คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 4: Light City มหานครซึ่งแสงสาดส่อง
……….ยุวราชแห่งแสง หางผู้เป็นบุตรของเทพเจ้า ได้ท้าสู้กับ เรจิ ด้วยความตั้งใจที่จะทดสอบพลัง ด้วยอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ของนาง ได้ไล่ต้อนให้เขาจนมุม และ ในวินาทีตัดสินนั้นเอง
“ ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้เจ้า เจ้าหมาป่า!!! ”
ยุวราช แห่งแสงตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราด ขวานทองคำแห่งการสังหารทรราชย์ ดิ่งตรงไปตามการวาดมือของนางตัวขวานหมุนควงและพุ่งเข้าไปหมายบั่นร่างของ หมาป่าแดง ที่กำลังติดพันกับอาวุธอีก 3 ชนิดอยู่ด้วยโทสะ ที่ระเบิดอยู่ทำให้นางไม่ทันได้สังเกตุรอบตัว ซึ่งตอนนี้บรรยากาศได้คละคลุ้งไปด้วย มานา จำนวนมากราวเมฆหมอก และพวกมันกลั่นตัวกลายเป็นเม็ดทรายร่วงโรย อยู่เต็มพื้น ทุ่งดอกไม้ที่ราบเรียบ กำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นทะเลทราย ด้วยอาคมบทหนึ่งที่ หมาป่าแดง ได้กล่าวออกมา
“ I am the Glass of those Glasses. ” - ตัวข้าคือแก้วของกระจกเหล่านั้น
เคร้ง!!!!!!!!!
ก่อนที่ขวานจะได้ทันเข้าถึงตัว กลับปรากฏดาบ Great Sword สีดำเล่มมหึมา พุ่งเข้ามาปัดขวานในมุม
ที่เหมาะเจาะจะให้ ขวาน กระเด็นออกไปทางด้านข้าง เจ้าของดาบคือสัตว์หางเผ่าไลเกอร์(Liger)
ใบหน้าพะรุงพะรุงไปด้วยหนวดเขี้ยวและเคราสีขาว ร่างกายท้วมใหญ่ แลดูทรงพลัง ด้วยความ
อ้วนท้วมสมบูรณ์นี้เองทำให้เปลือกตาเบียดกันจนแทบจะปิดสนิท ทำให้ไม่รู้ว่ามองหรือคิดอะไรอยู่
“ เจ้า!…..โบดาส?! ”
กษัตริยา สบถเสียงลั่น นางรู้จักไลเกอร์ ตัวนี้ดีเขาคือ 1ใน3 แม่ทัพของนครแห่งแสง แม่ทัพโบดาส(General Boldas)
“ ท่านกษัตริยา….โปรด วางมือ ก่อนเถิด ”
โบดาส เอ่ยพร้อมกับชักดาบยักษ์กลับมาและปักมันลงบนพื้น น้ำหนักของดาบทำให้แผ่นดินถึงกับสะเทือน
จนรู้สึกได้
“ ทำไมเจ้าถึงเข้ามาขวางการต่อสุ้ของเรา? ”
กษัตริยา ยังคงสงสัยต่อเจตนาของแม่ทัพ ในจังหวะปลิดชีพที่อาจหาไม่ได้อีกแล้ว แต่คนที่เข้ามาขวาง
นางไว้กลับเป็นผู้ที่ควรจะอยู่ใต้บังคับบัญชาของนางเสียเอง ที่จริงก็ไม่ถูกนัก แม้ว่า นางจะเป็น กษัตริย์
ปกครองนครแต่ก็ไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ การปกครองและบริหารอาณาจักร เป็นสิทธิของศาสนจักร
ซึ่งขึ้นตรงกับ เทพีแห่งแสงผู้เป็นมารดาของนาง
“ พระองค์ ไม่ทรงดูด้วยพระเนตรของพระองค์เองเล่า? หากข้าไม่ยั้งไว้ พระศอ คงได้หลุด
กระเด็นตามพระนามแห่งขวานประหารทรราชย์ ไปแล้วมิใช่รึ?! ”
โบดาส ตอบเสียงเรียบ กษัตริยา ได้ยินเช่นนั้นก็เกิดสงสัยว่าหมายถึงสิ่งใด และแล้วเมื่อโทสะ สงบลง
อะดรีนารีน ในร่างที่เคยหลั่งออกมาจนถึงเมื่อครู่ ก็ได้หยุดหลั่ง ความเจ็บปวดต่างๆจึงแล่นเข้ามาให้ได้สัมผัส
ทั้งแขน และท้องของนาง ในจุดเดียวกับที่ หมาป่าแดงได้รับบาดเจ็บจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์ นางเองก็มีแผลเช่นเดียวกัน
นี่นับเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่นางต้องตกตะลึง กับความสามารถในการเลียนแบบ พลังของหมาป่าแดง
ท่าวิชาที่ สามารถส่งคืนความเจ็บปวดให้กับ คุ่ต่อสู้ ด้วยการแผ่จิตเมตตา และเป็นวิชาที่น่าจะมีนางแค่คน
เดียวอีกนั่นแหละที่สามารถใช้ได้ หลักแห่งกรรม(Karma)
========================Karma=====================
“ แม้แต่ หลักแห่งกรรม ก็ยังเลียนแบบได้งั้นรึ….แม้ว่าข้าจะไม่ได้พูดหรือบอกอะไรออกไป
แต่ตอนที่ฟันทะลุ รีเวิส(Reverse) เข้ามาคงจะโดนสะท้อนความเสียหายไปตอนนั้นแล้วก็จดจำได้
ทันทีสินะ ”
กษัตริยา เปรยเสียงเรียบ โทสะ ที่เคยอัดแน่นในอกได้หายไปราวกับระเหยเป็นอากาศ นางคิดว่าการต่อสู้
นี้คงต้องหยุดไว้ก่อน เพราะถึงสู้ต่อไป ต่างฝ่ายก็รังแต่จะเจ็บตัวเสียเอง ดังนั้นนางจึงสั่งปลดอาวุธ ที่ทำร้าย
เรจิ ออกทันทีที่ อาวุธทั้งหมดหายไป หมาป่าแดงก็ล้มทรุดลงทันที บรรายากาศซึ่งเคยสั่นไหวด้วยมานา
ที่เขารวบรวมมาได้หายไปในบัลดล เม็ดทรายซึ่งกลั่นตัวมาก็ยังเหือดแห้งสลายหายไป ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ
“ แล้วเจ้ามีอะไรทำไมถึงมาที่นี่?! ”
“ เฮ้!! เกิดอะไรขึ้นน่ะ!! ”
ระหว่างที่ นางกำลังถามสาเหตุจากแม่ทัพโบดาส นั้นก็มีเสียงตะโกนดังมาจากทางป่า ไม่นานนัก
ไบซัน กับ แมว ซึ่งก็คือ เอนกิดู และ คอย์น นั่นเองทั้งสองวิ่งออกจากป่าตรงมาที่ทุ่งดอกไม้ทันที
“ ข้าเจอพวกเขาหลงทางอยู่ในป่าระหว่างทางที่มานี่ ก็เลยพามาด้วย ”
โบดาส ชี้ไปยังทั้งสองที่สะบักสะบอมกับการลุยป่ามา
“ อะไรกันน่ะ จบแล้วเหรอเนี่ยโธ่!~~~ ”
เจ้าแมวขนสีเทาคอยน์ สบถด้วยความเสียดายก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็น หมาป่าแดงที่ นั่งหอบหายใจ
อยู่กับพื้น ในสภาพโชกเลือด
“ อ๊ะ! ลูกพี่!! ”
คอย์น ร้องสะดุ้งพร้อมกับโผตัวเข้าไปกอดหมาป่าแดงโดยอัตโนมัติ จนล้มกลิ้งไปทั้งคู่
สร้างความฉงนแก่ทุกคนที่อยู่ที่นั่น
“ เจ้ารู้จักมันด้วยรึ คอย์น? ” กษัตริยา ถาม
“ เพื่อนของนายหรอ เรจิ? ” เซเวอร์ ถาม
คำถามของทั้งคู่สร้างความฉงนให้กันและกันด้วยจนเผลอหันมามองหน้ากันเอง กษัตริยา เป็นฝ่ายรู้สึกตัวก่อนจึงรีบหันกลับทันควันเพราะนึกขึ้นได้ว่าไม่ถูกหน้ากัน แต่เซเวอร์ กลับยิ้มเยาะด้วยความชอบใจก่อนจะหันกลับไปรอคำตอบจาก คู่แมวหมา ที่ยังกลิ้งหลุนๆอยู่นั่นเอง
“ แง~~ เซเวอร์นี่มันเปงตัวอารายอ่า เรจิ เจ็บไปหมดแล้วอ่า~~~ ”
หมาป่าแดง ร้อง งอแงแบบเด็กๆ จากการที่ คอย์น ตะครุบใส่ตัวเขาทั้งที่ยังมีแผลเต็มตัวไปหมด
ทำให้ปากแผลเปิดออกมาแล้วเลือดยังไหลไปเรอะตัว คอย์น อีกเสียด้วยซ้ำ
“ อ๊ะ! แย่แล้วลืมตัวไปหน่อย ว้าเลือดเปอระเต็มเสื้อไปหมดเลย ”
แมวหนุ่ม ผละตัวออกจาก เรจิ ก่อนจะดึงเสื้อตัวเองดูซึ่งมันเลอะเลือดไปทั้งตัวแล้ว
“ แต่ก็…ได้มาเจอกับความหวังตามที่พยากรณ์ไว้เป๊ะเลยนะ สมแล้วที่เป็นลูกพี่ของผม แหะๆ ”
แมวหนุ่ม หันไปยิ้มให้สีหน้าของเจ้าตัวแสดงออกเลยว่ากำลังดีใจสุดๆ ราวกับถูกรางวัลใหญ่
ขณะที่ ตัวเรจิ เองก็ได้ งงและงง ว่าแมวหนุ่มตัวนี้พูดถึงเรื่องอะไรกัน
ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขาไม่เคยพบปะหรือเจอสัตว์หางอื่นนอกจาก นิโค่ กับเพื่อนๆที่มาเล่นด้วยกันบ่อยๆ
คำศัพท์บางอย่างเขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแปลว่าอะไร
“ เมื่อกี้เจ้าบอกว่า ลิงไม่มีหางตัวนี้คือเซเวอร์ สินะ? ”
โบดาส แทรกขึ้นมาและท้วงถึงคำพูดของ เรจิ ที่ร้อง งอแงใส่เซเวอร์ ไปเมื่อครู่พร้อมกับหันไป
มองเซเวอร์ด้วยสายตาหวาดระแวง
“ เซเวอร์ไม่ใช่ลิงนะ! เซเวอร์ ก็คือเซเวอร์ ต่างหากล่ะ! ”
เรจิ ตะคอกแต่ก็ไม่มีใครสนใจฟังเพราะตอนนี้ การแสดงออกของโบดาส ดึงความสนใจของพวกเขา
เอาไว้หมดแล้ว แม่ทัพไลเกอร์ เบิกดวงตาที่เคยหรี่แคบ ออกมันเป็นสายตาที่แข็งกร้าวราวกับกำลังแผ่จิตสังหารข่มขวัญศัตรู ราวกับ พยัคฆ์ร้ายกำลังจ้องเหยื่อ
“ ข้าได้รับคำสั่งจากท่าน อัลคาเซีย ให้มารับตัวบุคคลที่มีนามว่า เซเวอร์ ไปเข้าเฝ้า เจ้าใช่ไหมเซเวอร์….ของครั้งนี้… ”
โบดาส บอกเป้าหมายในการมาที่นี่แก่พวกเขา เด็กหนุ่ม ค่อยๆหันมาสบตากับ แม่ทัพไลเกอร์ อย่างช้าๆ
ก่อนจะยิ้มอย่างลำพองใจ ต่อท่าทีของแม่ทัพที่ พยายามจะข่มขู่เขา สิ่งที่ โบดาส มองเห็นในแววตาของเด็กหนุ่ม คือความว่างเปล่า ความเปล่าที่ยิ่งใหญ่ซึ่งโอบอุ้มทุกสิ่งไว้ หรือก็คือ ในดวงตาของเด็กหนุ่ม
ราวกับมีจักรวาลสถิตย์อยู่ในนั้น เพียงแค่สบตาก็ราวกับจะถูกดึงให้เข้าไปอยู่ในโลกแห่งนั้น
อุ้งมือของแม่ทัพไลเกอร์ ชุ่มโชกไปด้วยเม็ดเหงื่อที่พึ่งจะไหลออกมา คงเป็นเพราะความตึงเครียดที่ เกิดขึ้นในขณะที่ เด็กหนุ่มยังคงทีท่าสงบนิ่งเยือกเย็นไว้ได้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ ถ้าข้าปฏิเสธล่ะ? ” เซเวอร์ ย้อนเสียงเรียบราวกับไม่เกรงกลัว ร่างกายที่ใหญ่โตและท่าทางอันดุดันของ
ไลเกอร์ สิ่งเหล่านั้นหาได้ข่มขวัญหรือสร้างความคุกคามใดๆแก่เด็กหนุ่มเลย
สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือ โบดาสกำลังถูกแรงกดดันของเด็กหนุ่มไล่ต้อนเองเสียมากกว่า
ด้วยความองอาจและหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของแม่ทัพ โบดาสได้กล่าวตอบไปอย่างไม่เกรงกลัว
“ เช่นนั้นต่อให้จะต้องใช้กำลัง ข้าก็จะลากคอเจ้าไปเข้าเฝ้าให้ได้ ”
เซเวอร์ แกล้งทำตาโตแสดงความประหลาดใจ ก่อนจะหรี่ตาเพ่งมอง แม่ทัพ อย่างพินิจพิเคราะห์
แล้วจึงยื่นมือ ออกมาหน้าด้าน พลันเกิดประกายไฟฟ้าแล่นแปลบปราบขึ้นในอากาศ
ท้องฟ้าที่เคยสดใสไร้เมฆหมอก กลับถูกปกคลุมด้วยเมฆฝนครึกครึ้ม
เช่นเดียวกับตอนที่ สกายบัค บุกโจมตี มวลหมู่เมฆแหวกตัวออก แล้วทันใดนั้น
สายฟ้าฟาดเส้นหนึ่งได้พุ่งลงมาสู่มือของเด็กหนุ่ม สายฟ้านั้นกลายเป็นรูปร่างของดาบสั้น
“ งั้นก็ลองแสดงความตั้งใจของเจ้าต่อหน้า ฟ้าฟื้น ของข้าหน่อยก็แล้วกัน ”
เซเวอร์ ท้าทายพร้อมกับกระชับดาบสีไพรินดาบมารซึ่งมีนามว่าฟ้าฟื้นผู้แบ่งแยกท้องนภาเป็นสอง
ความตึงเครียด เข้าปกคลุมในทันที แรงกดดันของเด็กหนุ่ม กระตุ้นสัญชาตญาณ ของสัตว์หางทุกตัว
รู้สึกและรับรู้ได้เลยว่า เขาเป็นตัวอันตราย ระดับความกดดันในตอนนี้ แทบไม่ต่างอะไรกับอยู่ในสนามรบ
ทั้งที่หากมองดูแล้วมันเป็นการรุมกระทำต่อเด็กหนุ่มเพียงผู้เดียวแท้ๆ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขารู้สึกได้เลยว่า
ความเป็นจริงตรงหน้ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนั้นไม่สอดคล้องกันแน่
สำหรับ ทอล ผู้ซึ่งได้เห็นดาบมารเล่มนั้น ผ่าท้องฟ้าขาดเป็นสองเสี่ยงมาแล้ว ตัวเขาแทบจะเดาเหตุการณ์
ต่อไปได้เลยเสียด้วยซ้ำ ไม่มีใครกล้าขยับตัวทุกอย่างหยุดนิ่งราวกับเวลาได้หยุดลง มีเพียงแค่ความเงียบสงัดที่ปกคลุมทุ่งดอกไม้นี้
“ โอ๊ยย~~~~ ”
เรจิ ร้องครางโอดโอยพร้อมกับเอามือกุมปากแผลที่ท้อง ที่ซึ่งถูก กริชสังหารบุตรอาเกดะห์
ของกษัตริยาแทงเข้าไป จนบัดนี้เลือดยังคงไหล ออกมาไม่หยุดเพราะการทิ่มแทงของกริชนั้นแทง
ลึกลงไปมาก
“ อะไรกัน? ยังไม่ยอมรักษาตัวเองอีกรึ ”
กษัตริยา เปรยนางรู้สึกประหลาดใจเป็นอันมากทั้งที่ เลียนแบบเวทย์รักษาของนางได้
แต่กลับไม่ยอมใช้มันรักษาแผลของตนเอง เซเวอร์ มองดูเพื่อนของเขากำลังทรมานต่อไปอีกไม่ได้
จึงเก็บดาบกลับก่อนจะพูดขึ้น
“ เอาเถอะข้าเองก็ต้องการจะไปคุยกับอัลคาเซีย อยู่แล้วแต่ว่าก่อนหน้านั้นช่วยรักษาสหายของข้าก่อนสิ
ดูเหมือนว่าเขาจะสูญเสียพลังจิตใจ(Mind Power = MP)ไปจนหมดเลยใช้พลังรักษาตัวเองไม่ได้น่ะ ”
บรรยากาศรอบๆ ผ่อนคลายขึ้นมาในทันที แรงกดดันของจิตเข่นฆ่าที่เพ่งใส่กันจนถึงเมื่อครู่
ได้หายไปจนหมดสิ้น คงต้องขอบคุณ หมาป่าแดงที่ช่วยพวกเขาเอาไว้
ซึ่งตัว โบดาส เองยอมรับข้อเสนอนั้นทันที และหันไปขอร้องต่อกษัตริยา
“ ท่านกษัตริยา ข้ารู้ว่ามันเสียมารยาทแต่ข้าขอร้องในฐานะแม่ทัพจะช่วยรักษาหมาป่าตัวนั้นได้ไหม ”
“ ว่าไงนะ! นี่เจ้าจะให้ข้ารักษาคนที่มันทำกับข้าเยี่ยงนี้รึ… ”
นาง ตะหวาดขึ้นทันควันแค่เพียงรู้สึกว่าพ่ายแพ้ให้กับหางที่ไม่ต่างจากสัตว์ป่า ก็แย่พอแล้ว
หากนางต้องมารักษาให้อีก ก็ไม่ต่างอะไรกับ กษัตริษ์ยอมศิโรลาบเลย นี่คือตรรกะของนาง
ขณะที่นางดื้ออยู่นั้นเอง ไบซันนามเอนกิดู ผู้เป็นองครักษ์ ได้เดินเข้ามาหาพร้อมกับวางมือลง
บนไหล่ซ้ายของนาง
ฮู่มมม~~~
เอนกิดู คำรามเบาๆและดูเหมือนว่า กษัตริยา จะเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อเป็นอย่างดี
นาง พยายามจะขัดขืนอยู่เล็กน้อย แต่เพราะความสนิทเหมือนพี่น้องระหว่างนางกับเขา
จึงยอมทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ ก็ได้ๆ….แค่รักษาก็พอสินะ พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ -------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------
1 ชั่วโมงต่อมา…
คณะเดินทางซึ่งประกอบไปด้วย มนุษย์ กิ้งก่า ไบซัน แมว ลูกแมว แกะ ลูกแกะ ไลเกอร์ และ หมาป่า
อีกสองตัว ทั้งหมดกำลังเดินฝ่าผืนป่ากว้างนี้เพื่อตรงไปยังนครแห่งแสง
“ เห้อ~~~~อีกไกลไหมเนี่ยข้าเริ่มจะปวดขาแล้วนะ ”
เด็กหนุ่ม ถอนหายใจและเดินไหล่ตกความเหนื่อยล้าและความอบอ้าวของป่าในยามเย็น
พาให้เหงื่อไหลไคลย้อย อาบเสื้อผ้าของเขาจนชุ่มไปหมดทั้งตัวแล้ว
“ นายดูไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนที่ทำอวดไว้เลยนะ เพิ่งจะเดินมาชั่วโมงเดียวเอง ”
หมาป่าดำทอล แม้ว่าเค้าจะพูดคุยด้วยวาจาที่เป็นมิตรแต่น้ำเสียงก็ยังสั่นอยู่เล็กน้อย
เพราะมันคือความหวาดระแวงที่แฝงมากับคำพูด อย่างไรก็ตามการที่ได้เห็น เด็กหนุ่ม
ผ่าท้องฟ้าขาดเป็นสองส่วนมาแล้ว นั่นก็มากพอจะให้เขากลัวมิใช่หรือ
“ ก็ปกติข้าใช้ ตรีวิกรมเดินแค่สามย่างก้าวก็ถึงจุดหมายแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าต้องไปพร้อมกับพวกเจ้า
ปานนี้ข้าไปนอนรออยู่ที่พระราชวังของอัลคาเซียแล้วมั้ง ”
เซเวอร์ สวนกลับอย่างมีอารมณ์ สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวเป็นอะไรที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลย
เดินมาซักระยะหนึ่ง ทั้งกลุ่มก็หยุดเดินเอาเสียดื้อๆ เมื่อได้ทอดสายตามองออกไป ข้างหน้าคือเส้นทาง
ที่พ้นออกจากป่ามาแล้ว
และตรงหน้าพวกเขา จากถนนที่ตัดทอดผ่านเนินหญ้าเรียบๆ ที่ปลายสุดของถนนเส้นนี้
คือ กำแพงเมืองสีขาวสะอาด สูงร่วมสิบเมตร วางแนวยาวโอบล้อมเมืองทั้งเมืองเอาไว้
ใช้เวลา เพียง 10นาทีในการเดินจากชายป่าจนผ่านกำแพงเมืองเข้ามา
ก็ถึงเวลาหัวค่ำ ซึ่งพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว แต่ถนนหลัก(Main Street) ของมหานครแห่งนี้ก็ยัง
เรียงรายไปด้วยร้านค้าต่างๆมากมาย และสัตว์หางมากหน้าหลายตาหลากเผ่าพันธุ์ ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน
นับแต่ก้าวผ่านประตูเมืองมา แววตาของ เรจิ ก็เบิกโผลงด้วยความตื่นตากับแสงสีในเมือง
นับแต่เกิดมานี่เป็นการเข้าเมืองครั้งแรก มีสัตว์หางแปลกหน้าซึ่งเขาไม่รู้จักอยู่ในเมืองเต็มไปหมด
สิ่งก่อสร้างประหลาดๆ และอาคารบ้านเรือนที่ เขาไม่เคยได้เห็นหรือสัมผัสมัน
“ บ้านนอกเข้ากรุงของแท้เลยนะนายเนี่ย… ”
ซาจิทาเรียสมือธนูกิ้งก่า เปรยเมื่อเห็นอากัปกิริยาของ หมาป่าแดง ขณะเดียวกัน นิโค่ กับ ฟา
ก็ได้บอกลาและแยกกลุ่มกันกลับไปยังบ้านของตน
“ รีบไปที่พระราชวังกันเถอะ ตามข้ามา ”
โบดาส กล่าวก่อนจะเริ่มออกนำขบวนทุกตัว เดินลัดเลาะไปตามถนนจนมาถึงสวนสาธารณะ
อันกว้างขวาง ที่ใจกลางมีทะเลสาป เล็กๆน้ำในทะเลสาปใสสะอาดจนมองเห็นก้นน้ำ
เหนือทะเลสาปนั้นเองมีสะพานวนทอดลงมาสองฝั่ง พวกเขาเดินขึ้นไปตามสะพานวนนั้น
จนมาถึง แท่นเคลื่อนย้ายซึ่งทำหน้าที่เป็นทางเข้าสู่พระราชวังที่ลอยสูงขึ้นไปเหนือนครแห่งนี้
ถึง 10 กิโลเมตร ตัวแท่นมีลักษณะคล้ายกับตะเสียงซึ่งมีแสงสว่างส่องออกมาตลอดเวลา
แม่ทัพโบดาส แสดงให้ดูก่อนโดยการ ยื่นมือไปสัมผัสกับตะเกียงซักครู่ แสงสว่างจากตะเกียง
ได้ส่องสว่างเจิดจ้าออกมายิ่งกว่าเดิมและแสงนั้นอาบร่างของแม่ทัพ ก่อนจะจางลงและหายไปพร้อมกับ
ตัวแม่ทัพด้วย จากนั้นตัวอื่นๆก็ทยอยกันทำตาม จนมาถึงคิวของ เรจิ ที่เซเวอร์ ต้องบังคับจับมือ
เขาไปแตะกับตะเกียง เพราะเอาแต่กลัวแสงที่ลบทุกคนจนหายไปหมด ซึ่งก็มีโวยวายกันเล็กน้อย
แต่พวกเขาก็ขึ้นมาถึงโดยสวัสดิภาพ
ภายในพระราชวังลอยฟ้าก็ยังมีทางเดินทอดไกลเข้าไปอีก จนเซเวอร์ อดที่จะบ่นไม่ได้
“ พอแล้ว!! ใครอยากจะเดิน ก็เดินละกัน ข้าจะไปรอที่ส่วนกลางของพระราชวังก่อนล่ะ वामन (Vāmana) ”
เด็กหนุ่ม ร่ายมนต์ก่อนจะก้าวเท้าสามก้าวแล้วก็อัตรธานหายไปในบัลดล สร้างความแตกตื่นแก่พวกโบดาส
ที่ได้เห็นสิ่งที่ เด็กหนุ่มเรียกว่า ตรีวิกรม(ย่างสามก้าว)
“ นี่เจ้านั่นมันหนีไปแล้วงั้นเรอะ!! ”
โบดาส โวยวายก่อนจะชะงักไปเพราะมีเสียง ตะโกนเรียกจากฝั่งส่วนกลางของวัง
“ ข้าอยู่นี่รีบๆมากันได้แล้ว!! ”
เซเวอร์กำลังโบกไม้โบกมืออยู่ที่ส่วนกลางนั่นเอง ซึ่งพวกโบดาสก็ แทบจะยกโขยงวิ่งข้ามเส้นทางมา
จนถึงห้องกลางเลยทีเดียว จนพากันหอบหายใจด้วยความเหนื่อยหล้า
“ ข้างบนนี้สินะ ที่อัลคาเซีย อยู่น่ะ นำไปสิเจ้าอ้วน ”
เด็กหนุ่ม กล่าวพร้อมกับผายมือไปยังบันได ที่พาขึ้นสู่ชั้นสอง แม้จะยังเหนื่อยจากการวิ่งรวดเดียว
แต่แม่ทัพไลเกอร์ ก็จำยอมฝืนเดินขึ้นบันไดไป เมื่อมาถึงชั้นสอง
ที่ชั้นสองนี้ เป็นหอคอยซึ่งค้ำเพดานด้วยเสาค้ำวิหารแบบยุโรป บนฟ้าเพดานมีการระบายตกแต่งด้วย
ภาพสีเล่าเรื่องราวของ 12 ผู้กล้า ภายในหอคอยยังคงมีทหารซึ่งเป็นสัตว์หางเผ่าเสือดำเฝ้ารักษาการ ร่วมกับ
แม่ทัพอีกหางหนึ่ง เป็นครึ่งนกเหยี่ยวครึ่งคนท่าทางสุขุม และที่ใจกลางของหอคอยนี้เอง
ที่ซึ่งหัวใจของนครแห่งนี้สถิตอยู่ ผู้ทำให้นครแห่งนี้ถูกเรียกว่า นครแห่งแสง 1ใน6 เทพเจ้า
เทพีแห่งแสงสว่างและปัญญา อัลคาเซีย(Alcacia) พระองค์ทรงมี พระสิริโฉมงดงามและ
มีกิริยาสงบสุขุม ดั่งผู้มีปัญญา ด้านหลังของพระองค์จะมีวงแหวนและเข็มชี้คล้ายกับนาฬิกา มันมอบพลังในการอ่านชีพจรแห่งเวลา เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่พระองค์ได้รับการยกย่องและไว้วางใจจากเหล่า
เทพด้วยกัน
แม่ทัพไลเกอร์ ก้าวออกมาด้านหน้ากลุ่ม ก่อนจะย่อตัวลงทำความเคารพ และเริ่มรายงานด้วยเสียงอันดัง
ก้องเปี่ยมไปด้วยความเข้มแข็ง
“ ข้าพเจ้าได้พาตัวบุคคลนาม เซเวอร์ มาเข้าเฝ้าแล้วพะยะค่ะ! ”
เทพีแห่งแสง เลื่อนสายตาจากแม่ทัพ ไปหยุดที่เด็กหนุ่มในกลุ่ม ซึ่งกำลังบิดขี้เกียจโดยไม่สนต่อกาลเทศะ
ในพระราชวัง
“ เมื่อไม่กี่ชั่วยามมานี้ ข้าได้รับการติดต่อจากองค์เทพด้วยกัน ….. ”
เทพีแห่งแสง ตรัสกับเด็กหนุ่ม แต่เขาก็ยังคงไม่ลดลาวาศอกจากการกระทำที่หมิ่นเกรียติต่อพระองค์
ซึ่งนั่นทำให้ เหยี่ยวหนุ่มผู้เป็นแม่ทัพองครักษ์ของเทพีแห่งแสง มีท่าทีไม่พอใจและจ้องเขม็งด้วยสายตาขุ่นเคือง
“ เซร่า บอกเจ้าแล้วสินะถ้างั้นก็ง่ายหน่อย ข้อเสนอของเราน่ะเจ้าตอบรับรึเปล่า ถ้าไม่ก็เตรียมประกาศสงครามเลย~~ ”
เซเวอร์ พูดจาเรื่อยเปื่อยไปพลางแคะหูไปพลาง เทพีแห่งแสง ทรงแสดงความหนักพระทัย ออกอย่าง
ชัดเจนแต่ก่อนที่นางจักได้ตอบนั้นเอง แม่ทัพเหยี่ยว ที่ยืนเคียงข้างนาง ได้เดินเข้าไปกระชากคอเสื้อ
ของเด็กหนุ่ม ขึ้นมาก่อนจะตะคอกใส่ด้วยความโมโห
“ ข้าว่าจะไม่พูดแล้วเพราะเห็นว่าเจ้าเป็นแขกของท่านอัลคาเซีย หรอกนะแต่ช่วยสำรวมมารยาทของเจ้า
หน่อยจะได้ไหม ”
เด็กหนุ่มยิ้มเยาะ ราวกับเขารออยุ่แล้วที่จะให้ แม่ทัพเหยี่ยวเข้ามาหาเรื่อง
“ อิทารุส เอ๋ยผู้มีความจงรักภัคดีต่ออัลคาเซีย ความภัคดีนั่นซักวันมันจะย้อนกลับไปทำร้ายตัวเจ้า
เจ้าจะทรยศต่อความเชื่อใจและเดินไปตามเส้นทางที่ตัวเจ้าคิดเองเออเองทั้งสิ้น ”
เซเวอร์กล่าวพร้อมกับจ้องตาของ แม่ทัพเหยี่ยว เป็นเพียงเวลาแค่ชั่วเสี้ยววินาทีที่ภาพได้หลั่งไหลเข้ามา
ในหัวของแม่ทัพเหยี่ยว ภาพของตนเองถูกย้อมจนโสมม ไปด้วยความมืด
แม่ทัพเหยี่ยวผงะไปชั่วขณะจนเผลอปล่อยคอเสื้อของเซเวอร์ ความรู้สึกอันปวดร้าวประเดประดัง
เข้าใส่หัวใจมันเป็นอาการช็อก ที่รุนแรงถึงกับทำให้เขาแทบจะเซถลา
“ หึๆๆ สนุกดีจริงๆที่ได้เล่นกับเจ้านะ อิทารุส จำคำพูดของข้าไว้ก็แล้วกัน เอาล่ะมาต่อกันเถอะอัลคาเซีย เจ้ายอมรับหรือไม่ยอมรับล่ะ หืม? ”
เด็กหนุ่ม ทวนคำถามอีกครั้ง
“ ข้อเสนอของเจ้าช่างคลุมเครือที่ว่าเจ้าจะเลือกเองนั้นหมายความว่ากระไร? ”
เทพีแห่งแสงตรัส
“ อ้าว…. ” เด็กหนุ่มมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนจะย้อนถามทันที
“ เซร่าไม่ได้บอกเจ้าหรอกรึ? ”
“ เนื้อหาที่เราได้รับมาก็มีเท่าที่ได้บอกให้เจ้ารู้นั่นแล ”
เซเวอร์ ยกมือขวาขึ้นเท้าคางและใช้มือซ้ายกอดอก ทำท่าครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ระหว่างนั้นเอง
ก็มีสัตว์หางอีกตัว ขึ้นมายังหอคอยนี้ เป็นสิงโตทะเลตัวเตี้ย แต่งตัวแบบพระสังฆราชและสวมหมวกทรงสูง
ถือไม้เท้าประจำตำแหน่งหัวไม้เท้าเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวที่สูงกว่าความสูงของตัวเองเกือบสองเท่า
“ ขอรบกวนหน่อยนะเพราะข้าเองในฐานะที่เป็นตัวแทนฝั่งพระราชวังของศาสนจักรก็อยากจะร่วมประชุมด้วย ”
องค์สังฆราชสิงโตทะเล กล่าวพร้อมกับเดินต้วมเตี้ยม เข้ามาแทรก กลางระหว่างการสนทนา
“ ศาสนจักรงั้นรึ?...ก็เอาสิเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ทั้งอาณาจักรของพวกเจ้าจะต้องทำความเข้าใจ ”
เซเวอร์ ตอบซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ขัดสนอยู่แล้วถ้าจะมีผู้เข้าประชุมเพิ่มอีก
“ แล้วพระองค์ว่ายังไงบ้างละพะยะค่ะ? ”
“ เราอนุญาติให้เจ้าเข้าร่วมด้วย เรกกุ(Reggu) ”
“ เยี่ยม กู้ด ขอบพระทัยฝ่าบาท ”
องค์สังฆราช กล่าวพร้อมกับโค้งให้ก่อนจะหันกลับไปกล่าวกับเหล่าคณะติดตามโบดาสที่ยังยืนฟังอยู่เบื้องหลัง
“ เราคงจะต้องประชุมกันอีกนาน นี่ก็ดึกแล้วพวกเจ้าคงทั้งหิวทั้งเหนื่อยแย่เลยล่ะสิ ถ้ายังไงพวกเจ้าเองก็แยกย้ายไปพักผ่อนกันเถอะ”
เมื่อ เรกกุ ออกปากไล่อย่างอ้อมๆ ทุกตัวก็พากันแยกย้ายทันที กษัตริยา กับ เอนกิดู
ทั้คู่เดินลงบันไดอีกฝั่งเพื่อกลับไปยังห้องของตน ส่วนทอล ซาจิทาเรียส และ คอย์น ก็เตรียมจะลงบันได
กลับไปยังชั้นล่าง เว้นแต่ เรจิ ที่หันซ้ายทีขวาทีเพราะไปไม่ถูก
“ เฮ้! เจ้าหมาดำ ข้าฝากเจ้าดูแลเพื่อนของข้าทีสิ ”
เซเวอร์ พูดพร้อมกับมองไปที่ ทอล ซึ่งกลับลำมาด้วยความตระหนกปนความประหลาดใจ
“ ข้าเนี่ยนะ?! ”
ทอล ชี้เข้าหาตัวเองหางตาของเขากระตุกเล็กน้อย กับการยัดเยียดนี้
“ ใช่เจ้านั่นแหละห้องนี้ไม่มีหมาตัวอื่นแล้วนี่ ระหว่างที่รอข้าเจรจาอยู่นี่ช่วยพาเขาไปกินข้าวทีสิ ถือว่าข้าขอร้องก็แล้วกัน ”
เซเวอร์ ตอบห้วนๆ
“ ท..ทำไมต้องเป็นข้าด้วยเล่า ข้าไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กนะ แล้วที่สำคัญเรื่องดาบมารของเจ้ายังไม่เคลียเลยด้วยซ้ำไป ”
ทอล แย้งและยังระลึกถึงเรื่องที่ค้างกันไว้ขึ้นมา ซึ่ง เรกกุ พอได้ยินคำว่า ดาบมาร ก็หันมามอง
ด้วยความสนใจก่อนจะเปรยขึ้นเรียบๆ
“ หืม…ดาบมาร?… ”
“ ครับท่านเรกกุ หมอนี่น่ะใช้ดาบบมาร ผ่าท้องฟ้าเป็นสองเสี่ยงต่อหน้าต่อตาผมเลย ตามกฏของศาสนจักรแล้ว.… ”
ทอล รีบฟ้องทันทีพลางชี้แจง ความผิดของเด็กหนุ่มแต่ สังฆราชสิงโตทะเล ก็ยกมือขึ้นปรามไว้
“ เรื่องนั้นช่างเถอะไว้ข้าจะจัดการให้เอง ฝากเจ้ารับรองสหายของเขาผู้นี้ทีพาไปกินข้าวที่ร้านจาม่อนก็ได้ ”
เรกกุ พูดพลางล้วงแขนเสื้อหยิบเอากระเป๋าถือใบเล็กขึ้นมาเปิด หยิบเอาก้อนทองรูปทรงแครอทก้อนหนึ่ง
ส่งให้ หมาป่าดำ
“ นี่เงินค่าอาหาร ถ้าเหลือเจ้าก็เก็บไปเลยถือซะว่าเป็นค่าแรงละกัน ”
“ ต…แต่.. ” ทอลพยายามจะแย้ง
“ นี่เป็นคำสั่งไปได้แล้ว! ”
เหมือน เรกกุ จะเริ่มรำคาญและสั่งด้วยเสียงที่ดังขึ้นพร้อมกับโบกมือไล่ เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น
ทอล จึงได้แต่ทำใจ เดินเข้าไปจูงมือ หมาป่าแดงลงบันไดไปกับเขาและเพื่อนๆอีกสองตัว(กิ้งก่ากับแมว)
-----------------------------------------
----------------------------------------------------------
ณ ถนนหลักเมืองแสง ที่นี่เป็นศูนย์รวมของที่ทำการราชการขนาดใหญ่ ทั้งกรมทหารที่แม่ทัพโบดาสประจำการอยู่ และ หน่วยงานกิล(Guild) เองก็ตั้งอยู่ในย่านนี้เช่นกัน
ที่นี่มีร้านอาหารร้านใหญ่เปิดตั้งแต่เช้าจนถึงดึก เป็นร้านของ จาม่อน สัตว์หางเผ่าปลาวาฬผู้มากประสบการณ์ ว่ากันว่าเขาเป็นเชฟที่เก่งที่สุดในเมืองสง(ล่ะมั้ง)
“ ว่าแต่นายอยากกินอะไรล่ะ ”
ทอล ถามห้วนๆ และตีสีหน้าหงุดหงิด พวกเขาทั้งสี่ ยืนอยู่หน้าร้านกำลังรอสั่งอาหารอยู่
หลังจากเอาทองก้อนไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินมาแล้ว
“ เอาเนื้อ! เนื้อเยอะๆเลย ” (^w^)
เรจิ ตอบเสียงใสเขาช่างไม่เครียดกับสถานการณ์เลย แม้จะเป็นในเมืองที่ไม่เคยเหยียบเข้ามาก่อนก็ตาม
แต่ก็ยังทำตัวสบายๆได้ คงเป็นเพราะความไร้เดียงสากระมัง ทอลคิด
“ งั้นลุง ขอบาร์บีคิว สำหรับหมาป่า1ตัว แล้วก็ของผมเอาเหมือนเดิมนะ ”
ทอล หันไปสั่งอาหารกับ เชฟปลาวาฬ ซึ่งกำลังรอรับออเดอร์จากพวกเขาอยู่
“ สลัดผักจานใหญ่กับบานาน่าซันเดย์ใช่มะ ”
เชฟปลาวาฬ ทวนคำ ทอล พยักหน้ารับอย่างซื่อๆ ก่อนจะถูกซาจิทาเรียส เบียดเข้ามาสั่งด้วยเช่นกัน
“ ของผมเอาก๋วยเตี่ยวขี้เมา(Hell Noodle) ชาม ”
ตามมาติดๆกับ คอย์น อีกตัว
“ ส่วนของผมเอาเป็นสลัดทะเล(Seafood Salad) เอาเย็นๆนะผมลิ้นแมว ”
“ เฮ้! อย่าบอกนะว่าพวกนายจะกินด้วยน่ะ? ” ทอล มองค้อนใส่ทั้งสองอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“ แหมๆก็อุตส่าห์มีคนเลี้ยงทั้งที จะให้ปฏิเสธได้ไง ” คอยน์ พูดพลางวางแขนโอบไหล่ตี้ซี้กับเขา
“ หาฉันเนี่นะเลี้ยง? ” ทอลชี้ที่ตัวเองอย่าง งงๆ
“ น่าๆ ทอมมี่ น่ะกำไรเห็นๆ ทองตั้งก้อนนึงก็ได้มาเกือบหมื่น gill ละ
เลี้ยงพวกเราจานสองจานไม่จนหรอกน่อ ”
ซาจิทาเรียส พูดไปพลางมองหาโต๊ะนั่ง และเขาก็จองได้ที่หนึ่งแล้ว จึงนำไปนั่งรอก่อน
ที่ทุกคนจะตามไปนั่งด้วย
“ แหมๆร้านเต็มแบบนี้แต่ยังอุตส่ามีที่เหลือแหะโชคดีจริงๆน่อ ”
ระหว่างที่ ซาจิทาเรียส กำลังคุยกับพวกเขาก็มีเสียงแทรกขึ้นมา
“ หนีฮ่าว(สวัสดี)ฮ่อ อาซาจิทารีอัค แล้วก็ทุกๆคนล่วย ”
ทุกคนต่างหันไปยังทิศของเสียงพร้อมๆกันด้วยความสงสัย มีใครอยู่ที่โต๊ะนี่ก่อนพวกเขา
งั้นหรือซึ่งตอนที่ตามซาจิทาเรียสมา พวกเขาก็เห็นจากที่ไกลๆแล้วว่าไม่มีใครนั่งอยู่
ความสงสัยคลายตัวออกทันทีเมื่อ ซาจิทาเรียส หันไปดูเก้าอี้ข้างๆ แพนด้าสีขาวดำตัวเตี้ยอ้วนป้อมได้ กำลังนั่งดูดนมจากขวดแก้วอย่างสบายใจเฉิบ โดยมีเพียงแค่ส่วนหูถึงหน้าผากครึ่งเดียวที่โผล่พ้นโต๊ะจนพวกเขาสังเกตุเห็น
“ เย้ย!! ป๋ายหู่(Bai Hu)/ป๋ายหู่มี่!(เสียงซาจิ) ”
ซาจิทาเรียส ทอล คอยน์ทั้งสาม เรียกชื่อของแพนด้าตัวนั้นด้วยความตกใจ
“ น…นายมาอยู่ตรงนี้ตั้งกะเมื่อไหร่เนี่ย? ”
ทอล ถามแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังอึ้งที่ไม่รู้สึกตัวเลยว่า มีแพนด้านั่งอยู่ตรงนั้น
“ อั๊วะ เหงพวกลื้อเดินดุ่มๆมานั่งตรงนี้เลยทั้งที่อั๊วะก็นั่งอยู่นี่ ก็เลยนึกว่าพวกลื้อรู้เลี้ยวว่าอั๊วะนั่งอยู่นี่อ่ะฮ่อ ”
(ฉันเห็นพวกนายเดินดุ่มๆมานั่งตรงนี้เลยทั้งที่ฉันนั่งอยู่นี่ ก็เลยนึกว่าพวกนายรู้แล้วว่าฉันนั่งอยู่น่ะ)
แพนด้าน้อย ตอบเสียงเรียบ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาดูดนมต่อ โดยม่สนรอบข้าง
“ ปกติตัวก็เตี้ยอยู่แล้ว ยังจะทำตัวจืดจางอีกนะนาย ”(= =’)
คอยน์ มีสีหน้าหนักใจกับเพื่อนแพนด้า ผู้เงียบขรึมตัวนี้ ป๋ายหู่ นั้นลือชื่อไม่สิ ถ้าชื่อเสียงเลื่องลือจริงๆ
เหตุการณ์แบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่เอาเป็นว่าเขาเป็นหางที่ค่อนข้างจะเก็บตัว และ ที่สำคัญด้วยความเตี้ยบวกกับชอบทำตัวเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ(เนียน) เลยทำให้ไม่ค่อยจะมีใครมองเห็นตัวเขาจนมักถูก
บ่นบ่อยๆว่าทำตัวจืดจาง
ขณะที่กำลังวุ่นกับ ป๋ายหู่ อยู่นั่นเอง โคอาล่าน้อย ก็เข้ามาเสริฟอาหารที่พวกเขาสั่งให้ถึงโต๊ะพอดี
หลังจากรับอาหารมาวางบนโต๊ะแล้ว ทุกตัวก็ลงมือกินทันที พวกเขาหิวท้องกิ่วมาซักพักแล้ว
โดยเฉพาะ เรจิ นั้นกินมูมมามเสียจน ทอล ยังอดเอือมระอาไม่ไหว
“ เฮ้ๆ อย่ารีบนักสิเดี๋ยวก็ติดคอหรอก ” ทอล ติเตียนใส่ทันทีหวังจะให้ เรจิ กินช้าลงหน่อย
“ นึกว่าหมาป่าจะเป็นพวกทำตัวสบายๆแบบเรจิ ซะอีกนะ แต่พอเห็นนายแล้วฉันคิดว่าบางทีที่แปลกน่ะมันนายเองมากกว่าแหะ ”
“ หืม?~~~ ”
ทอล ซาจิทาเรียส และ คอยน์ ทั้งสามเปรยขึ้นพร้อมกันมีเสียงที่ไม่คุ้นหูเข้ามาร่วมโต๊ะด้วยอีก
เสียงแล้ว เมื่อพวกเขาหันไปก็เห็น ป๋ายหู่ ถูกหิ้วขึ้นมานั่งบนโต๊ะทั้งๆที่ยังนั่งขัดสมาธิดูดนมอยู่แบบนั้น
“ ตุ๊กตาประดับตัวนี้น่ารักดีนะ ”
เซเวอร์ เปรยขณะที่เขย่าตัวของ ป๋ายหู่ ที่เขาจับขึ้นมาอย่างสนอกสนใจ แล้วลงไปนั่งเก้าอี้ แทนที่แพนด้าน้อยนั่งอยู่เมื่อครู่
“ เฮ้ย!!นายมาตอนไหนเนี่ย!!!!! ”(0[]0!)
ทอล ถึงกับสะดุ้งตัวลอยกับการมาอย่างกระทันหันของ เขา
“ ไม่สิเดี๋ยวก่อน นั่นป๋ายหู่ นะ โดนเหมาเป็นของเล่นไปซะแล้วสิ! ”(-_- ’)
คอย์น พยายามจะชี้แจงให้ เซเวอร์ หยุดเขย่า แพนด้าน้อยเป็นของเล่นก่อน ทว่า ป๋ายหู่ ก็ยังนิ่งทื่อ
อยู่เหมือนเดิม แม้ว่าเด็กหนุ่ม จะจับตัวเขาตั้งบนปลายนิ้วแล้วปั่นเล่นเหมือนลูกบาสก็ตามที
“ ป๋ายหู่มี่ นายเองก็หัดให้ซุ่มให้เสียงซะมั่งเซร้~~~~!!! ”( >3<)
ซาจิทาเรียส พ่นเสียงใส่ พร้อมกับดึงตัว ป๋ายหู่ มาจากเซเวอร์ เลยซึ่งเจ้าตัวก็ยังนั่งดูดนมไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ดี
ขณะที่กำลังวุ่นวายกันอยุ่นั้นเอง เส้นก๋วยเตี๋ยวเผ็ดร้อนในจานของ ซาจิทาเรียส ก็ถูกมือลึกลับ
หยิบขึ้นมาเส้นหนึ่ง โยนใส่ปาก คอย์น ที่กำลังอธิบายให้เซเวอร์ เข้าใจอยู่
จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
แมวหนุ่มร้องเสียงหลง พร้อมกับถุยเส้นก๋วยเตี๋ยวเผ็ดร้อนนั้นทิ้ง ด้วยความลิ้นแมว
“ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวก ผู้กล้าอย่างพวกนายจะมานั่งกินข้าวสบายใจเฉิบแบบนี้นะเหมียว ”
เจ้าของมือลึกลับ กล่าว พร้อมกับมองค้อนใส่ คอย์น ที่กำลังสำลักความเผ็ดร้อนอย่างเอาเป็นเอาตาย
จนไม่ทันได้สนใจ เธอ รึแม้แต่ทั้งโต๊ะที่ตอนนี้ก็สนใจอยู่แต่กับ คอย์น ซึ่งกำลังทุรนทุรายกับอาการลิ้นแมว
“ อ๊า!!!! คอมมี่ ใจเย็นเย็น~~~ ก่อน~~~ ต…ต้องเอาน้ำ น้ำๆขอน้ำหน่อยยยย ”
กิ้งก่า โวยวายตาหลีตาเหลือกหาน้ำเป็นการใหญ่ จนโคอาล่า ตัวเดิมต้องเดินเข้ามาเสริฟน้ำให้
ซึ่งทอลเป็นคนรับมาแล้วส่งให้ คอย์น ดื่มทันที
“ เอ้านี่น้ำ! ”
ระหว่างที่ แมวหนุ่ม รับแก้วน้ำมาดื่มอย่างทุลักทุเลนี้เอง โต๊ะก็เกิดสะเทือนจากการทุบด้วยความไม่พอใจของผู้มาเยือน
“ เฮ้ อย่าทำเมินกันแบบนี้สิ!!! เหมียวว~~ ”
พรวด---- ซ่า~~~~ แฉะ!!
แรงสะเทือนของโต๊ะ ทำให้ คอย์น เผลอกลืนน้ำลงหลอดลมโดยไม่ตั้งใจ เขาสำลักมันและพ่นพรวดใส่หน้า
ผู้ที่ทุบโต๊ะเมื่อครู่จนเปียกโชก หลังจากหายลิ้นแมวแล้ว เขาถึงได้พึ่งสังเกตุเห็นเธอ แมวสาวผู้ใบหน้าบูดบึ้ง
เนื้อตัวเปียกโชกจากน้ำที่เขาพ่นใส่
“ อ้าว!! แชร์คาน(ShereKhan)เธอมาตั้งกะเมื่อไหร่แอ๊บ! ” เพียะ!!
ไม่ทันที่ เขาจะถามจนจบประโยคก็โดน เธอตบสวนจนหน้าหัน ก่อนจะวิ่งหนีไป
“ ฉันจะกลับแล้วตาบ้า! ”
“ อะ เฮ้เดี๋ยวก่อนซี่ เธองอลอะไรอีกเนี่ย… ”
คอย์น ทั้งสับสนและตกใจจนเผลอตัววิ่งตามไป ทิ้งให้ที่เหลือ มองดูอย่าง งงๆกับเรื่องที่เกิดขึ้น
หลังจากเหตุการณ์สงบลง ทุกตัวในร้านก็หันกลับทานอาหารกันต่อตามเดิม
“ เห้อวันนี้มันอะไรกันนักกันหนาล่ะเนี่ย~~~ ”
ทอล บ่นพลางทิ้งตัวลงนั่ง แล้วเริ่มทานต่อจากที่ค้างไว้ ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ เซเวอร์ เปิดประเด็น
ท้วงติงต่อ
“ ถึงยังไงฉันก็สงสัยอยู่ดีทำไมหมาป่าแบบนายถึงสั่งมาแต่ผักกับไอศครีมผลไม้เนี่ย นายไม่ได้เป็นพวกกินเนื้อรึไงหรือกฏของศาสนจักรเค้าห้าม พาลาดิน กินเนื้องั้นหรือ? ”
“ เปล่าไม่ได้ห้ามหรอก ฉันแค่ไม่ชอบเนื้อก็แค่นั้นแหละ มันแปลกนักรึไง ”
ทอล ตอบเสียงห้วนเขาไม่ค่อยชอบใจนักที่ถูกถามถึงนิสัยการกินที่แปลกกว่าหมาป่าตัวอื่นๆ
“ นายนี่น่าสนใจดีแหะ เพราะหมาป่าที่อยู่ด้วยกันกับฉันมาตั้งนาน แค่กินลูกเบอรี่ เข้าไปลูกเดียวก็อ้วกแตกอ้วกแตนแล้ว ”
เซเวอร์ เปรยพร้อมกับแถไปทาง เรจิ ที่ยังคงเอาแต่กินบาร์บีคิวไม้โดยไม่สนใจรอบข้างมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
“ เห้ออิ่มๆ งั้นฉันขอตัวก่อนละกันนะ บ๊ายบาย ทอมมี่ เจอกันพรุ่งนี้ที่ภาคีน่อ ”
หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวในชามหมด ซาจิทาเรียส ก็บอกลาแล้วปลีกตัวออกไปทันที
ทิ้งให้ ทอล ที่ยังกินไอศกรีม ไม่เสร็จอยู่กับ เซเวอร์ และ เรจิ ตามลำพัง
“ แล้วว่าไงบ้างล่ะ…การประชุมน่ะ ”
ทอล ถามระหว่างตักไอศครีมเข้าปาก
“ ก็ฉันกับ เรจิ จะพักอยู่ที่เมืองนี้จนกว่าจะเสร็จงานนั่นแหละ ”
เซเวอร์ ตอบพลางบิดขี้เกียจก่อนพิงหลังลงกับผนักเก้าอี้
“ งานอะไร? แล้วเรื่องดาบมารของนายล่ะ ”
“ เรื่อง งานน่ะเป็นความลับ ส่วนเรื่องดาบมารเจ้าสังฆราชเรกกุ บอกว่าจะไม่เอาความเพราะว่าไว้ใจฉัน ก็แค่นั้น ”
“ วางใจให้ลิงไร้หางอย่างนายถือศาสตรามารเดินเล่นไปมาในอาณาจักรเนี่ยนะ ไม่อยากจะเชื่อเลย ”
ทอล เหน็บใส่ก่อนจะตักไอศครีมช้อนสุดท้ายเข้าปาก
“ น่าแปลกนะนายควรจะเป็นคนที่กลัวฉันที่สุดเพราะเห็น Celestial Splitter ไปแล้วแต่ตอนนี้นายกับฉัน
ดันมานั่งคุยกันฉันมิตรซะได้ ”
เซเวอร์ แกล้งพูดติดตลก
“ ก็ไม่ได้อยากจะพูดด้วยหรอก แต่นายน่ะมันอวดดีชะมัดเลย กระทั่งท่าน อัลคาเซีย นายก็ยังหยิ่งไม่เลิก เพราะรู้ว่าตัวเองเหนือกว่าถึงได้กล้าทำแบบนั้นสินะ คนแบบนายฉันน่ะเกลียดเป็นที่สุด ”
ทอล พูดพลางระบายความในใจของตน ผ่านทางสายตาขุ่นเคืองของเขา
“ ก็ไม่เชิงหรอกนี่ ชื่อ ทอล ใช่มั้ย? ”
เซเวอร์ ถามซึ่ง เขาก็พยักหน้ารับ ทั้งคู่จึงเริ่มคุยกันต่อ
เซเวอร์: นายไม่คิดบ้างรึว่าบางทีเบื้องหลังของแสงสว่างอาจจะเป็นความมืดมิดก็ได้ฉันเห็นนายกับพวกเพื่อนๆแล้วก็ไม่เห็นจะมีใครเค้าเคร่งระเบียบเหมือนนายเลย บางทีศาสนจักรก็ไม่ได้ถูกไปซะหมดหรอกนะ
ทอล: เจ้าบ้า~ ถ้าไม่รักษาฏกเอาไว้บ้านเมืองก็ได้วุ่นวายกันพอดี แล้วก็ไม่ต้องมาพูดจาหว่านล้อมเลยนะ
ยังไงซะฉันก็ไม่มีวันหันหลังใหศาสนจักรเด็ดขาด
เซเวอร์: เอาล่ะพอเถอะเถียงกันไปพรุ่งนี้ก็คงไม่จบอยู่ดี
ทอล: ก็ว่างั้น…แล้วคืนนี้พวกนายจะพักกันที่ไหนล่ะ?
เซเวอร์: อืม~~นั่นสินะที่ผ่านมาก็นอนกลางดินกินกลางทรายมาตลอด งั้นเดี๋ยวพวกฉันไปตั้งแคมป์
เอาตรงแถวทะเลสาปข้างในสวนนั่นก็แล้วกัน
ระหว่างที่การสนทนาของทั้งคุ่เป็นไปอย่างออกรส นั้นเองก็มีผู้มาเยือนตัวใหม่ได้ทิ้งตัวนั่งลงยังเก้าอี้ข้างๆ
เรจิ
“ อ้ะขอโทษนะครับ พวกเรายังไม่ลุก… ”
ทอล ซึ่งจะหันไปบอกกับลูกค้าคนใหม่ว่าพวกเขายังนั่งอยู่ที่โต๊ะนี้ แต่ก็ต้องชะงักไป
ผู้ที่มาร่วมโต๊ะด้วยกับพวกเขาเป็น หมาป่าขนสีขาวซึ่งอาวุสโสกว่าพวกเขาอายุน่าจะรุ่นราวคราวพ่อได้
หมาป่าตนนี้สวมใส่ชุดเกราะของศาสนจักรและมีผ้าคลุมติดเอาไว้ด้วย
“ ผ…ผู้การ… ”
พาลาดินหนุ่มเปรยอย่างทึ่งๆ เขารู้จักหมาป่าเขาตัวนี้ขณะเดียวกัน หมาป่าขาวก็ยื่นมือเข้ามาจับแขนของเด็กหนุ่มไว้ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ เธอคือเซเวอร์สินะ รู้สึกเป็นเกรียติจริงๆที่ได้มาเจอเธอที่นี่ แถมยังรู้จักกับลูกชายของฉันแล้วด้วย ท่าทางเธอสองคนจะสนิทกันดีนะ ”
“ พ่อนายงั้นรึ? ” เซเวอร์ หันไปถามพลางชี้ไปที่หมาป่าขาว ทอล ได้แค่พยักหน้ารับ ตัวเขาเองก็ทำอะไรไม่ถูกที่อยู่ๆผู้เป็นบิดา จะมาร่วมโต๊ะด้วยอย่างกระทันหัน
“ ได้ยินมาว่าเธอกำลังลำบากเรื่องที่พักสินะ ถ้ายังไงจะไปพักที่บ้านของฉันไหมล่ะ ที่นั่นตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้วเพราะทั้งฉันทั้งลูกก็ย้ายมาพักที่ค่ายทหารหมด เชิญพวกเธอใช้ได้ตามสบายเลย ”
หมาป่าขาว เสนอให้ด้วยท่าทีเป็นมิตร ซึ่งเซเวอร์ เองก็รับรู้ได้ด้วยญาณของเขาเองว่านี่เป็นเจตนาดี
ที่มาจากใจจริง แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไม พ่อของทอลจะต้องมาทำดีกับคนที่พึ่งจะได้เจอกันด้วย
“ ด..เดี๋ยวก่อนสิครับผู้การ…”
“ ทอล พ่อบอกแล้วไงว่านอกเวลาประจำการให้เรียกว่าพ่อน่ะ อย่าเคร่งนักสิเจ้าลูกคนนี้นี่ ”
ผู้เป็นพ่อเอ็ดใส่พร้อมกับใช้แขนอันกำยำคว้าคอลูกชายมาขยี้หัวเล่นอย่างเอ็นดู
“ ก็..ไหนๆก็ชวนมาแล้ทั้งทีจะไม่รับก็ขัดน้ำใจเกินไปงั้นฝากตัวด้วยละกัน ”
เซเวอร์ ตอบรับอย่างสงบเสงี่ยม แม้จะยัง งงๆแต่ก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ หมาป่าขาวยิ้มกว้างอย่างอบอุ่น
พร้อมกับยกมือลูบหัว หมาป่าแดงที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยความเอ็นดู จนลูกชายอดน้อยใจไม่ได้ จึงทำตัวสงบเสงี่ยมไม่ขัดอีกแต่โดยดี
“ งั้นวันนี้ทอล เจ้าพาพวกเขาไปส่งที่บ้านแล้วก็พักซะที่นั่นเลยก็แล้วกันค่อยกลับมาเข้าประจำการตอนเช้าตกลงนะ ”
ผู้เป็นพ่อ พูดจาเจื้อยแจ้วฝากฝังลูกชายเป็นอย่างดี ด้วยสีหน้าสบายอกสบายใจ เสร็จจึงตีตัวหนีออกจากร้าน
ไปทันทีไม่รอแม้แต่จะฟังคำตอบจากลูกชาย เป็นการยัดเยียดสไตล์คุณพ่อม่ายลูกติดโดยแท้(คิดว่างั้นนะ)
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ทอล จึงจำใจพาพวกเขาไปส่งที่บ้านของตน
--------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------
ณ เนินทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งไกลออกมาจากเมืองไม่มากนัก มีกระท่อมหลังใหญ่ตั้งอยู่บนเนินนั้น
หนึ่งคนกับอีกสองตัว กำลังเดินขึ้นเนินตรงไปสู่กระท่อม ทันทีที่พวกเขามาถึงหน้าประตู หมาป่าดำ ก็หยิบเอากุญแจไขปลดล็อคประตูกระท่อม แล้วพากทั้งสองเข้าไป
ภายในกระท่อมมืดมิดและอับชื้น จากการที่ไม่มีใครอยู่มาเป็นเวลานาน ทำให้มีฝุ่นจับตามเฟอร์นิเจอร์
และเครื่องเรือนๆอื่นๆ อยู่ทั่วไปหมด ทอล ค่อยๆย่องเข้าไปในตัวบ้านอย่างระมัดระวัง พร้อมกับใช้สองมือ
คุ้ยหาอะไรบางอย่าง ครู่ต่อมาแสงไฟก็ปรากฏและให้ความสว่างแก่ทั้งห้อง สิ่งที่ ทอล หาอยู่เมื่อครู่
คือตะเกียงน้ำมันกับไม้ขีดไฟนั่นเองหลังจากนั้น เขา ก็ตระเวนไปจุดตามที่ต่างๆในบ้านจนสว่างไสว
ราวกับกลางวัน
“ ฝุ่นเยอะหน่อยแต่ก็พอนอนได้ล่ะนะ ”
ทอล เปรยหลังจากกลับจากการจุดตะเกียงทั่วบ้าน ซึ่งเขาแบกเอาฟูกที่นอนทำจากฟองน้ำคลุมด้วยผ้าสักหลาด ออกมาปูยังบริเวณพื้นบ้านที่ยังว่างอยู่
ระหว่างรอนั้นเอง เซเวอร์ กับ เรจิ จึงถือโอกาสเดินสำรวจรอบๆบ้านไปด้วย
เด็กหนุ่ม เดินดูเครื่องเรือนเรื่อยเปื่อยจนมาถึงตู้เสื้อผ้าเตี้ยๆ ซึ่งชั้นบนถูกใช้แทนโต๊ะวาง
ของประดับต่างๆ และในบรรดาของประดับเหล่านั้น มีรูปถ่ายซึ่งฝุ่นจับเขรอะอยู่รูปหนึ่ง
ด้วยความอยากรู้ เซเวอร์ หยิบมันขึ้นมาปัดเอาฝุ่นออกเพื่อจะดูมันให้ชัดๆ
“ ไม่ได้นะ อย่าพึ่งนอนลงไปสิ ขนนายมีแต่คราบเลือดกับเศษดินเขรอะไปหมดแบบนี้ต้องไปอาบน้ำก่อน ”
เสียงบ่นของ ทอลดังขึ้นก่อน เรจิ จะถูกลากตัวขึ้นมาจาก ที่นอน
“ อ๊า~~ ไม่เอา ไม่เอา เรจิไม่อยากอาบน้ำอ่า มันหนาว ”
หมาป่าแดง งอแงแต่ก็หาได้หยุดทอลได้ ยิ่งได้ยินว่าเกลียดการอาบน้ำยิ่งทำให้เจ้าตัว
ยิ้มระรื่นพร้อมกับความคิดเจ้าเล่ห์ ที่แล่นเข้ามาชั่ววูบ และ อารมณ์อยากแกล้ง
ก็บังเกิด หมาป่าดำลากตัว หมาป่าแดง เตรียมไปห้องน้ำทันที ซึ่งแน่นอน ว่าอีกตัวย่อมต้องพยายามขัดขืน
สุดกำลัง
“ ที่นี่มีน้ำประปาใช้ด้วยเหรอ? ” เซเวอร์ ถามด้วยความฉงน
“ อื้อก็ต่อท่อลำเลียงจากแม่น้ำใกล้ๆนี่แหละ ”
ทอล ตอบโดยยังออกแรง ลากตัวเรจิ ที่กำลังตะกุยขาหนีไปจากเขา สุดกำลังท้ายที่สุดแล้ว หมาป่าแดงก็เป็นฝ่ายปราชัยแล้วก็โดนลากเข้าห้องน้ำไปไม่กี่นาทีต่อมาเสียงโวยปนกับเสียงร้องโหยหวน ก็ดังกระหึ่มออกมาจากห้องน้ำ แสดงถึงการอาบน้ำอันดุเด็ดเผ็ดมันส์เกินกว่าจะจินตนาการของเด็กหนุ่ม จึงขอละไว้ในฐานที่เข้าใจกันละกันนะ…..(= =’)
หลังจากนั้นไม่นานเสียงก็ สงบลงไปแต่ก็ยังมีโวยวายมาเป็นละลอกเป็นเสียงของ ทอล ทั้งหมด
จนอดคิดไม่ได้ว่าเขาช่างเป็นหมาป่าที่ขี้บ่นอะไรอย่างนี้ แต่ตอนนี้ เซเวอร์ ให้ความสนใจกับรูปถ่ายที่อยู่ในมือ มากกว่า มันเป็นรูปถ่ายครอบครัว3ตัว หมาป่า ประกอบด้วยลูกหมาป่าดำ และพ่อหมาป่าขาว
ซึ่งคงจะเป็น ทอลกับคุณพ่อของเขา แต่อีกตัวที่อยู่่ในรูปซึ่งสร้างความประหลาดใจแก่ เด็กหนุ่ม
นั่นคือ ลูกลิงขนสีแดง ซึ่งมีวัยไล่เลี่ยกับ ทอลในรูป ตอนนั้นทั้งคู่คงอายุราวๆ 10ขวบได้
“ แง หนาวอ่า~~~ ”
เสียงโอดครวญของ เรจิ ดังขึ้นพร้อมกับเดินออกมา ในสภาพขนสะอาดเงางามกว่าตอนแรก หมาป่าแดงคลานอย่างหมดสภาพเข้าไปซุกตัวใต้ผ้าห่มบนฟูกนอน แล้วผลอยหลับไปในทันที
“ นายดิ้นแรงชะมัดเลยกว่าจะอาบเสร็จเล่นเอาฉัน….ฮ้าววววว….ง่วงแล้วเนี่ย ”
ทอล ซึ่งตามมาออกติดๆ อ้าปากหาวหวอด ด้วยความง่วง
“ นี่คือครอบครัวของนายเหรอ? ”
เซเวอร์ ถามพร้อมกับยื่นรูปถ่ายให้ดู
“ ใช่แล้วทำไมหรือ? ”
ทอล ตอบเสียงเรียบ
“ ฉันกำลังสงสัยว่าลิงในรูปเป็นใครเพื่อนของนาย? ”
“ น้องชายฉันเอง ชื่อ โลกิ(Loki) น่ะ ”
คำตอบของทอล สร้างความฉงนให้กับ เด็กหนุ่มยิ่งขึ้นไปอีก
“ ประหลาดชะมัดเลย หมาป่ามีน้องชายเป็นลิงเนี่ยนะ? ”
“ พวกเราไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ ที่จริงแล้ว ทั้งฉันแล้วก็ โลกิ ถูกพ่อรับมาเลี้ยงอีกที ”
“ เป็นลูกบุญธรรมงั้นสินะ ”
หนนี้ เด็กหนุ่มพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมในรูปครอบครัวถึงไม่มีหางที่น่าจะเป็นแม่รวมอยู่ด้วย
สิ่งที่ทำให้ ข้าผู้มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่กว่าปวงเทพ รู้สึกหวั่นไหวกลับเป็นเรื่องธรรมดาๆ สามัญ
ใช่แล้วถึงยังไงข้าก็ยังเป็นมนุษย์ มีรัก โลภ โกรธ หลง ………ตอนที่เห็นพ่อลูกหมาป่า
มันทำให้ข้า รู้สึกสั่นคลอน ตั้งแต่วันที่ข้าลืมตาตื่นขึ้นบนโลกนี้ ก็มีแค่ เรจิ ที่อยู่กับข้าเรื่อยมา
น่าขันสิ้นดี แต่ข้าก็ยังอยากจะรู้….แท้จริงแล้วข้าเป็นใคร ครอบครัวของข้าเป็นยังไงบ้าง
ที่ข้าจำได้มีเพียงหน้าที่และความรู้เกี่ยวกับโลกในกาลนี้เพียงเท่านั้น แต่ยุคของข้าล่ะ
มันเกิดอะไรขึ้น ข้าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวก่อนหน้านี้เลยทำไมข้าถึงเป็นมนุษย์คนเดียวที่ยืนอยู่ที่นี่
เด็กหนุ่ม มองรูปถ่ายครอบครัว พร้อมกับนึกถึงเรื่องที่ได้คุยกันในที่ประชุมวังแสง
????????????????????????????????????????????????????????????
อัลคาเซีย: เราตกลงรับข้อเสนอของเจ้า
เรกกุ: ทางศาสนจักรก็ไม่คัดค้านอะไร
เซเวอร์: ดีมากถ้าเช่นนั้น เพื่อเป็นการตอบแทนข้อเสนอของข้า จะขอถามอะไรเจ้าหน่อยได้ไหม เทพีแห่งปัญญาผู้รอบรู้ทุกเรื่อง
อัลคาเซีย: เจ้าต้องการจะรู้อะไรงั้นรึ?
เซเวอร์ :มนุษย์ หรือ สิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่า ชนเผ่าไร้หาง พวกเขายังมีเหลือรอดอยู่อีกไหม
อัลคาเซีย : ตามที่เราเข้าใจพวกเขาเหล่าได้ล่มสลายไปกว่า 5,000ปี มาแล้วเพราะภัยพิบัติครั้งใหญ่
แต่เราไม่ทราบเกี่ยวกับรายละเอียดของภัยพิบัตินั้นหรอก แต่หากเจ้าอยากจะรู้เกี่ยวกับมัน เจ้าคงต้อง
ไปยังรอยแผลแห่งโลก
เซเวอร์: รอยแผลแห่งโลก?
อัลคาเซีย: ที่นั่นยังไม่เคยมีใครข้ามไปยังโลกอีกฝั่ง บางทีคำตอบของเจ้าอาจจะอยู่ที่นั่น
?????????????????????????????????????????????????????????????
“ โลกอีกฝั่ง ”
เด็กหนุ่ม กระซิบกับตัวเอง ความสงสัยมากมายก่อตัวขึ้นในจิตใจ ความไม่มั่นคงของอารมณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้เขาเรียกมันว่า ‘ความหวัง’
“ เฮ้จะปิดไฟแล้วรีบมานอนเถอะ ”
ทอล เรียกขณะที่เดินสวนมาจะไปดับตะเกียง เซเวอร์ ทิ้งเรื่องที่คิดอยู่แล้วเดินไปนั่งลงบนฟูกนอนของตน
แต่ก่อนที่ตะเกียงจะถูกดับนั้นเอง ด้วยความสงสัยจึงชิงถามเสียก่อน
“ แล้วน้องชายเจ้าเป็นยังไงบ้าง วันนี้ข้าเจอเพื่อนๆของเจ้ามากมายแล้วยังเจอกับพ่อของเจ้าด้วยแต่ข้าไม่เห็นน้องของเจ้าเลย? ”
“ ถูกเนรเทศน่ะ….. ”
น้ำเสียงอันเศร้าสร้อยนั้น กระตุ้นเด็กหนุ่มความใคร่รู้ของเขาหายไปในพริบตา พอคิดว่าตนได้ไปสะกิดเข้ากับแผลใจเสียแล้ว หมาป่าดำมีทีท่าแปลกไปทันทีเมื่อเริ่มพูดถึงน้องชายของตนทั้งคู่ต่างพากันนิ่งเงียบ จนในที่สุด เซเวอร์ ก็ตัดใจถามต่อ
“ ถ้าเจ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรแต่ข้าก็อยากจะรู้มันเป็นเพราะอะไรงั้นรึ? ”
ทอล ยังคงนิ่งเงียบ ดังนั้น เซเวอร์ จึงไม่คิดจะซักต่อไปอีกและล้มตัวลงนอนทันที
เมื่อตะเกียงดับลง ความมืดได้เข้าปกคลุม และแล้วพวกเขาก็หลับไป……….
………………………………………………………………………….
………………………………………….
………………………….
ที่ไหนซักแห่ง…….ไม่ว่ามันจะเป็นที่ใดก็ตาม แต่มันคือลานประหาร เราถูกมัดไว้ด้วยเชือกผูกติดกับเสาไม้กางเขน เสานั้นปักอยู่บนฐานซึ่งทำจาก กองไม้วางสุมกัน………………….ด้านล่างนั้นผู้คนมากมายกำลังยืนมองมาที่เราด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย………………….คันธนูเพลิงนับสิบถูกยกขึ้นและเล็งศรมายังฐานไม้แห่งนี้ เราจะถูกไฟเผาทั้งเป็น…………………..เราไม่เคยเสียใจเลยในการกระทำตลอดมา แต่ว่าหมาป่าผู้อยู่ตรงหน้าเรากลับกำลังเสียใจและนั่นก็ทำให้เราเศร้าไปด้วย…..จิตใจของข้าได้วิงวอนและร้องขอต่อพระผู้เจ้า หากพระองค์มีจริง……….โปรดช่วยให้เขาผู้เสียใจให้เรารอดพ้นจากการดับสิ้นของเราด้วย…………………….
Next Chapter 5 : Prologue to Prologue อารัมภบทของอารัมภบท………. Beginning to Apocalypse……..
**********************โปรดติดตามตอนต่อไป***********************
ความคิดเห็น