ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #178 : Login 175: กระต่ายขาวในเงาจันทร์ 2

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 182
      8
      28 พ.ย. 60

    Login 175: กระต่ายขาวในเงาจันทร์ 2

     

                ดาบเครื่องทำสวนที่เกิดขึ้นจากผลึกถูกดาบเครื่องทำสวนของกวินทร์ที่ใช้พลังของปีศาจสร้างมือยักษ์ขึ้นมาจับหวดจนกระเด็น แล้วดาบผลึกก็แตกสลายกลับคืนสู่ความว่างเปล่า

                พอเห็นว่าการบุกไม่ได้ผลรูบิเดียมก็กระโดดถอยหลังทิ้งระยะห่างไปจากพวกเขา

                “แปลก”

                นรินทร์คิดว่ามันแปลกเกินไป...ก็จริงที่พวกเขาตอบโต้เธอได้แต่ก็ไม่ถึงกับจะทาบพลังระดับราชครูอันดับสามติด ไม่สิแค่ให้สูสียังเป็นไปไม่ได้

                “ทำไมถึงถอยไปล่ะ”

                นรินทร์พยายามกวาดตามองรอบๆ ประเมินสถานการณ์อย่างถี่ถ้วนรวมถึงให้เมลคีเซเดคช่วยประมวลความเป็นไปได้ที่จะมีการจู่โจมแบบคาดไม่ถึงเข้ามาจากทางไหนบ้าง

                แต่กลับไม่มีเค้าลางว่าจะเกิดอะไรแบบนั้นเลย

                ถ้าอย่างนั้น…

                นรินทร์ตัดความเป็นไปได้เรื่องที่พวกตัวเองจะถูกเล่นงานออกแล้วคิดในทางกลับกันเป็นรูบิเดียมกลัวจะโดนอะไรบางอย่างโจมตีใส่ต่างหาก

                อะไรบางอย่างที่ว่านั่นกำลังพุ่งขึ้นมาจากทะเล แผ่นน้ำที่ลุกโชนไปด้วยเพลิงบรรลัยกัลป์พูนตัวขึ้นแล้วล้มทับเปลวเพลิงจนมอดสนิท ตัวการที่ทำแบบนั้นพุ่งขึ้นมาจากข้างใต้ผืน

                ร่างกายจักรกลใบหูยาวและมีคมดาบติดตั้งไว้รูปร่างเหมือนกระต่ายแต่มีแง่งยื่นออกมาจากด้านข้างเหมือนก้ามปู เหมือนกับเครื่องทำสวนที่กวินทร์อัญเชิญออกมาด้วยท่าไม้ตาย ‘กีก้าเสลฟแรคน่าบัสเตอร์’ ไม่มีผิด

                ข้อมูลและนามของเครื่องทำสวนนั่นไหลเข้ามาในสมอง เมลคีเซเดคเป็นผู้ประมวลและส่งมันมา

                “ผู้สะบั้นวัชพืช…จูลลับบิตต้า”

                ข้อมูลยังมีต่อไปอีก เป็นข้อมูลที่ทำให้โล่งใจไปครึ่งหนึ่ง

                “อิงศรเป็นคนขับมัน”

                แว่นตาปีศาจที่สวมอยู่ระบุตำแหน่งเสมือนเป็นจุดสีแดงอยู่บริเวณหน้าอกของจูลลับบิตต้า มีชื่อของอิงศรอยู่

                “กระต่ายกับคนคลั่งกระต่ายอย่างอิงศรเหรอ”

                นรินทร์เปรยแล้วหัวเราะ แต่ก็พยายามกลั้นขำเอาไว้

                ข้อมูลเรื่องความชอบกระต่ายของอิงศรนั้นเขารู้มาตั้งนานแล้วแต่เมื่อกี้เมลคีเซเด็คส่งข้อมูลเข้ามาเพราะมีคำว่ากระต่ายลอยอยู่ในหัวตอนที่มองเห็นเครื่องทำสวนนั่น

                แต่แล้วเสียงหัวเราะขบขันที่พยายามฝืนกลั้นก็ไหลลงคอไปหมดในคราเดียวเมื่อ…

                “วัชพืช!!”

                อิงศรคำรามดังลั่นออกมาจากเครื่องทำสวนกระต่าย

                “ชิบหายล่ะหรือว่าหมอนั่นควบคุมไม่ได้กันน่ะ”

                เมษาช่วยพูดความในใจออกมาให้ เมลคีเซเดคยังไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมดังนั้นเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

                แต่ว่า...

                “วัชพืชที่รุกล้ำสวนอันศักดิ์สิทธิ์จะต้องพินาศ!!”

                อิงศรตะโกนอีก เครื่องทำสวนกระต่ายวิ่งบนน้ำมันควบห้อมาอย่างรวดเร็ว ท่าทางองอาจราวกับม้าหนุ่มสายพันธุ์ดี แค่ชั่วพริบตามันก็มาถึงปลายหาด

                “ฮะฮะฮะ แพ้ภัยตัวเองรึวัชพืช”

                ออร์ทิเกสซาร์หัวเราะขบขัน เสียงฟันเฟืองเคลื่อนตัวดังครืดๆ กลั้วเสียงหัวเราะแล้วพริบตานั้นเอง

                วินาทีซึ่งตัวตลกชะล่าใจ กระต่ายก็พุ่งตัวกระแทกใส่สีข้างของมัน เสียงปะทะของโลหะกับโลหะดังโครมราวกับเสียงฟ้าร้อง ปลายจมูกของกระต่ายทิ่มสีข้างราชสีห์วิปริตผู้เรียกตัวเองว่าเป็นตัวตลกยุบจมลงไปจนมันส่งเสียงร้องโอดโอย

                “อึก…นี่แกทำอะไรของแกจูลลับบิตต้า”

                สิ้นคำออร์ทิเกสซาร์ก็กัดเข้าที่คอของจูลลับบิตต้าแล้วเหวี่ยงทุ่มใส่พื้น เพียงแค่นั้นก็ทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้ด้วยขนาดตัวของเครื่องทำสวนก็เหมือนทุ่มภูเขาทั้งลูก

                ฝุ่นทรายลอยคละคลุ้งขึ้นมาจนทัศนวิสัยเข้าขั้นวิกฤต

                นรินทร์ต้องสั่งให้ทุกคนถอยกลับไปรวมกลุ่มกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

                บางทีรูบิเดียมคงคาดเดาได้ว่าจะเกิดการต่อสู้กันระหว่างเครื่องทำสวนจึงจงใจถอยออกห่าง

                ”ทุกคนอย่าแตกกลุ่มกันนะคอยระวังรอบข้างให้กันด้วยเห็นอะไรก็ตะโกนเลย”

                ฝุ่นควันยังคงไม่จางลง ระหว่างที่นรินทร์ตะโกนอยู่เขาก็กลืนทรายเข้าไปพอสมควร

                “แค่ก แค่ก”

                เด็กหนุ่มสำลัก ทรายเต็มปากจนลิ้นสากไปหมด รสชาติเค็มของเกลือทะเลกับดินทรายสร้างความน่ารำคาญอยู่ในปาก

                ดูท่าง่าการสื่อสารจะเป็นเรื่องลำบากเสียแล้ว

                ตอนนั้นเองที่เงาขนาดใฟญ่ทาบทับลงบนเงาของตน นรินทร์แหงนหน้าขึ้นมอง

                เครื่องทำสวนกระต่ายกำลังเอาตัวกำบังพวกเขาไว้

                “อิงศร”

                เขาพูดชื่อของคนที่อยู่ข้างในนั้นได้ทันที คนที่คิดแต่จะปกป้องพวกพ้อง ครอบครัว ยิ่งกว่าใครนั่นก็มีแต่อิงศร บางทีคงจะได้สติและเริ่มควบคุมเครื่องทำสวนมาตั้งแต่แรก

                “งั้นเองเรอะที่แท้แกก็เหมือนกับสิงห์สินะ”

                ออร์ทิเกสซาร์ก้าวเท้าเข้ามาสองสามก้าว เพียงเท่านั้นก็บังเกิดลมจาการเคลื่อนที่ของมันปัดเป่าควันทรายให้กระจายออกไปจนทัศนวิสัยเด่นชัดขึ้น

                เครื้องทำสวนสิงโตเดินโซเซเล็กน้อย ตรงสีข้างที่โดนปลายจมูกของจูลลับบิตต้าที่อิงศรขับทิ่มเข้าไปนั้นยังเห็นเป็นรอยยุบแตกนั่นคงเป็นความเสียหายที่หนักไม่ใช่น้อยแล้วก็เป็นบาดแผลแรกด้วย

                แต่ทางนี้ก็เหมือนกัน

                เครื่องทำสวนกระต่ายประคับประคองตัวเองอย่างเต็มที่จนดูเหมือนฝืนร่างกาย การโจมตีของฝ่ายนั้นก็ได้ผลมากเช่นกัน

                ถ้าอย่างนั้นนี่ก็จะเป็นทีของพวกเขาที่จะช่วยสนับสนุนอิงศรกันล่ะ

                “ทุกคน…”

                แต่ก่อนที่นรินทร์จะทันสั่งอะไรออกไปแขนบอบบางของเด็กหนุ่มก็ถูกแรงมหาศาลกระชาก

                “อ…อึก”

                นรินทร์ส่งเสียงคราง ร่างของเขาถูกเหวี่ยงลอยหวือราวกับกระดาษ แขนข้างที่ถูกดึงนั้นเจ็บปวดเป็นอย่างมาก รู้สึกเหมือนแขนจะขาดเสียให้ได้ ไหล่คงจะหลุดไปแล้วถ้าน้ำหนักตัวของเขามากกว่านี้แต่เพราะถูกเหสี่ยงปลิวขึ้นมาอย่างง่ายดายความเสียหายจึงมีไม่มาก

                นรินทร์เหลือบสายตามองไปยังตัวการที่กระชากแขนตนในเสี้ยววินาทีที่กำลังลอยเคว้งกลางอากาศ

                “พันโทกรกฏ”

                ชายหนุ่มร่างสูงผิวสีเข้ม รูปร่างกำยำ เรือนผมสีดำเส้นผมเรียบเป็นระเบียบ แววตาสีแดงแบบที่ไม่มีในมนุษย์ ใบหน้าคมเข้มอย่างชายชาติทหารถ้าเปรียบเป็นเสือก็คงจะไม่ผิดนักแล้วเขาที่โดนจับเหวี่ยงทิ้งอย่างง่ายดายก็คงจะเป็นกระต่าย

                เหมือนกับเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังต่อสู้กัน แต่ถ้าตกลงไปกระแทกพื้นโดยที่ยังเอาหัวลงอาจจะถึงตายเอาได้ นรินทร์ที่คิดได้ทันท่วงทีก่อนจะถึงพื้นจึงพยายามพลิกตัวไม่ให้เอาหัวกับหลังที่เป็นจุดประสาทสำคัญลงไปกระแทกพื้น

                เด็กหนุ่มหลับตาปี๋เตรียมใจรอรับแรงกระแทก ทว่าแรงปะทะกับความเจ็บปวดก็มาไม่ถึงเสียทีแม้เวบาจะผ่านไปหลายวินาทีแล้วก็ตาม

                “พี่กรกฏทำไมถึงไปเข้าพวกกับมนุษย์ต่างดาวกันล่ะ!”

                ได้ยินเสียงของเมษาดังมากๆ จึงลองเปิดตาดูก็พบว่าตนอยู่บนอ้อมแขนของเมษาที่เข้ามารับเอาไว้ก่อนจะลงพื้น

                “เมษา”

                นรินทร์พูดแต่เมษาเหมือนจะไม่ได้ยิน ใบหน้ากับแววตาของเขาแสดงความโกรธออกมาราวกับไฟกำลังลุกโชนเหมือนสีเส้นผมของเด็กหนุ่ม

                “พี่น่าจะเชื่อฟังแค่พี่กุมภาไม่ใช่เหรอแล้วทำไม…”

                “จะเป็นมนุษย์รึเปล่าก็ไม่เกี่ยวถ้านั่นคือกุมภาข้าก็มีหน้าที่ต้องรับใช้”

                สำหรับนรินทร์แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินพันโทกรกฏพูด ว่ากันว่าในกองทัพนั้นเขาเป็นคนพูดน้อยจนคนรอบข้างแทบจะนึกว่าเขาเป็นใบ้หากไม่ใช่ว่าเขายังตอบโต้กับพลเอกกุมภาเวลารับคำสั่งแต่ก็เป็นแค่คำตอบรับสั้นๆ เท่านั้น นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเป็นประโยคยาวๆ

                เมษาวางตัวเขาลงโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ตัวพันโท แววตานั้นราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว

                “นรินทร์ ที่นี่ขอฉันจัดการเถอะนายพาคนอื่นๆ ไปช่วยเจ้าศรก่อนเลย”

                พอเมษาพูดมาแบบนั้นนรินทร์ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่พันโทกรกฏเข้ามาทำร้ายเขาถึงในวงล้อมที่พวกพ้องช่วยกันระแวดระวังภัยให้ได้นั่นก็เพราะทัพมนุษย์ต่างดาวที่รอมาซักพักแล้วพากันเข้ามาล้อมพวกเขาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

                พอเห็นแบบนั้นเข้านรินทร์ก็ทำหน้าลำบากใจกับคำขอของเมษา

                สู้ตัวต่อตัวพันโทจะไหวเหรอ

                เท่าที่พอจะรู้มาพันโทกรกฏสังกัดอาชีพโคลสเซอร์บิลด์คลาสค่อนข้างคล้ายกับเมษาแต่จะออกไปทางสายต่อสู้มือเปล่ามากกว่าจะเน้นลูกเล่นการเสริมพลังกับลดพลังแบบคลาสวอยด์ของเมษา

                ถ้าผมจำไม่ผิดคลาสของพันโทน่าจะเป็นคลาสผสมระหว่างสายวอยด์กับมาเทียล คลาสแชมเปี้ยนที่เน้นการต่อสู้ตรงเลยนะ ถ้าวัดกันที่ร่างกายกับประสบการณ์แล้วเมษา...

                แต่เมษาวางมือลงบนไหล่ของเขาพร้อมกับพูดว่า

                พอดีมีหนี้ต้องเคลียกันหน่อยน่ะขอร้องล่ะ

                นรินทร์สบตากับเมษาแล้วก็เข้าใจได้ทันที

                ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดเรื่องหลักเหตุผลอะไรอีกแล้ว เมษามีความต้องการที่จะตัดสินอะไรบางอย่างกับพันโทกรกฏ อีกอย่างถ้าให้เมษาดึงพันโทเอาไว้ที่นี่ก็จะช่วยลดจำนวนศัตรูที่ต้องรับมือลงไปได้ยิ่งเป็นศัตรูที่มีข้อมูลของพวกเขาที่เคยอยู่กับเมตไตรยแล้วยิ่งเป็นการณ์ดีที่จะขจัดเขาออกไปจากศัตรูทั้งหมด

                ระวังตัวด้วยล่ะ

                นรินทร์กัดฟันพูด ถึงจะไม่อยากทิ้งเมษาไว้แต่เวลาก็บีบคั้นทางเลือกเข้ามา หากไม่รีบออกไปสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อมแล้วล่ะก็จะไม่ทันรับมือพวกมนุษย์ต่างดาวเอา

                เขาไม่ได้รอฟังคำตอบจากเมษาแต่ตบเท้าวิ่งออกไปพร้อมกับตะโกนทันที

                ทุกคนมารวมกันทางนี้!”

                เมื่อคนอื่นๆ มารวมกันหมดแล้วก็เริ่มตั้งฟอร์เมชั่นกัน

     

                @@@

     

                ขณะเดียวกัน ภายในของเครื่องทำสวนกระต่าย

                “วัชพืช...วัช...ว...วัช...พืช

                อิงศรพูดสะอึก เป็นเพราะเขากำลังต่อสู้กับการควบคุมจากเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ มันพยายามจะเข้าควบคุมร่างและทำให้เขากลายเป็นอุปกรณ์ขับเคลื่อนเพื่อล้างบางวัชพืช ชำระล้างสวนอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อว่าโลก

                อิงศรสัมผัสได้ถึงความตั้งใจอันแรงกล้าของเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ผ่านทางความนึกคิดที่ไหลเข้าสู่สมองโดยมีจุดมุ่งหมายในการควบคุมตัวเขา ยังดีที่มีเมอร์คาบาห์คอยช่วยอยู่ภายในตัวทำให้จิตสำนึกไม่ถูกครอบงำโดยเครื่องทำสวน

                กระนั้นแล้วพลังครอบงำก็ยังมีมากเกินกว่าจะต้านเอาไงไว้ได้ทั้งหมด ที่อิงศรทำได้ตอนนี้คือคอยประคองจิตใจตัวเองไม่ให้ถูกกลืนเข้าไปดังนั้นปากกับอวัยวะอื่นๆ ของร่างกายส่วนใหญ่ได้ถูกครอบงำไปหมดจึงพ่นคำพูดของเครื่องทำสวนออกมาอย่างบ้าคลั่งแทบจะตลอดเวลา

                อย่าปล่อยใจไปกับความคิดของจูลลับบิตต้าล่ะพยายามตั้งจิตของเจ้าให้อยู่กับความนึกคิดของตัวเอง

                เสียงนุ่มนวลของเมอร์คาบาร์ดังขึ้นในโสตประสาทท่ามกลางเสียงหวีดร้องของตัวเองที่ควบคุมไม่ได้ อิงศรรู้สึกได้ว่าทัศนียภาพที่เคยเป็นสีแดงก่ำราวกับมองผ่านเลือดได้เจือจางลง

                อำนาจครอบงำของเครื่องทำสวนคงจะเริ่มตกลงไปเป็นบางส่วนหรือไม่ก็...

                โซเดียแมทเทเรียลเกย์เซอร์ โอเวอร์ไดรฟ์!!”

                เพราะคลื่นบ่วงเพลิงกับลำแสงที่ออร์ทิเกสซาร์ยิงกราดเข้ามา

                ดวงตาของอิงศรตอนนี้เชื่อมต่อกับเครื่องทำสวนอยู่จึงมองเห็นเหมือนไฟจากวงแหวนเพลิงกับลำแสงที่พุ่งออกจากปากของราชสีห์กำลังพุ่งเข้ามาหาตัวเอง

                หลบ!”

                อิงศรพูดกับตัวเอง พูดเพื่อให้ร่างกายรับฟังคำสั่ง ร่างกายซึ่งเชื่อมต่อกับเครื่องทำสวนทำให้ขยับมันได้ราวกับเป็นอวัยวะของตัวเอง

                จูลลับบิตต้าดีดตัวกระดอนขึ้น ความสูงที่ขึ้นไปนั้นถึงขนาดกระโดดข้ามแนวเทือกเขาได้ดังนั้นการโจมตีของออร์ทิเกสซาร์จึงพุ่งเลยผ่านไปและกวาดเอาป่ากับภูเขาด้านหลังให้หายวับไปในพริบตา

                ป่าตกอยู่ในทะเลเพลิงทันใด แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงเท่ากับว่าเมื่อกี้แรงส่งของการกระโดดสร้างผลกระทบอะไรให้เพื่อนๆ ที่อยู่ข้างล่างไปบ้าง

                พอเท้าหน้าแตะพื้นได้อิงศรก็พยายามฝืนบังคับให้ลงจอดอย่างนุ่มนวลที่สุดจนแทบไม่เกิดแรงสะเทือนกับแผ่นดิน

                มันเป็นคุณสมบัติหนึ่งของเครื่องทำสวนเครื่องนี้เป็นคุณลักษณะเดียวของผู้สะบั้นวัชพืชที่มีฝีเท้าอันนุ่มนวลและเงียบเชียบ ราวกับเป็นมือสังหารไร้เสียง เขารับรู้ข้อมูลพวกนั้นจากความนึกคิดของเครื่องทำสวนที่ส่งเข้ามาพร้อมกับความพยายามครอบงำร่างกาย

                อิงศรหันเหสายตาของเครื่องทำสวน นัยน์ตาอัญมณีสีแดงเข้มเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าเลื่อนมองไปยังจุดที่กระโดดมาเมื่อครู่

                พวกพ้องของเขายังอยู่ดีกันทุกคน รู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที

                อย่างนั้นแหละพยายามให้หัวใจอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด

                เสียงของเมอร์คาบาห์ดังขึ้น

                มันเป็นอย่างที่ว่าไว้จริงๆ พอเขาเริ่มจะสนใจรอบข้างมากขึ้นก็เหมือนกับว่าแรงดึงที่ถ่วงมาตลอดได้หายไป ร่างกายเบาขึ้น รู้สึกเหมือนมีพลังพอจะกระโดดขึ้นไปถึงดวงจันทร์บนท้องฟ้าได้เลย

                ดวงจันทร์...

                ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ไม่ทันสังเกตเลยซักนิด

                แต่ว่าท้องฟ้ามืดสลัวลงไปเล็กน้อยจนเริ่มมองเห็นพระจันทร์ทั้งที่ยังมีแสงแดดอยู่

                จะว่าไปเมื่อกี้...

                แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าการโจมตีเมื่อครู่ของออร์ทิเกสซาร์ทิ้งร่องรอยอันน่าสงสัยเอาไว้

                อิงศรจำได้ว่ามันเป็นท่าที่จะปล่อยออกมาเมื่อสัตว์เทวะที่มันสร้างขึ้นถูกทำลาย จึงมองไปยังจุดที่ข้าวหลามกับวิเชียรมาศปะทะกับพวกสัตว์เทวะเป็นครั้งสุดท้าย ที่นั่นตอนนี้มีพวกมนุษย์ต่างดาวส่วนหนึ่งไปรวมกันอยู่ คงจะร่วมมือกันกำจัดสัตว์เทวะ

                ทางด้านเซ็ปทรูสตาร์ของแฟรนเซียมที่โดนโดโกบาร์ยิงตกทะเลไปก็ยังไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

                ถึงอย่างนั้นอนันตาก็ยังเอาร่างกายตัวเองเป็นโล่กำบังจากกระสุนปืนของโดโกบาร์ที่ยิงกราดไม่หยุดหย่อนจนถึงตอนนี้ เศียรของพญานาคาก็เหลือน้อยเต็มที จากกำแพงก้อนเนื้อที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดินไม่มีรู้จักหมดเริ่มจะหดเหลือแค่แนวเล็กๆ จนมีลูกกระสุนข้ามผ่านไปถูกตัวของเครื่องทำสวนที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนน้ำ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×