คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Login 1 : พี่-น้อง หลังการล่มสลาย
Login 1 : พี่-น้อง หลังการล่มสลาย
โลกล่มสลายมาได้ปีกว่าแล้ว ด้วยน้ำมือของมนุษย์ต่างดาวที่ทำให้โลกกลายเป็นเกมหลังจากนั้นสัตว์เทวะก็ปรากฏตัวออกมา กวาดล้างมนุษย์ที่ยังหลงเหลือ ราวกับเป็นการลงทัณฑ์ที่เคยปกครองโลกอย่างเหี้ยมโหด เพราะสัตว์เทวะก็คือสัตว์ธรรมดาทั่วไปแต่เกิดการกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดด้วยไวรัสที่ตกลงมากับฝูงอุกกาบาต ไวรัสแพร่ระบาดไปทั่วโลก มนุษย์ส่วนใหญ่ตายเพราะไวรัสก่อน จากนั้นพวกที่เหลือรอดก็ถูกสัตว์เทวะฆ่า การจะมีชีวิตรอดบนโลกที่โหดร้ายเช่นนี้มนุษย์จะต้องปรับตัวอย่างไรกัน....
ณ ชั้นใต้ดินห้างสรรพสินค้า บริเวณบันไดลงไปยังทางเข้าโซนอควาเรียม เป็นบันไดตื้นที่มีแค่สามขั้นแต่มีด้านกว้างเกือบสามเมตร บันไดทอดลงไปยังลานกว้างรูปวงกลม ซึ่งตั้งอยู่ ณ ใจกลางของวงเวียนบันไดเลื่อนที่วนขึ้นไปถึงชั้นบนสุด
นี่คือพื้นที่ซึ่งถูกจัดสรรให้เป็นล๊อบบี้สำหรับจัดจำหน่ายตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแต่หลังการล่มสลายของโลกสัตว์ที่ถูกจัดแสดงก็ได้กลายพันธุ์เพราะไวรัส พวกมันพังตู้จัดแสดงจนน้ำที่อยู่ภายในไหลท่วมออกมาถึงล๊อบบี้
โซนอควาเรียมแห่งนี้จึงกลายเป็นแอ่งน้ำนรกที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายแห่งผืนน้ำนานาชนิด...
เงาสีดำทะมึนเคลื่อนตัวออกมาจากช่องทางแคบที่นำเข้าไปยังพื้นที่จัดแสดงสัตว์น้ำและหยุดลงที่ลานล๊อบบี้จากนั้นก็ผุดขึ้นมาส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง
ร่างยาวเลื้อยแหวกว่ายอยู่ในน้ำดั่งงู มีเกล็ดสีครามมันแววเป็นประกายหุ้มตั้งแต่หัวจรดปลายหาง มีหัวเหมือนปลามีครีบสามครีบงอกจากกลางศีรษะและข้างแก้ม ความสูงของมันยามที่ยกหัวขึ้นพ้นน้ำนั้นสูงถึงชั้นที่สองของอาคารห้างสรรพสินค้า
ครั้งหนึ่งก่อนที่จะกลายเป็นสัตว์ประหลาดมันคือปลาไหลยักษ์มอเรย์ที่จัดแสดงอยู่ในโซนสัตว์น้ำอันตรายของอควาเรียม หลังได้รับไวรัสแล้วเกิดการกลายพันธุ์ มันก็ได้รับนามแห่งสัตว์เทวะมา
Leviathan Follower Lv. 19
[/////1200:1200/////]
เบื้องหน้ามันมีเด็กชายคนหนึ่งยืนมองมาจากบนฝั่งที่เชื่อมกับบันไดทอดลงสู่ลาน
เด็กชายอายุสิบสี่ มีเรือนผมสีดำ ชุดที่ใส่เป็นชุดไปรเวทเสื้อยืดสีน้ำเงินเนื้อผ้าเบาสบายกับกางเกงผ้าฝ้ายขาสั้นสีเทา แววตาของเด็กชายเปี่ยมไปด้วยความสงบเยือกเย็นราวกับนักล่าที่กำลังรอคอยจังหวะเผด็จศึก แม้ว่าเหยื่ออย่างสัตว์เทวะปลาไหลยักษ์ที่อยู่ต่อหน้าจะตัวใหญ่กว่าหลายสิบเท่าก็ตาม
หากเป็นตามปกติแล้วสัตว์เทวะจะเข้าทำร้ายมนุษย์ทันทีที่เจอ เป็นเหมือนกับสัญชาตญาณแต่สิ่งที่ทำให้เจ้าปลาไหลยักษ์ยังไม่ทำแบบนั้นก็เพราะตัวเลขเลเวลที่ปรากฎอยู่เหนือศีรษะของเขา
อิงศร Lv. 15
[/////800:800/////]
'สัตว์เทวะปกติจะบุกเข้ามาโจมตีก่อนเสมอในกรณีที่เลเวลของเหยื่อต่ำกว่าตัวมันเอง แต่สัตว์เทวะบางชนิดก็มีช่วงเลเวลที่มันจะเข้ามาโจมตีด้วยเช่นกันเงื่อนไขจะต่างกันไปตามแต่ละชนิด เช่นบางตัวอาจจะเข้าจู่โจมก่อนเมื่อเหยื่อที่มันเจอเลเวลต่ำกว่าตัวเอง ในระดับที่กำหนด'
ข้อความตอนหนึ่งที่เคยอ่านจากระบบของเกม ผุดขึ้นมาในความนึกคิดเมื่อผสานเข้ากับเรื่องตรงหน้าก็เข้าใจได้ว่าที่ปลาไหลยักษ์ยังไม่โจมตีเข้ามาเพราะเงื่อนไขด้านความต่างของเลเวล
"ถ้าเป็นในเกมแกคงจะว่ายไปทางอื่นแล้วล่ะมั้ง หรือเพราะนี่เป็นความจริงแกก็เลยยังไม่ไปเพราะเลเวลชั้นต่ำกว่าเป็นเหยื่อที่แกสามารถจะล่าได้ แต่ก็โจมตีก่อนไม่ได้เพราะถูกกำหนดมาให้แบบนั้น จะเป็นอย่างไหนกันแน่นะ"
อิงศรพูดเหมือนเปรยกับตัวเอง เพราะยังไงสัตว์เทวะก็ไม่ได้เข้าใจภาษาคนอยู่แล้ว ในตอนนั้นเองก็มีเสียงตะโกนเรียกดังเข้ามาจากทางด้านหลัง
"เฮ้ย ศร!! ลากมาแล้วโว้ย!!!"
ไม่มีคำว่า'พี่' นำหน้าคำว่า 'ศร' น้ำเสียงนั่นไม่ได้มีความเคารพให้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว... อิงศรหันไปยังต้นเสียง มีเด็กชายอีกคนกำลังวิ่งมาหา
เด็กชายคนนั้นมีเรือนผมสีดำสวมเสื้อแขนกุดสีดำกางเกงยีนขาสั้นและอายุอ่อนกว่าสองปีแต่กลับมีร่างกายที่สูงเทียบเท่ากัน มีพลังกายที่เหนือกว่าจนน่าประหลาดใจว่านั่นคือมิ่งขวัญน้องชายตัวแสบที่หลังจากโลกล่มสลายก็เอาแต่ร้องไห้งอแง ยังไงก็ตามเค้าเดิมนั้นก็เป็นเด็กที่ร้อนแรงและสดใสราวกับดวงตะวันแบบตอนนี้อยู่แล้ว
มิ่งขวัญ Lv. 15
[/////1400:1400/////]
เบื้องหลังทางที่มิ่งขวัญวิ่งมานั้นมีฝูงของสัตว์เทวะไล่ตามมา เป็นสัตว์เทวะที่แหวกว่ายบนพื้นได้ราวกับอยู่ในน้ำ ร่างของพวกมันจมอยู่ในดินมีแต่ส่วนครีบสีขาวที่โผล่พ่นขึ้นมาเหนือพื้นผิว และหน้าจอแสดงแถบพลังกับชื่อเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยระบุจำนวนของพวกมันได้ อิงศรนับทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
"ห้า หก เจ็ด แปด..อยู่ครบทุกตัวสินะ"
White Fin Zodiac Lv. 14
[/////400:400/////]
อิงศรยื่นมือซ้ายซึ่งจับคันธนูไว้ขึ้นเล็งไปยังปลาไหลยักษ์ เมื่อจับที่สายดีดแล้วดึงออกก็จะปรากฏลูกศรที่เหมือนกับเปลวไฟขึ้นมา
"ไลท์เทนนิ่งร็อดแอโร่ว(Lightening Rod Arrow)"
จากนั้นลูกศรเพลิงก็เกิดการแปรสภาพเป็นลูกศรโลหะที่มีผิวสะท้อนมันวาว แต่เขายังไม่ยิงมันออกไปตอนนี้ มีสิ่งหนึ่งที่ต้องทำก่อนอิงศรหันกลับไปเฉพาะหน้าแล้วตะโกนบอกขวัญว่า
"ข้างหน้า! กระโดดตรงเส้นสีแดง!"
จากนั้นมิ่งขวัญก็วิ่งมาจนถึงจุดที่บอกไว้ บนพื้นมีเส้นสีแดงขีดด้วยปากกาเมจิกลากยาวไปทางที่อิงศรยืนประมาณห้าเมตร มิ่งขวัญพุ่งตัวกระโจนข้ามรวดเดียวมาลงข้างหน้าอิงศร
"ล็อคออน! (Lock-On)"
อิงศรประกาศแล้วจึงแผลงลูกธนูออกไปโดยเป้าหมายยังคงหยุดนิ่งแต่กลับพลาดเป้า...
ลูกธนูเฉียงออกไปทางซ้ายของปลาไหลยักษ์ ขณะเดียวกันฝูงสัตว์เทวะที่ไล่ตามขวัญมาก็ล้ำเขตเส้นสีแดงเข้าพอดี พื้นบริเวณที่มีเส้นสีแดงลากไว้เกิดระเบิดขึ้นมา เพราะกับระเบิดที่เอาไปฝัง ในระหว่างที่มิ่งขวัญดึงความสนใจของพวกสัตว์เทวะที่เฝ้าอยู่รอบบ่อนี้ออกไปให้ห่าง
ระเบิดมีด้วยกันทั้งหมดสิบหกลูกฝังเอาไว้ตามแนวเส้นสีแดงหนึ่งลูกทำความเสียหายได้ประมาณสองร้อยแต้มเมื่อคูณกับจำนวนระเบิดที่ฝังเอาไว้ทั้งหมดจะได้ความเสียหายที่ฆ่าทั้งฝูงได้
ร่างของสัตว์เทวะที่ไล่ตามมาปลิวกระเด็นขึ้นสู่อากาศ พวกมันเป็นฉลามขาวตัวเขื่องที่มีครีบข้างลำตัวคมกริบราวกับใบมีดโกน แต่พวกมันก็หมดสิทธิ์ใช้ครีบอันแสนร้ายกาจนั่นแล้ว แถบแสดงพลังชีวิตของแต่ละตัวหลังว่ายผ่านดงกับระเบิดกลายเป็นศูนย์ จากนั้นร่างกายก็สลายแล้วกลายเป็นถุงผ้าห่อที่มัดปลายด้วยเชือกหล่นโปรยปรายลงมาราวกับสายฝน ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาและในตอนนั้นเอง ลูกธนูที่อิงศรยิงพลาดไปก็ได้หักเลี้ยวกลับมาแบบผิดธรรมชาติ
ลูกธนูปักลงบนต้นคอของสัตว์เทวะปลาไหลยักษ์แล้วคาอยู่อย่างนั้น มันไม่ได้ตอบสนองกับการโจมตีนี้เลยคงเป็นเพราะความเสียหายมีน้อยยังไงก็ตามเงื่อนไขที่มันจะจู่โจมใส่พวกเขาก็ได้ถูกปลดออกแล้ว ปลาไหลยักษ์ส่งเสียงคำรามข่มขู่จนดังกึกก้องไปทั้งลานก่อนจะว่ายตรงเข้ามาที่ฝั่ง
Leviathan Follower Lv. 19
[/////1150:1200////.]
“ติดสถานะสายล่อฟ้าแล้วจัดการเลย!”
“เอ้อ!”
มิ่งขวัญตอบน้ำเสียงห้วนแล้วชักดาบที่เหน็บหลังเอาไว้ออกมา เพราะว่าโลกที่กลายเป็นเกมไปแล้วการเอาดาบที่เป็นอาวุธของระบบเกมไปแปะไว้บนหลังเฉย ๆ ดาบก็จะติดค้างอยู่แบบนั้นเหมือนกับในเกมแล้ว
มิ่งขวัญไถลมือไปตามใบดาบพลางตะโกนไปด้วย นั่นคือวิธีการใช้วิชาอาคมหรือเรียกอีกอย่างว่า สกิล(Skill) ที่โลกซึ่ง เปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีวันหวนกลับได้กำหนดขึ้นมา
“อิเล็คทริคเบลด!! (Electric Blade)”
เกิดเมฆฝนขนาดย่อมขึ้นตรงหน้า ประกายแสงแลบแปลบปลาบออกมาจากมวลก้อนเมฆสีดำทะมึนแสงสว่างนั้นวนพันรอบตัวดาบ แล้วก้อนเมฆก็สลายไป นั่นคือ สกิลที่อัญเชิญสายฟ้ามาสถิตที่อาวุธ เป็นสกิลเฉพาะตัวของสายอาชีพผู้เสริมพลังอาวุธ ที่เรียกว่า ‘Weapons Enchanter’
เด็กชายแกว่งดาบไปมาสองสามทีเพื่อไล่ประกายแสงให้ไหลไปทั่วทั้งตัวดาบแล้วจึงเข้าโจมตีโดยไม่มีความเกรงกลัว กระโดดด้วยพลังทั้งหมดขึ้นไปสูงถึงห้าเมตรหรือเกือบถึงชั้นที่สองของห้าง มิ่งขวัญมีพลังความสามารถถึงขนาดนั้น ด้วยการสนับสนุนจากค่าพลังพื้นฐานของสายอาชีพที่ระบบเกมเรียกมันว่า สเตตัส(Status) ด้วยสิ่งนี้มันได้ทำให้พวกเขากลายเป็นยอดมนุษย์
สายอาชีพของมิ่งขวัญเป็นกลุ่มต่อสู้แนวหน้าจึงมีพลังกายพื้นฐานที่สูงเป็นพิเศษเพื่อให้มีชีวิตรอดในการปะทะกับศัตรูระยะประชิดติดตัว
ดาบของมิ่งขวัญทะยานลงมาปะทะเข้ากับเกล็ดที่คอของสัตว์เทวะเกิดเสียงแหลมสูงดังแกร๊งคล้ายโลหะกระทบกัน ตามมาด้วยเสียงเปรี๊ยะเหมือนแก้วแตกหลังจากเกิดประกายไฟแลบและมีสะเก็ดไฟกระเด็นออกมาจากจุดที่ดาบเข้าปะทะ แถบพลังชีวิตของสัตว์เทวะลดลงและในหนนี้การโจมตีสร้างความเสียหายได้มากเป็นพิเศษเพราะเป็นการโจมตีที่ชนะทาง มันจึงกรีดร้องด้วยเสียงคำรามแหบต่ำ
Leviathan Follower Lv. 19
[/////1057:1200///..]
เมื่อการโจมตีแรกของมิ่งขวัญผ่านไปประกายแสงจากดาบก็พุ่งขึ้นไปยังลูกศรซึ่งปักอยู่บนต้นคอของมันแล้วสร้างความเสียหายซ้ำอีก แต่เป็นความเสียหายเพียงเล็กน้อย
[/////1007:1200///..]
มิ่งขวัญไม่ปล่อยให้เสียจังหวะแม้จะกำลังร่วงหล่นลงมาเด็กชายหมุนตัวกลางอากาศแล้วฟันเข้าไปอีกฉับ ร่างของสัตว์เทวะบิดเกลียวอย่างทุกข์ทรมาน
[/////914:1200//...]
และอีกครั้งประกายแสงจากดาบไหลขึ้นไปหาลูกศรที่ต้นคอแล้วสร้างความเสียหายเพิ่มเติม
[/////864:1200//...]
อิงศรมองดูสถานการณ์ที่ดำเนินไปตามแผนอย่างสงบใจ
ไลท์เทนนิ่งร็อดแอโร่ว สกิลที่ทำให้ยิงธนูต้องสาปอาคมแห่งโลหะและศัตรูที่ถูกการโจมตีนี้จะติดสภาวะ ’สายล่อฟ้า’ ซึ่งสร้างความเสียหายให้ทุกครั้งเมื่อเกิดความเสียหายประเภทไฟฟ้า
ลำพังมันเป็นสกิลที่ไม่มีประโยชน์เลยเพราะสายอาชีพผู้เชี่ยวชาญพิสัยไกลซึ่งถูกเรียกว่า ‘เรนเจอร์’ (Ranger) ของอิงศรไม่มีสกิลสร้างความเสียหายประเภทไฟฟ้า แต่เมื่อประสานเข้ากับสกิลของมิ่งขวัญที่เปลี่ยนคุณสมบัติความเสียหายเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ ทำให้สกิลไร้ประโยชน์สามารถนำมาใช้ได้จริง
ทันทีที่ร่างของมิ่งขวัญจมลงใต้ผืนน้ำ นั่นคือจังหวะเดียวที่จะไร้การป้องกัน อิงศรต้องจู่โจมเพื่อดึงความสนใจของสัตว์เทวะ ลูกธนูพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วแต่กลับพลาดเป้า
“บ้าเอ้ยถ้ามีแว่นล่ะก็…”
เด็กชายสบถแล้วยิงใหม่อีกครั้งแต่ก็ยังพลาดเป้า
“ฮึ่ย…ถ้างั้น…ล็อกออน!”
เกิดเสียงดังปิ๊บเป็นสัญญาณเตือนว่าสกิลยังไม่พร้อมใช้งาน อิงศรเข้าใจเป็นอย่างดีว่าระยะเวลาในการกลับมาใช้สกิลใหม่อีกครั้งหรือ คูลดาวน์ไทม์(Cool Down Time) ยังต้องรอต่อไปอีกหน่อย... ทั้งที่รู้อย่างนั้นแต่ก็ยังฝืนใช้มัน
ตั้งแต่เสียแว่นตาไปก็ไม่สามารถเล็งยิงธนูให้ตรงเป้าได้อีกเลยแม้จะเป็นเป้าในระยะทางเพียงสามเมตรกว่า ๆ ก็ตาม อิงศรเบนสายตาไปยังผืนน้ำ มิ่งขวัญลุกขึ้นมายืนแล้วเพราะลานล๊อบบี้ไม่ได้ลึกมากน้ำจึงสูงแค่ท่วมอกเท่านั้น
"ขวัญถอยกลับมาก่อน"
เมื่อแผนการคาดเคลื่อนการถอยคือสิ่งที่สมควรทำที่สุด แต่ทว่า...
"เรื่องสิ! รอแปปหนึ่งนะ ขวัญจะเก็บมันเดี๋ยวนี้แหละ"
มิ่งขวัญไม่ยอมฟังที่สั่งแล้วควงดาบเข้าฟาดฟันกับสัตว์เทวะต่อ โดยไม่สนใจเสียงตะหวาดของพี่ชาย
"เดี๋ยว! ขวัญมันไม่มีเวลาแล้วนะ!!"
อิงศรตะหวาดดังขึ้นแต่มิ่งขวัญก็ยังไม่หยุดมือเพราะเพ่งสมาธิกับการต่อสู้จนไม่สนใจฟังสิ่งรอบข้างไปแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่อิงศรก็ยิ่งลนลาน สาเหตุไม่ใช่เจ้าปลาไหลยักษ์ตรงหน้า สิ่งที่เขากังวลคือเวลาในการเกิดใหม่ของพวกฉลามนั่นต่างหาก
เหมือนกับในเกมมอนสเตอร์ถูกกำจัดไปจะเกิดขึ้นมาใหม่ในจุด ๆ เดิมเพื่อให้ผู้เล่นคนอื่นได้มีโอกาสล่าพวกมันบ้างโดยการเกิดใหม่นั้นจะมีระยะเวลาที่กำหนดตายตัวเอาไว้เรียกว่า รีสปาวน์ไทม์(Respawn Time)
หากว่าเวลาผ่านไปจนกระทั่งพวกฉลามนั่นเกิดใหม่อีกครั้ง โอกาสที่พวกเขาจะถูกฆ่าตายจะยิ่งมากขึ้น แต่เดิมพวกเขาไม่สามารถลงมาล่าที่ชั้นนี้ได้ก็เพราะมีพวกฉลามเฝ้าอยู่ พวกมันมีพลังชีวิตที่น้อยแต่กลับว่องไวจนยากจะโจมตีโดนและยังมีพลังโจมตีสูงจนสามารถลดพลังชีวิตของพวกเขาหมดได้ด้วยการโจมตีไม่กี่ครั้ง
แต่ในเมื่อมิ่งขวัญไม่ยอมฟังก็มีแต่ต้องรีบฆ่าปลาไหลยักษ์ที่เป็นเหยื่อให้เสร็จก่อนที่เวลาจะหมด อิงศรจึงหยุดตะหวาดอย่างสูญเปล่าแล้วเริ่มเล็งยิงใหม่ ทว่าเวลาก็หมดเสียก่อนครีบสีขาวโผล่ขึ้นมาเหมือนจะอวดกันให้เห็น ทันทีที่รู้สึกตัวเขาก็โดนล้อมเอาไว้แล้ว
"ชิบหาย..."
อิงศรสบถใส่ครีบนั่นแล้วแผลงศรแต่ความว่องไวของพวกมันเร็วเกินกว่าลูกธนูจะตามทัน มีตัวหนึ่งกระโจนโฉบขึ้นมาแต่อิงศรก็ไวพอจะหลบมันได้เพราะสายอาชีพของเขาเน้นเรื่องความคล่องแคล่วว่องไวมากกว่าพละกำลังอยู่แล้ว
อิงศรหลบไปพลางสู้ไปพลาง ตัวเขารู้ดีว่าคงยื้อเอาไว้ได้ไม่นานนัก ที่จริงเขาจะหนีไปเลยซะก็ได้แต่แบบนั้นมิ่งขวัญที่สู้อยู่จะตกเป็นเป้าโจมตีแทน
"ซุสนัคเคิล!! (Zeus Knuckle)"
มิ่งขวัญคำรามพลางควงกำปั้นที่อัญเชิญสายฟ้ามาสถิตย์อยู่อัดใส่หัวปลาไหลยักษ์จมพื้น แถบพลังชีวิตของมันลดลงจนหมดในการโจมตีนี้ ร่างกายจึงสลายไปแล้วกลายเป็นไอเทม
"เรียบร้อยเป็นไงล่ะไอ้หน้าปลาจวดรู้ฤทธิ์สกิลใหม่ชั้นอ้ะยัง"
เด็กชายตะโกนอย่างยินดี พลางยื่นมือไปดูดไอเทมมาเก็บ สิ่งของที่ออกมาหลังจากร่างของปลาไหลยักษ์สลายไปแล้วนั้นลอยหายเข้าไปในมือของมิ่งขวัญ
"ศรเห็นเมื่อกี้ป่าว ขวัญจัดการมันซะเดี้ยงเล..."
ใบหน้าอวดดีของมิ่งขวัญเปลี่ยนอารมณ์อย่างกะทันหัน เมื่อมองกลับไปที่ฝั่ง
อิงศรกำลังต่อสู้กับพวกฉลาม โดยที่ร่างกายมีแต่บาดแผลและแถบพลังชีวิตใกล้จะหมดเต็มที
อิงศร LV.15
[/....128:800.....]
"ศร!!!"
มิ่งขวัญพุ่งตัวออกไปทันที แล้วเข้ามาขวางหน้าอิงศรไว้
"ไอ้น้องบ้ารีบถอยกันได้แล้ว!!.."
อิงศรตะหวาดก่อนจะสำลักเพราะหายใจไม่ทัน เขาเกือบจะล้มลงเพราะอาการวิงเวียนเข้าจู่โจมอย่างฉับพลัน ดูเหมือนว่าจะเสียเลือดไปเยอะ ภาพรอบตัวเริ่มเลือนราง
"ศร! ทำใจดี ๆ ไว้นะ"
เสียงของมิ่งขวัญดังเหมือนคนใจเสีย น้ำเสียงนั้นฟังดูลนลานอย่างชัดเจน จากนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนร่างกายลอยขึ้นแล้วก็ถูกเขย่าขึ้นลงซ้ำๆอยู่อย่างนั้น อิงศรสัมผัสได้ว่าตนกำลังจะหมดสติแต่กระนั้น สติกลับไม่ขาดหายไปทันทีมันค่อยทยอยกลับคืนมาบางทีแถบพลังชีวิตคงเริ่มการฟื้นฟูตัวเองแล้ว ตอนนี้สายตาเริ่มมองเห็นภาพชัดเจนอีกครั้งอาการวิงเวียนที่มีอยู่ก็หายไป อิงศรจึงเริ่มสำรวจตัวเองแล้วก็เบ้ปาก
"ปล่อยว้อยยย!!!"
เขาตะหวาด
สิ่งที่มิ่งขวัญทำเพื่อช่วยเขาออกจากดงฉลามนั่นคืออุ้มเขาขึ้นด้วยท่าอุ้มเจ้าสาวแล้วโกยขึ้นบันไดเลื่อนมาทั้งอย่างนั้น
"อ้าวฟื้นแล้วเหรอศร"
"ปล่อยชั้นลงซะทีสิเฟ้ย"
"หา? แต่ว่าศรยัง..."
"บอกให้ปล่อยก็ปล่อยซีวะ"
มิ่งขวัญทำหน้างงอยู่ครู่หนึ่ง กว่าจะปล่อยให้เขาลงมาเดินเองก็ตอนที่หนีออกมาพ้นระยะติดตามของพวกฉลามแล้ว ใบหน้าของเด็กชายร้อนผ่าวจนแดงขึ้นมานิดหน่อย เกิดมาพึ่งจะรู้สึกอับอายขนาดนี้เป็นครั้งแรก
มีพี่ชายที่ไหนในโลกโดยน้องชายตัวเองอุ้มท่านี้กันบ้าง....ถ้ามีวันนั้นโลกคงแตกแน่...อ้าวก็แตกไปแล้วนี่หว่า...
ความคิดมากมายตีกันอยู่ในหัวเป็นพลันวัน อิงศรสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปแล้วเริ่มสำรวจตัวเองแถบพลังชีวิตของเขาฟื้นฟูมาได้นิดหน่อยแล้วแต่บาดแผลก็ยังไม่สมานตัวดีต้องรอจนกว่าแถบพลังชีวิตจะฟื้นฟูเต็ม
แต่ทำแบบนั้นมันเสียเวลาเด็กชายเรียกหน้าจอที่มีคำว่า 'Inventory' โชว์หราอยู่ข้างบนสุดของจอขึ้นมา ด้านล่างนั้นเป็นตารางสี่เหลี่ยมขนาด 8x8 ช่อง มีรูปไอคอนสิ่งของมากมายเรียงรายอยู่ในนั้น อิงศรจิ้มนิ้วลงไปที่ไอคอนรูปหลอดทดลองซึ่งบรรจุของเหลวสีเขียวเอาไว้
จู่ๆหลอดทดลองแบบเดียวกับรูปไอคอนนั้นก็เด้งออกมาจากหน้าจอ เด็กชายหยิบมาเปิดจุกขวดออกแล้วดื่มรวดเดียวหมด จากนั้นแถบพลังชีวิตก็เริ่มฟื้นฟูเร็วขึ้น
[//...150:800.....]
[///..250:800.....]
[///..350:800.....]
[////.450:800.....]
อิงศร รอจนกระทั่งแถบพลังชีวิตฟื้นฟูเต็ม บาดแผลบนร่างกายจึงสมานตัวและหายไปโดยไม่เหลือร่องรอยว่าเคยบาดเจ็บมาก่อน
"เอาล่ะทีนี้ก็มาประชุมสำนึกผิดกันหน่อย"
อิงศรพูดพลางส่งสายตาเย็นชาใส่น้องชายที่เอาแต่ตีหน้าเซ่อทั้งที่พึ่งหวิดจะพาตายยกก๊วนกันมาหยก ๆ
"ตอนนั้นชั้นบอกว่าให้หนีทำไมถึงไม่ฟังกันบ้างห๊ะ เกือบได้ตายกันหมดแล้วเนี่ย ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดชั้นได้ไปสวรรค์แล้วนะเฟ้ย มัวทำบ้าอะไรอยู่"
"..."
มิ่งขวัญไม่ได้โต้แย้งกลับมาในทันที แต่ทำหน้าบึ้งก่อนแล้วจึงสวนกลับด้วยเหตุผลแบบเด็กอมมือ
"ก..ก็ถ้าหนีเลยที่อุตส่าห์เสี่ยงลงไปล่าก็สูญเปล่าหมดน่ะสิ"
"แล้วถ้าตายมันคุ้มหรือไงเจ้าบ้า"
คราวนี้เหมือนจะได้ผล มิ่งขวัญทำหน้าสลดน้ำตาคลอเบ้าปลิ่ม ๆ จะร้องไห้ พอเห็นแบบนั้นเข้าไฟโทสะในตัวก็เลยเหมือนกลายเป็นเข็มทิ่มแทงตัวเอง
อิงศรยื่นมือไปลูบหัวน้องชาย
"ช่างเถอะฉันเองก็ผิดที่ดังยิงวืดหมดเลยด้วย พอไม่มีสกิลช่วยเล็งเป้าแล้วก็ทำอะไรไม่ได้"
และกลับกันตอนนี้เป็นเขาซะเองที่มีใบหน้าสลดสำนึกผิดขึ้นมา
"ขอโทษนะทั้งที่เป็นพี่แท้ ๆ แต่ดันต้องให้ขวัญมาช่วยปกป้อง..."
"ไม่ใช่นะ!"
มิ่งขวัญพูดแทรก
"ไม่ใช่ความผิดของศรซักหน่อยไม่ต้องขอโทษหรอก ขวัญผิดเองแหละคราวหน้าขวัญจะระวัง"
"..."
น่าทึ่งเป็นความรู้สึกแบบนี้นี่เองเวลาที่เห็นเด็กเติบโตขึ้นกว่าที่คิด อิงศรจำลองความรู้สึกของพ่อแม่ตอนที่เขาสอบได้ที่หนึ่งของชั้นปีดูก็พอจะนิยามความรู้สึกตัวเองเป็นรูปธรรมได้
"งั้นเรามาดูกันดีกว่า ว่าได้อะไรมาบ้าง"
"อื้อ"
มิ่งขวัญคลี่ยิ้มออกแล้วพวกเขาก็เปิดหน้าจอ 'Inventory' แลกกันดูสิ่งที่ล่ามาได้วันนี้
"พวกข้างล่างนั่นดรอปเนื้อปลาแล้วก็เนื้อกุ้งด้วยแหะ นาน ๆ จะได้กินอาหารทะเลบ้างงั้นคืนนี้ทำสุกี้กินกันเหอะ"
"เย้ สุกี้ สุกี้ สุกี้"
มิ่งขวัญกระโดดโลดเต้นอย่างยินดีเพราะจะได้ทานของชอบที่พลาดทานกันมาเมื่อวันที่โลกล่มสลาย อิงศรมองท่าทางไร้เดียงสานั้นด้วยความรู้สึกระเหี่ยใจปนดีใจเล็กๆ น้องชายของเขายังคงเป็นเด็กอมมืออยู่เหมือนเคยถึงจะเติบโตขึ้นมาบ้างก็ตาม หนึ่งปีมานี้ช่วงเวลาที่ไม่มีพ่อแม่คอยดูแลมันช่างยากลำบากเหลือเกินที่เด็กตัวเล็กๆสองคนจะเอาชีวิตรอดในโลกที่ป่าเถื่อนและโหดร้ายซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์เทวะที่คอยคร่าชีวิตผู้คน
เพราะอย่างนั้นพวกเขาถึงได้เรียนรู้และเข้มแข็งขึ้นกว่าแต่ก่อนจนแทบนึกภาพไม่ออกว่าตัวเองในช่วงที่โลกยังไม่ล่มสลายนั้นเป็นแบบไหน
สองพี่น้องเดินออกจากอาคารห้างโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันอีกตลอดทางมีสัตว์เทวะจำพวกไก่ยักษ์กับหนูยักษ์วิ่งเพ่นพ่านไปมาแต่พวกมันก็ไม่ได้เข้ามาจู่โจมใส่ ไม่เหมือนกับวันที่โลกพึ่งล่มสลาย เมื่อปีที่แล้วพวกเขายังมีเลเวลแค่หนึ่งซึ่งเป็นเลเวลต่ำที่สุดทำให้สัตว์เทวะทุกตัวบุกเข้ามาโจมตีก่อนแต่ตอนนี้เลเวลของพวกเขาสูงกว่าพวกมันจึงไม่มาตอแยอีกบางทีแค่ชักอาวุธออกมาก็เผ่นแนบกันหมดเลยด้วยซ้ำ
บ้านของพวกเขาในตอนนี้คือชั้นหกของห้างสรรพสินค้าแต่การจะขึ้นไปนั้นต้องอ้อมไปเข้าทางห้างข้าง ๆ ที่อยู่ติดกัน โดยจะเข้าไปทางชั้นลอยฟ้าซึ่งเชื่อมกับระบบรถไฟฟ้าและมีทางเข้าเชื่อมไปยังชั้นที่สาม เพราะว่าชั้นที่สองนั้นบันไดเลื่อนเกิดถล่มลงมาส่วนสาเหตุก็มาจากสัตว์เทวะ ลิฟต์เองก็ใช้งานไม่ได้เพราะไฟฟ้าถูกตัด
ที่อาคารห้างติดกันหลังนี้นั้นตั้งแต่ชั้นล่างสุดไปจนถึงชั้นบนสุดไม่มีสัตว์เทวะมาทำรังอาศัยอยู่เลย จึงมีคนมาอาศัยอยู่ที่นี่ในช่วงไม่กี่เดือนก่อน เป็นเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แล้วพวกที่ว่านั้นตอนนี้ก็มาอยู่ต่อหน้าแล้ว
เด็กคนหนึ่งมีเรือนผมสีทองดวงตาสีฟ้าผิวพรรณขาวกว่าคนทั่วไปคงจะเป็นลูกครึ่ง และอีกคนมีผมสั้นสีดำดวงตาฉายแววหาเรื่องตลอดเวลา ภาพลักษณ์เหมือนพวกเด็กเกเร เด็กชายทั้งสองคนน่าจะอายุพอๆกับมิ่งขวัญ แต่คนที่เป็นลูกครึ่งเหมือนจะมีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่กว่าอีกคน
"พวกนายจะขึ้นไปข้างบนใช่มะงั้นจ่ายค่าผ่านทางมาซะดีๆ"
เด็กผมดำพูด เขากับเด็กผมทองต่างยืนขวางบันไดกันคนละข้างเพื่อกันไม่ให้ อิงศรไปต่อ
"ว่ายังไงนะพวกแก"
มิ่งขวัญคำรามพลางจ้องสบตากับเด็กผมดำแล้วก็ชูกำปั้นขึ้นมาขู่อีกฝ่ายก็ทำแบบนั้นเช่นกัน
"ไม่ได้ยินหรือไงฟระก็บอกให้จ่ายค่าผ่านทางมาไงตึกนี้เป็นถิ่นของพวกเราจะผ่านไปก็เอาอาหารมาแลกเซ่"
"ห๊า! เรื่องสิ! ใครมันจะยอมยกให้เล่า อยากกินก็ไปล่าเองเดะ"
"พูดจาแบบนี้คิดจะมีเรื่องกันสินะ"
"เฮ้ยๆคนที่หาเรื่องก่อนมันพวกแกนะ"
"พอได้แล้วขวัญ"
อิงศรดึงตัวน้องชายกลับมาแล้วส่งถุงใส่อาหารที่เขาล่ามาเมื่อเช้าให้เด็กผมทอง ฝ่ายนั้นรับไปดูแล้วจึงพยักหน้าให้
"ได้ของมาแล้วเราก็ปล่อยให้พวกเขาไปเถอะ"
"ยอมให้มาดี ๆ แต่แรกซะก็หมดเรื่อง"
เด็กผมดำพูดขณะที่หลีกทางให้ แต่มิ่งขวัญกลับตะหวาดว่า
"เฮ้ยเอาคืนมาเลยนะแก"
"พอได้แล้วขวัญรีบไปกันได้แล้ว"
"แต่นั่นมันส่วนของศรนะ"
"แค่อาหารเช้าเดี๋ยวไปล่าใหม่พรุ่งนี้ก็ได้รีบไปเถอะ"
อิงศรเมินคำโต้แย้งทั้งหมดแล้วลากตัวมิ่งขวัญเดินขึ้นบันได ตลอดทางก็ได้ยินแต่เสียงตะโกนด่าทอกันไปมาของเด็กผมดำกับเสียงของมิ่งขวัญ จนกระทั่งเสียงของเด็กผมดำเงียบไปเพราะขึ้นมาสูงเกินกว่าที่ต่างฝ่ายจะได้ยินกัน มิ่งขวัญจึงเบนเป้าหมายโต้เถียงมาเป็นพี่ชายที่ลากตัวเองขึ้นมา
"ศรจะไปยกข้าวให้พวกมันทำไมกันพวกบ้านั่นแค่ไก่ยักษ์ข้างนอกยังล่าเองไม่ได้เลยมันสู้พวกเราไม่ได้หรอก"
"แล้วไง…จะไปชกต่อยให้มันได้อะไรขึ้นมาเล่า"
"แต่ว่า!"
และแล้วการถกเถียงก็ดำเนินต่อไปจนกระทั่งเดินผ่านชั้นลอยฟ้าเข้าไปยังชั้นที่สามของห้างเดิมและเมื่อขึ้นไปถึงชั้นที่สี่ทั้งสองก็แยกกัน
อิงศรแยกไปแผนกเครื่องใช้ที่ชั้นห้าเพื่อหาหม้อไฟฟ้าสำหรับทำสุกี้แล้วก็ไม่ลืมแวะไปหาเสื้อผ้าใหม่มาเปลี่ยนแทนตัวที่วันนี้ถูกสัตว์เทวะปลาฉลามโฉบเฉี่ยวจนขาดวิ่นไปทั้งตัว กับเอาถ่านไฟฉายติดมือกลับไปเติมสำหรับใช้เวลาที่ต้องลงมาชั้นล่างในตอนกลางคืน
หลังจากแวะไปจ่ายตลาดแบบหยิบฟรีเสร็จก็กลับมารอมิ่งขวัญที่ชั้นสี่หน้าร้านหนังสือที่มีป้ายชื่อร้านขนาดใหญ่เขียนไว้ด้วยภาษาอังกฤษว่า 'Kinokinnikuyaki'
"คิโน...คินนิคุ...อ่านยากชะมัดเลยแหะ"
อิงศรพยายามสะกดป้ายชื่อร้านระหว่างรอมิ่งขวัญที่เข้าไปหาหนังสือในร้านตั้งแต่แยกกันเมื่อครู่จนป่านนี้ก็ยังไม่ออกมา
เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่จนคิดว่าต้องตะโกนเรียกกันบ้างซะแล้ว แต่มิ่งขวัญก็วิ่งออกมาซะก่อนพร้อมกับหอบหนังสือติดมือมาด้วยสิบกว่าเล่ม
"ทำบ้าอะไรอยู่ตั้งนานเนี่ยชั้นมารอได้สิบนาทีแล้วนะ"
มิ่งขวัญหัวเราะแห้ง ๆ ให้กับคำถามของเขา
"พอดีเสียเวลาหาเล่มต่อกันนานไปหน่อยอ่ะ"
"การ์ตูนอีกแล้วเหรอ"
"อื้อ 'สะไบเด๋อแมน'เล่มจบตอนสะไบสาวงามที่ชะง่อนเขาสามมุกเล่มนี้มันสุด ๆ ไปเลยนา"
มิ่งขวัญกล่าวอย่างภาคภูมิใจพลางหยิบหนังสือเล่มที่ว่าขึ้นมาโชว์ให้ดู
"อ้อแล้วก็หา 'โครตนาน' เล่มสามสามสิบสามมาให้ศรด้วยนะ"
"ขอบใจ"
อิงศรตอบห้วน ๆ ก่อนจะออกเดินนำเพื่อกลับขึ้นไปยังบ้านที่อยู่ชั้นหก
ชั้นหกของอาคารห้างสรรพสินค้าเป็นโซนโรงหนัง เมื่อเดินขึ้นบันไดเลื่อนมาจะเจอกับ โถงล๊อบบี้กว้างโอ่อ่า มีร้านขายอาหารและเครื่องดื่มเรียงรายกันอยู่สองสามร้าน เกมเซ็นเตอร์ ห้องน้ำ ทางเข้าโรงฉายหนัง และทางเชื่อมไปยังฮอลล์สำหรับให้เช่าจัดงาน เมื่อก่อนที่โลกจะล่มสลายนั้นฮอลล์ไม่ได้ถูกเปิดใช้งาน ตอนนี้พวกเขาจึงใช้ที่นั่นเป็นห้องสำหรับนอนพักผ่อนเพราะในห้องมี พรม โซฟา เก้าอี้และของจิปาถะที่เอามาประยุกต์ ใช้ได้อยู่มากมาย
ช่วงที่มาอาศัยอยู่ในตอนแรกไม่ค่อยมีความสะดวกสบายนักเพราะไม่มีทั้งน้ำและไฟฟ้าพวกเครื่องปรับอากาศ ก็เลยไม่ทำงานไปด้วยภายในจึงอบอ้าวมาก หน้าต่างระบายอากาศก็มีน้อย
แต่ตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้วต้องขอบคุณสายอาชีพรองที่เรียกว่า ซับคลาส(Sub-Class) ของมิ่งขวัญที่เป็น อาชีพวิศวกร(Engineer) มีสกิล ที่สามารถสร้างพวกอุปกรณ์แปลงพลังงานไฟฟ้าจาก สกิลมาใช้เป็นพลังงานจ่ายให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ทั้งหมดได้นอกจากนี้เพราะซับคลาสทำให้มีความรู้ในเรื่องของการเดินสายไฟ จัดการวงจรและอีกนานา ที่ยังไม่เคยเรียนแต่กลับรับรู้และเชี่ยวชาญเหมือนมืออาชีพพวกเราจึงไม่ขัดสนเรื่องพลังงานอีก
ในส่วนของน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค เป็นหน้าที่ซับคลาสของอิงศร อาชีพนักประดิษฐ์(Inventor) มีสกิลผลิตเครื่องใช้และสิ่งอำนวยความสะดวกรวมไปถึงยุทโธปกรณ์อย่างระเบิด ที่ใช้ล่าสัตว์เทวะในวันนี้ก็ด้วย นอกจากระเบิดพวกนั้น อิงศรได้สร้างเครื่องแปรรูปวัตถุดิบขึ้นมาเป็นเครื่องที่ทำงานโดยการเอาไอเทมบางชนิดที่ดรอปมาจากมอนสเตอร์ใส่ลงไปก็จะสามารถเลือกให้มันกลายเป็นวัตถุดิบแบบไหนก็ได้ขึ้นกับประเภทของวัตถุดิบต้นทาง พวกไอเทมที่เป็นพืชหรือเลือดของสัตว์เทวะใช้แปลงเป็นน้ำบริสุทธิ์สำหรับอุปโภคบริโภคและของจำพวกนั้นก็หาได้จากสัตว์เทวะทั่วไป อย่าง White Wing Zodiac หรือ Giant Fang Zodiac ที่มีเลเวลไม่สูงนัก นอกจากไอเทมแล้วพวกวัสดุสิ่งของที่ไม่เกี่ยวกับเกมก็ยังสามารถนำมาแปรรูปได้ด้วยเช่นกัน
สองพี่น้องเดินมาหยุดที่หน้าร้านแฮมเบอร์เกอร์ในชั้นโรงหนัง
“ขวัญไปชาร์จไฟให้ทีเดี๋ยวจะไปเตรียมสุกี้ที่ร้านแฮม”
“เอ้อ”
มิ่งขวัญตอบรับแล้วจึงแยกตัววิ่งไปที่ทางเชื่อมไปยังฮอลล์จัดงาน ซึ่งมีเครื่องจ่ายไฟที่สร้างเองติดตั้งอยู่
ระหว่างนั้นอิงศรก็เดินขึ้นบันไดเพื่อไปเตรียมอาหารที่ห้องครัวในร้าน โดยมีเสียงของมิ่งขวัญดังแว่วมา
“อิเล็คทริคเบลด!!”
จากนั้นหลอดไฟในโถงล๊อบบี้ก็สว่างไสว มีได้ยินเสียงฝีเท้าของมิ่งขวัญวิ่งไปทางฮอลล์จัดงาน คงจะเอาหนังสือที่หยิบมาจากร้านข้างล่างไปเก็บที่ห้องนอน เพราะช่องเก็บของใน ‘Inventory’ ของมิ่งขวัญตอนนี้เต็มไปด้วยวัตถุดิบทำอาหารสำหรับเย็นนี้หมดแล้ว ในขณะที่ของอิงศรจะเป็นพวกเครื่องครัวอย่างหม้อไฟฟ้า จานชามแล้วก็ของอื่นๆที่หยิบมาจากโซนเครื่องครัวที่ชั้นล่าง
เมื่อไฟมาแล้ว อิงศรจึงเปิดประตูร้านเข้าไปแล้วเริ่มจัดโต๊ะวางจานชามช้อนส้อม และหม้อไฟฟ้ารวมถึงอุ่นน้ำทำซุปแล้วใส่ซุปก้อนสำเร็จรูปที่จิ๊กมาจากตอนไปหาเครื่องครัวลงไปด้วย ตอนนั้นเองมิ่งขวัญก็เปิดประตูร้านเข้ามาแล้วพูดว่า
“สุกี้เสร็จรึยาง~~”
“รออีกหน่อยน้ำซุปใกล้จะเดือดแล้ว ขวัญก็เอาเนื้อปลาออกมาสิจะได้จัดใส่จานกันซะที”
“อื้อ”
หลังจากน้ำซุปเดือดได้ที่ทั้งสองก็ลงมือกินข้าวเย็นสุดหรูที่ไม่ได้กินมาเสียนานอย่างเอร็ดอร่อยหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จแล้วก็ช่วยกันเก็บหม้อไปล้างพวกจานชามที่ใช้เป็นกระดาษและพลาสติกก็เอาไปใส่เครื่องแปรรูปทำเป็นวัสดุสำหรับประดิษฐ์ระเบิดไว้ใช้ล่าสัตว์เทวะอีกที
กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงกลางดึก จึงแยกกันไปอาบน้ำตามลำดับ
อิงศรจะอาบก่อนจากนั้นก็เป็นตาของมิ่งขวัญ โดยที่อิงศรจะรอคุยเป็นเพื่อนอยู่ด้วยข้างนอกห้องน้ำระหว่างที่รอก็จะอ่านหนังสือไปพลาง
“ศรคราวหน้าถ้าพวกนั้นมาไถอาหารอีกเราสู้พวกมันกันเถอะ”
“ยังจะพูดเรื่องนั้นอีกเหรอ”
อิงศรพูดกลั้วเสียงหัวเราะ
“พวกเราอยู่แถวนี้มาก่อนเจ้าพวกนั้นนะต้องสั่งสอนให้รู้ซะบ้างสิว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าถิ่นแถวนี้ตัวจริง”
“อะฮะ พูดซะยังกะเป็นมาเฟียเลยนะงั้นพรุ่งนี้ก็ลองใช้ไฟดับเครื่องชนกับพวกสัตว์เทวะมั่งดีไหม”
“โถ่ศรอ่ะ นี่ขวัญจริงจังนะ”
“เออ ๆ รีบอาบให้เสร็จซะทีจะได้ไปนอน ง่วงแล้วเนี่ย”
อิงศรพูดจบก็หาวหวอดใหญ่ให้ได้ยินไปถึงห้องน้ำ
“….”
มิ่งขวัญไม่ได้พูดโต้ตอบกลับมาอีก อิงศรจึงชะโงกหัวเข้าไปดูในห้อง
“เงียบไปแล้วแฮะ…”
เขาเปรยกับตัวเอง เมื่อเห็นว่าประตูห้องอาบน้ำของมิ่งขวัญยังปิดอยู่
ตอนนั้นเองก็มีเสียง ฮาโมนิก้า ดังแว่วออกมาจากห้อง เพื่อให้สามารถนำเอาน้ำที่ใช้อาบแล้วกลับมาใส่เครื่องแปรรูปแล้วนำมาใช้ใหม่ได้ จึงอาบกันในอ่างอาบน้ำ และทุกช่วงนี้ของวันก็จะได้ยินมิ่งขวัญหยิบฮาโมนิก้ามาเป่ารอระหว่างที่แช่น้ำ
เสียงบรรเลงฮาโมนิก้าเป็นเพลงที่เขาสอนให้ทำนองเหล่านั้นชวนให้นึกช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เพราะปีใหม่ปีที่แล้วโลกล่มสลายในวันนั้นพอดี มิ่งขวัญจึงชวดของขวัญไปรวมถึงเขาเองที่เกิดวันสิ้นปี แต่พ่อกับแม่ผลัดวันให้มาซื้อพร้อมกันก็เลยพลอยซวยไปด้วย ดังนั้นเมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมาจึงได้เสี่ยงเข้าไปหาของขวัญที่แผนกเครื่องดนตรีแต่ที่นั่นมีสัตว์เทวะเลเวลสูงกว่าตัวเขาในเวลานั้นอาศัยอยู่มากและเพราะแอบไปคนเดียวด้วยความที่อยากจะเซอไพรส์มิ่งขวัญ
ผลจากการกระทำเช่นนั้นทำให้ต้องทิ้งแว่นตาเอาไว้ที่แผนกเครื่องดนตรีแล้วลากเอาร่างกายที่ระบมไปด้วยบาดแผลกลับมา แต่ก็ยังได้ของที่ต้องการติดมือมาให้เป็นของขวัญวันเกิด ฮาโมนิก้าที่มิ่งขวัญขอให้พ่อซื้อให้เมื่อวันที่โลกล่มสลาย
สิ่งที่ทำลงไปไม่ใช่ความใจดีแบบที่พี่มีให้น้อง อิงศรคิดว่ามันก็แค่การรักษาสัญญา เพราะช่วงแรกที่ต้องเริ่มเอาตัวรอดมิ่งขวัญกระจองอแงเกินไปจนต้องเอาของมาล่อให้หยุดทำตัวเป็นเด็กโดนสปอย แล้วเขาก็ได้ให้สัญญาว่าจะให้ของขวัญตอนวันเกิดถ้าทำตัวดีแต่ก็ไม่ได้บอกไปว่าจะให้อะไร
อย่างไรก็ตามมิ่งขวัญยอมเชื่อฟังตามที่ว่าเผลอแปปเดียวเวลาก็ผันผ่านไปครบปี มิ่งขวัญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสูงก็ไล่ตามเขาที่เป็นพี่ชายมาทันแล้วแถมยังมีความกล้าในการเผชิญหน้าเพิ่มกว่าแต่ก่อนถึงจะเป็นไปในทางบ้าดีเดือดก็ตาม
แต่พอถึงวันที่เอาฮาโมนิก้าส่งให้กลับแสดงใบหน้าที่เขรอะไปด้วยน้ำตาตอนที่เห็นตัวเขาเดินโซเซมาพร้อมกับบาดแผลเต็มร่างอิงศรยังจำภาพในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี
เสียงบรรเลงของฮาโมนิก้าดำเนินไปอย่างไหลรื่น…..จนกระทั่งมีเสียงที่เป่าผิดคีย์ดังขึ้นทำนองทั้งหมดจึงหยุดลงแค่ตรงนั้น แล้วอิงศรก็เผลอระเบิดหัวเราะ
“ยังเป่าผิดคีย์ที่เดินเหมือนเคยนะขวัญ”
จากนั้นเสียงของมิ่งขวัญก็ตะหวาดกลับมาว่า
“ย…อย่ามาแอบฟังคนอื่นเขาซ้อมเซ่ !! ”
เมื่อถึงเวลาเข้านอนหลังจากปิดไฟทั้งในโรงหนังและในฮอลล์แล้ว อิงศรจึงแทรกตัวเข้าไปใต้ผ่าห่มที่ปูวางบนพรมแล้วเอาหัวหนุนเบาะโซฟาที่ยกมาใช้แทนหมอน ข้างกันนั้นมีมิ่งขวัญนอนรออยู่ก่อนแล้วทั้งสองหันหลังชนกันแล้วรอจนกว่าจะผลอยหลับไป
“ศรพรุ่งนี้ขากลับเราหาทางอื่นกลับกันเถอะจะได้ไม่ต้องโดนไถอีก”
“นี่ยังจะคุยเรื่องนั้นอีกเหรอเนี่ย”
อิงศรพูดย่างเอือมระอา
มิ่งขวัญลุกขึ้นแล้วตอบกลับว่า
“แล้วศรคิดจะให้พวกมันไถไปถึงเมื่อไหร่กัน เพราะศรบอกว่าไม่อยากให้ทะเลาะกันขวัญก็เลยจะให้หาทางอื่นกลับแทนไง”
“แบบนั้นเสียเวลาเปล่าน่าแค่หาอาหารสำหรับทุกวันนี่ก็แทบไม่มีเวลาเหลือแล้ว ถ้าจะไปสำรวจเส้นทางอื่นคงได้อดมื้อกินมื้อกันเหมือนเมื่อก่อนแหง”
“แต่ว่า….”
มิ่งขวัญทำหน้าเจ็บใจ แค่ฟังจากน้ำเสียงก็รับรู้ได้ว่าน้องชายกำลังเศร้าที่พี่ชายอย่างเขาไม่ยอมสู้คนอื่นแบบนี้แต่ว่าที่ไม่สู้ไม่ใช่เพราะกลัวหรือไม่อยากแต่ว่ามันมีสาเหตุอยู่….แล้วก็ไม่คิดด้วยว่ามิ่งขวัญจะเข้าใจมัน….
“เจ้าพวกนั้นก็ทำประโยชน์ให้เราเหมือนกันนะเวลามีสัตว์เทวะพลัดถิ่นมาก็จะส่งเสียงทำให้พวกเรารู้ว่ามีตัวอะไรบุกรุกเข้ามาในอาณาเขตรึเปล่าถ้าเป็นพวกเลเวลสูงๆจะได้มีเวลาเตรียมกับดัก…”
อิงศรพูดอย่างนั้นแต่มิ่งขวัญก็โต้แย้งทันที
“แค่นั้นสกิลตรวจจับของศรก็ทำได้ไม่ใช่เหรอ”
“แต่ไอ้นั่นมันต้องสั่งใช้งานนี่แถมคูลดาวน์เยอะด้วยต้องไว้กดหลังจากที่รู้ว่าศัตรูบุกก่อนมันมีไว้เช็คจำนวนศัตรูนะไม่ใช่ไว้แจ้งเตือน”
สกิลที่อิงศรว่าในวันนี้พวกเขาก็ใช้มันเพื่อหาจำนวนสัตว์เทวะปลาฉลามแล้วคำนวณจำนวนระเบิดที่ต้องใช้ในการล่ามาเหมือนกัน อย่างน้องถ้ามีสมองคิดบ้างเขาคงจะไม่ต้องอธิบายยาวไปกว่านี้
“….”
“โลกแตกไปแล้วรอบหนึ่งนะในเวลาแบบนี้ต้องหัดมีน้ำใจผูกมิตรกับชาวบ้านเขานั่นแหละถึงจะดี ถ้าจะอยู่รอดให้ได้เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มจากนิสัยเห็นแก่ตัวนั่นก่อนเลยเปลี่ยนมันซะ”
อิงศรพูดออกไปแบบนั้น
“ช่างศรแล้ว! พรุ่งนี้ขวัญจะออกไปล่าคนเดียว”
มิ่งขวัญพูดแล้วล้มตัวลงนอนทันที
“เฮอะ ทุกวันนี้ชั้นยังต้องปลุกนายตอนเช้าอยู่เลยฝันไปเถอะ”
เขาได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของน้องชายดังมาจากด้านหลังแต่ก็ไม่ได้หันกลับไปดู
“ไว้พรุ่งนี้ค่อยขอโทษก็แล้วกัน…”
อิงศรเปรยกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะผลอยหลับไป
ความคิดเห็น