คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #207 : Login 204: สถานที่ซึ่งอสูรตื่นจากนิทรา3
Login
204: สถานที่ซึ่งอสูรตื่นจากนิทรา3
ตอนนี้รู้แล้วว่าคนที่บุกรุกเข้ามาในเรือนหลังนี้ก่อนพวกเขาน่าจะเป็นมิ่งขวัญ
แต่อสูรที่พวกเขาไล่ตามมาล่ะไปไหนแล้ว?
จนถึงตอนนี้พวกเขาเหยียบเข้ามาในห้องเปล่าๆ
ของเรือนหลังนี้ก็ปาเข้าไปหลายนาทีแล้วแต่ก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้น
หรือว่ามันจะทะลุกำแพงหนีไปข้างหลังกันแล้วนะ
บางทีที่เข้ามาข้างในเรือนนี่อาจจะแค่ล่อให้หลงทางรึเปล่า
“…”
นึกอยู่พักหนึ่ง
นรินทร์ก็คิดขึ้นมาได้ว่าแอพพลิเคชั่นปีศาจ ‘เมลคีเซเดค’ ที่พัฒนามาจาก ‘นัยน์ตาปีศาจแห่งลาพาส’ ของเขานั้นมีความสามารถแกะรอยพ่วงมาด้วย
นรินทร์ดึงแว่นปีศาจที่คาดอยู่บนหน้าผากลงและทำให้เทวทูตเมลคีเซเดคที่ซ่อนตัวจากโหมดพักชั่วคราวปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง
ต้องขอบคุณ
ซากิริ อามาเนะ นักวิจัยสัตว์เทวะที่เคยเจอกันก่อนหน้านี้
เขาได้ยินจากเน็กส์ว่าหล่อนช่วยอัพเกรดลาพาสให้น่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้ขอบคุณเรื่องนี้หล่อนก็จากไปเสียก่อน
ได้ยินตอนแรกก็นึกตกใจอยู่เหมือนกันว่ามนุษย์สามารถพัฒนาปีศาจได้เองง่ายๆ
แบบนั้นได้อย่างไร
แต่พอรู้ตัวจริงของซากิริ อย่าง เทวทูตซาคคิเอล
แล้วความสงสัยนั่นก็เป็นอันคลี่คลาย
ถึงอย่างนั้นก็เถอะมันก็ยังมีคนที่พัฒนาปีศาจได้เองอยู่คนหนึ่ง
อิงศรนั่นเอง
ถึงจะไม่มีเรื่องตัวจริงของซากิริเป็นเทวทูต เข้ามาก็คงจะปัดเป็นกรณีเดียวกับอิงศร
ถึงอย่างไรเสียโลกใบนี้มันก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ทั้งนั้น
โลกที่ความเป็นไปได้ไม่ถูกจำกัดเอาไว้แห่งนี้
“…”
แว่นตาส่งข้อมูลการแกะรอยที่ประมวลผลเสร็จมาแล้ว
ภาพของห้องอันว่างเปล่าที่มีน้ำท่วมขังอยู่ครึ่งหนึ่งโดยทำมุมเอียงประมาณสามสิบองศาพอมองผ่านเลนส์ของแว่นก็เห็นภาพเป็นสีแดงเหมือนมองผ่านกล้องอินฟาเรด
จากประตูที่พวกเขาเข้ามามีร่องรอยถูกทิ้งไว้ให้เห็นเป็นรอยสีดำเหมือนมีอะไรลากผ่านตรงนี้ไปจนถึงกลางห้องที่มีเชือกแขวนห้อยลงมา
เชือกซึ่งมัดเป็นบ่วงเหมือนเอาไว้แขวนคอมนุษย์
พอมองไปตรงนั้นผ่านแว่นตาก็มองเห็นเงาดำลางๆ
ที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
“เปิดเผยมันออกมาเมลคีเซเดค”
นรินทร์ออกคำสั่งกับปีศาจ
เมลคีเซเดคที่อยู่ด้านหลังผงกศีรษะแล้วเปล่งแสงจากเซ็นเซอร์ที่ดวงตาจักรกลออกไป
แสงสาดกระทบพื้นที่บริเวณตรงนั้นจนเห็นพื้นกลายเป็นสีแดงที่มีเงาสีดำพาดทับ
เงาร่างอันบิดเบี้ยว
ผอมเพรียว ร่างเปลือยเปล่าเผยผิวหนังซึ่งเต็มไปด้วยรอยสัก
ใบหน้ามีเคราขึ้นรกรุงรังจนแทบมองไม่เห็นรายละเอียดอื่นๆ
อสูรซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นมาตลอดจนกระทั่งโดนเมลคีเซเดคเปิดเผยที่ซ่อน
นรินทร์งัดแว่นตาขึ้นไปคาดหน้าผากอีกครั้งทำให้เมลคีเซเดคหายไปเพราะกลับไปยังโหมดพักชั่วคราวแต่ผลการเปิดเผยที่ซ่อนของอสูรนั้นไม่ได้หายตามไปด้วย
คนอื่นๆ
ก็เริ่มสังเกตุเห็นอสูรแล้วเหมือนกัน
แล้วอสูรก็รู้ตัวแล้วว่าโดนพวกเขามองเห็นเข้าให้
อสูรเบนสายตามาทางนี้แล้วพูดเหมือนคำราม
“พวกมึงเอาอีกแล้วอยากจะได้สมบัติของกูขนาดนั้นเลยรึไง”
สมบัติ? ดูเหมือนอสูรจะกำลังเข้าใจพวกเขาผิด
เพราะแบบนั้นเลยมาโจมตีรึเปล่านะ
นรินทร์คิดว่าลองเจรจาดูก็ไม่เสียหาย
“เดี๋ยวก่อนครับพวกเราน่ะไม่ได้มีเจตนาร้ายนะครับ
เรื่องสมบัติอะไรนั่นก็ไม่รู้เรื่องด้วยพวกเราแค่…”
แต่อสูรกลับตะคอกมาว่า
“กูไม่สน!
พวกมึงขึ้นมาบนเกาะของกู พวกมึงมาบุกถิ่น กูจะฆ่าพวกมึง!”
แล้วพุ่งจู่โจมเข้ามา
“ให้ตายเถอะไม่ยอมฟังกันเลยแฮะ”
นรินทร์สบถใส่อสูรตนนั้น
มือกำไม้เท้าแน่นพลางคิดหาสกิลที่จะยับยั้งอีกฝ่ายเพื่อยื้อเวลาให้ได้พูดคุยกัน
ทว่า…
“อัก”
จู่ๆ
อสูรก็หยุดชะงักไป ร่างกายชักกระตุกเหมือนโดนไฟดูด ทั้งที่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย
แล้วก็มีเสียงดังแว่วมา
เป็นเสียงขลุ่ยที่มีทำนองน่าพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งที่เป็นขลุ่ยแต่ท่วงทำนองกลับดุดันและสร้างความฮึกเหิมราวกับเสียงแตรแห่งสงคราม
คงเป็นเพราะเสียงขลุ่ยที่ว่าอสูรถึงได้ชะงักไป
แม้แต่พวกเขาที่ฟังท่วงทำนองนั่นก็ยังพลอยอึดอัดหายใจไม่สะดวกขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ไม่นานนักเสียงขลุ่ยก็หยุดบรรเลง
เจ้าของเสียงขลุ่ยปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่ายีนเคียงข้างอสูรที่ตัวแข็งทื่อทันทีที่เสียงขลุ่ยหยุดบรรเลง
ที่นั่นมีชายหนุ่มผู้งดงามราวกับเทวดาในชุดสูทสีดำสนิท
ทั้งหมวกทรงเค้กผ้ากำมะหยี่ ทั้งถุงมือ และกางเกงสแล็คขายาว
ทั้งหมดเป็นสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า
มือทั้งสองพยุงขลุ่ยทองคำจรดริมฝีปากแสดงความเป็นเจ้าของท่วงทำนองเมื่อครู่
ชายหนุ่มมีใบหน้าอันปราดเปรื่อง
ปอยผมสีดำหยิกหยักศกลอดลงมาจากใต้หมวก
เงาของปีกหมวกบดบังรอบบริเวณสายตาเอาไว้ทำให้ดูลึกลับ
ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส
“ไม่ไหวๆ
พวกของไม่สมบูรณ์เนี่ยยังไงก็ใช้การไม่ได้อยู่วันยังค่ำ”
นรินทร์ถาม
“นั่นใครน่ะ”
“นั่นมันคำถามของทางนี้ต่างหากพวกเจ้านั่นแหละใครกันถึงได้ล่วงล้ำเข้ามาในเขตทดลองของเราได้”
“เขตทดลองงั้นเหรอ?”
นรินทร์ทวนคำพูดของอีกฝ่ายด้วยความฉงนหวังให้อธิบาย
แต่ชายหนุ่มผู้นั้นก็หาได้สนใจไม่
“แต่เอาเถอะถามไปก็เท่านั้นเพราะทางนี้รู้ดีเสียยิ่งกว่าอะไรว่าพวกเจ้าคือเหล่ามนุษย์ที่ไปยุ่งเกี่ยวกับฟันเฟืองของผู้ควบคุมสูงสุดที่ทางเรากำลังเฝ้าจับตาดูอยู่แท้ๆ
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะมาหากันถึงถิ่นแบบนี้”
พอได้ยินแบบนั้นโพแทสเซียมก็พูดว่า
“ดูเหมือนทางนั้นจะรู้จักพวกเรานะครับ”
ท่าทางดูเหมือนแบบนั้นเลยแหละ
แล้วก็ดูจากบรรยากาศแล้วไม่น่าจะใช่มนุษย์ด้วย
ปีศาจ
มนุษย์ต่างดาว
หรือ อสูรที่มีความนึกคิด
เป็นตัวอะไรกันแน่นะ
นรินทร์ที่ครุ่นคิดแบบนั้นจึงถามโพแทสเซียมโดยไม่หันไปมอง
“แล้วเอเลี่ยนอย่างพวกนายพอจะมีข้อมูลบ้างรึเปล่าล่ะ”
“ไม่รู้สิครับแต่ว่ากลิ่นอายแบบนั้นไม่ใช่ชาวโลกธรรมดาแน่นอน”
ท่าทางว่าข้อมูลจะมีไม่พอ
ตอนนั้นเองอีกฝ่ายก็พูดออกมาเอง ข้อมูลเรื่องตัวตนที่ชัดเจนและฟังดูน่าตกใจ
“ข้าคือดิวินิแดด
ผู้โปรดสัตว์ กฤษณะ”
คำพูดนั่นทำให้นรินทร์ตาเบิกกว้าง
“ดิวินิแดดเหรอ
ถ้างั้นก็อารย-สนธยาน่ะสิ”
แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธทันที
“อารย-สนธยาเหรอไม่ใช่หรอก...นั่นเป็นเพียงหน่ออ่อนของพวกเราเท่านั้น”
“หน่ออ่อน? หมายความว่ายังไงกันน่ะ”
พอถามไป
กฤษณะก็แค่นเสียงหัวเราะ
“หึๆๆ
ข้าจะบอกนามอันแท้จริงที่กำลังเคลื่อนไหวโลกใบนี้ให้พวกเจ้ารู้ก็ได้นะพวกเราคือผู้สนับสนุนการวิจัยที่จะช่วยผืนแผ่นดินอันฟอนเฟะที่ผู้ควบคุมใช้มันต่างถังขยะแห่งนี้”
อีกฝ่ายพูดไปก็พลางทำท่าทางใหญ่โตราวสติไม่ดี
“พวกเราคือ ‘กลุ่มเงินทุนสวรรค์อนธกาล
ฟาวเดชั่นอี (Foundation
E)’ ยังไงล่ะ“
กลุ่มเงินทุนสวรรค์อนธกาล?
ฟาวเดชั่นอี?
มีแต่ชื่อที่ไม่รู้จักแล้วก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนทั้งนั้น
ความสงสัยผุดขึ้นเต็มอก
ทว่า...
ในใจของนรินทร์ไม่ได้มีแต่คำถามวนเวียนอยู่เท่านั้นแต่มันเริ่มมีอุณหภูมิของความโกรธคุกรุ่นขึ้นมา
นรินทร์สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันชั่วร้ายและอันตรายจากคนๆ
นี้ เท่านั้นยังไม่พอ
ยังรู้สึกอีกว่าเคยพบกับคนๆ
นี้ที่ไหนมาก่อน ซักที่ในความทรงจำอันเลือนลางกำลังร้องบอกว่าคนผู้นี้คือศัตรู
“พวกคุณมีเป้าหมายอะไรกันแน่
แล้วทำอะไรกับเกาะนี้ ที่นี่มันเคยเกิดอะไรขึ้น เคยทดลองเรื่องอะไรอยู่”
แต่กฤษณะไม่ตอบ...
กลับเอาแต่จดจ้องมาที่เขาก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา
“หืม…อ๋อ
เจ้าสินะผู้ที่สืบทอดความเป็นไปได้หนึ่งของเรา…นรินทร์นารายณ์”
นามนั้นมัน...
“อึก
อย่าพูดชื่อนั่นนะ”
มันทำให้นรินทร์คิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้
ความโกระผุดขึ้นมาอีก
ความแค้นที่หายไปแล้วกลับคืนมาราวกับภูเขาที่สงบได้ตื่นขึ้นอีกครั้ง
กฤษณะยิ้มเยาะพลางกล่าวอย่างลิงโลด
“ทำไมล่ะ
ก็นั่นคือเจ้าไม่ใช่รึ
อ้อรู้แล้วเพราะทำให้นึกถึงเรื่องที่ไม่อยากนึกสินะก็มารดาแท้ๆ
ยอมขายวิญญาณให้กับข้าผู้นี้เพื่อคืนชีพเจ้านี่นา”
ว่าไงนะ?
เรื่องนั้นมัน...
“หมายความว่ายังไง!”
นรินทร์พูดตะคอกด้วยความโกรธที่ควบคุมไม่ได้
เขาไม่รู้แล้วว่าในเวลานี้ทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกโกรธเกรี้ยวขนาดนี้
เพราะเพลงขลุ่ยเมื่อกี้?
เพราะกลิ่นอายของมัน?
หรือเพราะคำพูดยั่วยุที่พูดด้วยน้ำเสียงใสซื่อนั่นกันแน่?
เขาไม่รู้เลยจริงๆ
แล้วกฤษณะที่ยืนชมสีหน้าอันบิดเบี้ยวไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายนั่นก็กล่าวอย่างบันเทิงใจ
“ก็แบบนี้ไง”
อีกฝ่ายตั้งท่ากางแขนยืดอกผายผึ่งราวกับจะโบยบิน
“คนที่รับฝากเอาเดธอาคานาร์จากท่านผู้นั้นไปมอบให้กับแม่ของเจ้าก็คือกฤษณะผู้นี้เองยังไงล่ะหรือถ้าพูดให้ชัดกว่านี้ข้าคือคนที่เจ้าสมควรโกรธแค้นที่สุดคนหนึ่งล่ะมั้งเพราะตอนที่ไปเสนอเงินทุนให้กับเจ้าอาวาสอารย-สนธยา
ข้าเองก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้น”
ไม่ไหวแล้วควบคุมความโกรธไม่ได้อีกแล้ว
นรินทร์ตะหวาดใส่ครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ที่น่ารังเกียจนั่นไปว่า
“แก…เป็นคนล่อลวงพ่อกับแม่ฉันอย่างนั้นสินะ”
เมื่อได้เห็นนรินทร์หัวร้อนแบบนั้น
กฤษณะก็ตอบรับอย่างยินดีเป็นที่สุด
“ใช่!”
แล้วจับขลุ่ยตั้งท่าจะเป่ามันแต่ก็กล่าวยั่วยุมาอีก
“เอ้า
โหมกระพือความโกรธเข้าไปอีกสิก่อนที่ข้าจะส่งเจ้าจะกลับคืนสู่ธุลีดินจะขอใช้ประโยชน์จากเจ้าให้มากกว่านี้หน่อย”
ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้มายุยง
ถึงได้คิดจะกำจัดเขาแต่ตอนนี้ความโกรธมันครอบงำความนึกคิดไปหมดแล้ว
ไม่สนอะไรอีกแล้ว
ขอฆ่าไอ้หมอนี่ก่อน
ในสมองมีแต่คำพูดแบบนั้นลอยอยู่เต็มไปหมด
กฤษณะยังพูดต่อไปอีกว่า
“เมื่อกี้ถามสินะว่าที่นี่เคยเกิดอะไรขึ้น
ที่นี่เคยเป็นสถานที่ทดลองสร้างอสุรามาก่อนแต่ก็ล้มเหลวอย่างที่เห็น
เพราะตอนที่ทำการทดลองนั้นยังไม่มีแม้แต่อมฤตเลยด้วยซ้ำ
พวกตัวอย่างทดลองก็ต้องฆ่ามนุษย์เป็นๆ
เพื่อทำให้วิญญาณกลายเป็นอสูรแต่ก็จบที่เป็นอสุราไม่ได้อยู่ดี
ลงท้ายสติสัมปชัญญะก็ถูกจิตของอสูรดั้งเดิมที่ไปเอามาจากเมืองโบราณของมนุษย์กลืนกินจนหลงลืมวิญญาณในปัจจุบันไปสิ้นเลยผนึกไว้ที่นี่แล้วก็ละทิ้งเกาะแห่งนี้ไป”
แล้วเอื้อมมือไปจับไหล่ของอสูร
“ แต่ไหนๆ
ก็สร้างมาแล้วขอใช้ดูหน่อยก็แล้วกัน
อสูรน่ะมีพลังในการสิงสู่เป็นหลักแต่เพราะพวกมันเป็นของล้มเหลวเลยสิงได้แต่สิ่งที่อ่อนแอกว่า
น่าเสียดายที่นี่ไม่มีคนที่อ่อนแอกว่ามันเลย”
กฤษณะกล่าวแบบนั้นพลางกวาดตามองไปรอบๆ
ห้องราวกับจะหาเหยื่อ
แล้วสายตาเจ้าปัญหานั่นก็หยุดที่เน็กส์
“เป็นเจ้าก็แล้วกัน”
แล้วยกขลุ่ยขึ้นเป่า
เสียงขลุ่ยมีพลังอำนาจวิเศษปะปนมาด้วยเหมือนกับเป็นอาคม
เสียงของมันทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนล้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“อึก
นี่มันอะไรกันน่ะ”
นรินทร์พยายามปิดหูด้วยมือแต่เสียงก็ยังทะลุผ่านเข้าไปได้อยู่ดี
ลงท้ายก้รู้สึกล้าไปทั้งตัวจนยกแขนไม่ขึ้น แม้แต่แรงจะจับไม้เท้าก็ยังไม่มี
เขาปล่อยไม้เท้าตกพื้นแล้วทรุดเข่าลงข้างหนึ่ง
คนอื่นก็มีอาการทรมานแบบเดียวกัน
ในตอนนั้นเอง
ที่กฤษณะผลักอสูรที่จับไว้ อสูรกลายเป็นเงาแล้วพุ่งมาทางนี้
พุ่งเข้าใส่ร่างของเน็กส์
“อ๊ากก!!”
เด็กชายกรีดร้องเสียงดัง
กรีดร้องอย่างทรมานราวกับได้รับความเจ็บปวดแทบขาดใจ
แล้วเสียงขลุ่ยก็หยุดลง
ความเหนื่อยล้าที่เข้าจู่โจมหายไปในทันที
“เน็กส์!”
นรินทร์หันไปทางน้องที่โดนเล่นงานด้วยความเป็นห่วง
เน็กส์นั่งทรุดเข่าอยู่กับพื้นตรงนั้นสองมือกุมหน้าอกตรงจุดที่โดนปีศาจทะลุผ่านเข้าไปในร่างด้วยสีหน้าทรมาน
กฤษณะกล่าวว่า
“ถึงจะเป็นเดโมนอยด์แต่ก็ยังเยาว์วัยนักแค่นี้ก็เพียงพอให้สิงสู่ได้แล้วล่ะนะของชำรุดก็ให้คู่กับของชำรุดไปคงเข้ากันได้ดีน่าดู”
เจ้านั่นพูดว่าเน็กส์เป็นของชำรุด
สาเหตุคงเป็นเพราะเดโมนอยด์คือสิ่งที่กลายเป็นดิวินิแดดไม่กระมัง
เดโมนอยด์คือมนุษย์ที่ปลูกถ่ายยีนส์ของปีศาจลงในร่างกายแต่เพราะปีศาจที่รับได้ระดับไม่สูง
ไม่ใช่ระดับเทพเจ้าจึงถือว่าเป็นของชำรุดอย่างนั้นสินะ
เหมือนกับอสูรที่เป็นอสุราไม่ได้
มันตั้งใจจะพูดแบบนั้นสินะ
แค่นั้นความโกรธของนรินทร์ก็ทะลุเกิดจุดเดือดไปแล้ว
เขาก้มเก็บไม้เท้าและกำมันแน่นจนข้อมือซีดขาว
หันกลับไปมองเทพปีศาจที่น่ารังเกียจนั่นด้วยสายตาเคียดแค้น
กฤษณะยิ้มให้กับดวงตาเช่นนั้น
“ฮึ...”
แต่นรินทร์กลับเผยรอยยิ้มออกมาทำให้เจ้านั่นผงะไปครู่หนึ่ง
“แค่นี้พอแล้วใช่ไหมอิงศร”
แล้วเน็กส์ที่กุมหน้าอกทำท่าทรมานอยู่ก็หยุดแสดงท่าทีเช่นนั้น
กฤษณะที่เห็นแบบนั้นเข้าก็สบถด้วยความงวยงง
“นี่มันอะไรกัน”
เน็กส์คลายมือที่กุมหน้าอกซึ่งถูกอสูรพุ่งเข้าใส่
เงาของอสูรค้างเติ่งอยู่ตรงนั้นห่างจากผิวไปแค่ไม่กี่เซนติเมตร
เพราะถูกกำบังด้วยโล่หรืออะไรซักอย่างที่บางใสและโปร่งแสง
“เป็นอย่างที่เราเดากันไว้เลยนะ”
นรินทร์กล่าวกับใครซักคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่
แล้วใครคนนั้นก็คอยสั่งให้เขากับเน็กส์แสดงเป็นว่าโดนเล่นงานผ่านทางหน้าจอสื่อสารที่ย่อเป็นขนาดเล็กเหน็บไว้ที่หูซึ่งหรี่เสียงให้เบาจนได้ยินแค่เขาคนเดียว
เน็กส์เองก็ทำเหมือนกัน
พวกเขาทำมันไว้ตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาที่นี่
“เอ๋ จะขอพูดเหรอ
อืมได้สิ”
ปลายสายจะอยากพูดอะไรซักอย่างนรินทร์จึงถอดหน้าจอสื่อสารออกมาขยายมันกลับขนาดเดิมแล้วเร่งเสียงให้ดังจนได้ยินในระดับปกติ
เสียงจากปลายสายดังขึ้น
‘คิดว่าพวกเราโดนเล่นงานด้วยวิธีแบบนั้นมากี่รอบกันแล้วล่ะ’
เสียงของอิงศรนั่นเอง
ความคิดเห็น