คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 2: The Name of Sword is Revive Sky......
ตัวปราสาททำจากผลึกใสสะท้อนแสงสีม่วงอ่อนๆ ท่ามกลางความมืดมิดของถ้ำใต้ดินที่ปราศจากแสงตะวันปราสาทจึงเป็นดั่งดวงอาทิตย์เพียงหนึ่งเดียวของโลกใต้พิภพแห่งนี้
สถานที่แห่งนี้คือ ตำหนักเทพแห่งความมืด เงา และ ราตรีกาล เซร่า(Zera) หนึ่งใน หกเทพแห่งความสมดุลของโลกหลังการ
ล่มสลาย 5,000 ปี นั่นเองเช่นเดียวกับ นครแห่งแสงที่มีศาสนจักรเป็นองค์กร ขึ้นตรงกับการปกครอง ที่นี่ก็มี ลัทธิเงา
(Shadow Cult) เป็นองค์กรในสังกัดเช่นกันภายในตำหนักเทพเงา แห่งนี้ เป็นเส้นทางวงกต ที่ไปมาหาสู่กันด้วยกระจกวิเศษ
ที่มีมนต์อำนาจ ในการเคลื่อนย้ายสถานที่ ด้วยความซับซ้อนของทางวงกตนี้จึงเป็นปราการด่านแรกในการป้องกันผู้บุกรุก
เพราะบ่อยครั้งที่แม้แต่ผู้สังกัดลัทธิ ยังหลงทางเสียเองด้วยซ้ำ
ในเวลานี้ ณ ห้องโถงในส่วนลึกที่สุดของ ตำหนักเทพเงา เป็นเวลาของพิธีการบูชาและศักดิ์การะองค์เทพแห่งเงา
โดยมีนางค้างคาวสาวผมสีบลอนด์สวมเสื้อคลุมจอมเวทย์สีดำม่วง ซึ่งเป็นเครื่องแบบสำหรับสมาชิกระดับสูงของลัทธิ
นางเป็นผู้เดียวที่กระทำพิธีต่อหน้าบานกระจกที่แกะลวดลายด้วยสีสันเป็นรูปลักษณ์ของเทพเซร่านอกจากนางแล้วภายในโถงนี้ไม่มีใครอื่นอีก
ปึง!!!!!
ประตูห้องโถงถูกเปิดออกโดยการกระแทกอย่างแรง พร้อมๆกับร่าง ของค้างคาวอีกนางที่กระเด็นเข้ามานอนกองกับพื้นในห้องโถง
" นัวร์?! "(Noir)
มอร์กาน่าหันมาเอ่ยด้วยความฉงนระคนตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น นางค้างคาวที่กระเด็นเข้ามา คือนางต้นห้อง
และองครักษ์ ที่เฝ้าทางเข้าห้องโถงพิธีการที่กระเด็นเข้ามาแบบนี้ก็เป็นสัญญาณว่ามีใครกำลังบุกรุกเข้ามา
" ท....ท่าน มอร์กาน่า(Morgana)....โปรดอภัยแก่ข้าด้วย.... "
นัวร์ เงยหน้าขึ้นมาพูดทว่าหล่อนกลับไม่ได้มองมาที่มอร์กาน่าแต่มองไปทางอื่นเสีย ซ้ายทีขวาที จนสังเกตุได้ว่า
หล่อนมองไม่เห็นเพราะดวงตาปิดสนิทและมีไอควัน ระเหยออกมา อาการเช่นนี้คือการต้องคำสาป ผนึกเนตร(Blind) เป็น
แน่แท้การที่จะวินิจฉัยได้ถึงเพียงนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนี่คือเวทย์ พื้นฐานของจอมเวทย์แห่งลัทธิเงา อยู่แล้ว
========Blind===========
" อุตส่าห์เตือนแล้วน้า~~ ว่าเดี๋ยวมันจะเข้าตัวเอา "
เซเวอร์ หรือ เด็กหนุ่มผมสีทอง ผู้เป็นเจ้าของเสียงและตัวการที่ทำให้ นัวร์ กระเด็นเข้ามาอย่างหมดสภาพกำลังย่างสามขุมเข้า
มาในโถงพิธีอย่างสบายใจโดยเบื้องหลังประตูที่เขาเดินผ่านมานั้น มีร่างดำทะมึนใหญ่ยักษ์ ล้มกองพิงกำแพงอยู่ นั่นคือ
องครักษ์อีกหนึ่งตนเป็นเงารับใช้ที่เกิดจากพิธีกรรม เชด4(Shade4)
" เจ้าลิงไร้หาง กล้าดียังไงถึงมารบกวนในช่วงเวลาพิธีการที่สำคัญต่อท่านเซร่าเทพแห่งเงาเช่นนี้ "
มอร์กาน่า สวนกลับไปแล้วยกคฑาประจำตัวขึ้นชี้ไปที่เด็กหนุ่มเตรียมจะร่ายคำสาป
" ข้าจะสูบมาให้หมดทั้งเลือดเนื้อ จิตวิญญาณ แล้วก็ชีวิตของเจ้า "
สิ้นคำรอบตัวเด็กหนุ่มก็ปรากฏประกายแสงสีแดงสีฟ้าและสีอัญชัญ ประกายเหล่านี้คือพลังงานในตัวของเขา
ที่ถูกคำสาปแปรเปลี่ยนออกมาเป็นประจุพลังงานและทั้งหมดกำลังจะถูกสูบไปยังไม้คฑาเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังขอมอร์กาน่าเองประกายแสงวิ่งไปรวมกันจนเห็นเป็นเส้นแสงสีต่างๆ ไหลเข้าไปยังไม้คฑา
========DrainLife===========
========DrainMana==========
========MercilessDrain========
ทว่าทันทีที่ประกายแสงสัมผัสกับปลายไม้คฑากลับเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นแสงทั้งหมดไหลย้อนกลับเข้าสู่ตัวเด็กหนุ่ม
ไม่เพียงแค่นั้น มันยังดึงเอาแสงออกจากปลายไม้คฑาติดมาด้วยซึ่งแสงนั้นคือพลังชีวิตของหล่อนเองคำสาปกำลังหวนคืนกลับใส่ตัวผู้ร่าย
" อึก...นี่มันอะไรกัน "
พูดจบก็สำลอกออกมาเป็นเลือดร่างกายของมอร์กาน่าดูอิดโรยไร้เรี่ยวแรงในทันที จนกระทั่งหล่อนทรุดลงกับพื้นในที่สุดและคำสาปที่ร่ายไว้ก็หยุดลงพลังชีวิตของจึงหยุดรั่วไหลออกไปแต่เพียงแค่นั้น
" ข้านึกว่าเจ้าจะฉลาดกว่านี้เสียอีกนะ อุตส่าห์ส่งตัวอย่างมาให้ดูแล้วแท้ๆ "
เซเวอร์ พูดพลางเบี่ยงหน้าไปทางนัวร์นางค้างคาวซึ่งกระเด็นเข้ามาในห้องที่ยังล้มฟุบอยู่
" เจ้าเองก็เห็นแล้วนี่ว่า นางคนนั้นถูกคำสาปของตนเองเล่นงานเข้า "
" คำสาปย้อนกลับไปทำร้ายผู้ร่ายงั้นรึ....มีเรื่องบ้าๆแบบนั้น. "
มอร์กาน่า สบถอย่างไม่เคยได้ยินเรื่องบ้าสุดโต่งแบบนี้มาก่อนในชีวิตจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในการต่อสู้เชิงเวทมนต์ คำสาป ทฤษฎีหรือตรรกะใดๆ ที่ป้องกันลบล้าง คำสาปนั้นล้วนเพื่อหักล้างกันเองทั้งสิ้น แต่การสะท้อนคำสาปในเชิงทฤษฎีหรือตรรกะใดๆล้วนเป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น
" राम " (Rāma)
เซเวอร์ กล่าวขึ้นเป็นภาษาที่ มอร์กาน่า ไม่สามารถตีความหมายออกมาได้ เธอไม่คิดว่านั่นเป็นเพียง
การพูดลอยๆโดยไม่มีความหมาย เพราะตอนที่ เซเวอร์ออกเสียง ได้มีการเน้นเสียงจนฟังดูคล้ายกับบดสวดอะไรซักอย่าง
เมื่อเห็นว่า นางค้างคาวยังคงไม่เข้าใจ เด็กหนุ่มจึงออกปากอธิบายเพิ่มเติม
“ ครั้งหนึ่งเคยมีภูตตนนึงได้รับการย่ำยีจากเหล่าเทวดา จึงเกิดความคับแค้นใจไปขอพรต่อผู้เป็นใหญ่ในฟากฟ้า
พรที่ภูตตนนั้นได้รับมาคือ นิ้วเพชรที่มอบความตายแก่ผู้ถูกชี้ได้ มันคือ **เอกคำสาป** เลยเชียวล่ะ
ข้าน่ะย้อนคำสาปแบบนั้นมาแล้วนะ แล้วกับอีแค่ของเล่นของพวกเจ้าน่ะมีรึจะทำอันตรายข้าได้ ”
ครืนนนนนนนนน!!!!
ห้องทั้งห้องก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เซเวอร์ ถึงกับเสียหลักจนต้องทรุดเข่าลง แล้วห้องก็หยุดสั่นในทันที
ทว่าปรากฏการณ์ประหลาดก็บังเกิดขึ้นกับโถงพิธี ผนังทั้งสี่ด้านรวมไปจนถึงเพดาน แยกตัวออกจากกัน
แต่แทนที่ด้านหลังของผนังและเพดานจะเป็นห้องอื่นๆ หรือด้านนอกของตำหนักเทพ
มันกลับกลายเป็นความว่างเปล่า เป็นอีกโลกที่ทึบแสง
“ นี่มัน เมนทาลูโทเปีย(Mentalutopia) งั้นรึ? ”
เซเวอร์ เปรยก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืน และมองไปรอบๆ โถงพิธีแปรสภาพกลายเป็นอีกสถานที่ไปแล้ว
พวกเขายืนอยู่บนพื้นที่เคยเป็นพื้นห้องของโถงพิธี ซึ่งลอยเคว้งคว้างอยู่ใน บรรยากาศอันอึมครึม และ มืดมิด
“ ที่นี่เป็นอาณาเขตของท่านเซร่า….เจ้าน่ะเตรียมใจเอาไว้ได้เลย! ”
มอร์กาน่า ขู่การที่ถูกพามายังมิติแห่งนี้ หมายความว่า เทพแห่งเงาผู้เป็นนายเหนือหัวกำลังจะมาจัดการกับผู้บุกรุกด้วยตนเอง แม้คำสาปของนางจะเอา เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่อยู่แต่หากเป็นพลังของเทพเจ้าที่สูงส่งกว่าหลายร้อยหลายพันเท่านั้นจักต้องกำราบได้แน่
“ เมทาลูโทเปีย หรือ อาณาเขตแห่งจิต โลกสมมติ ภายในจิตใจที่ขยายออกมาทับซ้อนกับโลกแห่งความจริงภายนอก
นี่เป็นสิ่งที่มีแต่เพียงเทพเจ้าหรือสิ่งที่มีระดับใกล้เคียงพึงจะทำได้ ที่นี่เป็นเขตแดนที่มีนามว่า
‘มิติแห่งเงา’ งั้นสินะ…..เซร่า ”
เซเวอร์ เปรยพร้อมกับหันหลังกลับไป ในความมืดอันว่างเปล่า ปรากฏเส้นเงาดำทะมึน ทอดลงมาจากด้านบน
นับร้อยนับพันเส้น เส้นเงาเหล่านี้กำลังรวมตัวเข้าด้วยกันทั้งมัดทั้งพัน ร้อยเรียงจนกลายเป็นเงาขนาดใหญ่
ปรับเปลี่ยนจนเป็นรูปเป็นร่าง ส่วนที่คล้ายกับใบหน้าของร่างเงานั้น กลายเป็นวงรีสีขาวลวดลายสีดำทยอยปรากฏ
ตามมาเป็นลำดับสุดท้ายจนเสร็จเป็นหน้ากาก นี่คือสิ่งที่เหล่าสัตว์หางต่างให้ความเคารพยำเกรงมันคืออำนาจอันเป็นที่สุดในยุคนี้ นั่นคือสิ่งที่พวกเขาเรียกกันว่าเทพเจ้า และตรงหน้าของเด็กหนุ่มคือเทพแห่งเงา เซร่า(Zera)
“ เงานั้นมาก่อนแสง และอยู่ทุกหนทุกแห่ง ข้าขอต้อนรับสู่มิติแห่งเงา ข้าเซร่าผู้ซึ่งเป็นนายแห่งเงา…. ”
“ เซร่า เจ้าทำให้ข้าเสียเวลามามากพอแล้วสำหรับวันนี้ ”
เซเวอร์ พูดแทรกหวังจะหยุดมิให้เทพแห่งเงาพล่ามให้ยืดยาวนับแต่ที่เขาเข้ามาที่ตำหนักแห่งนี้มันก็นานมากแล้ว ด้วยความเป็นห่วง เพื่อนหมาป่าแดงจะรอนานเขาจึงอยากรีบจบเรื่องให้เร็วที่สุด เทพแห่งเงามองมาที่เขาอย่างพินิจพิเคราะห์ด้านมอร์กาน่าก็ถึงกับเป็นงงที่นายเหนือหัวของตนซึ่งน่าจะอยากจะบัลดาลโทสะต่อผู้รบกวนพิธีศักดิ์การะมากที่สุดแต่ท่าทีของเหนือหัวกลับไม่เป็นเช่นนั้นมอร์กาน่ารู้ดีว่าเทพแห่งเงามีอำนาจมองลึกลงสู่จิตใจของผู้อื่นได้ หรืออาจจะเป็นเพราะเหตุนั้น จึงยังไม่ลงมือใดๆ
หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน เทพแห่งเงาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามเสียเอง
“ เจ้า……คือเซเวอร์ งั้นสินะ ข้ารู้ตัวเองดีว่าไม่อาจเอาชนะเจ้าได้เพียงลำพัง แล้วเจ้ามีเหตุอันใดถึงมาเยือนตำหนักของข้า”
“ สมเป็นนายแห่งเงา รู้จักเอาตัวรอดดีนี่ ข้าไม่ได้มาหาเรื่องหรอกนะ แต่อยากจะมาเจรจาซักหน่อย ”
เทพแห่งเงา เท้าคางลงบนแขนขวา อยู่ซักครู่ก่อนจะตอบออกมา
“ เจรจา……อ้อ ครั้งนี้น่ะรึ ว่ามาสิ ”
แล้วกล่าวยอมรับข้อเสนอเจรจาของเด็กหนุ่มอย่างว่าง่าย
“ ข้าจะเป็นคนเลือกเอง พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่งในครั้งนี้ ”
เซเวอร์ เน้นเสียงกับคำว่า ‘เลือก’ และให้เวลา เทพแห่งเงา ได้ไตร่ตรอง แม้ว่ามอร์กาน่าจะนั่งเด่นอยู่ตรงนี้ก็ตามทีแต่กลับทำได้เพียงแค่จ้องมองทั้งคู่สนทนากันนางไม่อาจเข้าใจได้ว่ากำลังพูดถึงเรื่องใดกันที่จริงนางไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเหนือหัวจะรู้จักกับเด็กหนุ่มคนนี้สถานการณ์กลับกลายเป็นว่านางถูกกีดกันออกไปโดยสิ้นเชิง
“ ตกลง….แต่ข้าไม่อาจรับปากได้หรอกนะว่าเทพเจ้าองค์อื่นๆ จะยอมรับข้อเสนอนี้ ”
“ ไม่ต้องกังวลไปหากเจ้าไม่อยากเจ็บตัวก็จงเก็บตัวอยู่เงียบๆไปซะ ”
การเจรจาจบลงอย่างราบรื่นเมื่อเทพแห่งเงา ให้สัจจะแล้ว เซเวอร์จึงหันหลังกลับ แล้วก้าวเดินสั้นๆ สามย่างก้าวพร้อมกับพึมพำไปด้วย
“ वामन ”(Vāmana)
แล้วอันตรธานหายไปจากมืติแห่งเงาโดยม่เหลือร่องรอยทิ้งเอาไว้
“ ท่านเซร่า เจ้าลิงพิการ(ไม่มีหาง) นั่นมันเป็นใครมาจากไหนกันเพคะ!? ”
ด้วยความสงสัยที่มีอยู่เหลือล้นมอร์กาน่าไม่อาจปล่อยให้ความเกรงใจมาริดรอนโอกาสที่จะถามคำถามต่อเหนือหัวเหตุการณ์ในครั้งนี้ล้วนเต็มไปด้วยปริศนายิ่งแถมเหนือหัวยังตรัสด้วยพระองค์เองว่าไม่อาจเทียบเคียงกับเด็กหนุ่ม ผู้นั้นได้มันยิ่งทวีคูณความน่าสงสัยเข้าไปอีก
“ มอร์กาน่า พิธีกรรมในวันนี้ไม่จำเป็นอีกแล้ว ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปยังตำหนัก… ”
สิ้นคำพริบตาต่อมามอร์กาน่าและนัวร์ที่นอนกองอยู่ด้วยกันก็ย้อนกลับมายังห้องโถงพิธี ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยบรรดาสมาชิกลัทธิ ซึ่งกรูกันเข้ามาแทบจะทันที ที่พวกนางกลับมาถึงพวกเขาต้องการคำตอบถึงการมาเยือนของเทพแห่งเงา นายเหนือหัวของพวกเขา
แต่นางก็ไม่อาจให้คำตอบใดๆได้ เพราะแม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่แท้จริงของการมาเยือนตำหนักเทพแห่งนี้ เหนือหัวไม่ได้มาเพื่อจะลงโทษผู้บุกรุกเลยแม้แต่น้อยแต่กลับแสดงเหมือนยอมศิโรราบให้กับเด็กหนุ่มที่ไม่ได้ตัวใหญ่ไปกว่านางหรือมีเรี่ยวแรงมหาศาลใดๆ แต่กระนั้นนางก็เข้าใจได้ดี นางรู้ว่าเด็กหนุ่มนั่นพิเศษ แต่ก็รคาดไม่ถึงว่าแม้แต่ทวยเทพยังมิอาจเทียบเคียงได้ ความสงสัยที่เคยอัดแน่นอยู่เต็มอกตอนนี้มันแปรเปลี่ยนเป็นความกังวลและความกลัดกลุ้ม
…………………………………………
ที่ทุ่งดอกไม้
สายลมซึ่งเคยพัดผ่านทุ่งอย่างอ้อยอิ่ง บัดนี้กลายเป็นพายุคลั่งที่โหมกระหน่ำถอนรากถอนโคนทุกสรรพสิ่ง
ในทุ่งจนเ หี้ ยนเตียน ดอกไม้นับร้อยๆดอก ลอยขึ้นในอากาศและถูกสายลมฉีกกระชาก จนขาดกันเป็นชิ้นๆ
พายุคลั่งนี้เกิดจากการกระพือปีกของ แมลงยักษ์ซึ่งสูงเกือบ 18เมตร มันใช้หางยันร่างของตัวเองไว้
แล้วกระพือปีกที่ต้นคอ สร้างลมพายุขึ้นมาพัดเป่าทุกสิ่งในทุ่งดอกไม้
/ลักษณะของโครงกระดูกที่พบมันกระจัดกระจาย อย่างกับว่าตกลงมาจากที่สูงมากๆอย่างงั้นแหละ
ถ้าเจ้านี่คือตัวกินเด็กคนนั้นเข้าไปก็ไม่แปลกเลย ถูกเจ้าตัวบินได้โฉบจากทุ่งแห่งนี้ไปกินสินะ
เพราะเป็นแรงลมจากการพุ่งตัวโฉบ ทุ่งดอกไม้ก็เลยยังไม่เละเหมือนตอนนี้ที่มันกำลังพัดทุกอย่างจนกระเจิงไปหมด/
ทอล ตีความเหตุการณ์ที่อาจจะเคยเกิดขึ้นกับศพเด็ก ที่เขาพบในทุ่งแห่งนี้ และ บรรดาเกสรดอกไม้ที่ฟุ้งกระจาย
แมลงยักษ์ตัวนี้คือต้นเหตุทั้งหมด เป็นหน้าที่ของศาสนจักรที่ต้องกำจัดแมลงอันตรายตัวนี้ถึงจะคิดแบบนั้น
แต่ขนาดที่แตกต่างกันเช่นนี้ ตัวเขาเพียงลำพังไม่มีทางเอาชนะได้อย่างแน่นอน แค่เพียงจะยันร่าง
ต้านกับกระแสลม ที่พัดออกมาจากปีกของมัน ก็ยังทำเอาเหนื่อยหอบ ที่สำคัญกว่าผู้ใหญ่อย่างเขา
ยังแทบจะปลิวไปกับลม แล้วพวก เด็กๆอย่าง นิโค ล่ะ
พาลาดินหนุ่ม หันกลับไปยังต้นไม้ใหญ่ ที่เขาพาพวกเด็กๆไปพักก่อนจะกลับมาที่ทุ่งนี้ พวกเด็กๆ
กำลังหลบลมอยู่หลังต้นไม้ นั่นก็ดูจะปลอดภัยดี ถ้าหากว่า ต้นไม้ต้นนั้นไม่ได้กำลังจะโค่นล้มด้วย
แรงปะทะของพายุ ส่วนรากของต้นเริ่มโผล่พ้นดินขึ้นมาแล้ว โดยที่พวกเด็กๆไม่รู้ตัวเลย
ไม่ทันที่ทอลจะได้เตือนพวกเขา ต้นไม้ก็ล้มตัวโค่นลงมาแล้วและกำลังจะทับพวกเขาจนบี้แบน
“ นิโค!! ฟา!!! ”
ต้นไม้โค่นลงไปแล้วและพวกเด็กๆก็อยู่ข้างใต้นั้น เขาไม่สามารถปกป้องพวกเด็กๆเอาไว้ได้
แล้วทีนี้เขาจะกลับไปสู้หน้ากับครอบครัวของพวกเด็กๆยังไง นี่มันความล้มเหลวในฐานะอัศวินชัดๆ
“ เย้จับตัวได้แล้วคราวนี้ตา นิโค่ หานา~~~~ ”
เสียง ไม่คุ้นหูดังขึ้นจากต้นไม้ที่โค่นลงใส่พวกเด็กๆ มันกำลังปริแตกออกจนแหลเป็นชิ้นๆไปในที่สุด
ทั้งนิโค และ ฟา ทั้งสองถูกโอบอุ้มไว้โดยหมาป่าแดง
“ พ…พี่เรจิ!! ” นิโค และ ฟา ต่างเรียกชื่อของหมาป่าแดง
“ เฮ้! นายน่ะ พาพวกเค้าหนีไปจากที่นี่ทีสิ ”
แม้จะไม่รู้ว่า เรจิ เป็นใคร แต่ทอล รู้สึกขอบคุณมากที่เขาอยู่ที่นี่และช่วยพวกเด็กๆไว้
และตอนนี้จะได้ต่อสู้อย่างเต็มที่เสียที ทอลชักดาบ ออกมาแล้วรวบรวมกำลังไว้ที่ฝ่าเท้าถีบตัว
ฝ่าแรงลมเข้าไปหาแมลงยักษ์
“สิริพึงมีแด่พระบิดา พระบุตร และพระจิต เหมือนในปฐมกาล บัดนี้ และทุกเมื่อตลอดนิรันดร อาเมน ”
(Glory be to the Father, and to the Son, and to the Holy Spirit. As it was in the beginning, is now, and ever shall be, world without end. Amen.)
=============Brave Spirit===============
ยามเมื่อบทสวดถูกกล่าวขานจนจบ ทอล ก็พุ่งตัวฝ่าแรงลมด้วยความเร็วที่ยิ่งขึ้นไปอีก เจ้าแมลงยักษ์
ยังคงกระพือปีกต่อไปเรื่อยๆ มันไม่ได้สนใจเขาเลย แต่มันกำลังเล็งอะไรบางอย่าง บางอย่างในทุ่งดอกไม้
แต่นั่นก็เป็นการดีสำหรับเขา แม้จะไม่รู้ว่ามันตั้งใจจะทำอะไร แต่เขาจะปลิดชีพมันเสียก่อนที่มันจะรู้
ตัวว่าเขาจะทำอะไรกับมัน
“ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์
จงเป็นที่สักการะ ” (Our Father , in heaven , holy be your name)
ทอล ประสานดาบทั้งสองให้ไขว้กันก่อนจะออกแรงถีบตัวกระโดดขึ้นสูงพร้อมยกดาบขึ้นเหนือหัว
ดาบซึ่งไขว้ประสานกันไว้ ทอประกายด้วยแสงสว่างที่เอ่อล้นออกมาประกายแสงนั้นคือพลังเวทย์
ของทอล ที่ขับจากร่างกายออกมาเก็บไว้ยังใบดาบ เมื่อแรงส่งจากการกระโดดหมดลง ร่างของเขากำลังจะ
หล่นกลับลงไปตามแรงโน้มถ่วง เขากระชับดาบในมือมั่นและฟาดมันลงทันทีที่เท้าแตะพื้น
คมดาบทั้งสองกระแทกเข้าหางของแมลงยักษ์ อย่างรุนแรง
ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!!!!!!!!!!!!!!!
“ พระอาณาจักรจงมาถึง …...” (your kingdom come .....)
สิ้นคำ แสงสว่างที่สถิตยังคมดาบทั้งสอง ก็แผ่พุ่งออกเป็นเส้นตัดกันเป็นรูปกางเขน แสงสว่างแผดเผาหางของ
แมลงยักษ์ แรงระเบิดของมัน ทำให้เสียหลักจนในที่สุดร่างของแมลงยักษ์ ก็โค่นลงบนทุ่งดอกไม้ที่ราบเป็นหน้ากลอง
ไปหมดแล้ว นี่คือกระบวนท่าพิฆาตขั้นสูงของพาลาดิน ด้วยการรวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่ดาบแล้วระเบิดมันออก
จนเกิดเป็นพื้นที่ทำลายล้าง ซึ่งจะแผดเผาศัตรูจนม้วยมอด ด้วยความรุนแรงของมันยังทิ้งร่องรอย
ของการระเบิดไว้บนพื้นเป็น กา กบาทที่มีประกายแสงล่องลอยขึ้นมา
=====================Cross Impact========================
เพื่อให้มันใจว่ามันจะตายสนิท พาลาดินหนุ่มไม่รออีกแล้ว เขาควงดาบให้หันคมลงกับพื้น ก่อนจะปักมันลงไป
“.....พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์ อาเมน! ”
(.....your will be done on earth as it is in heaven. Amen.)
=====================Grand Cross========================
บรึมมมมมมมมมมมมมมมมม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ประกายแสงที่เคยล่องลอยออกมาจากรอย กา กบาทบนพื้นนั้นเกิดระเบิดขึ้นอีกครั้งและ
รุนแรงกว่าครั้งแรกเสียอีกแสงสว่างแผดเผาตั้งแต่หางไปจนหัวของแมลงยักษ์
ทอล ชักดาบขึ้นจากพื้นเขาแน่ใจว่ามันตายสนิทจาก การที่มันไม่ยอมขยับเลยแม้จะโดนกระบวนท่าปิดฉากสุดท้าย
ไปแล้วก็ยังไม่มีอาการดิ้นพล่านหรือทุรนทุรายใดๆ เมื่อความโล่งใจเข้ามาแทนที่ความเครียด ร่างกายจึงรู้สึก
เหนื่อยล้า ขนของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ และหอบหายใจแรง จากการใช้ทั้งพลังกายและพลังเวทย์
ในตอนแรกเขาไม่คิดว่าจะจัดการกับ แมลงแห่งนภา ที่มีขนาดใหญ่แบบนี้ได้ ตัวคนเดียวแน่ๆ ต้องขอบคุณ
ที่มันประมาทจนไม่ทันระวังการโจมตีของเขา
เปรี้ยะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!
มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ยินเสียงระเบิด ทุกอย่างก็เงียบลง มีกลิ่นเหม็นไหม้โชยออกมาจากตัวของเขา
สัมผัสทั้งร่างกายด้านชาไปจนหมด เขาถูกไฟช๊อตจากสนามไฟฟ้าที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมรอบตัวของเขา แล้วมัน
มาได้อย่างไร มีใครลอบโจมตีเขางั้นรึ ไม่ใช่เลย คนร้ายอยู่ต่อหน้าเขานี่เอง
ร่างยักษ์ซึ่งล้มนอนอยุ่บนพื้น กำลังพลิกตัวปีกใสของมันกระพือขึ้นลงอย่างช้าๆ ก่อนจะทุบป้าบลงไป
แรงจาก การทุบนั้นดีดให้ร่างของมันเด้งสปริงขึ้นสู่ฟากฟ้า แมลงแห่งนภา ที่ เขาคิดว่าโค่นมันได้แล้ว
ที่จริงแค่เพียงสลบไป และมันฟื้นขึ้นมาจากการถูกกระตุ้นด้วย แกรนด์ครอส
คนที่ประมาทคือเขาเสียเอง แมลงแห่งนภา เป็นแมลงแห่งฟากฟ้าไม่ใช่แค่เพราะมันบินได้หากแต่มันยังควบคุม
สภาวะอากาศได้ และเลื่องชื่อด้านการโจมตีด้วยสายฟ้ามันเป็นแมลงที่รู้จักการใช้ พลังแห่งเวทย์
ที่กระจายตัวอยู่ในธรรมชาติ ตลอด 5000 ปีที่ผ่านมา
ร่างของพาลาดินหนุ่ม ล้มหงายลงเขายังไม่ถึงกับสิ้นสติเสียทีเดียว แต่ร่างกายของเขาไม่อาจทำตามที่สั่งได้
มันชาไปหมดตั้งไหล่ลงไปเขาไม่สามารถควบคุมอวัยวะใดๆได้เลย
และในตอนนี้ แมลงยักษ์ ได้เปลี่ยนเป้าความสนใจมาที่เขาแล้ว มันจะไม่ยอมให้เขาลุกขึ้นมาเผาหาง
มันเล่นได้อีกเป้นครั้งที่สอง ร่างกายของ พาลาดินหนุ่ม ถูกหางที่หุ้มเกล็ดหนา กดทับลงบน อก
จากการนี้ทำให้เขาพึ่งสังเกตุเห็น หางของมันที่ถูกคมดาบฟาดลงไปในครั้งแรก ไม่ได้มีรอยขีด
ข่วนใดๆเลย ที่มันล้มลงคงเป็นเพราะแรงสั่นสะเทือนจากการระเบิดทำให้มันตกใจเสียหลักเอง
เสียมากกว่า นี่ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความหุนหันของเขาที่ลุยเข้ามาสู้เพียงลำพัง
และจะต้องชดใช้มันด้วยชีวิต หางของแมลงยักษ์กำลังจะบดขยี้จนร่างแหลกเละ
สัมผัสอันหนักหน่วงที่หน้าอกกดทับลงมาเรื่อยๆ เสียงกรอบแกรบที่ดังตามมาและความเจ็บ
ปวดที่แล่นไปทั้งร่าง ซี่โครงของเขาคงจะหักแล้วกระมัง จังหวะการหายใจที่ติดขัดนี้ เป็นสัญญาณที่
ไม่ดีนักปอดกำลังจะแหลกเละและอีกไม่นานอวัยวะชิ้นอื่นๆ ก็คงจะแหลกเหลวไปตามๆกัน
ตายในหน้าที่อย่างสมเกียรติ ความภาคภูมิใจสูงสุดของอัศวิน …… สิ่งที่ถูกปลูกฝังมาโดยตลอด
มันคือความเจ็บปวดแบบนี้เองงั้นรึ? พาลาดินหนุ่มตั้งคำถามต่อศรัธทรา ที่เขายึดมั่น
มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดจะทำในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาเคยคิดว่ามันคือเกียรติยศ ที่น่าภาคภูมิ
ยามเมื่อได้ไขว่คว้ามันมาแล้ว กลับกลายเป็นว่าเขาเองนั้นแล ที่กำลังถูกเกียรติยศ ไขว่คว้าดึงให้
อยู่ที่ตรงนี้ ถ้าตายไปจะไปอยู่ที่ไหน จะได้ไปพำนักยังที่สิตย์วิญญาณของเหล่าวีระชนรึเปล่า
มันเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบแม้ว่าจิตใจกำลังสับสน แต่แรงกดดันที่หน้าอกก็ยังไม่หยุดขยี้ลงมา
/เดี๋ยวสิ…ทำไมถึงไม่รุ้สึกเจ็บแล้วล่ะ? หรือว่าเราตายไปแล้ว? /
คำถามเกิดขึ้นในจิตใจของ พาลาดินหนุ่ม ที่จริงแล้วเป็นเพราะเขาจมอยุ่ในความสิ้นหวัง
จนไม่ได้สังเกตรอบตัวของเขาเลย หางของแมลงยักษ์ ไม่ได้กดทับเขาอีกต่อไปแล้ว
กี๊ซซซซซซซ!!!!
แมลงยักษ์ ร้องขึ้น ราวกับเจ็บปวดทรมาน และ กำลังบินหนีกลับขึ้นไปข้างบน โดยมีเลือดไหลจากปาก
แผลบริเวณหางความสงสัยยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เมื่อสังเกตเห็นหยดเลือดสีเขียวที่เปรอะอยู่บนตัวของเขา
และหมาป่าสีแดงที่ควรจะพาพวกนิโค่ หนีไปแล้ว กุมดาบไม้สองเล่มไว้ในมือ โดยเล่มที่อยู่ในมือซ้าย
มีคราบเลือดแบบเดียวกันติดอยู่ เพียงความคิดเดียวที่เป็นไปได้จากร่องรอยทั้งหมดนี้
/ดาบไม้นั่น ฟันทะลุเกล็ดของมันได้งั้นเหรอ? ทั้งที่ดาบโลหะของเราแทบจะไม่ระคายผิวมันเสียด้วยซ้ำ/
“ ถ้าวันนี้ล้มเจ้านี่ได้จะให้การ์ดโคค่อน ใช่ป่าว ”
เรจิ หันกลับไปถาม นิโค ที่ยืนอยู่กับฟา บริเวณชายป่า ด้านนอกทุ่ง ซึ่งนิโค่ ก็ชูไม้ชูมือ
เป็นการตอบรับข้อเสนอ สำหรับ ทอลแล้วนี่มันบ้าชัดๆ หมาป่าชาวบ้านตัวนี้จะไปสู้กับ
แมลยักษ์พรรค์นี้ได้ยังไงในเมื่ออัศวินแห่งศาสนาจักร อย่างเขาเองยังเพลี่ยงพล้ำขนาดนี้
แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ถึงตอนที่ ช่วยพวกนิโค่ ไว้จากต้นไม้ล้มใส่ หมาป่าตัวนี้ฉีกต้นไม้ใหญ่ขนาดนั้น
จนเป็นชิ้นๆได้จะต้องไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแน่
แมลงยักษ์กำลังจะโฉบลงมาอีกครั้งโดยหมายตาไว้ที่หมาป่าแดง และมันก็ทำสำเร็จ หมาป่าแดงถูก
คาบขึ้นไป แต่ก่อนที่มันจะได้ลิ้มรส เปลือกเกราะที่มันแสนจะภูมิใจในความแข็ง กลับถูกดาบไม้เสียบทะลุเข้า
ไปอย่างง่ายดาย บริเวณดวงตาของมันพอดิบพอดี โดยไม่รอช้า หมาป่าแดงก็แทงเข้าที่ลูกตาอีกข้างจนบอดสนิท
ไปตามกัน
กี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!!!!!!!!!!!
แมลงยักษ์ กุ่ร้องด้วยความเจ็บปวด จนเผลอปล่อยให้หมาป่าแดงหลุดออกจากปาก
และเขาก็ตีลังกาลงสู่พื้นอย่างราบรื่น แม้จะตกลงมาจากที่สูง จนดูไม่เหมือนว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ
เลยแล้วยังเรื่องที่ดาบไม้สามารถเจาะทะลุเกราะอันแข็งแกร่งของมันได้ ความลับนั้นดูเหมือนจะอยู่ที่
ออร่าสีดำซิ่งแผ่ออกมาอย่างจางๆบริเวณใบดาบ นี่คือวิชามารแขนงนึงเลยก็ว่าได้ ออร่าสีดำซึ่งจะปกคลุมอาวุธที่ใช้
และทำให้มันกลายเป็นอาวุธเจาะทะลวงปราการป้องกันทุกชนิดโดยไม่สนเงื่อนไขใดๆ
==================Dark Edge=====================
กระนั้น การต่อสู้กับแมลงแห่งนภา เพียงลำพังก็ยังเป็นเรื่องยากเกินไปอยู่ดี ในตอนนี้มันรู้ซึ้งแล้ว
ถึงการเข้าประชิดตัวหมาป่าแดง จึงเปลี่ยนเป็นการบินอยู่บนท้องฟ้า แล้วกระหน่ำ ยิงสายฟ้าฟาดลงมาแทน
เมื่อไม่อาจเข้าใกล้ได้ ดาบจึงเป็ยอาวุธ ที่ไร้ประสิทธิภาพที่สุด ฟ้าผ่าลงมาบนทุ่งครั้งแล้วครั้งเล่า
พื้นระเบิดกระจุยกระจาย จนฝุ่นควันตลบอบอวล ก่อนจะถูกพัดออกไปด้วยลมพายุที่ มันจงใจกระหน่ำ
โถมลงมาหวังให้พวกเขาปลิวกระเด็นไป
สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เวลามานอนสบายใจ ทอล คิดแบบนั้นเมื่อเห็นว่าร่างกายตัวเองกลับมา
ขยับได้อีกครั้งและไม่รู้สึกเหน็บชาอีกแล้ว จึงพลิกตัวเพื่อจะลุกขึ้น แต่ทว่าซี่โครงที่หักอยู่ทำให้ ทุกอย่างช้า
ไปหมดและเพราะความเชื่องช้านี้กำลังจะเป็นภัยแก่ตัว แมลงแห่งนภา ซึ่งสูญเสียดวงตาจึงได้แต่กระหน่ำจู่โจม
อย่างไม่รู้ทิศ และบ้าคลั่ง ลมพายุที่รุนแรงขึ้นเริ่มพัดหอบเอาเศษหินและเศษไม้มาด้วย และเศษซากเหล่านั้นกำลัง
จะเข้าปะทะ กับพาลาดินหนุ่ม
แต่แล้ว หมาป่าแดง ได้วิ่งเอาตัวมาคร่อมเขาเพื่อใช้ร่างกายของตนปกป้องเขาเอาไว้จาก เศษซากพวกนั้น
ช่างน่าสมเพชเสียจริงที่อัศวินเยี่ยงเขาต้องได้รับการปกป้องแทนที่จะเป็นคนปกป้องเสียเอง
ซากหิน ซากไม้ เข้าปะทะกับแผ่นหลังของ หมาป่าแดง ทั้งฉีกและเฉือนเสื้อผ้าจนขาดวิ่น
ทะลุไปถึงหลังถลอกปอกเปิดเป็นแผลให้เลือดได้ไหลออกมาชโลมจนชุ่ม
หนำซ้ำสายฟ้ากำลังจะฟาดฟันใส่ หมาป่าหนุ่มทั้งสอง ที่ยังคงไม่ขยับเขยื้อน ด้วยความเร็วของฟ้าผ่า
ที่จุดนี้ทั้งสองไม่อาจหลบให้พ้นได้เลย และจะต้องมอดไหม้เป็นจุลเพราะครั้งนี้ต่างจาก
หนแรกที่ ทอล โดนนั้นเป็นเพียงแค่ระดับไฟฟ้าสถิตย์ที่ไม่รุนแรงถึงชีวิต แต่ครั้งนี้
เป็นสายฟ้าฟาดของจริง …………….
1 วินาที…. 2วินาที …….3วินาที เวลายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเสียงหรือแสง
จากการระเบิดของฟ้าผ่า หรือเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก็ไม่มี ทุกอย่างในทุ่งที่เคยบ้าคลั่ง
ทั้งลมพายุ ทั้งสายฟ้าฟาด ทั้งเศษหินเศษไม้ ที่ปลิวว่อนในอากาศ ทั้งหมดอันตรธานหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
พาลาดินหนุ่ม แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เมฆฝนที่เคยปกคลุมทุ่งดอกไม้ กำลังไหลลงมาข้างล่าง
ลงมารวมกันที่ เด็กหนุ่มผมสีทอง ซึ่งกำลังเดินตรงมาที่พวกเขา
“ ว่าไงสะบักสะบอมไปหมดเลยนะ เรจิ ”
เซเวอร์ เดินมาหยุดต่อหน้าทั้งสอง ส่วนสายฟ้าฟาดที่กำลังจะคร่าชีวิตพวกเขาเล่า?
คำตอบปรากฏขึ้นเมื่อ เงยหน้าดูที่เหนือหัวของเด็กหนุ่ม มือขวาชูดาบสั้นที่ทั้งเล่ม เงางาม
ราวกับอัญมณี สีฟ้าสดดั่งไพริน และตัวมันคือสาเหตุที่สายฟ้าฟาดหายไป ตัวดาบกำลัง
ดูดกลืนประกายจากสายฟ้าอยู่ รวมถึงเมฆฝนที่หายไปนั่นก็เพราะดาบเล่มนี้กำลังดูดกลืนมันเข้าไปพร้อมกันด้วย
ไม่ใช่แค่เพียงสายฟ้า ที่จะฟาดใส่พวกเขา แต่เป็นสายฟ้าทั้งหมดที่ ผ่าลงรอบๆทุ่งถูกดูดมารวมกันยังดาบเล่มนั้นจนหมด
แมลงแห่งนภา ดูจะสับสนไม่น้อยที่สภาพอากาศเปลี่นแปงไปและมันคงจะควบคุมสภาวะไม่ได้ดั่งใจเหมือนทุกที
ทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นเพราะดาบเล่มนั้น กระทำให้เป็น
“ ดาบนั่น…มันอะไรกัน? ”
ทอล เปรยที่จริงในหัวของเขาตอนนี้มีแต่เรื่องชวนงง เต็มไปหมดทั้งหมาป่าแดง ที่ดูเหมือนจะรู้จักกับ
เด็กหนุ่มตรงหน้า ซึ่ง เป็นสัตว์หางที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนที่จริงก็มีส่วนที่ดูคล้ายๆกับลิงแต่ว่าไม่มีหาง
แต่ที่กระตุ้นต่อมอยากรู้ของเขามากที่สุดคือ ดาบในมือเล่มนั้นมันดูดกลืนทั้งสายฟ้า และเมฆฝน
นับเป็นพลังในการควบคุมสภาวะอากาศแบบหนึ่งเลยก็ว่าได้
“ หือนี่น่ะรึ? ”
เซเวอร์ ชี้ไปที่ดาบ และ ทอล พยักหน้ารับ
“ มันคือดาบที่ว่ากันว่าแบ่งฟากฟ้าออกเป็นสอง หลอมจากโลหะอาถรรพ์นับสิบ…..เอาล่ะน่าจะชาจไฟ
เต็มแล้วละมั้งถ่างตาดูให้ดีๆล่ะเพราะชีวิตนี้เจ้าอาจไม่ได้เห็นมันอีกเลยก็ได้ ”
เมื่อเห็นว่า สายฟ้าที่ดาบดูดมามีมากพอแล้ว เซเวอร์ จึงชูดาบชี้ไปยังทิศที่ แมลงแห่งนภา บินวนไปวนมา
ก่อนจะตวัดดาบให้เฉียงเข้าหาตัวลงมาทางซ้าย
“ ฟ้าฟื้นเอ๋ย จงแบ่งแยกนภาออกเป็นสอง Celestial Splitter!! ”
ท้องฟ้าในทิศที่ แมลงแห่งนภา บินอยู่พลันเกิดสายฟ้าฟาดตัดผ่าลงมาทีกลางตัวของมัน เส้นแขนงราก
ที่สายฟ้าทิ้งเอาไว้โดยปกติ เส้นสายฟ้าควรจะไหลลงสู่พื้นดินแต่มันกลับค้างเติ่งอยู่บนนั้น
ต่อมาพื้นฟ้าได้แยกออกจากกันในบริเวณที่เส้นแขนงนั้นปรากฏ ราวกับว่าท้องฟ้ากำลังปริร้าว
ท้องฟ้าเบื้องซ้ายเลื่อนตัวลงเสมือนกำลังสะบั้นจนจะขาดออกจากกัน ร่างของแมลงยักษ์นั้นถูกแบ่งครึ่ง
ณ จุดที่ท้องฟ้าถูกตัดแบ่งพอดีทุกสิ่งในน่านฟ้าบริเวณนั้นล้วนหยุดนิ่งราวกับภาพวาด
เมื่อ เซเวอร์ ตวัดดาบออกไปทางขวาท้องฟ้าที่กำลังสะบั้นนั้น ก็เลื่อนตัวกลับและปิดสนิทเป็น
ผืนแผ่นเดียวกันดังเดิม เพียงแต่ร่างของ แมลงแห่งนภา เท่านั้นที่ไมได้กลับมาด้วย
หากแต่ขาดเป็นส่องท่อน ก่อนจะแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆเหมือนกระจก
ชิ้นส่วนร่างของมันมอดไหม้อย่างช้าๆขณะที่ตกสู่พื้น จนเหลือเพียงเถ้าธุลี
ทั้ง ทอล นิโค่ และ ฟา ได้แต่จดจ้องโดยไม่กระพริบตา แมลงแห่งนภา ศัตรูที่แข็งแกร่งขนาด
นั้นกลับสิ้นท่าลงในดาบเดียว แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ สิ่งที่ดาบของเด็กหนุ่มทำเอาไว้
มันได้ตัดแบ่งท้องฟ้าออกเป็นสองในช่วงเวลาหนึ่งจริงๆอย่างที่ได้กล่าวไว้
“ อ๊า!!! เซเวอร์ อ้ะมาแย่งแบบบนี้ ก็อดได้การ์ดโคค่อนกันพอดีน่ะสิ ”
เรจิ ที่พึ่งนึกขึ้นได้ถึงสัญญากับ นิโค่ เรื่องการ์ด จึงออกอาการงอแงกับ เด็กหนุ่มทันที ท่าทางขึงขัง
ของเจ้าตัวราวกับลืมความเจ็บปวดจากแผลที่หลัง ซึ่งเกิดจาก การเอาตัวเข้าไปปกป้อง ทอล เสียสนิท
“ อ้าว…..เหรอ…โทษทีๆ งั้นไว้เย็นนี้ฉันทำข้าวราดแกงให้ละกัน ”
เซเวอร์ มีสีหน้าเหวอเล็กน้อย แต่ก็ยังใจเย็นแก้ตัวไปตามปกติ ฝ่าย เรจิ ได้ ยินข้าวราดแกง
ก็ลืมเรื่องที่เคืองอยู่จนหมดไปโดยปริยาย
“ เย้ ข้าวราดแกง!! ข้าวราดแกง!! ”
“ ดาบนั่น….ทั้งพลัง ทั้งอำนาจนั่น…..ข้าไม่ได้เข้าใจผิดว่ามันเป็นดาบมารใช่ไหม? ”
ทอล แทรกถามขึ้นพร้อมกับชี้ไปที่ ดาบฟ้าฟื้น ของเด็กหนุ่ม ; ดาบมาร ถ้าให้กล่าวโดยละเอียดแล้ว
คือดาบที่ผ่านการปลุกเสก หรือ ลงอาคม ซึ่งวิชาพวกนี้นับว่าเข้าข่ายนอกรีตและเป็นภัยคุกคามต่อ
ศาสนจักร ผู้สังกัดต่อศาสนจักรล้วนถูกสั่งสอนให้เป็นอริกับ อวิชชา เหล่านี้ ดังนั้นแล้ว
ศาสตราปลุกเสกใดที่ไม่ได้มีการลงทะเบียนกับศาสนจักร ย่อมเป็นของผิดกฏหมาย
ไม่ต่างกับ อาวุธเถื่อนดีๆนี่เอง
“ ดาบมาร….”
เซเวอร์ ทวนคำก่อนจะหันมาพูดกับทอล
“ ด้วยศักดิ์ของดาบนี้ ข้าไม่อาจกล่าวฐานะเท็จของมัน ดาบนี่ตีจากโลหะอาถรรพ์ ดังนั้นมันคือ
ดาบมารของแท้เลยล่ะแล้วเจ้ามีปัญหาอะไรรึ? ”
เซเวอร์ ตอบน้ำเสียงหนักแน่น ด้วยความภาคภูมิที่มีต่อดาบวิเศษเล่มนี้ เจ้าตัวไม่อาจกล่าวเท็จเพื่อปกปิดฐานะ
ของตัวดาบได้ แต่เมื่อเป็นเช่นนั้นแม้จะเป็นผู้มีพระคุณแต่หน้าที่ก็ต้องมาก่อน
“ ถ้างั้นในนามแห่งศาสนจักร ฉันขอควบคุมตัวพวกนายฐานครอบครองศาสตรามาร ”
“ นึกแล้วว่าเจ้าจะต้องพูดแบบนั้นเพราะเจ้าคืออัศวินของศาสนจักร…แล้วเจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึง
กล้าบอกว่ามันคือดาบมารทั้งที่รู้ว่าเจ้าจะต้องทำแบบนี้ ”
เซเวอร์ ฉีกยิ้มน้อยๆเขาพยายามจะท้าทาย ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด ไม่มีวันที่ดาบเล่มนี้จะถูกลบหลู่
เช่นนั้นแล้ว ทอล พาลาดินแห่งศาสนจักร เจ้าจะทำยังไงกับข้า นี่คือความหมายของคำพูดนั้น
ด้วยเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทอล ที่กระดูกซี่โครงหักได้แต่เดินเป๋ไปเป๋มา รู้ตัวเองดีว่าไม่มีทางจับกุมตามหน้าที่
ได้แน่ และเด็กหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งกว่าเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ดีไม่ดีต่อให้รวมทัพอัศวินมาทั้งภาคี ก็อาจจะ
ล้มเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้
ท่ามกลางสถานการณ์อันตึงเครียดเช่นนี้ เองก็ได้มีกลุ่มของสัตว์หางอีกกลุ่มเข้ามาสมทบยังทุ่งดอกไม้
แห่งนี้ ผู้นำของกลุ่มเดินตรงเข้ามาพร้อมกับยิงคำถามทันที
“ เมื่อครู่เป็นฝีมือของพวกเจ้ารึ…. ”
ผู้เป็นเจ้าของคำถามนี้ คือ แกะสาวผมสีชมพูนางมีเขางอกจากหัวขดเป็นมวน สองข้างดั่งเช่นเผ่าแกะทั่วๆไป
แต่สิ่งที่ทำให้นางดูพิเศษ เห็นจะเป็น อากัปกิริยาของ ทอล ที่ดูจะตกใจกับการมาของนางจนเผลอหลุดปาก
ออกมาเอง
“ ท่านกษัตริยา!! (kshatriya) ”
*********************************โปรดติดตามตอนต่อไป***********************
** ?ภาคผนวกมั้ง?
เอกคำสาป: คำสาป มีระดับตั้งแต่ต่ำไปหาสูง ยิ่งระดับสูงมากเท่าใดการถอนหรือแก้คำสาป จะยิ่งยากมากขึ้นตามระดับ
หรืออาจไม่มีทางแก้เลยก็ได้ การแก้คำสาปนั้นต่างจากการถอน การถอนคำสาปคือการลบล้างให้หายไป
เช่น หากติดสถานะ Curse ในเกมก็เอา Clean, Clear หรือ Dispell มาลบออก ผลลัพธ์คือการทำให้คำสาปคลายออกไป
ส่วนการแก้คำสาปจะต่างกัน มันคือการเอาอำนาจที่ผลทัดเทียมกันมาหักล้างคำสาปกันเองเช่นสถานะในเกมเหล่านี้
[quote] ก็อบมาจากนี่อีกที http://www.bigbugstudio.com/forum/viewtopic.php?f=13&t=703&start=10
STR : Valor/Weak
DEF : Harden/Soften
AGI : Quicken/Slug
VIT : Health/Disease
INT : Wisdom/Stupefy
CHA : Honor/Shame
TAL : Gifted/Imbecile
LCK : Fortune/Trouble
ALL : Bless/Curse
runSpeed : Haste/Slow
Weight : Heavy/Feather
size : Growth/Reduce
[/quote]
หากพูดถึงการแก้คำสาปที่เป็นตำนานจริงๆเลยก็มี ตำนาน กวนเกษียรสมุทร ซึ่งเหตุของการทำพิธี
กวนเกษียรสมุทร เกิดจาก พระอินทร์ ถูก พระฤาษีทุรวาส สาปให้พระอินทร์และเทวดาที่ร่วมมาด้วย
มิหนำซั้มยังสาปไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึง ให้พระอินทร์และเทวดาถอยกำลังมีฤทธิ์น้อยลงไป เมื่อใดที่ต้องการ
สู้กับพวกอสูร ทั้งพระอินทร์และเทวดาจะต้องพ่ายแพ้กับอสูร เนื่องจากคำสาปของพระฤาษีทุรวาส
ไม่อาจ ”ถอน”ออกได้ จึงต้องทำการ “แก้” คำสาปแทนโดยการดื่มน้ำ อมฤตซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มกำลังอำนาจทำให้หักล้าง
กับคำสาปเดิม เสมือน โดน Shame จาก คาวแล้วให้ วาฬบัพ Honor มาทับให้ก็จะหักล้างกันไป
ส่วนที่เซเวอร์ พูดว่า เอกคำสาป นั้นใน Fic นี้จะหมายถึงคำสาปที่มีลักษณะเฉพาะและยังมีความรุนแรงในระดับสูงอีกด้วย
เป็นการข่มกลับไปว่า แม้แต่คำสาประดับสูงยังทำอะไรเขาไม่ได้ ระดับมอร์กาน่า ยังห่างชั้นกับเขาไปอีกมากโข
ยิ่ง เซร่า ออกเองด้วยว่า ตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา พลังของเซเวอร์ ก็เป็นอีกปริศนาหนึ่งที่น่าสงสัยพอๆกับว่า
เขาเป็นใครมาจากไหน ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไปนะคร้าบ~~~
รูปของ เซเวอร์ : ว่าด้วยภาพของตัวละคร เซเวอร์ เนื่องจากกระผมไม่มีความสามารถด้านการวาด Fan Art
เลยต้องใช้ภาพตัวละครจากเกมอื่นแทน =_= แต่อิมเมจตัวละครประมาณนี้เลยแหละครับ หยวนๆละกัน
ความคิดเห็น