คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Login 0 : วัน Open Beta ที่โลกล่มสลาย
"สวัสดีเหล่ามนุษย์ผู้ถูกบทละครแห่งโชคชะตาเลือกมาจากนี้ไปเราคงต้องร่วมทางกันซักพัก"
"พวกเธอคือเหล่าผู้อาศัยอยู่ในสวนแห่งที่สองซึ่งเรียกว่า 'โลก' สินะ"
"ว่าแต่พวกเธอดำเนินชีวิตกันอย่างไรเหรอ"
"..."
"งั้นเหรอ นั่นสินะไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหนก็ตามหากปรารถนาที่จะดำรงอยู่ต่อไปก็จำเป็นจะต้องมีความตั้งใจ แต่ว่านะ..."
"ในวันฉลองแห่งการเริ่มต้นหรือที่พวกเธอเรียกว่า 'วันปีใหม่' นั้นโลกจะล่มสลายลงครั้งหนึ่งล่ะบททดสอบได้เริ่มขึ้นแล้วถ้ายังอยากมีชีวิตต่อไปก็ต้อง..."
"แสดงความตั้งใจออกมา"
Login 0 : วัน Open Beta ที่โลกล่มสลาย
สมัยเด็กผมเคยคิดว่าชีวิตมันช่างน่าเบื่อเหลือเกิน
ชีวิตประจำวันตามปกติซึ่งก็ธรรมดาจนน่าเหลือเชื่อ
ไปโรงเรียนแต่เช้า ตอนเย็นกลับบ้านพร้อมกับหอบการบ้านกลับมา
วนอยู่กับของน่าเบื่อแบบนี้วันแล้ววันเล่าก็แย่พออยู่แล้วแต่ก็ยังไม่มีอะไรแย่เท่า…ขวัญ
เด็กชายมีเรือนผมสีดำสั้นเกรียนแบบทรงนักเรียน สวมแว่นสายตาเลนส์แก้วและกรอบพลาสติกดีไซน์ธรรมดาไม่ได้หวือหวาแบบแว่นแฟชั่น ขอแค่มันทำให้มองเห็นตัวหนังสือบนกระดานดำในห้องเรียนได้ก็พอแล้ว ไม่ได้สนใจแฟชั่นหรือการทำให้ตัวเองดูดี เด็กคนอื่นๆ ในวัยนี้ก็เป็นแบบนั้นกันสนใจแค่เรื่องของตัวเอง
จะมีที่แตกต่างอยู่บ้างก็คือความเป็นผู้ใหญ่ที่ถูกยัดเยียดให้เพราะว่า...
'เป็นพี่คนโตต้องรู้จักเสียสละให้น้อง'
เด็กชายโดนพร่ำสอนด้วยคำพูดนี้มาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งไม่ว่าน้องจะทำตัวแย่แค่ไหนก็ตามคนที่ต้องรับผิดชอบก็คือตนเอง
'เป็นพี่ต้องสอนน้อง'
แต่อีกฝ่ายที่เรียกว่าน้องชายไม่เคยฟังคำพูดหรือการสั่งสอนของเขา พอไม่ได้ดั่งใจก็ร้องไห้แล้วก็ฟ้องพ่อกับแม่ว่าถูกเขาแกล้ง …แล้วนั่นก็คือ 'มิ่งขวัญ'
ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะรู้รึเปล่าว่าพฤติกรรมของน้องชายนั้นเริ่มจะบิดเบี้ยว เท่าที่รู้มาพ่อเป็นน้องเล็กในครอบครัวของพ่อเองมาก่อน ส่วนแม่ก็เป็นน้องสาวของบ้านที่มีพี่ชายอีกสามคนคอยประคบประหงม อาจจะเพราะอิทธิพลจากการเป็นน้องทั้งคู่ก็เลยโอ๋ มิ่งขวัญมากกว่าปกติแต่หากคิดในอีกแง่มุมหนึ่งนี่อาจจะเป็นการฝึกพี่คนโตของบ้านที่จะต้องแบกรับครอบครัวต่อไปหลังจากนี้ก็ได้ …
เป็นวิธีคิดแบบเด็กๆ ที่จะป้องกันไม่ให้ตัวเองรู้สึกด้อยค่าและนั่นก็คือ อิงศร อายุสิบสามปี ศึกษาอยู่ชั้นมัธยมปีที่หนึ่ง
พี่น้องอายุห่างกันสองปีและวันนี้มิ่งขวัญที่เป็นน้องชายก็จะอายุครบสิบเอ็ดพอดีพ่อกับแม่จึงชวนกันออกมาหาซื้อของขวัญวันเกิดซึ่งอิงศรเองก็ควรจะได้เมื่อเดือนที่แล้ว ....
ที่จริงมันคือวันที่ 31 เดือนธันวาคม หรือก็คือเมื่อวานเราเกิดห่างกันหนึ่งวันในคนละปี
'อย่างน้อยพวกเขาก็จะซื้อให้ผมวันนี้ด้วย คงยังเห็นผมเป็นลูกอยู่สินะ'
ความคิดน้อยใจแบบเด็กๆ เป็นอะไรที่ชวนให้ว้าวุ่นก่อนจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น
อิงศรมองไปที่เด็กชายซึ่งมีใบหน้าคล้ายกันเรือนผมสีดำสั้นเกรียนซึ่งเดินอยู่ด้านหน้าของตนด้วยแววตาเฉยชา
นั่นคือมิ่งขวัญ
น้องชายเดินจูงมืออยู่ตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่ส่วนอิงศรเดินตามหลังอีกที พวกเขาอยู่บนทางเท้าริมถนนที่เชื่อมต่อไปยังห้างสรรพสินค้า ซึ่งคาคั่งไปด้วยผู้คนที่ออกมาเที่ยวในวันเฉลิมฉลองขึ้นปีใหม่
ท่ามกลางบรรยากาศสุขสันต์ของทุกครอบครัวกลับมีแต่เขาที่ต้องเดินหน้ามุ่ยอยู่แบบนี้ถ้าพระเจ้ามีจริงท่านก็ช่างโหดร้ายเสียเหลือเกินที่สร้างสิ่งที่รียกว่าน้องชายขึ้นมา
ในตอนที่อิงศรพร่ำโทษใส่โชคชะตาของตนอยู่นั้นเอง ก็มีรายงานข่าวฉุกเฉินแทรกโฆษณาฉายขึ้นมาบนจอทีวีที่ติดไว้หน้าห้างสรรพสินค้า บรรดาทีวีจอเล็กตามข้างทางหรือในร้านค้าก็ทยอยเปลี่ยนเป็นช่องเดียวกันหมด
ผู้รายงานข่าวเริ่มรายงาน
'ตอนนี้มีความคืบหน้าเพิ่มเติมออกมาแล้วนะคะ ทางองค์กรอวกาศโลกร่วมกับทัพอากาศ ได้ออกแถลงการอย่างเป็นทางการแล้วว่าสามารถควบคุมการรุกรานไม่ให้บานปลายออกจากน่านฟ้าของจีน....'
รายงานข่าวนั้นยากเกินความเข้าใจของเด็ก แต่ก็พอเดาได้ว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ เพราะพวกผู้ใหญ่รอบตัวพอดูข่าวนี้แล้วก็จะทำหน้าเครียดและพูดซุบซิบกันไปต่างๆ นานา
แต่หนนี้เหมือนจะเป็นข่าวดี เพราะทุกคนแสดงสีหน้าดีใจออกมา บางคนก็ร้องไชโยเสียงดัง กระทั่งพ่อกับแม่เองก็เหมือนจะดีใจไปกับข่าวนี้ด้วย
"วันนี้เราไปกินสุกี้กันนะ"
พ่อพูดออกมาแบบนั้น
มิ่งขวัญกระโดดโลดเต้นไปพลางก็ร้องไชโยไปด้วย น่าขันสิ้นดีที่พอเห็นแบบนั้นแล้วก็เกิดความรู้สึกหมันไส้ปนสมเพชขึ้นมาคงเพราะครั้งหนึ่งตัวเองก็เคยทำแบบนั้น
'แต่จู่ๆ จะเลี้ยงสุกี้กันนี่มันก็อดดีใจด้วยไม่ได้ล่ะนะ'
อิงศรแสดงความยินดีด้วยการเผยรอยยิ้มออกมาเพียงแค่นั้น เขาเริ่มฝึกสำรวมอาการเพราะถูกบอกว่า
'โตแล้วเลิกกระดี๊กระด๊าเป็นเด็กซักทีน่า'
มันเป็นแค่คำพูดหยอกเล่นของคุณน้าที่มาเยี่ยมบ้านเมื่อเดือนก่อน แต่เขาเก็บมันมาคิดมากอยู่คนเดียวและเริ่ม เปลี่ยนความคิดความอ่านให้สมเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่คิดเอาเอง
วันนี้อุณหภูมิขึ้นสูงถึงสี่สิบองศาแต่กลับไม่มีแดดเลย
อิงศรแหงนหน้ามองท้องฟ้าเค้าลางแห่งเมฆฝนก่อตัวอย่างชัดเจน แต่มันก็เท่านั้นเพราะอีกแค่สิบเมตรก็จะเข้าไปในห้างถึงตอนนั้นฝนจะตกลงมาพวกเขาก็คงนั่งสุกี้กินกันอย่างสนุกสนานไปแล้ว
แต่ทว่า....สถานการณ์ดันกลับตาลปัตรอย่างกะทันหัน
สิ่งหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า...
มันเป็นวัตถุที่มีขนาดใหญ่ ประมาณครึ่งหนึ่งของห้างที่อยู่ตรงหน้าแต่ก็เห็นเป็นแค่จุดเล็กๆ ที่อยู่ไกลลิบกำลังตกลงมาที่ใจกลางเมือง แรงสั่นสะเทือนจากการตกนั้นส่งมาถึงจุดที่อิงศรยืนอยู่และเพราะระยะทางที่ห่างกันมากจึงรู้สึกแค่พื้นสั่นไหวเล็กน้อย
ผู้คนรอบตัววางมือจากสิ่งที่ทำอยู่แล้วหันไปมองในทิศทางเดียวกัน
จู่ๆ ก็มีเสียงดังแว่วมา
เป็นเสียงที่ได้ยินชัดเจนมากราวกับว่ามันดังออกมาจากข้างในหัวเสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงของเด็กกำลังถามคำถาม...
'ชอบเล่นเกมไหม'
นั่นมันเป็นเสียงของเขาเองแต่ว่าทำไมถึงถามอย่างนั้น?
อิงศรไม่ได้ตอบคำถามออกมาเป็นคำพูดหากแต่จิตใต้สำนึกคิดคำตอบให้แล้ว
'เกมเหรอ ชอบสิโดยเฉพาะพวกที่เล่นออนไลน์กันได้เพราะมันเป็นอะไรที่พอจะเล่นกับน้องชายจอมเอาแต่ใจได้บ้างจากรายการสิ่งที่สามารถทำร่วมกันโดยไม่ทะเลาะกัน'
ในตอนนั้นเองผู้คนรอบตัวก็ล้มฟุบลงทีละคนสองคนจนในที่สุดทางเท้าก็เต็มไปด้วยร่างของผู้คนนอนเกลื่อน
ตามมาด้วยรถที่อยู่บนถนนเสียหลักสะเปะสะปะจนชนกันเอง บ้างก็วิ่งหลุดถนนไปชนเข้ากับไหล่ทาง
เสียงกรีดร้องของผู้คนที่ยังเหลือรอดดังขึ้นเป็นสายฉากที่ดูเหมือนวันสิ้นโลกซึ่งเคยเห็นแต่ในหนังกำลังสะท้อนอยู่ในดวงตา
มันกำลังเกิดขึ้นจริงแล้ว...
เสียงสะอื้นของมิ่งขวัญดึงสติที่เกือบจะหลุดลอยไปกับฉากตรงหน้ากลับมา มิ่งขวัญพยายามปลุกพ่อกับแม่ที่ล้มลงไปพร้อมกับคนอื่นๆด้วยการเขย่าร่าง ในขณะที่อิงศรกลับยืนนิ่ง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องในตอนนี้ เพียงแต่นี่มันเกินกว่าความเข้าใจที่จะตอบสนอง
สิ่งที่เกิดขึ้น...
สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้...
มันคือฝันร้ายที่เข้ามาอย่างกะทันหันเกินไป ไม่มีเวลาให้ตกใจนานนักปรากฏการประหลาดกำลังดำเนินขั้นต่อไปของมันอย่างไร้ความปราณี
เหนือศีรษะของคนทุกคนรวมถึงตัวอิงศรเองเริ่มปรากฏแถบเส้นสีแดงขึ้นมา
มีตัวเลขเขียนกำกับเอาไว้บนแถบนั้น
มีตัวอักษรสีเขียวเขียนเป็นชื่อของแต่ละคนอยู่เหนือแถบสีแดงนั่นขึ้นไปอีกที และมีอักษรย่อที่น่าจะมาจากคำว่า 'Level' เขียนพร้อมกำกับด้วยตัวเลขอีกทีหนึ่ง เป็นเหมือนกับป้ายบอกข้อมูลของตัวละครในเกมอย่างไรอย่างนั้น
อิงศร Lv.1
[/////100:100/////]
บนหัวของมิ่งขวัญเองก็มีป้ายข้อมูลนี้ปรากฏอยู่
ท่ามกลางความโกลาหลนี้ ผู้คนที่ยังเหลือรอดเริ่มแสดงอาการเหมือนกับเป็นเสียสติพอหยิบจับอะไรได้ก็เอามาฟาดใส่ร่างของคนที่ล้มอยู่ จากพวกที่เป็นแบบนั้นมีวัยรุ่นชายที่ท่าทางเหมือนพวกนักเลงเดินถือไม้กวาดที่ฉกฉวยมาจากรานค้าริมทางกำลังเดินตรงเข้ามาหา
ชายคนนั้นมีดวงตาที่เหม่อลอยเคลื่อนที่เข้ามาใกล้แล้วฟาดไม้กวาดใส่ร่างของพ่อที่ล้มอยู่
มิ่งขวัญเข้าไปห้ามแต่ก็ถูกผลักออกมา อิงศรเห็นดังนั้นก็ไม่อาจหยุดอยู่เฉยได้อีกจึงเข้าไปผลักชายคนนั้นแต่กลับถูกผลักสวนจนกระเด็นกลับมา
สถานการณ์เลวร้ายยังคงดำเนินต่อไป...
เมื่อนกพิราบที่ปกติจะหลบซ่อนตัวอยู่ตามมุมตึกหรือตามเสาไฟฟ้ากลับแห่กันบินลงมาเดินบนพื้นแล้วจ้องมาทางคนที่ยังมีชีวิตรอด ดวงตาของนกพิราบแต่ละตัวแดงก่ำเหมือนเลือด
พริบตาต่อมาฝันร้ายก็บังเกิดขึ้นเมื่อร่างกายของพวกมันขยายใหญ่จนหนังฉีกขาด ขนปีกหลุดร่วงกระจัดกระจาย รูปร่างเปลี่ยนเป็นไก่ตัวอ้วนสูงเท่าผู้ใหญ่ ขนสีขาวฟูฟ่อง มีจงอยปากเป็นโลหะ พวกมันอ้าปากเหล็กอวดโชว์คมเขี้ยวเขมือบที่หากถูกกัดเข้าไปซักครั้งเนื้อตรงนั้นคงจะแหว่งหายไปเลย และเช่นเดียวกันพวกนกพิราบที่กลายร่างแล้วก็ปรากฏป้ายบอกชื่อบนหัวเหมือนกับพวกเขาแต่เขียนด้วยตัวอักษรสีแดง
White Wing Zodiac Lv.3
[/////200:200/////]
'สัตว์เทวะ'
คำๆ นี้ผุดขึ้นมาในหัวเหมือนเวลาที่เราเห็นม้าก็จะนึกถึงคำว่าม้าขึ้นมาหรือก็คือคำนามที่มนุษย์กำหนดให้ นี่คงจะใช้อธิบายเรื่องนี้ได้ดีที่สุดเพราะอิงศรเองก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงเรียกพวกมันว่า 'สัตว์เทวะ' ตอนนั้นเอง
พวกไก่ยักษ์ก็พากันส่งเสียงร้องเป็นเสียงโลหะแหลมสูงดังก้องกังวาน หลังจากคำรามข่มขวัญเสร็จพวกมันก็กรูกันเข้ามาหามนุษย์ที่ยังรอดชีวิต ไล่ต้อนด้วยการจิกแต่ยังไม่ฆ่าทันที พวกมันจะต้อนคนให้หนีไปทางกลุ่มของไก่ยักษ์ตัวอื่นที่ล้อมกันเป็นวงกลมเปิด เมื่อต้อนคนเข้าไปแล้วตัวที่ไล่ต้อนก็จะเข้าไปสุมปิดช่องทางออกจากวงแล้วทุกตัวในวงก็จะเริ่มจิกกินร่างของมนุษย์โชคร้ายที่กลายเป็นเหยื่อ แถบสีแดงบนหัวมนุษย์คนนั้นทยอยหดหายไป พลางตัวเลขบนแถบสีก็ลดลงไปด้วย
[/////70:100//...]
[/////50:100.....]
[///..30:100.....]
[.......0:100.....]
กองเลือดสีแดงไหลเจิ่งนองใต้เท้าของพวกมันจนกระทั่งตัวเลขด้านหน้ากลายเป็นศูนย์ วงโต๊ะจีนมนุษย์จึงหยุดลงหลังจากนั้นตัวที่ทำหน้าที่ต้อนก็จะออกจากวงไปล่ามนุษย์มาเข้าวงใหม่อีก เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมามีคนที่คิดจะสู้อยู่บ้างแต่จะกลายเป็นเหยื่อจากการถูกรุมในทันที ดังนั้นส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะหนี
มีตัวทำหน้าที่ไล่ต้อนมนุษย์ตัวหนึ่งหันเหสายตามาทางนี้ อิงศรรับรู้ในทันทีแล้วเคลื่อนไหวเองโดยไม่คิด เด็กชายเข้าไปจูงมือน้องแล้วพาวิ่งหนีไปที่ห้าง โดยที่มิ่งขวัญยังคงเอาแต่ร้องไห้ตลอดทาง
อิงศรไม่ได้หันกลับไปดูแต่รู้สึกได้ว่าไก่ยักษ์ไม่ได้ตามพวกเขามาและก่อนจะผ่านเข้าประตูห้างก็มีเสียงกรีดร้องดังไล่หลังมาด้วยถ้าจำไม่ผิดนั่นเป็นเสียงของชายเสียสติที่เอาไม้กวาดมาฟาดศพของพ่อ
ภายในอาคารห้างสรรพสินค้าเองก็วุ่นวายไม่แพ้กัน มีสัตว์เทวะออกอาละวาดไปทั่ว เสียงกรีดร้องของผู้คนกำลังหนีตายดังระงมจากทุกทิศทาง แถบสีที่เป็นพลังชีวิตนั้นไม่มีใครที่เหลืออยู่เต็มแถบเลยซักคนเดียว
'ช่วยด้วย!!!'
'แขนฉัน...แขน...อ๊าาา!!!'
'ช่วยด้วย! มันจะฉีกหัวชั้นแล้ว...!'
สัตว์เทวะภายในห้างเป็นคนละแบบกับข้างนอก อิงศรมองหาที่หลบภัยสุดชีวิตก็บังเอิญไปเห็นฝูงหนูท่อกับแมลงสาบที่กรูกันออกมาจากช่องบนพื้นกำลังกลายร่างเข้าพอดี
ขนาดตัวของหนูท่อที่กลายร่างแล้วใหญ่พอๆกับสุนัขพันธ์เซนต์เบอร์นาร์ดขนของพวกมันหลุดร่วงแล้วกลายเป็นผิวหนังตะปุ่มตะป่ำ เหมือนกับคางคกแทน ฟันหน้ายื่นยาวโง้งออกมาเหมือนสัตว์ฟันแทะหลังจากกลายร่างเสร็จสมบูรณ์ ชื่อในฐานะสัตว์เทวะของมันปรากฏขึ้น พร้อมกับแถบสีที่เป็นพลังชีวิต
Giant Fang Zodiac LV.5
[/////250:250/////]
ส่วนแมลงสาบนั้นนอกจากขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเป็นพิเศษที่น่ากลัวคือจำนวนของพวกมันที่มีเยอะกว่าหนูกับนกพิราบข้างนอกเกือบเท่าตัวแถมยังบินได้แต่ขนาดตัวที่ใหญ่เท่ากับเด็กอายุสิบสามอย่างเขา ก็ทำให้มันเป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์อย่างเหลือเฟือชื่อของพวกมันก็ปรากฏขึ้นแล้วเช่นกัน
Abaddon Follower LV.1
[/////50:50/////]
อิงศรจูงมือน้องวิ่งผ่านโซนร้านค้าปลีกย่อยชั้นล่างไปที่บันไดเลื่อน ขึ้นไปยังชั้นสองแล้วเลี้ยวเข้าไปที่โซนเสื้อผ้า ระหว่างทางมีแต่ศพเกลื่อนไปหมด บางรายก็มีสภาพร่างกายพิกลพิการก่อนตายและคราบเลือดเกรอะกรัง
หลังจากแน่ใจว่าไม่มีตัวอะไรตามมาก็เข้าไปหลบในห้องลองเสื้อของร้านขายเสื้อผ้าสตรี ระหว่างนี้ภายในอาคารก็ยังเต็มไปด้วยเสียงเอะอะและเสียงกรีดร้องของผู้คนดังจ้าละหวั่น
อิงศรตัดสินใจจะรอที่นี่จนกว่าเสียงเอะอะข้างนอกจะหยุดลง เขาดึงตัวน้องชายเข้ามากอดแล้วปลอบให้หยุดร้องทั้งที่ตอนนี้ตัวเองก็อยากจะร้องไห้
ทั้งพ่อทั้งแม่ไม่อยู่แล้วแถมโลกก็เป็นบ้าไปเสียแบบนี้ หลังจากนี้ไปพวกเขาจะอยู่กันยังไง....
ความกังวลสุมอยู่เต็มอกแต่ตอนนี้เขาจะล้มลงไม่ได้
จะต้องมีชีวิดรอดให้ได้ซะก่อนมันคือสัญชาตญาณที่ควบคุมการกระทำทั้งหมดให้เป็นไปอย่างนั้น
พี่น้องรอแล้วรอเล่าอยู่ในห้องลองเสื้อสี่เหลี่ยมคับแคบที่มีกระจกอยู่บานเดียว นั่งกอดกันตัวกลมพลางสั่นเทิ้มไปด้วยความกลัวรอจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด จนกระทั่งมีเสียงกระจกแตกดังขึ้น หลังจากนั้นก็มีเสียงตึงตังดังตามมาอีก บางทีคงเป็นเสียงหุ่นโชว์ล้มลงมาดังนั้นกระจกที่แตกก็น่าจะเป็นกระจกตู้โชว์หน้าร้าน ...
มีใครหรือตัวอะไรกำลังเข้ามาในร้าน อิงศรคาดการไว้เช่นนั้น จึงรีบใช้มือปิดปากมิ่งขวัญที่กำลังสะอื้นทันที
จากประตูห้องลองเสื้อที่ใช้ซ่อนตัวอยู่ไม่สามารถมองเห็นชื่อกับแถบสีพลังชีวิตของผู้บุกรุกได้ นั่นแปลว่าอีกฝ่ายก็มองไม่เห็นพวกเขาเช่นกันก็ได้แต่ลุ้นให้เป็นอย่างนั้น แต่เสียงฝีเท้ากลับดังใกล้เข้ามา
อิงศรก้มหัวลงเพื่อมองลอดช่องใต้ประตู แลเห็นเท้าสีชมพูอ่อนมีนิ้วเท้าสามนิ้วเหมือนเท้าของหนู กำลังก้าวเดิน เด็กชายเบ้ปากพลางดึงตัวน้องชายให้เข้าไปหลบมุมที่ด้านในแล้วเอาตัวเองหันหลังออกไปทางประตู
หากทำแบบนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็จะสามารถรับเคราะห์ก่อนมิ่งขวัญได้...
แล้วหลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อ...
หากเขาตายไปก่อน มิ่งขวัญคนเดียวไม่มีทางเอาตัวรอดได้แน่ ผลลัพธ์มันเท่ากับตายเปล่าแล้วเขาก็กลัวที่จะต้องตายเหมือนกัน ในตอนนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา
'เอาขวัญเป็นเหยื่อล่อจากนั้นก็อาศัยจังหวะที่มันสนใจขวัญอยู่หนีไป...ทำได้แน่หลอกขวัญน่ะมันเรื่องง่ายๆ'
อิงศรมองดูน้องชายที่ยังคงสะอื้นซบกับอกของตนแล้วความรู้สึกละอายใจก็ผุดขึ้นมา...
มันก็จริงที่เขาไม่ได้รักน้องชายเหมือนที่พี่คนอื่นๆ เป็นกันยิ่งให้ยอมตายแทนมันยิ่งไร้สาระเข้าไปใหญ่แต่ถ้าใช้มิ่งขวัญที่แสนอ่อนแอเป็นไม้ต่อชีวิตล่ะก็คงต้องรู้สึกผิดบาปไปชั่วชีวิตแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับเศษสวะคนหนึ่ง
ความหยิ่งทระนงเกินวัยนี้ เมื่อเติบโตขึ้นอิงศรจะต้องรู้สึกขอบคุณมันอย่างแน่นอนหากว่าเขาสามารถจะรอดชีวิตไปได้ซะก่อน
ทว่า...เสียงฝีเท้ากลับไกลออกไปกลายเป็นความเงียบในที่สุด พวกเขายังคงรออยู่อย่างสงบปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปอย่างเสียเปล่าอีกพักใหญ่และแล้ว...
โครก!
เสียงท้องร้องของมิ่งขวัญก็ดังสนั่น ไม่น่าแปลกใจพวกเขายังไม่ได้กินมื้อเที่ยงกันเลยความหิวก็เข้าจู่โจมอิงศรเช่นกัน
"เดี๋ยวจะออกไปดูข้างนอกแปปนึงนะขวัญอยู่ที่นี่..."
"จะไปด้วย!"
"แต่มันอันตร..."
"จะไป! จะไป! จะไป!"
"โอเค โอเค เข้าใจแล้วไปด้วยกันก็ได้"
อิงศรถอนหายใจพลางคิดว่าเจ้าน้องโดนสปอยคนนี้เข้าใจบ้างรึเปล่าว่าจนถึงเมื่อครู่เขาต้องแบกรับอะไรเอาไว้บ้างถ้ายังอยู่ด้วยกันแล้วตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแบบเมื่อครู่มีสิทธิ์ที่เขาจะใช้เป็นตัวตายตัวแทนอีกแต่จะทิ้งมิ่งขวัญให้ร้องงอแงอยู่แบบนี้ก็เกรงว่าจะอันตรายซะกว่า
ดังนั้นหลังจากรอต่ออีกซักพักจนแน่ใจแล้วว่าในร้านไม่มีสัตว์เทวะอยู่ อิงศรก็เปิดประตูแล้วจูงมิ่งขวัญเดินออกจากห้องลองเสื้อ พวกเขาย่องไปตามทางเดินที่เชื่อมไปสู่ตัวร้านและก่อนจะเลี้ยวตรงหัวมุมกำแพง อิงศรก็ชะเง้อใบหน้าพ้นกำแพงออกไปครึ่งหนึ่งเพื่อดูลาดเลา
ภายในร้านไม่มีใครหรือตัวอะไรอยู่อีกแล้ว อิงศรเดินออกมาจากมุมกำแพง มองข้ามข้าวของในร้านที่ล้มระเนระนาดออกไปยังด้านนอกบริเวณชั้นสองไม่มีวี่แววของสัตว์เทวะและยังเงียบสงบจนรู้สึกโหรงเหรง
แต่แล้วก็มีเสียงดังกระหึ่มแว่วมาจากที่ห่างไกล มันเป็นเสียงตูมเหมือนกับมีระเบิดเกิดขึ้น อิงศรกุมมือน้องชายไว้แน่น แล้วเดินตามเสียงนั้นไปจนมาถึงหน้าต่างบานใหญ่ที่ส่องออกไปยังถนนที่พวกเขาวิ่งเข้ามา
บนท้องถนนนั้นนอกจากซากร่างของมนุษย์แล้ว ก็เต็มไปด้วยสัตว์เทวะมากมาย มีทั้งไก่ยักษ์ที่กลายร่างจากนกพิราบ และหนูยักษ์กับแมลงสาบยักษ์ ที่น่าจะเพิ่งออกไปจากห้าง
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดัง ‘ตูม’
สัตว์เทวะที่อยู่บนท้องถนนลอยกระเด็นขึ้นไปข้างบนแถบพลังชีวิตของพวกมันลดลงจนหมดพร้อมกันทุกตัว จากนั้นร่างของพวกมันก็สลายไปมีสิ่งของพรั่งพรูลงมา ส่วนใหญ่เป็นถุงผ้าที่ยัดของบางอย่างเอาไว้ผูกปลายด้วยเชือก บางอันก็เป็นขวดน้ำที่มีรูปร่างเหมือนหลอดทดลองปิดด้วยจุกก๊อกภายในบรรจุของเหลวสีเขียวสิ่งของเหล่านั้นหล่นลงมาเกลื่อนกระจายบนพื้นถนน
พริบตาต่อมาทุกอย่างก็ลอยออกไปเหมือนกับถูกดึงดูดโดยอะไรซักอย่าง ที่ปลายทางซึ่งดูดสิ่งของไปนั้น มีชายคนหนึ่งยื่นมือรออยู่ ข้าวของที่ลอยเข้าไปหาต่างก็หายวับเข้าไปในมือนั่น
อิงศรสังเกตรูปร่างของชายคนนั้นอย่างถี่ถ้วนก็พบเรื่องประหลาดชวนสงสัยเข้า
ชายคนนี้มีสีผิวที่ดูซีดกว่าคนปกติ มีเส้นผมสีเงินแบบที่ไม่น่าจะมีกัน ชุดที่ใส่ก็เป็นเหมือนเครื่องแบบสีดำสนิทประกอบด้วยแจ๊กเก็ตสีดำติดขนมินท์สีขาว กางเกงและรองเท้าทำจากสิ่งที่น่าจะเป็นผ้ากำมะหยี่สีดำ
อาจจะเป็นคนต่างชาติ... อิงศรตีความเป็นอย่างนั้น
ชายคนนั้นไม่ได้มาแค่คนเดียวรอบตัวยังมีอีกสิบกว่าคนแต่งตัวเหมือนๆกัน ต่อสู้กับสัตว์เทวะแล้วเก็บสิ่งของที่ตกจากพวกมันหลังจากฆ่าทิ้งทุกอย่างเหมือนในเกม MMORPG ไม่มีผิด
สิ่งที่ชายชุดดำทำก็คือ 'การดรอปไอเทมจากมอนสเตอร์' โดยเปรียบสัตว์เทวะเป็น 'มอนสเตอร์' สิ่งของที่ตกลงมาหลังจากพวกมันตายแล้วคือ 'ไอเทม' และชายชุดดำก็คือ 'ผู้เล่น' หรือ 'เพลยเยอร์(Player)' ชายชุดดำเองก็มีชื่อและแถบพลังชีวิตปรากฏอยู่เช่นกัน แต่สีของตัวหนังสือเป็นสีฟ้าและชื่อก็เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ
หากเปรียบเทียบตามนี้แล้วก็เหมือนกำลังอยู่ในเกมไม่มีผิด เพียงแต่นี่คือความเป็นจริงที่ไม่เหมือนกับในเกมเพราะศพของมนุษย์ที่ตายไม่ได้หายไปหลังจากถูกฆ่าไม่ได้ไปเริ่มใหม่ตรงจุดเริ่มต้น หรือจุดที่บันทึกเอาไว้
มิ่งขวัญกำลังดึงแขนเขาอยู่ อิงศรรู้สึกเช่นนั้นแต่ก็ไม่ได้ตอบสนองแม้จะได้ยินเสียงร้องไห้สะอื้นอีกก็ตามที เขาอยากจะรู้เหตุการณ์ต่อไปจากนี้
อะไรจะเกิดขึ้นอีก...
พวกเขาจะเป็นยังไงต่อไป...
มันอาจจะช่วยตอบได้ว่าความจริงในปัจจุบันมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ในตอนนั้นเองก็บังเอิญไปเห็นเข้าว่าในกลุ่มชายชุดดำมีหลายคนที่ทำท่าทางเหมือนกำลังทิ่มนิ้วใส่อากาศที่ว่างเปล่า
อิงศรลองตั้งสมมติฐานดู เขาทำท่าทิ่มนิ้วลงบนอากาศตรงหน้าบ้างแล้วก็เป็นไปตามที่คิด บนอากาศที่ว่างเปล่านั่นหน้าจอสีดำปรากฏขึ้นมามีคำว่า 'Menu' เขียนกำกับไว้ที่ด้านบนสุด ภายใต้หน้าจอนั้นมีรายการปุ่มเหมือนที่เคยเห็นเวลาเล่นเกมเรียงรายกันลงมา
อิงศรกดลงบนปุ่มที่ชื่อว่า 'Story' แล้วหน้าจอก็หายไป
จากนั้นจึงปรากฏหน้าจอใหม่ที่มีแต่ตัวหนังสือขึ้นมาแทน อิงศรใช้นิ้วไถลลงไปบนหน้าจอเพื่อเลื่อนให้ตัวหนังสือวิ่งขึ้นมาจากด้านล่างของจอเหมือนกับวิธีใช้สมาร์ทโฟน
มิ่งขวัญเริ่มสนใจกับหน้าจอที่ถูกเรียกออกมาพลางย้ายมือเข้ามาจับหน้าจอบ้างแต่มือกลับทะลุผ่านไปราวกับไม่มีตัวตน พอเป็นแบบนั้นก็เริ่มงอแงขึ้นมาอีก
แต่อิงศรก็ไม่ได้ปรามน้อง ตอนนี้เขาสนใจรายละเอียดที่เขียนไว้บนหน้าจอมากกว่า พลางคำรามออกมา
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน...เรื่องพรรค์นี้มันจะเป็นไปได้ยังไงมนุษย์ต่างดาว...สัตว์เทวะ...เรื่องบ้าบอพวกนี้"
แต่จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามของจริงดังขึ้น เป็นเสียงคำรามที่เหมือนกับเสียงของสัตว์ดังกึกก้อง
อิงศรละสายตาจากหน้าจอแล้วหันไปทางทิศที่เสียงกระจายมา
"ส...สัตว์...สัตว์ประหลาด"
มิ่งขวัญพูดด้วยเสียงเหมือนจะร้องไห้ สีหน้าบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความกลัว ‘สัตว์ประหลาด’ ที่ว่าคือสัตว์เทวะที่เดินผ่านหน้าห้างไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา
ขนาดตัวของมันสูงยิ่งกว่าอาคารห้างเกือบเท่าตัว มีผิวกายสีขาวสะท้อนมันวาวเหมือนโลหะ ย่างสี่เท้าอย่างสัตว์บกเท้ามีอุ้งตีนเหมือนหมี มีลำตัวคล้ายกับเสือดาว ศีรษะเหมือนมังกรมีเจ็ดหัวด้วยกันโดยที่แต่ละหัวมีหนึ่งเขายกเว้นหัวหนึ่งที่มีถึงสี่ จึงรวมได้สิบเขาพอดี ชื่อและแถบพลังชีวิตของมันอยู่สูงเสียดฟ้าจนมองไม่เห็น
ขณะเดียวกลุ่มชายชุดดำบนท้องถนนก็เริ่มบุกโจมตีสัตว์เทวะปริศนา การต่อสู้ดุเดือดและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นทุกขณะมีทั้งแสงระเบิดจากการโจมตีด้วยอาวุธต่างๆ ทั้งลูกธนูและกระสุนปืน มีคนที่ใช้อาวุธระยะประชิดเข้าโจมตีจำพวก ดาบ ขวานและหอก แต่สัตว์เทวะกลับไม่ได้ตอบโต้ มันยืนนิ่งอย่างสงบรอให้กลุ่มชายชุดดำลดพลังชีวิตของมันไปอย่างไม่ทุกข์ร้อน
อิงศรแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าพยายามที่จะอ่านให้ได้ว่าชื่อของสัตว์เทวะตนนี้คืออะไรแต่จากมุมที่พวกเขายืนอยู่มันเป็นไปไม่ได้
ในตอนนั้นเอง....
สายตาก็สะดุดเข้ากับเงาคนที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าของตึกฝั่งตรงกันข้าม จากระยะนี้พอจะมองเห็นแถบพลังชีวิตกับชื่อแบบลางๆ สีของตัวอักษรเป็นสีฟ้า เงาคนเหล่านั้นน่าจะเป็นพวกเดียวกับชายชุดดำ นอกจากตึกฝั่งตรงกันข้ามแล้วพอมองดูรอบๆ ก็จะมีเงาคนกระจายอยู่ตามดาดฟ้าของอาคารอื่นๆอีก เงาของคนเหล่านั้นมีแสงสว่างเปล่งออกมาจากมือเป็นแสงสีแดงเหมือนกันทั้งหมด...
นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้สัตว์เทวะไม่ยอมขยับ
อิงศรกับมิ่งขวัญก็ยังยืนสังเกตการอยู่ที่หน้ากระจกต่อ จนกระทั่งสัตว์เทวะแผดเสียงคำรามขึ้นมาอีกครั้งและล้มหมอบ จากนั้นร่างกายของมันก็เริ่มสลายตัวไล่จากศีรษะลงมา จนเมื่อสลายหายไปหมดก็เกิดระเบิดขึ้นอย่างกะทันหัน แรงระเบิดเป่ากระจกของอาคารในบริเวณโดยรอบแตกละเอียดทุกบาน รวมถึงบานที่พวกเขายืนดูอยู่ด้วย
ทันทีที่กระจกเกิดรอยปริร้าว อิงศรก็รีบจูงมิ่งขวัญ หนีห่างจากกระจกทันทีแต่กระจกแตกกระเด็นเข้ามาซะก่อน เขาเลยดึงตัวน้องชายเข้ามาแล้วเอาหลังบังให้
แรงจากการระเบิดเป่าร่างของทั้งคู่กระเด็นไปไกล โชคดีที่กระจกแตกละเอียดชนิดไม่เหลือเป็นชิ้นเป็นแผ่นจึงไม่โดนกระจกบาด
พวกเขาลุกขึ้นมาแล้วช่วยกันสำรวจหาบาดแผล
ทั้งคู่ไม่พบบาดแผล
แต่อิงศรไม่รู้สึกแบบนั้นตอนที่กระจกแตกกระเด็นมาเขารู้สึกได้ว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างฝังเข้าที่แผ่นหลัง
"พี่ศรหลัง...มะกี้หลังขวัญโดนอะไรไม่รู้ตำอ่ะ"
มิ่งขวัญก็รู้สึกเช่นเดียวกันพลางถกเสื้อขึ้นแล้วหันแผ่นหลังให้ดู แต่บนแผ่นหลังนั้นไม่มีแม้แต่รอยเลือด หรือร่องรอยของบาดแผลก็ไม่มี
"ไม่เห็นมีไรเลย มันไม่ได้ตำเข้าไปมั้ง"
แต่มิ่งขวัญทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ
"ก็บอกว่าไม่มีไง "
อิงศรตะหวาดแล้วเบือนหน้าหนีทันที มิ่งขวัญส่งเสียงสะอื้นเหมือนจะร้องไห้อีก แต่เขาไม่สนพลางเดินกลับไปที่หน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก กลุ่มของชายชุดดำหายไปกันหมด บนท้องถนนมีแต่ความว่างเปล่า ซากร่างของผู้คนรวมถึงพ่อแม่ก็หายไป
รู้สึกถึงกลิ่นของคาวเลือด
สายลมพัดโชยมามีกลิ่นของฝนปะปนมาด้วย
หลังจากนั้นเม็ดฝนก็โปรยปราย
ภาพทิวทัศน์ของเมืองที่ไร้ซึ่งผู้คน ไร้ซึ่งสุรเสียง
เมืองซึ่งเคยแออัดไปด้วยผู้คนจนแทบหายใจไม่ออกกลับกลายเป็นโหรงเหรง ราวกับว่าโลกได้ขยายกว้างขึ้น
กลิ่นอายของฝนกำลังชำระล้างกลิ่นเลือดออกไป
อิงศรเปิดหน้าจอโปรแกรมขึ้นมาอีกครั้งแล้วอ่านรายละเอียดทั้งหมดใน' Story' จนจบและตระหนักว่าโลกไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
{----Story----}
====Unknown Patch 0.01275====
โลกในยุคปัจจุบันถูกรุกรานโดยมนุษย์ต่างดาว ด้วยการเปลี่ยนโลกทั้งใบของเน็ตเวิร์คเทคโนโลยีที่เกินกว่าจะจินตนาการจนกลายเป็นสนามรบของ ’เกมเดิมพันโลก’ ฝ่ายมนุษย์หาทางรับมือจนกระทั่งสามารถยื้อการสู้รบเอาไว้ที่น่านฟ้าของจีนโดยอาศัยจำนวนที่เหนือกว่า แต่เน็ตเวิร์คก็ได้แผ่ขยายครอบคลุมทั้งโลก โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้มาก่อน
====Unknown Patch 0.02897====
หลังจากเน็ตเวิร์คแผ่ขยายเครือข่ายครอบคลุมโลกแล้ว ฝูงอุกกาบาตแห่งการพิพากษาได้ตกลงมาที่โลกแล้วแพร่ระบาดไวรัสที่จะคัดสรรค์มนุษยผู้เหมาะสมที่จะดำเนินชีวิตต่อไปในดินแดนภายภาคหน้า ไวรัสจะมีผลกับสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากมนุษย์ในทางตรงกันข้ามพวกมันจะกลายเป็น 'สัตว์เทวะ' แล้วพิพากษามนุษย์ มนุษยชาติจะมีจำนวนเหลือเพียง1ใน 4
====Patch After Catastrophe 1.00000====
...การดิ้นรนของมนุษยชาติในยุคเกมโลกาวินาศได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...
เวลาผันผ่านไปอย่างเงียบงันถึงสามเดือนโดยไม่มีวี่แววของหน่วยกู้ภัย
อย่าว่าแต่หน่วยกู้ภัยเลยในเมืองไม่มีแม้แต่เงาของคนด้วยซ้ำไป
หลังจากวันที่โลกล่มสลาย อิงศรกับมิ่งขวัญก็อาศัยอยู่มาได้ด้วยสินค้าที่วางอยู่ในโรงหนังชั้นที่หกซึ่งเป็นชั้นบนสุดของห้างแต่จำนวนก็ร่อยหรอเต็มทีและไฟฟ้าถูกตัดทำให้อาหารสดเน่าเสียอย่างรวดเร็ว รวมถึงน้ำดื่มก็แทบจะไม่มีเหลือ
ถ้าหากลงไปยังชั้นใต้ดินที่เป็นโซนร้านอาหารกับซุปเปอร์มาเก็ตก็คงพอมีอะไรให้กินได้บ้าง แต่ภายในห้างตั้งแต่ชั้นสามลงไปกลายเป็นรังของพวกสัตว์เทวะหมดแล้ว
แถมจากชั้นใต้ดินยังได้ยินเสียงคำรามที่น่ากลัวดังสนั่นขึ้นมาทุกคืนเพราะที่ชั้นใต้ดินนอกจากโซนอาหารกับซุปเปอร์มาเก็ต ก็มีโซนของอควอเรี่ยมที่ใช้จัดแสดงสัตว์ทะเลได้ยินมาว่ามีฉลามจัดแสดงอยู่ด้วยเสียงคำรามจากข้างล่างอาจจะเป็นพวกฉลามที่กลายพันธุ์เพราะไวรัส
เรื่องของไวรัสนั้นอิงศรรู้จากการอ่านข้อมูลที่เขียนไว้ใน 'Menu'
โลกของพวกเขาถูกใช้เป็นสนามรบของเกมเดิมพันโลกระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาวและเมื่อลองหาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือพิมพ์ที่วางขายอยู่ในชั้นโรงหนังด้วยก็พอจะเข้าใจได้ว่าข่าวที่ประกาศในวันสิ้นโลกนั้นตรงกับที่เขียนไว้ในเมนู 'Story' ช่วงท้ายของPatch 0.01275
หลังจากรับรู้สถานการณ์ของโลก อิงศรจึงเริ่มศึกษาวิธีเล่นเกมของพวกมนุษย์ต่างดาว จากเมนู 'Tutorial' เผื่อว่ามันจะทำให้พวกเขาเอาชีวิตรอดในโลกที่ล่มสลายนี้ได้บ้างและในที่สุดเมื่อเสบียงอาหารในโรงหนังหมดลง
อิงศรก็เสนอแกมบังคับมิ่งขวัญผู้เป็นน้องชายให้ร่วมมือกันล่าสัตว์เทวะมาเป็นเสบียง จากข้อมูลใน 'Tutorial' มีบอกไว้ว่าเมื่อฆ่าสัตว์เทวะตายแล้วจะดรอปไอเทม ออกมาในจำนวนนั้นมีพวกอาหารสำหรับกินประทังชีวิตรวมอยู่ด้วยและแล้ว...
การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดก็ได้เริ่มต้นขึ้น....
อิงศรใช้มือซ้ายจับลูกศรแล้วง้างออก คันธนูโก่งตัวตามแรงดึงจนโค้งงอ
ตัวคันธนูทำจากไม้ผูกด้วยลวดใช้ต่างสายธนูเป็นอาวุธแบบลวกๆ ที่มีแถมมาให้ในตอนที่โลกกลายเป็นเกมซึ่งอิงศรพบมันจาก การกดปุ่ม 'Inventory' ในหน้า 'Menu' ด้วยอาวุธนี้พวกเขาสามารถที่จะล่าสัตว์เทวะได้
เหยื่อในการล่าครั้งนี้คือก่ยักษ์ตัวหนึ่ง ที่บินหลงขึ้นมาบนดาดฟ้าของห้าง
หลังจากที่เล็งจนแน่ใจแล้วว่าไม่พลาดจึงปล่อยมือจากลูกธนู
ลูกธนูที่แผลงไปนั้นพุ่งตรงเข้าเสียบทะลุคอของไก่ยักษ์แล้วแถบพลังชีวิตของมันลดลง
White Wing Zodiac LV.3
[/////160:200///..]
ไก่ยักษ์หันมาทางอิงศร มันเคลื่อนไหวอย่างเกรี้ยวกราดพลางอ้าปากโลหะอวดเขี้ยวเขมือบอันแหลมคมข่มขวัญเขาไปด้วย
แต่เพราะระยะโจมตีที่อิงศรเว้นไว้ทำให้มีเวลาพอที่จะแผลงศรใส่มันอีกสามดอกด้วยกัน แถบพลังชีวิตของไก่ยักษ์ลดลงฮวบฮาบในพริบตา มันรับรู้ได้ว่าอิงศรไม่ใช่เหยื่อที่จะจัดการได้จึงหันหลังหนี
White Wing Zodiac LV.3
[//...40:200.....]
"ตอนนี้แหละ!! ขวัญฆ่ามันเลย!!"
อิงศรตะโกนเป็นสัญญาณให้มิ่งขวัญซึ่งแอบอยู่หลัง แทงค์เก็บน้ำออกมาจัดการปิดฉากตามแผนที่วางเอาไว้ ทว่า....
"ม....ไม่เอา...ขามันไม่ยอมขยับ"
มิ่งขวัญตัวสั่นเทิ้มแม้แต่แข้งขาก็ยังอ่อนแรงจนก้าวเท้าไม่ออกถึงจะเล่นเกมมามากและเป็นเกมต่อสู้ตีรันฟันแทงจนน่าจะชาชินกับเรื่องพวกนี้ แต่เพราะที่นี่ไม่ใช่เกมหากแต่เป็นความจริง ความกลัวและความลังเลจึงโถมเข้าใส่อย่างมหาศาล มิ่งขวัญที่เพิ่งจะอายุจะสิบเอ็ดจิตใจยังไม่พร้อมกับเรื่องแบบนี้
"ไอ้น้องบ้า! มัวทำอะไรอยู่เดี๋ยวก็ถูกมันฆ่าหรอก!!"
"ขวัญทำไม่ได้...แง.."
แล้วน้องชายก็ปล่อยโฮออกมานั่นทำให้สัตว์เทวะรู้ที่อยู่ในทันที มันรีบถลำเข้าไปจู่โจมเด็กชายที่กำลังขวัญผวาจนตกใจเผลอปล่อยมือจากดาบแล้วก้มตัวลงหดหัวร้องไห้อย่างน่าอดสู
"ช่วยด้วย....พ่อจ๋าแม่จ๋า..."
"บ้าเอ้ย...ขวัญ!!!"
เกิดเสียงดังสวบเหมือนมีอะไรบางเสียบแทงเข้าไปในเนื้อ
มิ่งขวัญเปิดตามองดูแบบกึ่งกล้ากึ่งกลัว จากนั้นดวงตาก็เบิกโผลงด้วยความตกใจเขาหงายหลังและล้มนั่งกับพื้น
ที่เบื้องหน้านั่นเองร่างของอิงศรเข้ามากำบังให้ จงอยปากของสัตว์เทวะเสียบทะลุอกไปถึงหลังเลือดจำนวนมากไหลเป็นสายจากปากแผล
"อัก..."
อิงศรกระอักเลือด... เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ได้สัมผัสกับความเจ็บปวดเจียนตาย สติแทบจะไม่หลงเหลืออยู่เลยหลังรับการโจมตีทั้งที่แถบพลังชีวิตยังลดไปไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
อิงศร LV.1
[/////60:100/....]
แต่กลับรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย...
เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าความตายมันเป็นยังไงก็เพิ่งจะอายุสิบสามเท่านั้นเองแต่กลับรับรู้ได้ด้วยร่างกายว่าความรู้สึกที่จู่โจมมาอย่างรุนแรงราวกับจะกระชากวิญญาณออกจากร่างนี่แหละคือ 'ความตาย'
'หากยังมีพลังชีวิตเหลืออยู่และไม่ถูกตัดศีรษะออกจากร่างก็จะยังไม่ตาย แต่ความเจ็บปวดนั้นขึ้นกับความเคยชินของแต่ละบุคคลและหากรอไปซักพักเมื่อพลังชีวิตฟื้นคืนอาการบาดเจ็บจะหายไปเอง...'
ข้อความที่อ่านจากระบบของเกมผุดขึ้นในสมอง
"อึก....ยัง...ย...ยังหรอก.."
แค่นี้ยังไม่ตายหรอก....คำพูดที่สิ้นเปลืองนี้ อิงศรกลืนลงคอแล้วง้างคันธนูยิงในระยะเผาขน ลูกศรทะลุกระหม่อมของสัตว์เทวะเป่าร่างของมันกระเด็นออกไปด้วยและทำให้แถบพลังชีวิตกลายเป็นศูนย์
White Wing Zodiac LV.3
[.....0:200.....]
จากนั้นสัตว์เทวะก็สลายตัว ถุงไอเทมจำนวนหนึ่งตกลงมาบนพื้น
อิงศรหงายหลังฟุบลงไปกลางแอ่งเลือดที่เจิ่งนอง
เด็กหนุ่มมองไปยังรูโหว่ที่ถูกเสียบจนมองทะลุเห็นเลือดบนพื้นจากรูนั่นได้ หากว่ามันไม่หายไปเองตามข้อมูลของเกมล่ะก็เขาคงจะต้องตายจริงๆ แน่ความกังวลผุดขึ้นมาแต่กลับหายไปพร้อมกับสติที่เริ่มเลือนราง
"พี่ศร..."
มิ่งขวัญคลานเข้ามาหาใบหน้าตื่นตระหนกเปรอะไปด้วยน้ำตา
"อย่าตายนะ....พี่ศรห้ามตายนะ...อย่าทิ้งขวัญไว้คนเดียว....ขวัญกลัว"
คำพูดปนกลั้วไปกับเสียงสะอื้นไห้แต่อิงศรไม่อาจรับรู้ถึงเรื่องนี้สติของเขาขาดหายไปเสียก่อน
“ฮึก..ฮึก..พี่ศร”
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น กับน้ำหนักซึ่งถ่ายลงบนหน้าอกทำให้อิงศรเบิกตาขึ้นเล็กน้อย
เสียงสะอื้นชัดเจนขึ้นมันทำให้รู้ว่าเป็นมิ่งขวัญนั่นเองที่กำลังร้องไห้ซบกับอกของเขาอยู่
ที่ตรงหน้าอกนั้น....
ที่ซึ่งควรจะมีรูโหว่จนมองเห็นพื้นแต่มันกลับหายไป
แถบพลังชีวิตก็ฟื้นกลับมาเต็มปรี่
เรื่องที่บอกในระบบคงจะเป็นความจริงหากไม่ถูกตัดหัวออกจากร่างและยังมีแถบพลังชีวิตเหลืออยู่ ก็จะไม่ตายโลกได้กลายเป็นสถานที่แบบนั้นไปแล้ว
อิงศรหันไปทางต้นเสียงแล้วยกมือขึ้นลูบหลังมิ่งขวัญ
เด็กชายเงยหน้าขึ้นจากอกของเขาแล้วหันมาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
"พี่ศร!!"
แล้วพูดทั้งที่น้ำตาคลออยู่บนใบหน้า
หลังจากนั้นนอกจากเสียงสะอื้นของมิ่งขวัญแล้วก็มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ดำเนินควบคู่ไปด้วยกัน
จนกระทั่งมิ่งขวัญถามคำถามที่ไม่คาดคิดออกมา
“พี่ศร….เกลียดขวัญ…รึเปล่า”
“….”
อิงศรไม่รู้จะตอบคำถามที่กะทันหันเช่นนี้อย่างไร
"พ….เพราะขวัญ…พี่ศรเลยต้องเจ็บ….ย..อย่าทิ้งขวัญไปนะ….ขวัญจะ…ขวัญจะเป็นเด็กดี….จะเชื่อที่พี่ศรพูดแล้ว….อย่าทิ้งขวัญไปนะ”
“….”
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินอะไรแบบนี้จากปากน้องชายจอมเอาแต่ใจ
อิงศรตอบกลับไปว่า
“เกลียด…เพราะนายมันชอบเอาแต่ใจ พออะไรไม่ได้ดั่งใจก็เอาแต่ร้องไห้”
“อย่าทิ้งขวัญไปนะ”
น้องชายยังคงเอาแต่พูดคำเดิมซ้ำไปมา อิงศรจึงต้องพูดแทรกต่อจนจบ
“แต่ว่าตอนนี้ครอบครัวมีกันแค่เราสองคนแล้วนะเพราะงั้นไม่ทิ้งหรอก”
พอพูดไปแบบนั้นแล้วก็ไม่รู้ทำไมแต่มิ่งขวัญกลับปล่อยโฮใหญ่ออกมาหนักกว่าเดิม เสียงดังสนั่นไปทั้งดาดฟ้า จนน่ากลัวว่าจะเรียกสัตว์เทวะมา
หยุดร้องไห้ซะ
เขาอยากพูดแบบนั้นแต่กลับพูดไม่ออก
เด็กหนุ่มละทิ้งความคิดชวนวิตกกังวลเหล่านั้นแล้วหันเหสายตาไปยังทิศที่ตะวันสาดแสงสีแสดเข้ามา
ท้องฟ้ายามเย็นถูกแดดย้อมเป็นสีม่วง ทิวทัศน์นั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากก่อนที่โลกจะล่มสลายเลย
ที่ต่างออกไปคงจะเป็น….
อิงศรกับมิ่งขวัญ
*****จบปฐมบท*****
ความคิดเห็น