คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #194 : Login 191: พงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม (ความผิดปกติ)
Login
191: พงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม (ความผิดปกติ)
วันถัดมาพายุยังคงโหมพัดใส่เกาะอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้า
จนถึงตอนนี้ก็เลยช่วงเที่ยงวันมาแล้วแต่ทั้งลมกับฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
บนเกาะจึงกลายเป็นสถานที่อันตรายที่จะออกไปเดินเพ่นพ่านดังนั้นทุกคนจึงตกลงกันว่าวันนี้จะเก็บตัวอยู่ภายในรีสอร์ท
“…”
ตั้งแต่เช้ามิ่งขวัญก็ยังไม่ยอมลุกออกจากเตียง
ไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามากินข้าวกินปลาเอาแต่ขลุกอยู่ข้างในห้องจนอิงศรรู้สึกเป็นห่วง
ดังนั้นนรินทร์จึงถูกตามตัวมาเพื่อดูอาการให้มิ่งขวัญ
“ดูเหมือนจะมีไข้นิดหน่อยน่ะให้นอนพักเยอะๆ
ก็พอ”
นรินทร์พูดสรุปอาการขณะแตะหลังมือบนหน้าผากมิ่งขวัญที่ยังนอนสะลึมสะลืออยู่บนเตียง
ได้ยินดังนั้นอิงศรก็มีสีหน้าโล่งใจขึ้นเล็กน้อย
ถ้าหากไม่ได้อยู่ร่วมทีมกันมาซักระยะหนึ่งแล้วก็คงดูไม่ออก
เพราะว่าอิงศรชอบเก็บสีหน้า เก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองตรงจุดนั้นทำให้รู้สึกคล้ายกับพลเอกสิงห์อยู่ไม่น้อย
อิงศรพูดใส่น้องชายที่ยังครึ่งหลับครึ่งตื่น
“ถ้างั้นก็ลุกขึ้นมากินข้าวซักหน่อยไหมจะได้หายไวๆ
น่ะ”
ถึงคำพูดจะค่อนข้างรุนแรงไปซักหน่อยที่จะใช้กับคนป่วยแต่สำหรับคนเป็นพี่น้องกันก็คงจะใช้คำพูดประมาณนี้
แต่มิ่งขวัญกลับ...
“จะนอน”
ตอบห้วนๆ
เพียงแค่นั้นแล้วปิดตาลงทันที
“เป็นแบบนี้มาตั้งกะเช้าแล้วนะ”
อิงศรถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
ท่าทางจะสุดทนแล้วจริงๆ นั่นแหละ
เขาเคยเห็นอิงศรทำหน้าแบบนั้นแค่ตอนที่โดนมีนาแกล้งหยอกเท่านั้น
แต่ก็ยังมีเรื่องน่าสงสัยอยู่
“ยังไงก็เถอะมันน่าสงสัยนะ”
นรินทร์พูด
“เรื่องอะไร”
อิงศรถาม
“ก็สถานะ ‘เป็นไข้’ น่ะมันก็มีใช่ไหมล่ะแต่ทำไมถึงไม่ขึ้นเป็นสถานะบนหน้าจอพลังชีวิตเลยล่ะ”
มิ่งขวัญ Lv.102 [/////25000:25000/////]
พวกเขาเหม่อมองหน้าจอแสดงพลังชีวิตของมิ่งขวัญ
ทุกอย่างยังดูปกติดีทั้งที่ในเวลานี้บนโลกซึ่งล่มสลายและกลายเป็นเกม
เรื่องปกติจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ
“แต่เอาเถอะอาจจะแค่เหนื่อยเฉยๆ
ก็ได้ตัวเกมคงจะมีระดับที่กำหนดเอาไว้ถึงจะแสดงเป็นสถานะผิดปกติแหละนะ”
นรินทร์สรุปอย่างนั้น
เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงรึเปล่าแต่หลักสำคัญในฐานะเจ้าหน้าที่พยาบาลที่ได้ศึกษามาแล้วไม่ควรสร้างความกังวลโดยไม่จำเป็นให้กับญาติผู้ป่วย
“โกหกหน้านายมันบอกชัดๆ
ว่าเมื่อกี้เดาส่งเดชน่ะ”
“เห
นี่อิงศรได้สกิลอ่านใจมาจากคุณซีลอร์ดด้วยแล้วเหรอ”
อิงศรหัวเราะแห้งๆ
เป็นการตอบรับว่ามุกที่เขาเล่นมันไม่ตลก
“ฮะฮะฮะ
ยังห่างชั้นหมอนั่นอีกเยอะ...ซะที่ไหนเล่าตกลงแล้วเจ้าขวัญจะไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม”
นรินทร์พยักหน้า
“อืม
เท่าที่ดูเนี่ยแค่ตัวร้อนนิดหน่อยแล้วก็มีอาการอ่อนเพลียเพราะใช้แรงไปเยอะเป็นอาการพื้นๆ
น่ะยังบอกอะไรไมได้หรอกแล้วถึงจะใช้สกิลช่วยรักษาไปแต่ถ้าอาการยังไม่ออกมาเป็นสถานะผิดปกติที่แสดงบนพลังชีวิตก็ยังทำอะไรไม่ได้หรอกนะ”
“งั้นก็ยังทำอะไรไม่ได้จนกว่าจะอาการหนักกว่านี้สินะ”
“แหมอิงศรล่ะก็
น้องชายตัวเองก็น่าจะใจดีด้วยหน่อยนะของแบบนี้มันต้องพูดว่าเดี๋ยวอาการก็ดีขึ้นเองไม่ใช่เหรอ”
“แค่พูดแก้เคล็ดแหละน่า
ถึกๆ อย่างขวัญน่ะเจอแค่นี้ไม่ตายง่ายๆ หรอก”
อิงศรหลบตาเล็กน้อยตอนที่พูด
ดูเหมือนตั้งใจจะปกปิดใบหน้าที่แดงขึ้นเล็กน้อยเพราะกำลังเขินอายที่แสดงความเป็นห่วงน้องชาย
“อิงศรเนี่ยรักน้องมากเลยสินะ”
“พูดมากน่า”
“แต่ว่านะผมว่าอิงศรไปอาบน้ำหน่อยก็ดีนะแล้วมาเช็ดตัวขวัญด้วยจะยิ่งดี”
นรินทร์พูดพลางยกมือบีบจมูกประกอบการพูด
“ตั้งแต่เข้าห้องมานี่มีกลิ่นตุๆ
ลอยอยู่จางๆ ด้วยนี่เมื่อคืนไม่ได้อาบน้ำก็เข้านอนเลยสินะ”
อิงศรที่ถูกติเรื่องกลิ่นตัวก็ตอบมาอย่างเกร็งๆ
“รู้แล้วล่ะน่าก็เมื่อคืนมันเกิดเรื่องวุ่นๆ
ก็เลยขี้เกียจแต่เดี๋ยวจะไปอาบแล้วจะขนน้ำกลับมาเช็ดตัวให้หมอนี่อีกที”
“แล้วก้อย่าลืมเปลี่ยนเสื้อให้ด้วยล่ะให้นอนทั้งที่ไม่ใสเสื้อแบบนี้อาการจะแย่หนักเอาถึงอากาศจะไมได้เย็นมากก็เถอะ”
เขาเพียงแนะนำไปตามสควรเท่านั้นแต่อาจจะเพราะพูดมากเกินไปอิงศรถึงได้ตอบมาอย่างประชดประชันว่า
“คร้าบ คุณแม่”
นรินทร์หัวเราะ
“ต้องรักน้องให้มากๆ
นะลูกศร”
“เดี๋ยวก็อัดซะหรอก”
“ฮะฮะฮะ”
พวกเขาพูดคุยกันต่ออีกพักหนึ่งแล้วจึงพากันออกจากห้อง
ตึกพักสำหรับบริการแขกที่พวกเขาพักกันอยู่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าสูงห้าชั้น
ตรงกึ่งกลางถูกเว้นไว้สร้างเป็นสวนที่ตกแต่งอย่างอลังการทั้งลำธารจำลอง
น้ำตกจำลองและพืชพันธุ์นานาชนิด แต่นั่นก็เป็นเพียงอดีตไปแล้ว
ธารน้ำในปัจจุบันแห้งขอดและถูกเติมเต็มด้วยน้ำฝนแทน
พวกต้นไม้ที่ไม่ได้รับการดูทำให้ล้มตายกลายเป็นซากไปและเหลือเพียงวัชพืชกับต้นไม้ที่แข็งแรงพอจะอยู่ในสภาวะที่ไม่ได้รับการดูแล
บนระเบียงทางเดินชั้นสี่
ที่ด้านหน้าห้องพักนั่นเองนรินทร์กับอิงศรแยกกันที่นั่น
อิงศรจะไปอาบน้ำส่วนเขาก็มีธุระที่ต้องไปจัดการเหมือนกัน
ที่ห้องพักชั้นสามซึ่งนอนร่วมกับฟูและมิกซ์ เขาซึ่งได้รับฝากหน้าที่ให้ดูแลทุกคนที่มาจากสถานเด็กกำพร้าอารย-สนธยาด้วยเหตุผลที่คล้ายๆ
กับอิงศรและอีกเหตุผลก็คือถูกฟูกับมิกซ์ขอร้องมาว่าอยากจะนอนด้วยกันเหมือนสมัยก่อน
แม้ว่าพลอยกับนิวที่ต้องแยกไปนอนรวมกับมีนาที่แยกเป็นห้องผู้หญิงโดยเฉพาะจะงอแงอยากมานอนด้วยก็ตาม
ชั้นห้าทั้งชั้นเป็นของพวกผู้หญิง
ชั้นสี่ของอิงศรกับมิ่งขวัญและอีกห้องของกวินทร์กับเมษา
แล้วที่ชั้นสามก็มีพวกมนุษย์ต่างดาวแยกกันพักอยู่คนละห้อง
ชั้นสองเป็นห้องจัดงานให้เช่ากับทางเชื่อมไปชั้นลอยนอกตึกที่มีสระว่ายน้ำ
ชั้นหนึ่งเป็นล็อบบี้
สาเหตุที่ต้องกระจายกันอยู่ซะทุกชั้นที่เป็นโซนห้องพักขนาดนี้ก็เพราะไม่ใช่ทุกห้องที่จะใช้งานได้
บางห้องก็ชำรุดไปตามเวลา
พอเดินไปถึงทางเลี้ยวที่จะนำไปยังบันไดนรินทร์ก็นึกขึ้นมาได้
“จริงสิดูเหมือนจะไม่ได้ให้ดื่มน้ำเลยถ้าดื่มน้ำด้วยน่าจะช่วยลดไข้ได้”
กว่าอิงศรจะกลับมาจากอาบน้ำคงใช้เวลาซักพักพอคิดแบบนั้นแล้วจึงหันกลับตั้งใจจะเดินไปที่ห้องอิงศรอีกครั้ง
แต่เพราะมีฝนสาดเข้ามาบนระเบียงทำให้พื้นลื่น
“อะ เหวอ!”
นรินทร์ก้าวเท้าพลาดไปทำให้เสียหลักจะล้ม
แต่ก็ยื่มมือไปยันผนังไว้ทัน
แกร๊ก
เสียงเหมือนกลไกอะไรบางอย่างทำงานดังขึ้นมา จากนั้นผนังที่เขายื่นมือไปยันก็จมลงไป
“อุหวา~”
ผนังที่ว่าแท้จริงเป็นบานประตูแบบพลิกบนกับล่าง
นรินทร์ถูกบานประตูที่พลิกขึ้นมาช้อนร่างเทลงไปในช่องว่างเบื้องหลังผนังที่มืดมิดและมองไม่เห็นก้น
สถานที่ซึ่งตกลงมานั้น
ทั้งมืด ทั้งอับชื้น
ไม่มีแสงสว่างส่องลงมาถึงข้างล่างจึงมองไม่เป็นอะไรซักอย่าง
รู้เพียงแค่ว่าหลังจากถูกประตูลับกลืนลงมา
เบื้องหลังประตูนั่นเป็นทางลาดชันที่พาให้ลื่นลงมาเป็นระยะทางที่สูงพอสมควร
นรินทร์รุ้สึกว่าใช้เวลานานเกือบครึ่งนาทีกว่าจะหล่นลงมาถึงข้างล่าง
พื้นที่ก้นลงจ้ำเบ้าไปนั้นมีน้ำขังอยู่
ทำให้เปียกและเย็น ได้ยินเสียงน้ำไหลลงมาจากทิศต่างๆ
“ที่ไหนกันเนี่ย”
นรินทร์ลองขยับตัว
ดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรแข้งขาก็ไม่หักด้วยเพียงแต่รู้สึกระบมที่ก้นเท่านั้นเพราะเหมือนตอนที่ตกลงมาจะนั่งถับอะไรซักอย่างที่ค่อนข้างแข็งแต่เปราะบาง
มันแตกเป็นเสี่ยงทันทีที่เขาตกลงมาทับมันแล้วลอยไปตามน้ำมาติดอยู่ที่มือ
เมื่อลองลุกขึ้นยืนโดยพยายามระวังส่วนหัวเพราะไม่แน่ใจว่าเพดานสูงแค่ไหน
จากากรที่ยืนจนสุดขารวมถึงยืดแขนและเขย่งเท้าดูแล้วยังจับไม่ถึงเพดานทำให้พอคาดเดาได้ว่าที่นี่น่าจะกว้างประมาณห้องๆ
หนึ่งเลยทีเดียว
“…”
นรินทร์เลิกคาดเดา
เขาพยายามนึกดูว่ามีอะไรที่พอจะให้แสงได้บ้าง
ในคลังไม่ได้ติดไฟฉายมาด้วยถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่วิธีใช้สกิลที่มีผลพิเศษในการส่องแสง
หลังจากนึกอยู่ซักพักว่าจะใช้สกิลอะไรที่ทำให้ส่องแสงได้นานๆ
และไม่ใช่พวกที่ทำให้เกิดไฟซึ่งจะเผาไหม้ออกซิเจน เพราะเขาไม่รู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ปิดหรือเปล่า
แล้วนรินทร์ก็ตัดสินใจร่ายสกิล
“ไลท์โบลว์!!”
นรินทร์กำมือแล้วชูขึ้นเหนือศีรษะ
แสงสว่างเปล่งประกายออกมาจากกำปั้นของเขา ขับไล่ความมืดที่ห้อมล้อม
เปิดเผยสิ่งที่เร้นกายอยู่ในความมืดมิดออกมา
[Light Blow Lv(2/2)
Element: Light
Attribute: Physical Attack , Special Attack ,
Holy
รวบรวมพลังแห่งแสงไว้ที่กำปั้น
การโจมตีปกติครั้งถัดไปจะเป็นการซัดด้วยหมัดสร้างความเสียหายกายภาพและพิเศษโดยคิดจากพลังกายและพลังเวทรวมกัน]
เดิมที
‘ไลท์โบล์ว’
เป็นสกิลโจมตีสำหรับฮอทปิทัลเลอร์สายต่อสู้โดยตรงซึ่งเน้นไปที่การโจมตีด้วยความเสียหายสองแบบพร้อมกันทำให้เป็นสายต่อสู้ที่มีความสมดุล
ส่วนตัวเขาเลือกสกิลนี้ใส่มาในชุดสกิลก็เพราะไม่รู้จะเพิ่มอะไรเข้ามาอีกนอกจากสกิลสนับสนุนที่มีมากเกินพอแล้ว
พวกสกิลสายโจมตีอื่นๆ ก็มีแต่ของอาชีพพื้นฐานสเปลเลอร์ที่ต้องใช้เวลาในการร่ายค่อนข้างนานรวมถึงพลังเวทของเขาก็ไม่ได้มากพอจะใช้สกิลได้รุนแรง
ดังนั้นสกิลนี้ซึ่งพลังสองแหล่งร่วมกันและไม่เสียเวลาในการร่ายจึงเป็นตัวเลือกที่น่าใช้สำหรับเอาไว้ป้องกันตัวและในตอนนี้มันก็ประยุกต์เอามาใช้แทนไฟฉายได้เหมือนกัน
เมื่อได้แสงมาแล้วนรินทร์ก้ก้มหน้ามองกลับไปที่พื้นซึ่งเจิ่งนองไปด้วยน้ำ
เพื่อมองหาสิ่งที่เขานั่งทับมันอยู่จนถึงเมื่อครู่
สิ่งนั้นมีสีขาวขุ่นคล้ายกับพลาสติก
เนื่องจากมันถูกทับจนแตกทำให้เหลือเป็นเศษจึงระบุไม่ได้ว่าคืออะไรนอกจจากจะหยิบมันขึ้นมา
ทันทีที่หยิบจับสิ่งนั้นสัมผัสจากมือก็บอกให้รู้ในทันทีว่าสิ่งที่หยิบขึ้นมานั้นไม่ใช่พลาสติกอย่างที่ตาเห็น
พื้นผิวของมันไม่ได้เรียบเสียทีเดียวแต่มีความหยาบและแข็งคล้ายกับองค์ประกอบของแคลเซียมอยู่มาก
“กระดูกงั้นเหรอ”
แถมยังเป็นกระดูกมนุษย์...ชิ้นที่เขาหยิบขึ้นมาดูเหมือนจะเป็นส่วนของกะโหลกศีรษะบริเวณเบ้าตาขวาด้วยรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างจะเฉพาะจึงทำให้รู้ในทันทีว่ามันเป็นกระดูกของมนุษย์
นรินทร์สอดส่องแสงไปทั่วทั้งบริเวณเพื่อหาดูรอบๆ
แล้วก็พบเข้าอย่างที่คิดเอาไว้
มีกระดูกส่วนอื่นๆ
ของร่างกายลอยกระจัดกระจายอยู่บนพื้นห้อง
จากจำนวนของหัวกะโหลกที่พบแล้วไม่ได้มีแค่คนเดียวแต่ดุเหมือนจะเคยเกิดการสังหารหมู่ขึ้นที่นี่หรือไม่ก็มีอุบัติเหตุอะไรซักอย่างทำให้คนมาตายรวมกันอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก
ยังดีที่ว่าคนที่ตกลงมาที่นี่เป็นตนเอง...นรินทร์คิดแบบนั้น
ตัวเขาซึ่งได้รับประสบการณ์จากการเป็นหน่วยแพทย์ทำให้ต้องพบเจอศพหรือกระดูกที่น่าสะอิดสะเอียนอยู่บ่อยครั้งจนรู้สึกชินชา
หากคนที่อื่นที่ตกลงมาไม่ใช่เขาหรือคนที่จิตแข็งๆ
หน่อนอย่างอิงศรหรือพวกมนุษย์ต่างดาวที่ไม่สนใจมนุษย์อยู่แล้วคงได้สติแตกเป็นแน่
ที่ต้องทำในตอนที่ยังประคองสติเอาไว้ได้ก็คือสำรวจสถานที่ให้มากที่สุดและหาทางหลบหนีออกไป
นรินทร์เริ่มเดินไปรอบๆ
ทั่วทั้งสี่ทิศทางเป็นผนังปูนทั้งหมดและมีน้ำไหลซึมลงมาจากข้างบน
คงจะเป้นน้ำฝนที่ซึมลงมายังชั้นใต้ดิน
ทางเข้ามีเพียงท่อที่เขาตกลงมาจากประตูลับข้างบนซึ่งอยู่บนเพดานและสูงเกินกว่าจะกระโดดขึ้นไปถึงหรือต่อให้กระโดดถึงลักษณะของปล่องท่อก็สูงชันจนปีนไม่ไหวอยู่ดี
สภาพคล้ายกับเป็นที่ทิ้งขยะอย่างไรอย่างนั้น
“หรือว่าที่นี่จะเป็นที่สำหรับทิ้งศพเพื่อปกปิดอำพรางคดีกันนะ”
นรินทร์เริ่มคิดไปถึงว่าที่รีสอร์ทแห่งนี้อาจจะเคยเกิดคดีฆ่าคนมาก่อนแล้วบางทีฆาตกรอาจจะยังอยู่ที่นี่
ถ้าเป็นแบบนั้นตัวเขาหรือทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต…
“ก็อยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอกแต่คงไม่เป็นไรมั้ง”
ข้างบนนั่นมีแต่คนเก่งอยู่เต็มไปหมดไม่มีคนธรรมดาอยู่เลยซักคนเดียว
เพราะที่นี่คือโลกที่ล่มสลายโลกที่หากไม่แข็งแกร่งก็อยู่ไม่รอดแถมยังมีสามหัวหอกบนสุดของห่วงโซ่อาหารในโลกที่ล่มสลายนี้อย่างราชครูมนุษย์ต่างดาวอีกฝ่ายฆาตกรที่อาจจะยังมีตัวตนอยู่นั่นแหละที่จะต้องหวาดกลัวพวกเขา
“แต่ก่อนหน้านั้นคงต้องห่วงตัวเองก่อนแล้วล่ะ”
นรินทร์พึมพำเพื่อไม่ให้รู้สึกเงียบเกินไปเพราะตอนนี้ที่ขารู้สึกได้ว่าน้ำกำลังไหลไปที่ไหนซักแห่ง
เขาส่องไฟลงไปที่พื้น
กระดูกซี่โครง
กะโหลกศีรษะ
กระดูกข้อต่อ
กระดูกแขน
กระดูกขา
มีแต่กระดูกลอยเท้งเต้งเต็มไปหมด
แล้วกระดูกเหล่านั้นก็ลอยวนไปวนมาเหมือนเป็นน้ำวนอยู่ตรงกึ่งกลางห้อง
“…”
บางทีอาจจะมีท่อระบายน้ำหรือทางที่ให้น้ำไหลออกไปได้อยู่ตรงนั้น
นรินทร์กำหมัดที่เปล่งแสงด้วยใจเต้นระทึกแล้วมุ่งหน้าไปยังจุดที่ว่า
เมื่อกวาดเอากองกระดูกที่ขวางทางออกไปน้ำทั้งห้องก็ไหลบ่าเข้ามาที่จุดนี้
ไหลผ่านตะแกรงเหล็กที่อยู่ข้างล่างซึ่งมีขนาดใหญ่พอที่จะให้ผู้ใหญ่สองคนลงไปพร้อมกันได้
“…“
นรินทร์ลองส่องไฟดูแต่ก็มองไปไม่ถึงก้นของด้านหลังตะแกรง
มีความเป็นไปได้สองอยางสำหรับการหนีออกไปทางนี้คือมันจะไหลลงไปยังทะเลกับข้างล่างเป็นบ่อกักขยะก่อนจะระบายออกทะเลอีกที
ถ้าเป็นอย่างหลังก็มีสิทธิ์จะติดอยู่ข้างล่างแล้วออกไปไมได้จนอดตายอยู่ในนั้น
แต่ถึงไม่ต้องเลือกทางนี้เขาก็ยังมีอีกทางหนึ่งคือติดต่อไปหาใครซักคนแล้วให้ลงมาช่วยเขาขึ้นไป
นั่นเป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เรียกหน้าจอขึ้นมาจะติดต่อไปหาอิงศร
แต่ทว่า
กึง
กึง กึง
ก็มีเสียงกระแทกผนังดังขึ้นมาเสียงปะทะฟังดูรุนแรงเหมือนมีใครเอาค้อนมาทุบอยู่อีกฟากของผนัง
ไม่นานนักผนังก็ปริร้าวและพังทลายลง
เสียงกรีดร้อง
เสียงคำราม
เสียงมากมายดังระงมข้ามมายังฝั่งนี้
นรินทร์ฉายไฟไปยังทิศที่ว่าเพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“สัตว์เทวะ!”
หนูท่อยักษ์ที่เคยเห็นป้วนเปี้ยนอยู่ตามเมืองเป็นสัตว์เทวะที่ไม่แข็งแกร่งนัก
แต่ว่าพวกที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นกลับมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าเกือบสองเท่าแถมยังดุร้ายกว่าปกติดูเหมือนจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ของเกาะบวกกับห้องใต้ดินทำให้หนูท่อพวกนี้อยู่ดีกินดีจนกระทั่งกลายเป็นสัตว์เทวะพวกมันก็เลยดูแข็งแกร่งกว่าตัวปกติทั่วไปด้วย
แล้วไหนยังจะจำนวนที่มีมากกว่าสิบตัวนั่นอีก
นรินทร์แตะนิ้วค้างไว้ที่หน้าจอสื่อสารตั้งใจจะเรียกให้ใครซักคนช่วย
“ช่วย...”
เพราะความลนลานทำให้ยังไม่ได้เลือกคู่สื่อสารก็ดันร้องขอความช่วยเหลือเสียแล้ว
แต่เสียงทั้งหมดก็ถูกเสียงกรีดร้องหรืออาจจะเป็นเสียงคำรามของหนูดัง จี๊ดๆ
จนระงมไปทั้งห้องใต้ดินกลบไป
***เลทไปหน่อยเนื่องจากมเอวานไรท์แองค์งับ
โหมงานดึกหลายวันพอได้นอนทีนอนยาวเบย TwT ตื่นมาพร้อมกับงานท่วมหัวคืนนี้ต้องดึกอีกแบ้ววว
เอาเป้นว่าเจอกันอีกทีวันอังคารเน่อ ****
ความคิดเห็น