ่งมาทางนี้

                พุ่งเข้าใส่ร่างของเน็กส์

                “อ๊ากก!!

                เด็กชายกรีดร้องเสียงดัง กรีดร้องอย่างทรมานราวกับได้รับความเจ็บปวดแทบขาดใจ

                แล้วเสียงขลุ่ยก็หยุดลง ความเหนื่อยล้าที่เข้าจู่โจมหายไปในทันที

                “เน็กส์!

                นรินทร์หันไปทางน้องที่โดนเล่นงานด้วยความเป็นห่วง เน็กส์นั่งทรุดเข่าอยู่กับพื้นตรงนั้นสองมือกุมหน้าอกตรงจุดที่โดนปีศาจทะลุผ่านเข้าไปในร่างด้วยสีหน้าทรมาน

                กฤษณะกล่าวว่า

                “ถึงจะเป็นเดโมนอยด์แต่ก็ยังเยาว์วัยนักแค่นี้ก็เพียงพอให้สิงสู่ได้แล้วล่ะนะของชำรุดก็ให้คู่กับของชำรุดไปคงเข้ากันได้ดีน่าดู

                เจ้านั่นพูดว่าเน็กส์เป็นของชำรุด สาเหตุคงเป็นเพราะเดโมนอยด์คือสิ่งที่กลายเป็นดิวินิแดดไม่กระมัง

                เดโมนอยด์คือมนุษย์ที่ปลูกถ่ายยีนส์ของปีศาจลงในร่างกายแต่เพราะปีศาจที่รับได้ระดับไม่สูง ไม่ใช่ระดับเทพเจ้าจึงถือว่าเป็นของชำรุดอย่างนั้นสินะ

                เหมือนกับอสูรที่เป็นอสุราไม่ได้ มันตั้งใจจะพูดแบบนั้นสินะ

                แค่นั้นความโกรธของนรินทร์ก็ทะลุเกิดจุดเดือดไปแล้ว เขาก้มเก็บไม้เท้าและกำมันแน่นจนข้อมือซีดขาว หันกลับไปมองเทพปีศาจที่น่ารังเกียจนั่นด้วยสายตาเคียดแค้น

                กฤษณะยิ้มให้กับดวงตาเช่นนั้น

                “ฮึ...

                แต่นรินทร์กลับเผยรอยยิ้มออกมาทำให้เจ้านั่นผงะไปครู่หนึ่ง

                “แค่นี้พอแล้วใช่ไหมอิงศร

                แล้วเน็กส์ที่กุมหน้าอกทำท่าทรมานอยู่ก็หยุดแสดงท่าทีเช่นนั้น

                กฤษณะที่เห็นแบบนั้นเข้าก็สบถด้วยความงวยงง

                นี่มันอะไรกัน

                เน็กส์คลายมือที่กุมหน้าอกซึ่งถูกอสูรพุ่งเข้าใส่ เงาของอสูรค้างเติ่งอยู่ตรงนั้นห่างจากผิวไปแค่ไม่กี่เซนติเมตร เพราะถูกกำบังด้วยโล่หรืออะไรซักอย่างที่บางใสและโปร่งแสง

                เป็นอย่างที่เราเดากันไว้เลยนะ

                นรินทร์กล่าวกับใครซักคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ แล้วใครคนนั้นก็คอยสั่งให้เขากับเน็กส์แสดงเป็นว่าโดนเล่นงานผ่านทางหน้าจอสื่อสารที่ย่อเป็นขนาดเล็กเหน็บไว้ที่หูซึ่งหรี่เสียงให้เบาจนได้ยินแค่เขาคนเดียว

                เน็กส์เองก็ทำเหมือนกัน พวกเขาทำมันไว้ตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาที่นี่    

                เอ๋ จะขอพูดเหรอ อืมได้สิ

                ปลายสายจะอยากพูดอะไรซักอย่างนรินทร์จึงถอดหน้าจอสื่อสารออกมาขยายมันกลับขนาดเดิมแล้วเร่งเสียงให้ดังจนได้ยินในระดับปกติ

                เสียงจากปลายสายดังขึ้น

                คิดว่าพวกเราโดนเล่นงานด้วยวิธีแบบนั้นมากี่รอบกันแล้วล่ะ

                เสียงของอิงศรนั่นเอง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×