ตอนที่ 174 : Login 171: ความหวัง
Login 171: ความหวัง
แม้จะเห็นด้วยตาตัวเองแต่ก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดีว่าพลังของสกิลท่าไม้ตายที่ขอยืมพลังของเครื่องทำสวนมาจะใช้หักล้างกับพลังของเครื่องทำสวนตัวจริงได้
อิงศรต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่หลังจากเห็นสิ่งที่กวินทร์ทำลงไป
ตอนนี้สถานการณ์กลับมาอยู่ในสภาพที่ต่างฝ่ายต่างก็รอดูเชิงกัน
“กลายเป็นสภาพกลางไปแล้ว”
และมันก็จะเริ่มขึ้นเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเคลื่อนไหว แต่ที่ยังไม่มีใครเริ่มนั้นน่าจะเป็นเพราะต่างก็รู้ถึงความสามารถของเท็งกะโกะเคนที่กวินทร์ใช้ออกไป
ความสามารถที่จะกินกิริยาห้าอย่างซึ่งใช้กินการโจมตีของออร์ทิเกสซาร์ไปแล้วก็เหลืออีกสี่อย่าง หลบหลีก ป้องกัน ฟื้นฟู เสริมพลัง
ที่น่ากลัวก็คือ หลบหลีกกับป้องกัน หากฝ่ายไหนโจมตีก่อนคนที่เป็นเป้าไม่มีสิทธิจะรอดได้เลย
เสี้ยววินาทีที่หยุดนิ่งไปเพราะความคิดของแต่ละคนกำลังตอบโต้กับสติสัมปชัญญะนั่นเอง ออร์ทิเกสซาร์กลับเคลื่อนไหว
เครื่องทำสวนยกอุ้งเท้าของมันขึ้นแล้วหวดลงมาตรงจุดที่เขากับพวกพ้องกระจุกกันอยู่ ดูเหมือนว่าเครื่องทำสวนจะไม่มีช่องว่างของการตัดสินใจจึงเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าแล้วก็ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้มันจ้องเล่นงานแต่พวกเขา
แล้วมันอะไรกันล่ะ…อาจจะไม่ได้รู้คำตอบอีกเลยก็ได้เพราะตอนนี้ฝ่าเท้าอันเท่าบ้านทั้งหลังกำลังพุ่งลงมาเหยียบพวกเขา
ทว่า อิงศรกลับเห็นว่ามีเงาพุ่งขึ้นไป เงาคนสองคนด้วยกัน
มิ่งขวัญในร่างอัศวินทองคำกับลิเธียมกระโจนขึ้นไปสุดแรงแล้วเอาไหล่กระแทกใส่อุ้งเท้ายักษ์จนมันหยุดชะงักไปแวบหนึ่ง แค่แวบเดียวจริงๆ
เท้ายักษ์ดันกลับลงมาอย่างง่ายดาย แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
“เมอร์คาบาห์ตัดขามันไปเลย!”
อิงศรตะโกน
ในช่วงเสี้ยววินาทีที่อุ้งเท้าชะงักไปนั่นเองเขาก็ได้ให้ปีศาจบินอ้อมขึ้นไปก่อนแล้ว
เมอร์คาบาห์ตอนนี้อยู่แถวๆ โคนเท้าพอดีและเงื้อใบดาบเตรียมจะสะบั้นมันให้ขาดจากกัน เครื่องทำสวนเห็นเข้าก็ชักเท้ากลับหวังจะหลบคมดาบ
“ตอนนี้แหละ เท็งกิมารุ!”
กวินทร์พูดเป็นสัญญาณให้ป้ายไม้พยัคฆ์กลืนกินกิริยาแห่งการหลบหลีกนั่น เท้าของเครื่องทำสวนเหมือนถูกแรงที่มองไม่เห็นกระชากกลับในทิศตรงกันข้าม
ตอนนั้นเองแผงคอของเครื่องทำสวนก็กางออกจากคอแล้วเริ่มหมุน คาดว่ากำลังสร้างบาเรียมาป้องกันแบบที่เห็นก่อนหน้านี้
แต่กิริยานั่นก็ถูกกลืนกินไปเช่นกัน บาเรียหายไปคมดาบของเมอร์คาบาห์เกือบจะบาดลงไปบนขาของมัน ฉัวะ! เสียงอันน่ารังเกียจดังขึ้น ใบมีดของเมอร์คาบาห์สะบั้นคอของสัตว์เทวะที่เข้ามาขวางหลุดกระเด็นไปแทน
“อา ทำให้มีความหวังซะแล้วสิงั้นขอมอบความสิ้นหวังให้เลยก็แล้วกัน”
ออร์ทิเกสซาร์พูดจากนั้นก็สะบัดอุ้งเท้าปัดมิ่งขวัญกับลิเธียมกระเด็นลงไปบนหาด
วินาทีถัดจากนั้นเอง วงแหวนไฟก็กระจายตัวออกจากแผงคอของมัน คลื่นบ่วงเพลิงพุ่งลงมาที่อิงศร
แต่ก็รับไว้ด้วยกำแพงแสงที่สร้างขึ้นด้วยเดธอาคานาร์ไว้
การต่อสู้กลายเป็นกลุ่มของอิงศรคอยตั้งรับการโจมตีของออร์ทิเกสซาร์เพียงอย่างเดียว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีคนอื่นยื่นมือเข้ามายุ่งไม่ว่าจะเป็นพวกมนุษย์ต่างดาว หรือ แฟรนเซียมที่ขับเครื่องทำสวนอยู่ก็ตาม
โดโกบาร์ซึ่งสังเกตุการณ์อยู่ข้างหลังกลุ่มของพวกเขาตลอดได้เอ่ยปากว่า
“นี่คือพลังของมนุษย์อย่างนั้นสินะ”
แล้วเงยหน้าเหม่อมองออร์ทิเกสซาร์
คำพูดของโดโกบาร์ไม่ได้ส่งไปถึงอิงศรหรือเหล่าพวกพ้องแต่มันส่งไปถึงเครื่องทำสวนเครื่องอื่น แม้แต่แฟรนเซียมที่นั่งอยู่ในเครื่องทำสวนก็ได้รับข้อความนั้นเช่นกัน
เมอร์คาบาห์เคลื่อนไหวด้วยความคิดของอิงศร บินอ้อมไปด้านหลังวงแหวนเพลิงที่ออร์ทิเกสซาร์สร้างแล้วฟันมันให้หายไปด้วยใบมีดพิเศษที่แขน
“งั้นเองเรอะ”
แฟรนเซียมลำพึง จากที่ได้เห็นพลังของอิงศรทั้งโอโรจิและเมอร์คาบาห์ฮันเซลัชช่า เขาก็ทำความเข้าใจได้ทันที
แฟรนเซียมพูดจากเครื่องทำสวนให้อิงศรได้ยิน
“อย่างนี้นี่เองเมอร์คาบาห์ตัวนั้นคือเมอร์คาบาห์ที่พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นด้วยพลังของนายอย่างนั้นสินะ”
จากนั้นก็หัวเราะ
“หึ ฮะฮะฮะ สมแล้วที่เป็นนาย อิงศรมากับฉันสิไปสร้างโลกใหม่ด้วยกันถ้ามีพลังของนายอยู่ด้วยก็ไม่มีใครมาขวางพวกเราได้แล้ว”
อิงศรแหงนหน้ามองไปยังตัวต้นเสียงแล้วครุ่นคิด
แฟรนเซียมคงจะเข้าใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับพลังอวาแทรนซ์แล้วกระมังถึงได้พยายามชักชวนมาอีก
บางทีนี่คงจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะเลือกทางรอดสำหรับพวกพ้องในตอนนี้ ถ้าได้พลังของแฟรนเซียมมาช่วยก็รัยมือกับออร์ทิเกสซาร์ได้ แต่ว่า…
“ขอปฏิเสธ !”
อิงศรพูดตัดเยื่อใยที่อาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายนั่นทิ้งไปอย่างไม่ใยดี
“ว่าไงนะ !”
เสียงตะหวาดของแฟรนเซียมดังลงมา
“พวกฉันไม่ได้ต้องการโลกที่โหดร้ายพรรค์นั้น”
อิงศรพูดรวมไปถึงเป้าหมายของทางนั้นด้วย เป็นการแสดงจุดยืนของพวกตน
ทุกคนที่นี่รวมถึงตัวเขาเองตัดสินใจเลือกทางเดินในอนาคตไว้แล้วเพราะแบบนั้นถึงได้สวมชุดสีน้ำเงินขาวที่ซีลอร์ดมอบให้เพื่อประกาศว่าพวกเขาไม่ได้ถูกผูกมัดกับอำนาจใดๆ อีก
เสื้อคลุมตรงหน้าอกเป็นผ้าแยกชิ้นกับชุดจึงยกขึ้นได้นิดหน่อย อิงศรดึงมันขึ้นเพื่อให้แฟรนเซียมมองมาที่เครื่องแบบใหม่นี้ เป็นประกาศปลดแอกตัวเอง
พอเห็นแบบนั้นเขาแฟรนเซียมก็
“นายไปโดนใครเป่าหูมารึไง โลกที่จะถือกำเนิดขึ้นน่ะมันจะเป็นโลกที่นายชอบอย่างแน่นอนเพราะมันคือโลกที่ผู้มีความสามารถอย่างฉันหรือนายสามารถเป็นอิสระและทำได้ทุกอย่าง”
“แต่ต้องทอดทิ้งพวกพ้องไปน่ะเหรอ”
“พวกพ้อง…”
น้ำเสียงของแฟรนเซียมเปลี่ยนไปตอนที่ทวนคำว่า ‘พวกพ้อง’
“เศษสวะที่คอยเกาะแข้งเกาะขาพรรค์นั้นจะเอาติดไปด้วยทำไมกันเล่า ถ้าอยากจะเก็บก็เลือกเอาเฉพาะที่มีความสามารถซะสิ”
แล้วก็แสดงทัศนคติที่แท้จริงออกมา
อิงศรนึกย้อนกลับถึงตอนที่เขายังรู้จักแฟรนเซียมในฐานะ สิงห์ ธุวดารกะ
หมอนี่คอยดึงเขาที่เคยปิดกั้นตัวเองที่สูญเสีย ‘ครอบครัว’ ให้เปิดใจรับพวกพ้องได้อีกครั้ง
ไม่อยากจะเขื่อเลยว่าคนแบบหมอนั่นกับแฟรนเซียมจะเป็นคนๆ เดียวกัน จะบอกว่าตลอดสามปีที่รู้จักกันมาเป็นการแสดงเพื่อเหนี่ยวนำให้เขาสร้างเมอร์คาบาห์
ทั้งหมดเพื่อกุญแจเพียงดอกเดียวเท่านั้นเอง
“เพราะแบบนั้นไงฉันกับนายไม่มีวันร่วมมือกันได้หรอก !”
อิงศรยื่นคำขาดออกไป เมินทุกคำพูดหว่านล้อมที่แฟรนเซียมกล่าวมา
“ถ้าอย่างนั้นแล้วนายหวังอะไรเอาไว้ล่ะ นายคาดหวังโลกแบบไหนกันแน่อิงศร !”
จู่ๆ ก็ถูกถามถึงเป้าหมาย หากเป็นตัวเขาก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะช่วยชีวิตนรินทร์แล้วได้คำตอบเรื่องการก้าวเดินไปข้างหน้า คงจะเลือกไม่พูดเพื่อสร้างความเคลือบแคลงในใจให้อีกฝ่าย…คงจะทำเรื่องที่เหมือนกับเด็กงอแงแบบนั้นไปแน่ๆ
แต่ตอนนี้เขาจะตอบ เพราะว่าทาวเดินนั้นมันขัดเจนแล้ว
“ย้อนกลับไปอีกครั้ง พวกเรายังสามารถแก้ไขความผิดพลาดได้อยู่ถ้าเลือกจะก้าวเดินออกไป”
แต่แฟรนเซียม
“โง่เง่า! คนอย่างแกน่าจะเข้าใจได้ไม่ยากไม่ใช่รึไงว่าโลกใบนั้นมันเกินเยียวยาไปแล้วน่ะ !”
“ถ้าทุกคนร่วมมือกัน ก้าวเดินไปพร้อมกัน มันจะต้องแก้ไขได้แน่ !”
“สวะพวกนั้นน่ะนะ ถ้ามันเปลี่ยนแปลงได้จริงก็คงเปลี่ยนไปนานแล้วอิงศรนายมันจะโง่เง่าไปถึงไหนกัน”
“งั้นนายก็โง่ไม่ต่างกับฉันหรอกน่า! ที่นายมาถึงตรงนั้นได้ก็เพราะมีพวกพ้องคอยช่วยผลักดันอยู่ไม่ใช่รึไง”
“ดูเหมือนว่าพูดกับนายตอนนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์สินะ”
แฟรนเซียมพูด เครื่องทำสวนของหมอนั่นขยับปีกเร็วขึ้นเล็กน้อย ปีกนั่นส่องประกายแสงออกมาคงเตรียมจะโจมตีแล้ว
ลำแสงพุ่งออกจากปีกที่กระพือขึ้นลง
อิงศรตอบโต้ด้วยการย้ายกำแพงแสงที่เคยใช้ต้านการโจมตีของออร์ทิเกสซาร์ไปรับมือ
ทว่า ลำแสงนั่นกลับอาบใส่กำแพงแล้วข้ามมาได้ กำแพงกลายเป็นหิน ร่วงลงมาจมทรายบนหาด ลำแสงยังคงมุ่งหน้าต่อ
“โซเดียมาออน”
โดโกบาร์โผล่เข้ามาขวางลำแสงให้ตอนไหนไม่รู้ เด็กชายยกมือขึ้นเหมือนตั้งใจจะรับลำแสงนั่น ขณะเดียวกันก็ร่ายสกิลไปด้วย แล้วกำแพงที่เหมือนกับของออร์ทิเกสซาร์ก็แผ่ออกจากฝ่ามือเล็กกระจ้อยนั่นโอบอุ้มลำแสงกลายหินเอาไว้ไม่ให้ตกลงมาก่อนจะสลายกันไปทั้งคู่
ตอนนั้นเองออร์ทิเกสซาร์พูด
“โทษทีนะนี่ข้าพลาดอะไรไปรึเปล่าปกติแล้วคนไม่เอางานอย่างข้าน่าจะต้องเป็นฝ่ายถูกต่อว่าจากคนขยันขันแข็งอย่างเจ้ากับออร์ฟิอูคูมันนาร์แท้ๆ อยู่ๆ ดันกลับตาลปัตรซะอย่างนั้น แต่ก็นะสรุปว่าทำไมถึงไปช่วยวัชพืชกันล่ะโดโกบาร์”
โพแทสเซียมพูดมาจากด้านหลัง แสดงความคิดเห็นต่ออากัปกิริยาของเครื่องทำสวน
“เป็นเครื่องทำสวนที่นิสัยน่าขยะแขยงจังเลยนะครับเนี่ย”
แต่คำพูดนั่นอิงศรคิดว่าไม่ควรหลุดออกมาจากปากคนนิสัยเสียอย่างหมอนี่เลย
แล้วก็ไม่ใช่เขาคนเดียวที่คิดแต่สายตาของทุกคนจ้องมาที่หมอนี่แบบเดียวกันหมดราวกับอยากจะพูดว่า ‘นายก็ด้วยแหละ’ อย่างไรอย่างนั้น
โดโกบาร์ตอบกลับว่า
“ข้าก็ไม่ได้ช่วยวัชพืชซักหน่อยนี่แค่จะหยุดยั้งวัชพืชที่เหิมเกริมควบคุมเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเราเจ้าไม่รู้สึกว่ามันเป็นการหยามศักดิ์ศรีเลยหรือยังไง”
แต่ออร์ทิเกสซาร์หัวเราะให้กับคำพูดที่เหมือนคำแก้ตัวข้างๆ คูๆ นั่น
“ฮะฮะฮะ นั่นสินะเอาเถอะข้าไม่เคยห่วงเรื่องศักดิ์ศรีหรือหน้าที่อยู่แล้วแค่ทำตามที่อยากทำเท่านั้นแล้วแต่เจ้าก็แล้วกันโดโกบาร์เพราะเจ้าคือผู้ถูกต้องเสมอ...”
ออร์ทิเกสซาร์เว้นคำพูดไว้วินาทีหนึ่งราวกับอยากจะสื่อความนัยบางอย่าง
“ตราบที่ยังอยู่ภายใต้แอดมินิสเทรเตอร์ล่ะนะ”
โดโกบาร์มีปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อยราวกับจะเมินคำพูดของออร์ทิเกสซาร์ อิงศรพยายามวิเคราะห์คำพูดนั้นแต่ก็ไม่สามารถจะเข้าใจได้ ข้อมูลมันน้อยเกินไป
ช่วงที่สถานการณ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วนี้ อิงศรแทบจะไม่มีเวลาสังเกตพวกพ้องเลย แม้แต่กวินทร์ที่ออกมาช่วยกู้วิกฤตเมื่อครู่ได้วางแผนร่วมกับนรินทร์เพื่อจะใช้เท็งกะโกะเคนก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
ตอนนี้นรินทร์ช่วยเติมเต็มกิริยาฟื้นฟูกับเสริมพลังให้กับเท็งกะโกะเคนแล้วกวินทร์เตรียมจะใช้มันแปลงร่าง อิงศรจึงต้องหยุดเอาไว้
เขาตะโกนไปโดยไม่หันมอง
“อย่าเพิ่งใช้ท่าไม้ตายที่หยุดเวลาได้นะเจ้าพวกนี้มันไม่ถูกหยุดเวลาไปด้วยเราจะกลายเป็นเป้านิ่งเอา”
“หา?”
กวินทร์ส่งเสียงมาและหยุดมืนทันพอดี...คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นไม่งั้นมิติท่าไม้ตายคงแผ่ขยายออกมาแล้ว ข้อมูลเรื่องเครื่องทำสวนสามารถขยับในห้วงเวลาที่หยุดนิ่งได้นั้นมาจากการสังเกตุตอนที่ยังนั่งมอเตอร์ไซค์อยู่กับมิ่งขวัญในป่าถึงจะไม่รู้รายละเอียดมากนักแต่คิดว่ากันไว้ก่อนดีกว่า
อิงศรรู้สึกว่ามีใครเดินออกมาข้างหน้าที่เขาอยู่ พอหันไปก็พบกับเมษาที่ทำหน้าขมวดคิ้วอยู่
จึงถามเมษาไปว่า
“เป็นอะไรไปทำไม ทำหน้าแบบนั้น”
แต่เมษาไม่ตอบโต้กับคำถามของเขากลับพูดโดยแหงนมองเครื่องทำสวนที่แฟรนเซียมขับอยู่
อดีตพี่ชายร่วมตระกูลแต่ต่างสายเลือด สิงห์ ธุวดารกะ คือศัตรูตามข้อมูลที่ซีลอร์ดบอกเอาไว้
เดาว่าตอนแรกเมษาคงแค่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งรวมถึงเรื่องที่มีนาถูกใช้เป็น
“พี่...พี่สิงห์จริงๆ น่ะเหรอ”
เมษาพูดแบบนั้น ราวกับตกอยู่ในภวังค์บางอย่างหรือหมอนี่จะกำลังช็อก ถ้าอย่างนั้นมันก็นานไปหน่อยละ ตอนที่อยู่บนเฮลิคอปเตอร์ที่นั่งจากอารย-สนธยา มาเขาก็เล็คเชอร์เรื่องราวทั้งหมดเป็นสรุปย่อให้ทุกคนในทีมเข้าใจตรงกันไปแล้วว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหนและใครที่ทำอะไรลงไปบ้าง จะบอกว่าหมอนี่ไม่ได้พยายามเชื่อเรื่องที่เขาพูดไปเลยหรือว่าเชื่อใจสิงห์ที่เป็นพี่ชายมากเกินไป
อิงศรเองก็จะเข้าใจความรู้สึกของเมษาอยู่หมอนี่นับถือสิงห์มากชนิดที่แทบจะไม่กล้าขัดคำพูดเลยหากไม่ใช่เรื่องที่แปลกมากเกินไป
แต่สิงห์ ที่อยู่บนนั้นก็ไม่ได้ตอบกลับคำถามของน้องชาย
“...”
เมษาเริ่มเปลี่ยนเสียง เปลี่ยนไปทำเสียงอ่อนแออย่างน่าสมเพช
“ได้ไง...ทำไมถึงทำแบบนี้ ทำไมถึงทำกับมีนาเล่าตอบมาเซ่!!”
มีนาถูกใช้เป็นตัวทดลองสร้างฟันเฟืองสังเคราะห์ แค่นั้นก็สาหัสจะแย่แล้วแต่ยังถูกเอามาใส่ในตัวสิงโตเหล็กนี่แล้วยังจะทำลายมันอีกซึ่งนั่นน่าจะหมายถึงการฆ่ามีนาที่อยู่ข้างในไปพร้อมกัน เมษาที่เป็นฝาแฝดกับมีนาจะรู้สึกอย่างไรกัน จะโกรธมากขนาดไหน จะเสียใจที่ถูกหักหลังมากแค่ไหนเขาเองก็คาดเดาไม่ได้ทั้งหมด
แล้วจู่ๆ แฟรนเซียมที่นิ่งเงียบอยู่นานก็พูด
“นั่นสินะนี่คงเป็นโชคชะตา”
เป็นคำพูดที่แปลกมากสำหรับสิงห์ หากคนอย่างหมอนั่นจะพูดเรื่องของโชคชะตา...อิงศรคิดแบบนั้นได้แวบเดียวแฟรนเซียมก็พูดต่อมาทันที
”ฉันเองก็ไม่อยากจะพูดหรอกเพราะว่าฉันไม่เชื่อเรื่องโชคชะตาฟ้าลิขิตอะไรทั้งนั้นแต่เพราะนายช่วยฉันเอาไว้ตอนนั้นไม่อย่างนั้นตัวฉันเองอาจจะมาไม่ถึงตรงนี้ก็ได้มีนาต้องเป็นแบบนั้นก็เพราะนายเองไงล่ะ”
ที่แท้เหตุผลก็เป็นแบบนี้เอง หมอนั่นอยากจะทำร้ายจิตใจของเมษา ง่ายก็กว่านั้นก็คือตัดกำลังคนของทางเขาไปซึ่งมันก็เหมือนจะได้ผล เมษาเบ้หน้าและทำอะไรไม่ได้อีก
อย่างที่แฟรนเซียมพูด ได้ยินมาว่าตอนที่เมล์ตัวจับเวลาตายของสิงห์ส่งมาถึง ตอนนั้นเมษาเป็นคนช่วยสิงห์เอาไว้จากเงื้อมมือของสัตว์เทวะ ถ้าหากเมษาไม่ช่วยเอาไว้บางทีสถานการณ์ตอนนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นอย่างนั้นเหรอ แต่ว่า...
“ไม่เลยเมษาเพราะนายช่วยสิงห์เอาไว้ฉันถึงได้พลังที่ใช้ช่วยเหลือพวกพ้องมาถ้านายไม่ช่วยสิงห์เอาไว้พวกเราก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้หรอก”
อิงศรกล่าวแล้วจึงพูดกับแฟรนเซียมต่อไปว่า
“ก่อนหน้านี้นายบอกเองสินะว่าพวกพ้องเป็นแค่ตัวถ่วง แต่ตัวนายเองนั่นแหละถ้าไม่ได้เมษาช่วยเอาไว้ตอนเรดบอสนั่นป่านนี้ยังจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้งั้นเหรอ ถ้านายคิดว่าพวกพ้องไม่จำเป็นนายก็กำลังหลอกตัวเองอยู่ !”
“ไร้สาระน่า อิงศรฉันจะแสดงให้ดูเองว่าพลังมิตรภาพที่อยู่ๆ แกก็เชื่อมั่นขึ้นมานักหนานั่นเมื่อเจอกับพลังอำนาจที่สูงเกินจะเอื้อมแล้วมันจะน่าสมเพชได้ขนาดไหน”
แฟรนเซียมพูดแล้วเครื่องทำสวนก็เคลื่อนไหว มันขยับปีกขึ้นลงเร็วๆ จนปีกเริ่มเรืองแสง
...หรือคิดจะเปลี่ยนพวกเราเป็นหินอีก...อิงศรคิด
“ตอนนี้ฉันชินมือกับเจ้านี่ขึ้นมาหน่อยแล้วพอจะทำแบบนี้ได้ด้วย โซเดียอาทิลเรลรี่ฟีเธอร์ (Zodia Artillary Feather)”
สิ้นคำแฟรนเซียมกระสุนแสงขนาดเล็กรูปทรงขนนกก็พุ่งออกจากปีกที่กระพือนั่น กระสุนขนนกจำนวนนับไม่ถ้วนโปรยปรายลงมาราวกับสายฝน
แต่ก็ถูกโล่กำแพงที่โดโกบาร์สร้างขึ้นมาขวางไว้อีก
“ข้าบอกไปแล้วนะว่าจะหยุดเจ้า”
แล้วพูดกับมิ่งขวัญโดยไม่หันมอง
“ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกมิ่งขวัญเอ๋ยขึ้นมาบนตัวข้าสิจะขอยืมพลังหน่อย”
สิ้นคำเด็กชายก็หายตัวไปราวกับอากาศธาตุ ต่อมาก็มีเสียงดังครืนลงมาจากด้านบน
บนท้องฟ้าที่โขมงไปด้วยควันไฟนั่นเอง ทั้งเมฆทั้งควันแหวกอออกจากกันเพราะมีก้อนหินตกลงมา
ก้อนหินขนาดใหญ่มโหฬาร อุกกาบาตที่เก็บเครื่องทำสวนนั่นเอง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
