ตอนที่ 205 : Login 202: สถานที่ซึ่งอสูรตื่นจากนิทรา
Login 202: สถานที่ซึ่งอสูรตื่นจากนิทรา
ขณะที่พวกอิงศรไล่ตามมิ่งขวัญไปที่ป่านั่นเอง
อีกด้านหนึ่ง...
นรินทร์กับเน็กส์ที่หลงอยู่ในทางลับก็มุดลงท่อระบายน้ำ
พื้นท่อไม่ได้ลึกอย่างที่เห็นแต่เพราะบรรยากาศที่มืดสนิทไร้ซึ่งแสงใดๆ ส่องลงมานรินทร์ต้องอาศัยใช้แสงไฟจากหน้าจอระบบที่เปิดทิ้งไว้ส่องนำทาง โดยให้เน็กส์ยืนรออยู่ตรงปากท่อแล้วช่วยส่องไฟจากหน้าจอลงมาเสริมอีกแรง เนื่องจากเส้นทางค่อนข้างคับแคบจึงลงมาได้ทีละคน
น้ำท่วมถึงแค่ข้อเท้า เป็นข่าวดีว่าพวกเขาอาจจะใช้นี่เป็นเส้นทางหนีได้
นรินทร์ก้มตัวลงมองอุโมงค์น้ำเล็กๆ ที่สายน้ำกำลังไหลไป
มันน่าจะเชื่อมออกไปข้างนอกได้...นรินทร์คิดแบบนั้นแล้วเงยหน้าตะโกนขึ้นไปว่า
“เดี่ยวพี่จะลองมุดดูก่อนถ้าเรียกแล้วค่อยลงมานะ”
“ได้ฮะ”
เมื่อตกลงสัญญาณกันเรียบร้อยนรินทร์ก็มุดเข้าไปในอุโมงค์ใต้ท่อระบายน้ำ
ช่องทางบีบเข้ามา คับแคบเป็นอย่างมากจนต้องนอนราบแล้วคลานด้วยข้อศอกอาศัยเชิดหัวให้สูงติดเพดานซึ่งพอจะช่วยให้พ้นน้ำได้
ถึงมนุษย์ในตอนนี้จะสามารถหายใจใต้น้ำได้ก็ตามแต่คุณภาพของน้ำในท่อระบายนี่อยากจะเลี่ยงเอาไว้ให้มากที่สุด
เมื่อคลานไปได้ครึ่งทางก็รู้สึกว่าเพดานเริ่มสูงขึ้นแสงไฟจากหน้าจอที่สะท้อนไปข้างหน้าทำให้เห้นว่าเส้นทางเริ่มกว้างขึ้นดังนั้นจึงตะโกนเรียกเน็กส์ลงมา
“ลงมาเลย!!”
ได้ยินเสียงตอบกลับดังแว่วลงมาจากนั้นก็มีเสียงน้ำสาดกระเซ็น ไม่นานนักเน็กส์ก็คลานตามมาทัน พวกเขาเริ่มคลานไปตามทางอีกครั้ง
อุโมงค์กว้างขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อถึงประมาณหนึ่งก็สามารถลุกขึ้นมาเดินแบบธรรมดาได้
ผนังปูนเริ่มกลายเป็นเป็นผนังถ้ำตามธรรมชาติ ส่วนเว้าโค้งที่ไม่สม่ำเสมอของเพดานเป็นตัวบ่งบอกว่าตอนนี้พวกเขาออกมาจากใต้ดินนั่นแล้ว น้ำที่ท่วมพื้นก็ตื้นขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่างที่เดินกันอยู่นี่นรินทร์ก็ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เจอมา
โครงกระดูกที่เจอตอนอยู่ในทางลับนั่นเป็นของใครกัน ?
ทั้งที่ในตอนที่มายังรีสอร์ทแห่งนี้ก็ไม่เจอคนเลยไม่เจอร่องรอยว่ามีคนอยู่อาศัยมานานแล้วด้วยราวกับว่าที่นี่ถูกทิ้งร้างตั้งแต่ก่อนโลกจะล่มสลายเสียอีก
หรือโครงกระดูกพวกนั้นจะเป็นคนที่เคยอยู่ที่นี่กันนะ
แล้วทางลับนั่นมีไว้เพื่ออะไรกัน ?
นรินทร์ได้แต่ปล่อยให้ความคิดในหัวแล่นไปอย่างไร้จุดหมาย ไม่สามารถหาความเชื่อมโยงได้เลย
ตอนนั้นเองก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่เน็กส์ตกลงมาเจอเขาข้างล่างก็เหมือนพยายามจะบอกอะไรซักอย่าง
“เน็กส์ตอนที่ตกลงมาจะพูดอะไรกับพี่รึเปล่า”
ได้ฟังดังนั้นเด็กชายก้ทุบมือเหมือนเพิ่งนึกออก
“จริงด้วยตอนนั้นพี่รินถามผมว่าตกลงมาในนั้นได้ไงใช่ไหมฮะพี่รินยังเรื่องเมื่อคืนวันนั้นจำได้รึเปล่าฮะ”
“หมายถึงคืนที่เราก่อกองไฟกันน่ะเหรอ”
เน็กส์พยักหน้าเร็วๆ
“ใช่ฮะ คืนที่พวกเราเห็นยายแก่น่ากลัวๆ ในป่านั่นน่ะ ผมเพิ่งนึกได้เมื่อกี้เองว่าคนแก่ที่ผลักผมตกลงมาคือคุณยายคนนั้นน่ะแหละหรือว่าพี่รินเองก็โดนมาเหมือนกัน”
นรินทร์ส่ายหน้า
“เปล่านะ พี่แค่บังเอิญตกลงมาน่ะไม่นึกว่าจะมีทางเข้าซ่อนอยู่ในผนังน่ะสิ”
ข้อมูลจากเน็กส์ทำให้เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นมาได้นิดหน่อย
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเข้าไปในห้องของอิงศรเพื่อดูอาการให้มิ่งขวัญนั้นก็ได้กลิ่นเหม็นฉุนแปลกๆ ในตอนนั้นคิดว่าเพราะทั้งสองคนไม่ได้อาบน้ำจนกลิ่นตัวแรง แต่ความจริงเพราะว่ากลิ่นมันค่อนข้างจะอ่อนเลยทำให้นึกไม่ถึงว่ากลิ่นนั่นที่จริงแล้วเหมือนกับกลิ่นที่อยู่ในทางลับที่เต็มไปด้วยโครงกระดูกนั่น
กลิ่นที่เกิดจากการย่อยสลายของสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว
กลิ่นอายของความตาย
กลิ่นเนื้อเน่านั่นเอง
แล้วกลิ่นที่ว่าก็เหมือนกับที่ศาลพระภูมิในป่าด้วย กลิ่นของมนต์ดำคละคลุ้งอยู่ในห้องของอิงศร
มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกอิงศรในขณะนี้
เขาลองเปิดหน้าจอระบบขึ้นมาเพื่อจะติดต่อไปหา หน้าจอปาร์ตี้กลับมาทำงานตามเดิมแล้วพวกเขาคงขึ้นมาถึงจุดที่อยู่ในเขตป้องกันของเกาะแล้ว
ตอนนั้นเองเน็กส์ก็ส่งเสียงมาว่า
“พี่รินฮะทางออก”
พอมองไปตางทางที่เน็กส์ชี้ก็มองเห็นแสงสว่างที่ปลายปากถ้ำ
ดังนั้นพวกเขาจึงเร่งฝีเท้าวิ่งด้วยความดีใจ
ที่ปลายทางซึ่งพ้นออกมาจากถ้ำคือทิวทัศน์ของอ่าวอันเงียบสงบและสวยงาม
ไม่รู้ว่าฝนหยุดตกไปตั้งแต่เมื่อไหร่นับแต่ที่ตกลงไปในทางลับนั่นแต่ตอนนี้ท้องฟ้าเปิดออกทำให้แส
งจากดวงจันทร์ส่องลงมาได้เต็มที่จึง
เพราะแสงจันทร์ช่วยสร้างบรรยากาศด้วยจึงรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้งดงามเป็นอย่างมาก
ทั้งงดงามและลึกลับ
อ่าวซึ่งเกิดขึ้นจากแนวหินที่มีลักษณะโค้งเว้าเข้ามาในเกาะทำให้คลื่นเบาลงจนน้ำแทบจะไม่กระเพื่อม
น้ำใสจนมองเห็นพื้นทรายด้านล่างและสัตว์เทวะคล้ายปลาตัวเล็กๆ ที่ดูไม่มีพิษมีภัย
ภายในอ่าวอันสงบนิ่งนั่นยังมีสิ่งก่อสร้างเหมือนศาลาที่เอียงกะเท่เร่จมอยู่ครึ่งหลังด้วยทำให้บรรยากาศดูลึกลับมากยิ่งขึ้น
นรินทร์พึมพำกับตัวเอง
“บนเกาะมีสถานที่แบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย”
แล้วหันกลับไปมองทางที่เดินออกมาซึ่งกลายเป็นถ้ำใต้ภูเขาลูกใหญ่บนเกาะแห่งนี้
“ที่นี่เป็นด้านหลังของภูเขาบนเกาะสินะ”
ระหว่างที่มองสำรวจบริเวณรอบๆ อยู่นั้น เน็กส์ก็เดินไปที่ชายฝั่งแล้วก้มหน้ามองผืนน้ำอยู่พักหนึ่งก้เรียกเขา
“พี่รินฮะ”
นรินทร์จึงเดินไปสมทบ
“มีอะไรเหรอ”
ดูเหมือนสิ่งที่เน็กส์กำลังให้ความสนใจจะเป็นพวกปลาเทวะในอ่าว ปลาสีชมพูขนาดประมาณสี่สิบเซนฯ ไม่มีเขี้ยวเล็บหรืออาวุธสำหรับป้องกันตัว พวกมันเลเวลเพียงแค่สิบเท่านั้นดูแล้วคงเป็นสัตว์เทวะประเภทมีตัวตนเพื่อดรอปของบริโภคเท่านั้น
เน็กส์กล่าวว่า
“ปลาพวกนี้ที่เรากินกันวันนั้นรึเปล่าฮะ ที่เอามาปิ้งบาร์บีคิวกัน”
“ก็ไม่แน่นะเนื้อที่กินกันวันนั้นคล้ายๆ พวกนี้อยู่ด้วยสิ”
นรินทร์เรียกแอพพลิเคชั่นปีศาจเมลคีเซเดคออกมาแล้วให้มันช่วยตรวจสอบ
รายละเอียดของสัตว์เทวะที่ขึ้นบนแว่นตาปีศาจนั้นระบุว่าคำพูดของเน็กส์ถูกต้อง
“นี่เป็นตัวที่ดรอปเนื้อให้พวกเรากินกันวันนั้นน่ะแหละ ถ้าจำไม่ผิดคนที่ไปหามาก็คือ”
“พี่ขวัญกับพี่กวินทร์ฮะ”
“…”
นรินทร์หยุดคิดไปครู่หนึ่ง
เขาสังหรณ์ว่าตัวเองได้เข้ามาเจอกับสิ่งที่อาจจะเป็นต้นต่อของเรื่องแปลกๆ บนเกาะแห่งนี้
มิ่งขวัญที่เป็นคนหาเนื้อพวกนั้นมาก็น่าจะเคยมาจับปลาเทวะที่นี่เพราะเขายังไม่เคยเห็นปลาพวกนี้แถวบริเวณชายหาดหน้ารีสอร์ทมาก่อน
หลังจากนั้นมิ่งขวัญก็ล้มป่วย
“หรือว่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันรึเปล่านะ”
อย่างไรก็ตามทั้งหมดเป็นแค่การสันนิษฐานเลื่อนลอยเท่านั้นยังไม่มีอะไรที่บ่งชี้อย่างชัดเจน
ในตอนนั้นเอง…
ก็มีเสียงร้องโหยหวนดังลั่นออกมาจากถ้ำ
พวกเขาหันกลับไปดูแล้วก็ต้องผงะกับสิ่งที่เห็น
มีสิ่งมีชีวิตที่ระบุไม่ได้ว่าเป็นอะไรตัวหนึ่งล่องลอยเป็นจังหวะขึ้นลงเหมือนงูทะเลกำลังแหวกว่ายออกมาจากถ้ำ
สิ่งนั้นรูปร่างเหมือนมนุษย์แต่มีเงามืดทะมึนปกคลุมทั้งตัว
เมื่อร่างซึ่งปกคลุมด้วยเงามืดทะมึนต้องแสงจันทร์ก็แลเห็นเครื่องในของมันเปล่งแสงสีเขียวอ่อนๆ ราวกับเป็นหิ่งห้อย
ถ้าเป็นในโลกเก่าคงเรียกสิ่งที่อธิบายไม่ได้นี้ว่า ‘กระสือ’
แต่หลังจากที่โลกล่มสลายลง…
นรินทร์ในตอนนี้ซึ่งได้รับสายอาชีพผู้ใช้มนตรามาจากการเลือกของระบบเกมโลกาวินาศ ตัวเขาจึงได้รับเอาความรู้เกี่ยวกับศาสตร์เวทมาด้วย คิดว่ามันคงจำเป็นสำหรับสกิลของสายเวทระบบเกมถึงติดตั้งมาให้ ด้วยความรู้พวกนั้นบวกกับประสาทสัมผัสพลังเหนือธรรมชาติ ตัวเขาซึ่งเคยเป็นร่างสถิตย์ของวิศนุเทพ และเป็นเจ้าชายขององค์กรศาสตร์ปีศาจอารย-สนธยา
เขาสามารถบอกได้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ปีศาจอย่างแน่นอน กลิ่นอายของอาคมที่ส่งออกมาจากร่างนั่นเป็นคนละอย่างกัน
มันลอยผ่านหน้าพวกเขาไปโดยไม่เฉลียวมองหรือสนใจพวกเขาที่ยืนอยู่ เอาแต่มุ่งหน้าตรงไปยังศาลาซึ่งจมอยู่ในน้ำ
แทบจะทันทีทันใด…
ตูม!!
ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น
เศษผนังถ้ำปลิวกระเด็นลงมาบนชายหาด เหมือนกับว่ามีใครกำลังทุบพังถ้ำ
ต้นเหตุเดินออกมาท่ามกลางฝุ่นควันภายในถ้ำที่กำลังระบายออกมา
ราชครูมนุต่างดาวลิเธียมแแล้วก็โพแทสเซียมนั่นเอง
โพแทสเซียมสำลักฝุ่นควันและไอเสียงดังอยู่ด้านหลังลิเธียมที่ถือดาบและกำลังเดินตรงมาที่นี่
“ซุงลี่…แค่ก แค่ก…รุนแรงไปแล้วนาเกิดมันถล่มลงมาได้โดนฝังกันหมดพอดี”
“ไม่ครับท่านลำดับสี่ ถ้าไม่ทำแบบนี้จะคลาดสายตาจากเจ้านั่นแล้วก็ถึงเพดานจะถล่มลงมาก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้อยู่ดี”
“แค่ก แค่ก …จะเถรตรงเกินไปหน่อยไหมเนี่ยแล้วก็บอกไปแล้วไงว่าอย่าเรียกด้วยลำดับน่ะครับ”
โพแทสเซียมสำลักอยู่พักหนึ่งก็เบนสายตามาทางนี้ ทำหน้าตกใจเหมือนเพิ่งเห็นพวกเขา
“อ้าวซุงรินๆ ก็มาอยู่ที่นี่เหรออย่างที่คิดเลยน้า~”
อย่างที่คิด…งั้นเหรอ
“หมายความว่ารู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือครับ”
นรินทร์กล่าวโดยระมัดระวังคำพูดเป็นพิเศษ ถึงจะเป็นพวกเดียวกันแล้วแต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นมนุษย์ต่างดาวอยู่วันยังค่ำ
โพแทสเซียมพูด
“ที่จริงแค่เดาเอาน่ะครับพวกเราเพียงแค่ตามอสูรมาเท่านั้นเอง”
“อสูร…ตัวเมื่อกี้น่ะเหรอ”
โพแทสเซียมพยักหน้า
“ใช่ เผลอตามแค่แปปเดียวก็โดนพามาที่แบบนี้เข้าซะแล้ว ส่วนเรื่องพวกคุณก็แค่เดาเอาว่าอาจจะโดนอสูรจับไปรึเปล่าน่ะครับ”
“งั้นตอนนี้ทุกคนก็กำลังตามหาเราสองคนอยู่งั้นเหรอ”
โพแทสเซียมกล่าว
“ตามนั้นแหละครับ”
แล้วเดินอ้อมพวกเขาไปที่ชายฝั่ง
ขณะเดียวกันอสูรก็ลอยหายเข้าไปในศาลาที่จมน้ำ
โพแทสเซียมพูด
“พวกคุณเองก็เจอมาใช่ไหมครับโครงกระดูกของชาวโลกจำนวนมากที่อยู่ข้างในถ้ำนั่นทั้งที่ในสถานที่นี้ไม่พบใครเลยตั้งแต่พวกเรามา ไม่มีกระทั่งร่องรอยของการอยู่อาศัยมาเป็นเวลาหลายปีจนเหมือนกับว่าทุกคนบนเกาะนี้พากันหายไปหมดหรือไม่ก็เกิดเรื่องอะไรซักอย่างจนต้องอพยพหนีไป แต่กลับเจอกองกระดูกจำนวนขนาดนั้นแถมกะโหลกทุกอันมีร่องรอยถูกทุบจนกะโหลกแตกร้าวด้วยนะ”
เรื่องที่มีร่องรอยบนกะโหลกนั้นเพิ่งจะเคยได้ยิน
ตอนที่อยู่กับกองกระดูกก็ไม่ทันได้สังเกตให้ละเอียดแต่อย่างราชครูมนุษย์ต่างดาวคงไม่พูดเพ้อเจ้ออยู่แล้ว
“ไม่ใช่ว่าเป็นร่องรอยจากสัตว์เทวะหนูที่อยู่แถวนั้นเหรอ”
“จากสภาพของโครงกระดูกพวกนั้นน่าจะไม่ได้ต่อสู้ขัดขืนเลยน่ะสิครับ ชิ้นส่วนหลายชิ้นก็ยังมีสภาพสมบูรณ์แล้วอีกอย่างสัตว์เทวะน่ะแค่ทำร้ายชาวโลกจนพลังชีวิตหมดเท่านั้นไม่กินเป็นอาหารหรอก แต่ที่ทุกศพมีตรงกันก็คือร่องรอยกะโหลกร้าวครับ คิดว่าน่าจะตกลงมาจากทางเข้าข้างบนแล้วหัวกระแทกพื้นตายหรือไม่ก็โดนฆ่าตายมาก่อนทำให้ตอนลงมาเอาหัวกระแทกพื้นกันหมดก็ได้”
ฟังจากที่อีกฝ่ายพูดมาดูเหมือนจะมีรวบรวมข้อมูลได้มากแล้วและบางที
“พูดมาซะขนาดนี้ก็รู้แล้วสินะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่”
นรินทร์ถาม
โพแทสเซียมตอบมาอย่างมั่นอกมั่นใจว่า
“ไม่รู้สิครับ”
“…”
นั่นทำให้นรินทร์สะอึกไปแวบหนึ่ง พอเห็นแบบนั้นเข้าราชครูมนุษย์ต่างดาวกลับยิ้มอย่างยินดี
ท่าทางจะโดนเข้าให้ซะแล้วแบบที่อิงศรโดน การหยอกเล่นของราชครูที่คาดเดาความคิดไม่ได้คนนี้
โพแทสเซียมกล่าวต่อ
”บางทีที่นี่อาจจะเคยเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นก็ได้แต่ถ้าอยากจะรู้ล่ะก็”
แล้วเบนสายตาไปที่ศาลาซึ่งจมน้ำนั่น
“คงมีแต่ต้องเข้าไปหาดูในนั้นแหละจริงไหม”
ถูกอย่างที่ราชครูพูด....ทันทีที่เริ่มคิดแบบนั้นก็รู้สึกทันทีว่ากำลังโดนจูงจมูกอยู่
คนๆ นี้เล่นด้วยยากจริงๆ นั่นแหละ
โพแทสเซียมพูดมาอีก
“พวกผมจะเข้าไปแล้วพวกเธอล่ะจะรออยู่ข้างนอกนี่ก็ได้นะ”
แล้วตั้งท่าจะเดินไปทันที
“พวกเราก็จะเข้าไปด้วย”
นรินทร์ตอบแล้วจูงมือเน็กส์ที่ยืนอยู่ด้วยกันเดินตามหลังราชครูทั้งสองไป
ไม่ว่ามันจะเคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ต้องรู้ให้ได้
นรินทร์ที่คิดแบบนั้นก็รู้สึกกลัวในความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองขึ้นมาเลยทีเดียวแต่ก็ยังอยากจะรู้ให้ได้อยู่ดีว่าที่นี่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
***อาทิตย์นี้ขอปัดวันลงเป้นพุธกับศุกร์นะครับเนื่องจากไรท์ติดธุระช่วงตุรษจีนทำให้วุ่นๆ ไปหน่อยครับ***
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
