คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #178 : Login 175: กระต่ายขาวในเงาจันทร์ 2
Login
175: กระต่ายขาวในเงาจันทร์ 2
ดาบเครื่องทำสวนที่เกิดขึ้นจากผลึกถูกดาบเครื่องทำสวนของกวินทร์ที่ใช้พลังของปีศาจสร้างมือยักษ์ขึ้นมาจับหวดจนกระเด็น
แล้วดาบผลึกก็แตกสลายกลับคืนสู่ความว่างเปล่า
พอเห็นว่าการบุกไม่ได้ผลรูบิเดียมก็กระโดดถอยหลังทิ้งระยะห่างไปจากพวกเขา
“แปลก”
นรินทร์คิดว่ามันแปลกเกินไป...ก็จริงที่พวกเขาตอบโต้เธอได้แต่ก็ไม่ถึงกับจะทาบพลังระดับราชครูอันดับสามติด
ไม่สิแค่ให้สูสียังเป็นไปไม่ได้
“ทำไมถึงถอยไปล่ะ”
นรินทร์พยายามกวาดตามองรอบๆ
ประเมินสถานการณ์อย่างถี่ถ้วนรวมถึงให้เมลคีเซเดคช่วยประมวลความเป็นไปได้ที่จะมีการจู่โจมแบบคาดไม่ถึงเข้ามาจากทางไหนบ้าง
แต่กลับไม่มีเค้าลางว่าจะเกิดอะไรแบบนั้นเลย
ถ้าอย่างนั้น…
นรินทร์ตัดความเป็นไปได้เรื่องที่พวกตัวเองจะถูกเล่นงานออกแล้วคิดในทางกลับกันเป็นรูบิเดียมกลัวจะโดนอะไรบางอย่างโจมตีใส่ต่างหาก
อะไรบางอย่างที่ว่านั่นกำลังพุ่งขึ้นมาจากทะเล
แผ่นน้ำที่ลุกโชนไปด้วยเพลิงบรรลัยกัลป์พูนตัวขึ้นแล้วล้มทับเปลวเพลิงจนมอดสนิท
ตัวการที่ทำแบบนั้นพุ่งขึ้นมาจากข้างใต้ผืน
ร่างกายจักรกลใบหูยาวและมีคมดาบติดตั้งไว้รูปร่างเหมือนกระต่ายแต่มีแง่งยื่นออกมาจากด้านข้างเหมือนก้ามปู
เหมือนกับเครื่องทำสวนที่กวินทร์อัญเชิญออกมาด้วยท่าไม้ตาย
‘กีก้าเสลฟแรคน่าบัสเตอร์’ ไม่มีผิด
ข้อมูลและนามของเครื่องทำสวนนั่นไหลเข้ามาในสมอง
เมลคีเซเดคเป็นผู้ประมวลและส่งมันมา
“ผู้สะบั้นวัชพืช…จูลลับบิตต้า”
ข้อมูลยังมีต่อไปอีก
เป็นข้อมูลที่ทำให้โล่งใจไปครึ่งหนึ่ง
“อิงศรเป็นคนขับมัน”
แว่นตาปีศาจที่สวมอยู่ระบุตำแหน่งเสมือนเป็นจุดสีแดงอยู่บริเวณหน้าอกของจูลลับบิตต้า
มีชื่อของอิงศรอยู่
“กระต่ายกับคนคลั่งกระต่ายอย่างอิงศรเหรอ”
นรินทร์เปรยแล้วหัวเราะ
แต่ก็พยายามกลั้นขำเอาไว้
ข้อมูลเรื่องความชอบกระต่ายของอิงศรนั้นเขารู้มาตั้งนานแล้วแต่เมื่อกี้เมลคีเซเด็คส่งข้อมูลเข้ามาเพราะมีคำว่ากระต่ายลอยอยู่ในหัวตอนที่มองเห็นเครื่องทำสวนนั่น
แต่แล้วเสียงหัวเราะขบขันที่พยายามฝืนกลั้นก็ไหลลงคอไปหมดในคราเดียวเมื่อ…
“วัชพืช!!”
อิงศรคำรามดังลั่นออกมาจากเครื่องทำสวนกระต่าย
“ชิบหายล่ะหรือว่าหมอนั่นควบคุมไม่ได้กันน่ะ”
เมษาช่วยพูดความในใจออกมาให้
เมลคีเซเดคยังไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมดังนั้นเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
แต่ว่า...
“วัชพืชที่รุกล้ำสวนอันศักดิ์สิทธิ์จะต้องพินาศ!!”
อิงศรตะโกนอีก
เครื่องทำสวนกระต่ายวิ่งบนน้ำมันควบห้อมาอย่างรวดเร็ว
ท่าทางองอาจราวกับม้าหนุ่มสายพันธุ์ดี แค่ชั่วพริบตามันก็มาถึงปลายหาด
“ฮะฮะฮะ
แพ้ภัยตัวเองรึวัชพืช”
ออร์ทิเกสซาร์หัวเราะขบขัน
เสียงฟันเฟืองเคลื่อนตัวดังครืดๆ กลั้วเสียงหัวเราะแล้วพริบตานั้นเอง
วินาทีซึ่งตัวตลกชะล่าใจ
กระต่ายก็พุ่งตัวกระแทกใส่สีข้างของมัน
เสียงปะทะของโลหะกับโลหะดังโครมราวกับเสียงฟ้าร้อง
ปลายจมูกของกระต่ายทิ่มสีข้างราชสีห์วิปริตผู้เรียกตัวเองว่าเป็นตัวตลกยุบจมลงไปจนมันส่งเสียงร้องโอดโอย
“อึก…นี่แกทำอะไรของแกจูลลับบิตต้า”
สิ้นคำออร์ทิเกสซาร์ก็กัดเข้าที่คอของจูลลับบิตต้าแล้วเหวี่ยงทุ่มใส่พื้น
เพียงแค่นั้นก็ทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้ด้วยขนาดตัวของเครื่องทำสวนก็เหมือนทุ่มภูเขาทั้งลูก
ฝุ่นทรายลอยคละคลุ้งขึ้นมาจนทัศนวิสัยเข้าขั้นวิกฤต
นรินทร์ต้องสั่งให้ทุกคนถอยกลับไปรวมกลุ่มกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
บางทีรูบิเดียมคงคาดเดาได้ว่าจะเกิดการต่อสู้กันระหว่างเครื่องทำสวนจึงจงใจถอยออกห่าง
”ทุกคนอย่าแตกกลุ่มกันนะคอยระวังรอบข้างให้กันด้วยเห็นอะไรก็ตะโกนเลย”
ฝุ่นควันยังคงไม่จางลง
ระหว่างที่นรินทร์ตะโกนอยู่เขาก็กลืนทรายเข้าไปพอสมควร
“แค่ก แค่ก”
เด็กหนุ่มสำลัก
ทรายเต็มปากจนลิ้นสากไปหมด
รสชาติเค็มของเกลือทะเลกับดินทรายสร้างความน่ารำคาญอยู่ในปาก
ดูท่าง่าการสื่อสารจะเป็นเรื่องลำบากเสียแล้ว
ตอนนั้นเองที่เงาขนาดใฟญ่ทาบทับลงบนเงาของตน
นรินทร์แหงนหน้าขึ้นมอง
เครื่องทำสวนกระต่ายกำลังเอาตัวกำบังพวกเขาไว้
“อิงศร”
เขาพูดชื่อของคนที่อยู่ข้างในนั้นได้ทันที
คนที่คิดแต่จะปกป้องพวกพ้อง ครอบครัว ยิ่งกว่าใครนั่นก็มีแต่อิงศร
บางทีคงจะได้สติและเริ่มควบคุมเครื่องทำสวนมาตั้งแต่แรก
“งั้นเองเรอะที่แท้แกก็เหมือนกับสิงห์สินะ”
ออร์ทิเกสซาร์ก้าวเท้าเข้ามาสองสามก้าว
เพียงเท่านั้นก็บังเกิดลมจาการเคลื่อนที่ของมันปัดเป่าควันทรายให้กระจายออกไปจนทัศนวิสัยเด่นชัดขึ้น
เครื้องทำสวนสิงโตเดินโซเซเล็กน้อย
ตรงสีข้างที่โดนปลายจมูกของจูลลับบิตต้าที่อิงศรขับทิ่มเข้าไปนั้นยังเห็นเป็นรอยยุบแตกนั่นคงเป็นความเสียหายที่หนักไม่ใช่น้อยแล้วก็เป็นบาดแผลแรกด้วย
แต่ทางนี้ก็เหมือนกัน
เครื่องทำสวนกระต่ายประคับประคองตัวเองอย่างเต็มที่จนดูเหมือนฝืนร่างกาย
การโจมตีของฝ่ายนั้นก็ได้ผลมากเช่นกัน
ถ้าอย่างนั้นนี่ก็จะเป็นทีของพวกเขาที่จะช่วยสนับสนุนอิงศรกันล่ะ
“ทุกคน…”
แต่ก่อนที่นรินทร์จะทันสั่งอะไรออกไปแขนบอบบางของเด็กหนุ่มก็ถูกแรงมหาศาลกระชาก
“อ…อึก”
นรินทร์ส่งเสียงคราง
ร่างของเขาถูกเหวี่ยงลอยหวือราวกับกระดาษ แขนข้างที่ถูกดึงนั้นเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
รู้สึกเหมือนแขนจะขาดเสียให้ได้
ไหล่คงจะหลุดไปแล้วถ้าน้ำหนักตัวของเขามากกว่านี้แต่เพราะถูกเหสี่ยงปลิวขึ้นมาอย่างง่ายดายความเสียหายจึงมีไม่มาก
นรินทร์เหลือบสายตามองไปยังตัวการที่กระชากแขนตนในเสี้ยววินาทีที่กำลังลอยเคว้งกลางอากาศ
“พันโทกรกฏ”
ชายหนุ่มร่างสูงผิวสีเข้ม
รูปร่างกำยำ เรือนผมสีดำเส้นผมเรียบเป็นระเบียบ แววตาสีแดงแบบที่ไม่มีในมนุษย์
ใบหน้าคมเข้มอย่างชายชาติทหารถ้าเปรียบเป็นเสือก็คงจะไม่ผิดนักแล้วเขาที่โดนจับเหวี่ยงทิ้งอย่างง่ายดายก็คงจะเป็นกระต่าย
เหมือนกับเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังต่อสู้กัน
แต่ถ้าตกลงไปกระแทกพื้นโดยที่ยังเอาหัวลงอาจจะถึงตายเอาได้
นรินทร์ที่คิดได้ทันท่วงทีก่อนจะถึงพื้นจึงพยายามพลิกตัวไม่ให้เอาหัวกับหลังที่เป็นจุดประสาทสำคัญลงไปกระแทกพื้น
เด็กหนุ่มหลับตาปี๋เตรียมใจรอรับแรงกระแทก
ทว่าแรงปะทะกับความเจ็บปวดก็มาไม่ถึงเสียทีแม้เวบาจะผ่านไปหลายวินาทีแล้วก็ตาม
“พี่กรกฏทำไมถึงไปเข้าพวกกับมนุษย์ต่างดาวกันล่ะ!”
ได้ยินเสียงของเมษาดังมากๆ
จึงลองเปิดตาดูก็พบว่าตนอยู่บนอ้อมแขนของเมษาที่เข้ามารับเอาไว้ก่อนจะลงพื้น
“เมษา”
นรินทร์พูดแต่เมษาเหมือนจะไม่ได้ยิน
ใบหน้ากับแววตาของเขาแสดงความโกรธออกมาราวกับไฟกำลังลุกโชนเหมือนสีเส้นผมของเด็กหนุ่ม
“พี่น่าจะเชื่อฟังแค่พี่กุมภาไม่ใช่เหรอแล้วทำไม…”
“จะเป็นมนุษย์รึเปล่าก็ไม่เกี่ยวถ้านั่นคือกุมภาข้าก็มีหน้าที่ต้องรับใช้”
สำหรับนรินทร์แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินพันโทกรกฏพูด
ว่ากันว่าในกองทัพนั้นเขาเป็นคนพูดน้อยจนคนรอบข้างแทบจะนึกว่าเขาเป็นใบ้หากไม่ใช่ว่าเขายังตอบโต้กับพลเอกกุมภาเวลารับคำสั่งแต่ก็เป็นแค่คำตอบรับสั้นๆ
เท่านั้น นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเป็นประโยคยาวๆ
เมษาวางตัวเขาลงโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ตัวพันโท
แววตานั้นราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว
“นรินทร์
ที่นี่ขอฉันจัดการเถอะนายพาคนอื่นๆ ไปช่วยเจ้าศรก่อนเลย”
พอเมษาพูดมาแบบนั้นนรินทร์ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่พันโทกรกฏเข้ามาทำร้ายเขาถึงในวงล้อมที่พวกพ้องช่วยกันระแวดระวังภัยให้ได้นั่นก็เพราะทัพมนุษย์ต่างดาวที่รอมาซักพักแล้วพากันเข้ามาล้อมพวกเขาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
พอเห็นแบบนั้นเข้านรินทร์ก็ทำหน้าลำบากใจกับคำขอของเมษา
“สู้ตัวต่อตัวพันโทจะไหวเหรอ”
เท่าที่พอจะรู้มาพันโทกรกฏสังกัดอาชีพโคลสเซอร์บิลด์คลาสค่อนข้างคล้ายกับเมษาแต่จะออกไปทางสายต่อสู้มือเปล่ามากกว่าจะเน้นลูกเล่นการเสริมพลังกับลดพลังแบบคลาสวอยด์ของเมษา
“ถ้าผมจำไม่ผิดคลาสของพันโทน่าจะเป็นคลาสผสมระหว่างสายวอยด์กับมาเทียล
คลาสแชมเปี้ยนที่เน้นการต่อสู้ตรงเลยนะ ถ้าวัดกันที่ร่างกายกับประสบการณ์แล้วเมษา...”
แต่เมษาวางมือลงบนไหล่ของเขาพร้อมกับพูดว่า
“พอดีมีหนี้ต้องเคลียกันหน่อยน่ะขอร้องล่ะ”
นรินทร์สบตากับเมษาแล้วก็เข้าใจได้ทันที
ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดเรื่องหลักเหตุผลอะไรอีกแล้ว
เมษามีความต้องการที่จะตัดสินอะไรบางอย่างกับพันโทกรกฏ อีกอย่างถ้าให้เมษาดึงพันโทเอาไว้ที่นี่ก็จะช่วยลดจำนวนศัตรูที่ต้องรับมือลงไปได้ยิ่งเป็นศัตรูที่มีข้อมูลของพวกเขาที่เคยอยู่กับเมตไตรยแล้วยิ่งเป็นการณ์ดีที่จะขจัดเขาออกไปจากศัตรูทั้งหมด
“ระวังตัวด้วยล่ะ”
นรินทร์กัดฟันพูด
ถึงจะไม่อยากทิ้งเมษาไว้แต่เวลาก็บีบคั้นทางเลือกเข้ามา หากไม่รีบออกไปสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อมแล้วล่ะก็จะไม่ทันรับมือพวกมนุษย์ต่างดาวเอา
เขาไม่ได้รอฟังคำตอบจากเมษาแต่ตบเท้าวิ่งออกไปพร้อมกับตะโกนทันที
“ทุกคนมารวมกันทางนี้!”
เมื่อคนอื่นๆ
มารวมกันหมดแล้วก็เริ่มตั้งฟอร์เมชั่นกัน
@@@
ขณะเดียวกัน ภายในของเครื่องทำสวนกระต่าย
“วัชพืช...วัช...ว...วัช...พืช”
อิงศรพูดสะอึก
เป็นเพราะเขากำลังต่อสู้กับการควบคุมจากเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์
มันพยายามจะเข้าควบคุมร่างและทำให้เขากลายเป็นอุปกรณ์ขับเคลื่อนเพื่อล้างบางวัชพืช
ชำระล้างสวนอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อว่าโลก
อิงศรสัมผัสได้ถึงความตั้งใจอันแรงกล้าของเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ผ่านทางความนึกคิดที่ไหลเข้าสู่สมองโดยมีจุดมุ่งหมายในการควบคุมตัวเขา
ยังดีที่มีเมอร์คาบาห์คอยช่วยอยู่ภายในตัวทำให้จิตสำนึกไม่ถูกครอบงำโดยเครื่องทำสวน
กระนั้นแล้วพลังครอบงำก็ยังมีมากเกินกว่าจะต้านเอาไงไว้ได้ทั้งหมด
ที่อิงศรทำได้ตอนนี้คือคอยประคองจิตใจตัวเองไม่ให้ถูกกลืนเข้าไปดังนั้นปากกับอวัยวะอื่นๆ
ของร่างกายส่วนใหญ่ได้ถูกครอบงำไปหมดจึงพ่นคำพูดของเครื่องทำสวนออกมาอย่างบ้าคลั่งแทบจะตลอดเวลา
‘อย่าปล่อยใจไปกับความคิดของจูลลับบิตต้าล่ะพยายามตั้งจิตของเจ้าให้อยู่กับความนึกคิดของตัวเอง’
เสียงนุ่มนวลของเมอร์คาบาร์ดังขึ้นในโสตประสาทท่ามกลางเสียงหวีดร้องของตัวเองที่ควบคุมไม่ได้
อิงศรรู้สึกได้ว่าทัศนียภาพที่เคยเป็นสีแดงก่ำราวกับมองผ่านเลือดได้เจือจางลง
อำนาจครอบงำของเครื่องทำสวนคงจะเริ่มตกลงไปเป็นบางส่วนหรือไม่ก็...
“โซเดียแมทเทเรียลเกย์เซอร์
โอเวอร์ไดรฟ์!!”
เพราะคลื่นบ่วงเพลิงกับลำแสงที่ออร์ทิเกสซาร์ยิงกราดเข้ามา
ดวงตาของอิงศรตอนนี้เชื่อมต่อกับเครื่องทำสวนอยู่จึงมองเห็นเหมือนไฟจากวงแหวนเพลิงกับลำแสงที่พุ่งออกจากปากของราชสีห์กำลังพุ่งเข้ามาหาตัวเอง
“หลบ!”
อิงศรพูดกับตัวเอง
พูดเพื่อให้ร่างกายรับฟังคำสั่ง ร่างกายซึ่งเชื่อมต่อกับเครื่องทำสวนทำให้ขยับมันได้ราวกับเป็นอวัยวะของตัวเอง
จูลลับบิตต้าดีดตัวกระดอนขึ้น
ความสูงที่ขึ้นไปนั้นถึงขนาดกระโดดข้ามแนวเทือกเขาได้ดังนั้นการโจมตีของออร์ทิเกสซาร์จึงพุ่งเลยผ่านไปและกวาดเอาป่ากับภูเขาด้านหลังให้หายวับไปในพริบตา
ป่าตกอยู่ในทะเลเพลิงทันใด
แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงเท่ากับว่าเมื่อกี้แรงส่งของการกระโดดสร้างผลกระทบอะไรให้เพื่อนๆ
ที่อยู่ข้างล่างไปบ้าง
พอเท้าหน้าแตะพื้นได้อิงศรก็พยายามฝืนบังคับให้ลงจอดอย่างนุ่มนวลที่สุดจนแทบไม่เกิดแรงสะเทือนกับแผ่นดิน
มันเป็นคุณสมบัติหนึ่งของเครื่องทำสวนเครื่องนี้เป็นคุณลักษณะเดียวของผู้สะบั้นวัชพืชที่มีฝีเท้าอันนุ่มนวลและเงียบเชียบ
ราวกับเป็นมือสังหารไร้เสียง
เขารับรู้ข้อมูลพวกนั้นจากความนึกคิดของเครื่องทำสวนที่ส่งเข้ามาพร้อมกับความพยายามครอบงำร่างกาย
อิงศรหันเหสายตาของเครื่องทำสวน
นัยน์ตาอัญมณีสีแดงเข้มเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าเลื่อนมองไปยังจุดที่กระโดดมาเมื่อครู่
พวกพ้องของเขายังอยู่ดีกันทุกคน
รู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที
‘อย่างนั้นแหละพยายามให้หัวใจอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด’
เสียงของเมอร์คาบาห์ดังขึ้น
มันเป็นอย่างที่ว่าไว้จริงๆ
พอเขาเริ่มจะสนใจรอบข้างมากขึ้นก็เหมือนกับว่าแรงดึงที่ถ่วงมาตลอดได้หายไป
ร่างกายเบาขึ้น รู้สึกเหมือนมีพลังพอจะกระโดดขึ้นไปถึงดวงจันทร์บนท้องฟ้าได้เลย
ดวงจันทร์...
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ไม่ทันสังเกตเลยซักนิด
แต่ว่าท้องฟ้ามืดสลัวลงไปเล็กน้อยจนเริ่มมองเห็นพระจันทร์ทั้งที่ยังมีแสงแดดอยู่
“จะว่าไปเมื่อกี้...”
แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าการโจมตีเมื่อครู่ของออร์ทิเกสซาร์ทิ้งร่องรอยอันน่าสงสัยเอาไว้
อิงศรจำได้ว่ามันเป็นท่าที่จะปล่อยออกมาเมื่อสัตว์เทวะที่มันสร้างขึ้นถูกทำลาย
จึงมองไปยังจุดที่ข้าวหลามกับวิเชียรมาศปะทะกับพวกสัตว์เทวะเป็นครั้งสุดท้าย
ที่นั่นตอนนี้มีพวกมนุษย์ต่างดาวส่วนหนึ่งไปรวมกันอยู่ คงจะร่วมมือกันกำจัดสัตว์เทวะ
ทางด้านเซ็ปทรูสตาร์ของแฟรนเซียมที่โดนโดโกบาร์ยิงตกทะเลไปก็ยังไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
ถึงอย่างนั้นอนันตาก็ยังเอาร่างกายตัวเองเป็นโล่กำบังจากกระสุนปืนของโดโกบาร์ที่ยิงกราดไม่หยุดหย่อนจนถึงตอนนี้
เศียรของพญานาคาก็เหลือน้อยเต็มที
จากกำแพงก้อนเนื้อที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดินไม่มีรู้จักหมดเริ่มจะหดเหลือแค่แนวเล็กๆ
จนมีลูกกระสุนข้ามผ่านไปถูกตัวของเครื่องทำสวนที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนน้ำ
ความคิดเห็น