ตอนที่ 191 : Login 188: พงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม (บทนำ)
Login 188: พงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม (บทนำ)
มีนากรีดร้อง
“อ๊ะ...”
แต่เสียงกลับไม่ออกมา
เธอถูกอิงศรยิง ถูกยิงเพราะเป็นตัวถ่วงของกลุ่ม เพราะเธอได้รับผลกระทบจากากรขึ้นขับเครื่องทำสวนจนพิกลพิการทางสมอง
...ดังนั้นอิงศรจึงยิงเธอ
ในตอนนั้นเอง ความทรงจำก็เริ่มกลับคืนมา
“เอ๋!”
มีนาสะดุ้งตัวอย่างแรงจนเก้าอี้รถเข็นเอนหงายหลัง
รถเข็นเทร่างสาวน้อยที่ตกอยู่ในห้วงภวังแห่งความแตกตื่นลงไปนอนกองกับพื้นชายหาด
“ทำอะไรของเธอน่ะ”
อิงศรถาม
มีนาพยายามอยู่ครู่หนึ่งจึงพลิกตัวแล้วปีนรถเข็นขึ้นมา
“ก…ก็เมื่อกี้ จู่ๆ ก็มีภาพคุณอิงศรยิงปืนใส่ฉันที่ขยับตัวไม่ได้แล่นขึ้นมาน่ะค่ะ”
แต่พอเห็นปืนในมืออิงศรมีนาก็หุบปากเงียบทันที
หล่อนชี้มาที่ปืนในมือเขา ปืนซึ่งยิงธงออกมา ไม่ใช่ลูกปืน
“เอ่อ นั่นมัน…อะไรกันคะ”
แต่อิงศรเมินคำถามของมีนาแล้วหันไปตะโกนพูดกับต้นมะพร้าวที่อยู่ห่างออกไป
“ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมจะต้องทำให้ตกใจด้วยฟระ”
จากด้านหลังของต้นมะพร้าวนั่นเอง มีเงาตะคุ่มๆ เดินออกมา
มีนาเพ่งสายตาพยายามมองให้ออกว่าใบหน้าของเจ้าเงาเป็นใคร แต่พอเห็นอย่างชัดเจนแล้ว
“คุณอิงศร” หล่อนหันเหสายตากลับไปมา “...มีสองคน”
ระหว่างอิงศรคนที่ยิงปืนกับคนที่เดินออกมาจากต้นมะพร้าว
อิงศรโยนปืนส่งให้อีกคนหรือก็คือซีเซียมนั่นเอง
ซีเซียมพูด
“ยาที่ให้กินเข้าไปก่อนหน้านี้มันมีฤทธิ์กล่อมประสาท เพราะประสาท ยัยนี่ถูกกดทับด้วยพลังของฟันเฟืองกับการผ่าตัดอะไรซักอย่างพอร่างกายผ่านจุดที่วิกฤติที่สุดอย่างความตายมาได้ก็เลยทำให้จิตใจพยายามปิดกั้นตัวเองถึงได้สมองเสื่อมรัวๆ อยู่นั่นไงเพราะงั้นถ้าทำให้ตกใจก็จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองอีกครั้งหนึ่งด้วย”
ระหว่างที่ซีเซียมอธิบายอยู่นั่นเอง มีนาก็ลุกขึ้นยืนแล้วจ้องตาเขม็งมาที่พวกเขา พลางก้าวถอยหลังไปด้วยท้าทีกระอักกระอวน
จะเพราะตกใจหรืออะไรก็ตามแต่มันทำให้หล่อนที่เดินถอยหลังเกิดเสียหลักจนเซถลา
“เฮ้ ระวังหน่อยสิ”
เด็กสาวไม่ได้ล้มลงแต่เซไปชนถูกใครบางคนเข้า
สัมผัสของอีกฝ่ายตรงที่หลังแขนไปโดนเข้านั้นรู้สึกเปียกชุ่มไปด้วยน้ำแล้วก็เป็นผิวหนังล้วนๆ แต่มีความแข็งภายในที่ค่อนข้างแน่น อีกฝ่ายจะต้องเป็นเด็กผู้ชายแล้วก็ร่างกายกำยำสมส่วนไม่น้อย บางทีคงไม่ได้ใส่เสื้อด้วยเพราะจุดที่หลังแขนไปโดนเข้ามันอยู่ระดับหน้าอกเห็นจะได้
มีนาหันกลับไปเพื่อจะขอโทษ แต่พอเห็นหน้าอีกฝ่ายก็เปลี่ยนคำพูด
“น…น้องชายคุณอิงศร”
มีนาสะดุ้งตัวแทบลอย
อีกฝ่ายคือมนุษย์ต่างดาวที่สวมแค่กางเกงว่ายน้ำทำให้เห็นเรือนร่างอันกำยำสมส่วนกับแววตาที่เหมือนกับอิงศร นั่นก็ทำให้รู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นระรัวขึ้นมาแล้ว
มิ่งขวัญเพ่งสายตามองเด็กสาวแล้วพูดบ่นอย่างไม่พอใจ
“จะตกใจอะไรกันนักกันหนา”
เขาพอจะเดาได้ว่าสาวรุ่นพี่ที่อายุเท่ากับอิงศรแต่ตัวสูงถึงแค่ไหล่ของตน กำลังหวาดระแวงความเป็นมนุษย์ต่างดาว
ตอนนั้นเอง กวินทร์ก็ยื่นหน้าโผล่ออกมาจากทางด้านหลังของมิ่งขวัญ
เด็กหนุ่มก็สวมแค่กางเกงว่ายน้ำเหมือนกับมิ่งขวัญแล้วโบกมือให้
จะว่าไปแล้วกางเกงว่ายน้ำที่น้องชายของอิงศรสวมอยู่นั้นก็ดูเหมือนชุดปฏิบัติการใต้ทะเลที่เคยใช้กันตอนออกไปเปลี่ยนอาชีพเทคนิคัลให้ตัวเองมาก่อน
มีนาจึงสรุปเอาเองจากตรงนั้นว่าคงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นทำให้อิงศรกับน้องชายได้กลับมาอยู่ด้วยกัน
กวินทร์พูด
“พี่มีนาหายความจำเสื่อมแล้วเหรอครับ”
“ความจำเสื่อม?”
อิงศรพูดแทรกเข้ามาว่า
“เออสิ เล่นเอาแทบแย่แน่ะ”
ต้องใช้เวลาซักพักกว่ามีนาจะใจเย็นลงจนเริ่มคิดได้ หล่อนก็ทุบมือดังปึก
“จริงด้วย ฉันกับเมษาช่วยกันถ่วงเวลาให้คุณอิงศรหนีไปแล้วจากนั้นฉันก็โดนแทงจากข้างหลังแล้ว....”
มีนาชะงักคำพูดไป เมื่อรอบตัวเริ่มจะมีคนโผล่ขึ้นมาบนชายหาด เดินมาจากทางป่าบ้าง วิ่งอ้อมชายหาดบ้าง ขึ้นมาจากทะเลบ้าง
หนึ่งในคนที่เดินออกมาจากป่านั้นคือเมษาที่เดินมาด้วยใบหน้างัวเงียเหมือนเพิ่งตื่น
“เมษา!”
น้องชายฝาแฝดที่ถูกเรียกเดินตรงเข้ามาทางนี้ โดยที่ยังใช้มือขยี้ตาให้หายงัวเงีย
“อาจจะน่าตกใจไปหน่อยแต่นี่เพิ่งผ่านไปสี่วันหลังจากวันที่เราทรยศตระกูลเอง”
ดูเหมือนเมษาจะเข้าใจความรู้สึกของมีนาเป็นอย่างดีถึงได้ลำดับคำพูดได้ตรงกับช่วงความทรงจำของพี่สาวฝาแฝด
ระหว่างที่รอให้เมษาอธิบายเรื่องต่างๆ ให้ฟังอิงศรก็หันไปถามมิ่งขวัญที่กลับมาจากหาเสบียง
“แล้วเสบียงเป็นยังไงบ้าง”
น้องชายพยักหน้าให้คำพูดของเขาแล้วเปิดหน้าจอคลังส่งมาให้ดู
“เก็บมาได้เยอะเลยนี่ไปหาจากแถวไหนน่ะ”
“ตรงน้ำลึกมีพวกปลาไหลมุดกันอยู่ในซอกหินน่ะ”
แต่กวินทร์ก็แย้งว่า
“นั่นมันปะการังต่างหาก”
“ก็แข็งๆ เหมือนหินก็เลยเรียกหินไง”
“มันไม่เหมือนกับหินนา คนละอย่างกันเลย”
เมื่อน้องชายกับรุ่นน้องเริ่มคุยนอกเรื่องกัน อิงศรจึงพักไว้แล้วหันกลับไปคุยกับมีนาต่อ
ดูเหมือนว่าเมษาจะช่วยอธิบายสถานการณ์โดยรวมให้แล้ว
“สรุปก็คือฉันถูกพี่กุมภาจับไปผ่าตัดฝังฟันเฟืองที่ทำให้บังคับเครื่องทำสวนที่เหมือนกับสัตว์ประหลาดม้าที่คุณอิงศรเคยทำให้มันอาละวาดอย่างนั้นสินะ แล้วก็...”
หล่อนชะงักคำพูดไว้เล็กน้อย สีหน้าลังเลเหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่หรือไม่ก็กำลังทำใจเชื่อเรื่องที่เชื่อได้ยาก
“พี่สิงห์ไม่ได้ถูกพี่กุมภาฆ่าแล้วทั้งสองคนยังเป็นมนุษย์ต่างดาวราชครูลำดับที่หนึ่งกับสามด้วยสินะ”
หลังจากพูดจบเด็กสาวก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง
“ดูยังกะเธอทำใจยอมรับได้ง่ายจังเลยนะ”
อิงศรลองถามดู
“ก็ทำไงได้ล่ะคะ ฉันก็เคยคิดเอาไว้เหมือนกันว่าพี่สิงห์เขาคงมีความลับอะไรที่ใหญ่มากๆ อุบเอาไว้แน่ๆ ก็เลยไม่ค่อยจะตกใจเท่าไหร่”
แต่เธอเคยบอกว่าสิงห์นั้นแปลกไปหลังจากได้ครอบครองแอพพลิเคชั่นปีศาจนรสิงห์ นั่นแสดงว่าก่อนหน้านี้เธอไม่เคยรู้เรื่องที่สิงห์แกล้งทำเป็นพี่ชายใจดีก่อนโลกจะล่มสลายเลยดังนั้นคำพูดที่ว่ารู้อยู่แล้วนั่นจึงเป้นเรื่องโกหก หรือไม่ก็...
หมอนั่นเคยเป็นคนใจดีมาก่อนแต่เปลี่ยนไปเพราะได้รับมอบ นรสิงห์มาจากที่ไหนหรือจากใครซักคน แล้วที่มีนาเห็นเมื่อตอนเป็นเด็กก็คือตัวจริงของหมอนั่น
อิงศรแค่นเสียงขึ้นจมูก
“เฮอะ ไม่หรอก ไม่มีทางซะล่ะ”
ตัวตนของสิงห์ไม่ได้เปลี่ยนไปเขามั่นใจในเรื่องนั้นมากยิ่งกว่ามีนากับเมษาที่เป็นพี่น้องกับหมอนั่นเสียอีก จุดที่เป็นปมให้สงสัยในตอนนี้ก็คือนรสิงห์เป็นแอพพลิเคชั่นปีศาจที่ได้มาจากที่ไหน
แอพพลิเคชั่นปีศาจซึ่งตัวตนที่แท้จริงนั้นกลับเป็นวิญญาณของเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ ออร์ทิเกสซาร์
นี่เป็นเรื่องที่เขาคิดว่าจะลองถามซีลอร์ดดูแต่ว่า...
ซีเซียมพูด
“งั้นตอนนี้พวกพ้องแกก็กลับมาครบถ้วนทุกคนแล้วไหนลองบอกคำตอบที่ฉันถามไปเมื่อสามวันก่อนเด๊ะ”
สามวันก่อน
ตอนที่มาถึงเกาะแห่งนี้ ตอนที่มีนาฟื้นขึ้นมาและอยู่ในอาการอัลไซเมอร์
บนชายหาดสถานที่เดียวกับที่พวกเขากำลังยืนอยู่ตอนนี้
ซีเซียมได้บอกกับเขาว่า
“ไฮโดรเจนฝากให้ฉันดูแลพวกแกจนกว่าจะไปถึงอาคาชิกเรคคอร์ดแล้วก็ฝากคำถามมาด้วย”
“คำถามอะไร”
“คงจะรู้แล้วสินะจากที่เพิ่งผ่านมาหยกๆ เนี่ยว่าแอดมินิสเทรเตอร์ฟันธงเรื่องกำจัดวัชพืชไปแล้วหลังจากนี้ไปนายจะทำยังไงต่อ”
คำถามนั้นกลับมาวนเวียนอยู่ในหัวของอิงศรอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องของมีนา
พวกพ้องคนนี้จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า เขาเอาแต่คิดกังวลเรื่องนั้นจนไม่ได้คิดเรื่องคำถามของซีเซียมเลย
คำถามที่ซีลอร์ดฝากมาอีกทีมันมีความหมายอย่างไรกันแน่
มีนาที่เริ่มจะเข้าใจสถานการณ์และหัวเย็นลงแล้วก็เริ่มพูดจาแซวใส่เขาถึงเรื่องที่ทำเอาไว้กับหล่อนก่อนหน้านี้
“เจ็บจังเลยค่ะมายิงใส่สาวน้อยแบบนี้ได้ยังไงกันคุณอิงศรใจร้าย”
อิงศรเหลือบไปมองหล่อนด้วยสายตาเอือมระอา
“…”
แต่แล้วก็มีคนแทรกเข้ามาในบทสนทนาอีก คนที่จะกวนบทสนทนาให้ยิ่งออกทะเลไปไกลกว่าเดิม
“อ้าว อ้าว คุณแฟนหายดีแล้วหรือซุงอิงยินดีด้วยน้า~~”
โพแทสเซียมนั่นเองกำลังโบกมือให้ขณะเดินผ่านป่าออกมาจากทางรีสอร์ทพร้อมกับลิเธียม
พอสองคนนั้นเข้ามาใกล้มีนาก็แสดงท่าทางเกร็งๆ ออกมา
คิดว่าเมษาคงบอกเรื่องที่พวกราชครูบางส่วนมาเข้าร่วมกับฝ่ายพวกเขาไปแล้วแต่เจอของจริงเข้าคงจะตกใจไม่น้อย ก็อีกฝ่ายเคยเป็นศัตรูกันมาก่อนแถมยังแข้งแกร่งขนาดที่ไล่ต้อนพวกเขาอย่างง่ายดาย
“เอ่อ ขอถามอะไรหน่อยสิคะ”
จู่ๆ พลอยก็เข้ามาดึงชายเสื้อมีนาโดยที่มีพวกเด็กกำพร้าคนอื่นๆ ตามหลังมาด้วย
ด้วยความที่ทั้งหมดนั่นอายุน้อยกว่าและเป็นเด็กรุ่นน้องมีนาจึง
“เอ๋ แล้วนี่ใครกันละคะเนี่ย เอ่อ จะว่าไปก็ดูเหมือนกลุ่มเราจะใหญ่ขึ้นเยอะกว่าแต่ก่อนเลยนะคะ”
พลอยดำเนินคำถามต่อ
“เอ่อ พี่คะ พี่ชื่อมีนาสินะคะ”
“อ่า ใช่จ้ะ”
“คือว่าพี่เป็นแฟนของพี่อิงศรเหรอคะ”
ได้ฟังดังนั้นมีนาก็หน้าแดงอย่างเข้าใจได้ง่าย สาเหตุที่พลอยถามคงจะมาจากคำพูดล้อเล่นของโพแทสเซียม
อิงศรจึงตักเตือน
“พลอย อย่าเพิ่งมาล้อเล่นกันตอนนี้สิพวกพี่กำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่นะ”
แต่พลอยไม่ฟังแล้วพูดต่อ
“งั้นก็เป็นแฟนของพี่หัวแดงคนนั้นเหรอคะ”
หล่อนชี้ไปที่เมษาในตอนที่พูด ทำให้มีนายิ้มเจื่อน
“เออ คือพี่กับคุณอิงศรไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ แล้วนายหัวแดงคนนั้นก็เป็นน้องชายของพี่เอง”
“มิน่าล่ะถึงได้หน้าเหมือนกันเลยเป็นฝาแฝดหรือคะ”
พลอยพูดว่าหน้าเหมือนกัน แบบนั้นมันก็ต้องรู้ก่อนจะถามแล้วไม่ใช่เหรอว่าอีกฝ่ายเป็นพี่น้อง เป็นฝาแฝดกัน แต่ก็ยังถามแบบนั้นอีก ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไรอยู่กันแน่
แต่พลอยที่ได้รับคำตอบแล้วก็กล่าวขอโทษ
“ขอโทษที่รบกวนค่ะพี่ศร ไม่มีอะไรแล้ว”
เด็กสาวมีสีหน้าโล่งอกและหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย หรือว่าความหมายของคำถามนั้นบางที...
อิงศรเหลือบตามองไปทางเมษา หมอนั่นยังอ้าปากหาวหวอดอย่างง่วงงุน
คนอย่างหมอนี่เนี่ยนะสเป็คพลอย
เขาส่ายหัวเบาๆ ให้กับความรักที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของคนที่เป็นเหมือนน้องสาว ถึงจะคิดว่าไม่เหมาะสมกันแต่ก็ไม่คิดจะเข้าไปขัดขวางทางเลือกของพลอย
“ให้เจอกับตัวเองนั่นแหละดีที่สุด”
เขาพึมพำกับตัวเอง แต่ดูเหมือนมีนาจะไม่คิดอย่างนั้น
มองเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของหล่อนผุดขึ้นมาแวบหนึ่ง คงรู้สึกตัวถึงความต้องการที่แท้จริงของพลอยแล้วล่ะมั้ง
มีนาจับไหล่พลอยแล้วก้มลงกระซิบข้างหู ด้วยเสียงที่เบาบวกกับเสียงรอบๆ ทำให้ได้ยินไม่ชัดแต่จับใจความได้ว่า
“ยังเวอร์จิ้นอยู่ค่ะ” กับ “เพราะงั้นยังสบายใจได้”
แล้วพลอยก็ทำหน้าดีใจแบบที่คาดเดาได้เลยว่าเพราะอะไร
“ขอฝากตัวด้วยค่ะคุณพี่ขา”
“ด้วยความยินดีค่า”
แล้วสองสาวก็เริ่มถกกันถึงเรื่องความรักอย่างสนิทสนม
เวลาผ่านมาได้ซักพักหนึ่งแล้วแสงแดดจากพระอาทิตย์ก็หมดลง
ดวงตะวันลับขอบฟ้าและเปลี่ยนเข้าสู่ห้วงรัตติกาล
ทันทีแสงหายไปชายหาดก็มืดสนิท มืดจนมองไม่เห็นแม้แต่คนที่อยู่ข้างหน้าตัวเอง
โดยปกติจะมีแสงจากดวงจันทร์ส่องลงมาบ้างแต่วันนี้เป็นคืนเดือนมืดพอดีทำให้มืดมิดยิ่งกว่าทุกครั้ง
อากาศเริ่มเย็นลงขึ้นทันใด บรรยากาศเองก็วังเวงเพราะทุกคนพากันหยุดพูดคุยหยุดส่งเสียง
อิงศรคิดว่ามันถึงเวลาแล้วจึงประกาศออกไปให้ทุกคนได้ยิน
“งั้นเรามาจัดปาร์ตี้บาบีคิวกันเลยก็แล้วกันฉลองที่มีนาหายดีแล้ว”
กวินทร์พูด
“ที่ให้ไปหาเสบียงมาเพิ่มก็เพื่องานนี้เองสินะครับพี่ศร”
“ใช่ เพราะยัยนี่เพิ่งฟื้นไม่ได้กินอะไรมาตั้งสี่วันแล้วเดี๋ยวท้องจะครากเอาน่ะสิ”
ถึงจะอยู่ในความมืดมิดแต่ก็รู้สึกได้ถึงสายตามองค้อนของอีกฝ่าย
หลังจากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันก่อกองไฟขึ้นมาก่อนโดยใช้ฟืนที่เก็บรวบรวมมาจากในป่าตั้งเมื่อช่วงบ่าย จัดปาร์ตี้บาบีคิวทะเล
หลังจากเริ่มมื้ออาหารค่ำกันมาได้ซักพัก อิงศรก็แยกตัวออกจากกลุ่มที่นั่งล้อมรอบกองไฟโดยบอกว่าจะไปนั่งตากลมเพราะรู้สึกร้อนจากการนั่งหน้ากองไฟนานๆ
อิงศรเดินมุ่งหน้าไปทางทิศที่ทะเลตั้งอยู่ ห่างจากกองไฟไปไม่ไกลนักจะมีขอนไม้ยาวอยู่ขอนหนึ่ง
ที่นั่นซีเซียม โพแทสเซียม ลิเธียม พวกราชครูมนุษย์ต่างดาวมารอเขาอยู่ก่อนแล้ว พวกเขานัดกันว่าจะประชุมเรื่องต่อจากนี้ไปจะทำอย่างไรโดยเป็นการพูดคุยกันเองก่อนเพื่อหาแนวทางแล้วค่อยไปหารือกับทุกคนอีกที
เมื่อเดินมาถึงหน้าขอนไม้ซึ่งซีเซียมนั่งไขว่ห้างรออยู่บนนั้น อีกฝ่ายก็ถามคำถามนำมาทันที
“ยัยนั่นเป็นไงบ้าง”
นั่นน่าจะเป็นคำถามถึงมีนา
“กินไม่บันยะบันยังซะเกือบติดคอน่ะสิ”
“ถ้าแข็งแรงแล้วก็ดีไป”
“เรื่องมีนาก็รู้สึกขอบคุณอยู่หรอกแต่ว่าทำไมนายถึงมาช่วยพวกฉันล่ะ”
อันที่จริงตั้งแต่ตอนที่เห็นซีลอร์ดกับหมอนี่คุยกันก็จะรู้เลาๆ อยู่บ้างว่าซีเซียมจะมาร่วมกลุ่มด้วย แต่ไม่นึกว่าจะถึงขั้นมอบความช่วยเหลือให้มากมายขนาดนี้ดังนั้นจึงไม่อยากคิดไปเองฝ่ายเดียวว่าซีเซียมตั้งใจจะเป็นพวกเดียวกับพวกเขา
“พวกชาวโลกมีเยอะไว้ก่อนนั่นแหละดีแล้วอ่อนแอแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้ตายหมดก่อนจะทำการใหญ่สำเร็จกันพอดี”
ซีเซียมให้เหตุผลในเรื่องของกำลังรับมา ซึ่งนั่นหมายความว่า...
“ลองนายพูดแบบนั้นแสดงว่ามีโอกาสจะต้องสู้กับแอดมินิสเทรเตอร์อย่างนั้นเหรอ”
“ก็อาจจะ”
อีกฝ่ายตอบแบบไม่ค่อยมั่นใจ
“ฉันเพิ่งไปที่ห้องของไฮโดรเจน...อันที่เรียกว่ารูนรูมนั่นน่ะ ไปมาก่อนที่จะโผล่มาช่วยพวกนาย ก็เลยได้รู้เรื่องที่ลูนาริสจะไปโผล่ที่นั่น แล้วก็เลยถามไฮโดรเจนไปว่าทางเลือกของนายมันยังมีหวังอยู่อีกรึเปล่า”
“แล้วหมอนั่นว่ายังไงบ้าง”
ซีเซียมถอนหายใจนิดหน่อย หรี่ดวงตาลงแล้วจ้องมองมาที่เขา
“จะอธิบายแบบให้เข้าใจคงต้องถามแบบนี้ก่อนล่ะนะ สมมติว่าอวาตาร์ในเกมที่นายเล่นเป็นตัวแรกลองผิดลองถูกจนถึงที่สุดแล้วแต่อัพสกิลกับสเตตัสสะเปะสะปะผิดไปหมดเลยจนต้องลบอวาตาร์นั้นทิ้งแล้วสร้างตัวใหม่มาเล่นให้ถูกต้องกว่าเดิมแต่อวาตาร์ตัวเก่าเกิดร้องขอชีวิตขึ้นมาล่ะนายคิดจะทำยังไง”
“จะบอกว่าพวกฉันก็เหมือนอวาตาร์ในเกมงั้นสิ”
ซีเซียมพยักหน้าให้คำตอบนั้น
“ความรู้สึกของแอดมินิสเทรเตอร์ก็คงจะประมาณนั้นแหละ เพราะงั้นคงรู้สินะว่าพวกนั้นไม่ฟังคำขอร้องของชาวโลก หรือ ของใครทั้งนั้นล่ะ”
“เรื่องแค่นั้นไม่เห็นต้องลบตัวเล่นใหม่เลยนี่แค่หาทางรีสกิลสเตตัสซะก็พอ”
“.แล้วถ้าสกิลกับสเตตัสร้องขอชีวิตล่ะ”
“…”
สรุปว่านั่นคือสถานภาพของมนุษย์กับพระเจ้าอย่างนั้นสินะ ไม่ว่ายังไงก็คงไม่ฟังคำอ้อนวอนที่ไม่เกิดประโยชน์กับพวกตนเองเป็นแน่
“แต่ก่อนจะมาพูดเรื่องจะทำยังไงต่อ ฉันอยากรู้มากกว่าว่าซีลอร์ดไปอยู่ไหนทำไมหมอนั่นถึงไม่ยอมมาหาพวกเรากันล่ะ”
“เพราะว่าการทดสอบมันเริ่มขึ้นแล้วไงล่ะ”
“ทดสอบ ทดสอบอะไรอีก”
ก่อนหน้านี้เขาก็ถูกทดสอบมาแล้ว ให้ต่อสู้กับเครื่องทำสวนที่แข็งแกร่งที่สุดหรือก็คือตัวซีลอร์ดเองนั่นแหละ กว่าจะผ่านพ้นมาได้ก็เล่นเอาปางตายแล้วตอนนี้ยังจะมาทดสอบอะไรอีก เจ้าพวกนั้นชอบทดสอบอะไรกันนักกันหนา
“นายคงไม่ได้ลืมหรอกนะว่าถึงจะอยู่ข้างเดียวกันแต่ไฮโดรเจนก็เป็นเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์เขาต่อต้านผู้ที่สร้างเขาขึ้นมาไม่ได้”
ทั้งที่เป็นแบบนั้น ทั้งที่ต่อต้านไม่ได้แต่กลับมายุแยงให้มนุษย์ต่อต้านแบบนี้มันไม่ตลกเกินไปหน่อยหรือ
อิงศรได้แต่เก็บงำความรู้สึกอันน่ารำคาญนั่นไว้ในใจ เพราะถึงจะบ่นไปเจ้าตัวก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วเขาเองก็พอจะเข้าใจเหตุผลที่ซีลอร์ดฝืนทำแม้จะขัดกับหน้าที่ของตัวเอง
หมอนั่นรักในตัวมนุษย์มาก รักมากถึงขนาดยอมเป็นคนทรยศ
แต่ทั้งที่เครื่องทำสวนทรยศแล้วแอดมินิสเทรเตอร์ยังไม่รู้อีกนี่มันก็อธิบายได้ยากเหมือนกัน
หรือว่าสาเหตุที่ไม่ได้โผล่หน้ามาที่นี่จะเป็นเพราะถูกจับตาดูอยู่
“ถ้างั้นพวกฉันต้องทำไงบ้างหมอนั่นน่าจะบอกอะไรมาบ้างสิไม่งั้นถึงรู้ความตั้งใจต่อไปของฉันมันก็ไม่มีความหมายอยู่ดี”
ซีเซียมพยักหน้า
“นายจะต้องไปให้คำตอบนั่นกับไฮโดรเจนที่ทางขึ้นไปอาคาชิกเรคคอร์ด”
จู่ๆ ก็มีคำศัพท์ที่ไม่คุ้นโผล่ขึ้นมาในบทสนทนาทำให้อิงศรรู้สึกสับสน
“ทางขึ้นอาคาชิกเรคคอร์ด...มันคืออะไร”
“มันก็เหมือนกัลป์เทอมินัลเคลื่อนย้าย มันถูกเรียกว่าบาเบลเป็นเส้นทางเดียวที่จะขึ้นไปยังอาคาชิกเรคคอร์ดจากโลกใบนี้ได้”
ถ้าบอกว่าเหมือนกับเทอร์มินัลเคลื่อนย้ายก็น่าจะหมายถึงเป็นจุดวาร์ปแบบเดียวกับที่ใช้เวลาเดินทางลงไปดันเจี้ยนแบบที่เคยไปเก็บเลเวลกับพามีนาไปเปลี่ยนอาชีพเทคนิคัล
ซีเซียมพูดต่อ
“แต่มันยังมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง”
“ปัญหาอะไร”
“เราไม่รู้ว่าที่ตั้งของเทอร์มินัลนั่นมันอยู่ที่ไหนน่ะสิ”
“เฮ้ เฮ้ ไม่ใช่ว่าหมอนั่นต้องบอกมาด้วยหรอกเหรอไม่งั้นจะไปรวมตัวกันได้ยังไงเล่า”
“มาถามแบบนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแหละเว้ย ที่พอจะรู้ๆ อยู่ก็มีแค่...”
ทว่า ในตอนนั้นเอง
“กรี้ดด!!”
ก็มีเสียงกรีดร้องดังมา เสียงของพวกที่อยู่ตรงกองไฟ
พวกเขาหันไปยังต้นทางเสียงทันที ที่นั่นแสงจากกองไฟทำให้เห็นว่าทุกคนกำลังแตกตื่นและพากันยืนขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น!!”
อิงศรตะโกนพร้อมกับวิ่งออกไปทันที
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
