คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 9 Tails Apocalypse
Chapter 9 Tails Apocalypse
“ ขอประกาศยกเลิกพิธีประหาร!!!!!!!!!!!!!!! ”
คำสั่งของ สังฆราชสิงโตทะเล ดังก้องไปทั้งลานหิมะ บทสรุปของโศกนาฏกรรม แห่งพี่น้อง
ซึ่งจบลงด้วยดี สะท้อนฉายบนดวงตาสีเทาอันขุ่นมัวของ คามิโอ บุรุษอีกาดำผู้สวมใส่ชุดสูทพิธี
การสีขาวผู้ทอดกายนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ซึ่งลอยเคว้งอยู่กลางอากาศเหนือลานหิมะแห่งนี้
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ปรากฏฉายบนใบหน้า พร้อมด้วยสมองอันปราดเปรื่องกำลังแล่นไป
ด้วยความคิดอันล้ำลึก จงอยปาก อันยาวยื่นอ้าขยับพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงกระซิบอันแผ่วเบา
“ ขอบคุณท่านพี่ของข้า ท่านได้ช่วยรักษาเลือดเนื้อเชื้อไขของข้าเอาไว้ หึๆๆ….เอาล่ะเราเองก็ต้อง
โผล่ลงไปมั่ง ไม่งั้นคงโดนสงสัยเอาเสียก่อน ”
สิ้นคำ บุรุษอีกาจึงดึงผ้าคลุมซึ่งเคยใช้ขึงกับพนักเก้าอี้ไว้ต่างร่มกันหิมะ ออกมาสยายให้เหมือนปีก
แล้วร่อนลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวลก่อนจะทักทายกับทุกตัว ด้วยน้ำเสียงระรื่นอย่างทุกครั้ง
“ แหมๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้วเรื่องทุกอย่างก็จบลงด้วยดี แถมตัวกระโผ้มเองยังได้รับแต่งตั้งเป็น
หัวหน้าคณะผู้กล้าด้วยอีก แล้วนี่ก็คริสต์มาส แล้วด้วยถ้างั้นเราไปฉลองกันด้วย
บะหมี่ถ้วยสุดหรูดีกว่าขอรับเด๋วกระผมเลี้ยงเอง~~~~~~~~~~~ ”
……………………………………………..
หลังจากครอบครัวของทอล ปรับความเข้าใจ กันเป็นที่เรียบร้อย คามิโอ จึงตรง
เข้าไปหาสองพี่น้องทันที
“ แหมๆยินดีด้วยนะขรับที่ช่วยน้องชายได้แถมยังได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก ”
บุรุษอีกา มองหน้า ทอล อย่างรู้ใจ พลางยื่นมือไปดึงเอากระดิ่งที่ผูกอยู่กับคอของหมาป่าดำ
ออกมา มันคือกระดิ่งที่เขาเคยให้ไว้สำหรับฝ่าผ่านม่านไฟที่ใช้ประหารโลกิ
สำหรับ ทอล แล้วความสงสัย ยังคงไม่หมดไปที่ผ่านมาตัวเขากับ อาร์คไนท์ เซอร์ คามิโอ นั้น
ก็ไม่ค่อยจะได้พูดคุยกันเท่าไหร่ แต่การกระทำของเขานั้นดูสองแง่สองง่าม เมื่อลองนึกถึงเหตุผล
ให้กระดิ่งนี้มา ถ้าจะบอกว่าเป้นการช่วยเหลือ โลกิ ก็ออกจะสิ้นคิดเกินไป เพราะการให้ ตัวเอง
บุกฝ่าเข้าไปท้ายที่สุดผลลัพธ์ก็จะออกมาเป็นแบบที่เห็น หาก เรจิ ไม่มาช่วยเอาไว้
ตอนนี้เขากับน้องชาย คงกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
“ ขอบคุณท่าน คามิโอ สำหรับกระดิ่งนั่น…..”
หมาป่าดำ มองเขาด้วยสายตาเคลือบแคลง
“ ไม่เป็นไรขอรับ กระผมยินดีช่วยเสมอ~~~ ”
บุรุษอีกา ตีหน้าซื่อๆ พลางส่งสัญญาณด้วยสายตาให้ กับ โลกิ ที่ยืนอยู่ด้วยกันข้างๆ
ลิงหนุ่มสังเกตเห็นสายตานั่นจึงหันกลับไปพูดขอตัวอย่างกระทันหัน
“ พี่ครับ เดี๋ยวผมมานะ ”
แล้ว โลกิ กับ คามิโอ ก็ตามกันออกไปจากกลุ่ม ทั้งคู่ทิ้งระยะออกไปห่างจาก กลุ่มจนเห็นสมควร
ว่าจะไม่มีใครได้ยินการสนทนาของพวกเขา
“ แล้วตกลงจะเอายังไงขรั้บ~ ตอนนี้ถึงจะรอดตัวมาได้แต่คุณเป็นผู้กล้าแล้ว ทางศาสนจักร
จะต้องควบคุมตัวคุณเอาไว้อย่างใกล้ชิด คงจะกลับไปที่ ลัทธิเงา ไม่ได้แน่ขอรับ ”
บุรุษอีกา ถาม
“ ฉันจะยังไม่กลับไปตอนนี้หรอก แล้วก็ฉันยังสงสัยเกี่ยวกับ คดีกบฏกองอัศวินพิธีกรรมอยู่
ด้วย…. ”
“ อยากจะสืบต่องั้นรึขรั้บ ? ”
“ อืม…ฝากบอก มอร์กาน่า ทีว่าไม่ต้องเป็นห่วง แล้วก็ฉันมีเรื่องอยากจะถามหน่อย ”
“ หือ? อะไรรึขรั้บ? ” บุรุษอีกา เลิกคิ้วขวา ขึ้น
“ นายเป็นคนส่งพี่ มาช่วยฉันใช่ไหม ทำไมถึงทำแบบนั้นไหนลองอธิบายมาซิ ”
โลกิ ถามพร้อมกับมองกระดิ่งในมือของ คามิโอ เขารู้สึกสงสัยแต่แรกแล้ว
ว่าทำไมพี่ชายหมาป่า ถึงฝ่าม่านกำแพงไฟเข้ามาหาเขาบนแท่นประหารได้
“ แหมๆ กระผมแค่ทำตามที่เขาขอร้องก็เท่านั้นเองขอรับ เพราะเขามาอ้อนวอน
ว่าอยากจะช่วยน้องชายสุดที่รักถึงคฤหาสน์ของกระผมเลย ไล่ก็ไม่ยอมไปสุดท้าย
ก็เลยให้กระดิ่งนั่นไปไงล่ะขรั้บ ”
โกหกคำโต ของบุรุษอีกา นั้นไม่อาจกินสมองอันปราดเปรื่องของ ลิงหนุ่มได้ พี่ชาย
จอมดื้อด้านคนนั้นน่ะรึที่จะยอมก้มหัวขอให้สัตว์แปลกหน้าช่วย ยิ่งกับตัวคามิโอ เองก็เป็น
อาร์คไนท์ การที่ไปขอร้องแบบนั้นคงไม่มีสัตว์หางสติดีที่ไหนทำกัน
สายตาระแวงกำลังจับจ้องร่างผอมโกร่งตรงหน้า ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่ โลกิ
จะนึกสงสัยในการกระทำของ คามิโอ ตลอดเวลาที่อยู่กับ ลัทธิเงา คามิโอ เป็นที่รู้จักกันว่าเป็น
นกสองหัว ที่คิดจะขายศาสนจักรให้กับลัทธิแห่งเงา และไม่รู้เหมือนกันว่าเขาได้ขายอะไรของ
ลัทธิให้กับศาสนจักรบ้าง แต่ถึงกระนั้น ข้อมูลของศาสนจักร ที่ได้มาจากเขาก็ยังเป็นอะไร
ที่คุ้มค่า และน่าสนใจ เพราะ คามิโอ ก็หาได้ร้องขอข้อแลกเปลี่ยนอะไรกลับคืน บางที
อีกาเจ้าเล่ห์ตัวนี้คงจะสืบหาเองเสียกระมัง
“ ช่างเถอะยังไงซะตอนนี้ทั้งพี่ทั้งฉันก็ปลอดภัยแล้ว งั้นฝากตามที่พูดด้วยก็แล้วกัน ”
ถึงจะยังไม่วางใจแต่ตอนนี้ผู้ที่จะช่วยให้เขาติดต่อกับ ลัทธิ ได้ก็มีแต่ คามิโอ จึงจำใจเก็บความสงสัยนี้ไว้
และเพื่อกันไฟแต่ต้นลม ลิงหนุ่มจึงกำชับต่ออีกว่า
“ ….อีกอย่างอย่ามาเกาะแกะกับพี่อีกล่ะ ถ้าความลับเรื่องนายเป็นสายให้กับ
ลัทธิแตกขึ้นมา พี่จะพลอยถูกสงสัยไปด้วย ”
บุรุษอีกา พยักหน้ารับเบาๆก่อนจะ ยื่นมือไปจับแขนเสื้อนักโทษที่เต็มไปด้วยเขม่าควันจางๆ
“ ใส่เสื้อผ้าบางๆแบบนี้ระวังจะเป็นหวัดเอานะขรั้บ ไหนๆก็คริตส์มาสทั้งที กระผมจะขอมอบ
ของขวัญให้เลยก็แล้วกัน 3 2 1 ”
นิ้วเรียวยาวดีดเป็นจังหวะสามครั้ง แล้วไอควันมากมายก็พวยพุ่งขึ้นที่ร่างของ โลกิ
ครั้นเมื่อควันจางลง เสื้อผ้าของ ลิงหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นชุดใหม่ในพริบตา เป็นชุดเนื้อผ้าสีขาว
แซมด้วยลวดลายสีแดง ชายเสื้อยาวคลุมถึงเข่า
“ อืม…. ” บุรุษอีกาเพ่งพินิจชุดใหม่ที่เสกให้ อยู่ซักครู่ก่อนจะยื่นมือไปดึงเอาผ้าคาดหัวของ โลกิ
ออกมา “ ..กระผมขอผ้าคาดหัวอันนี้ไปละกันนะขอรับ เพราะยังไงมันก็ดูไม่เหมาะ
กับชุดใหม่นี้ซักเท่าไหร่ ”
คามิโอ หันกลับไปตะโกนให้กับกลุ่มของ ทอล
“ ถ้างั้นระหว่างที่ทุกท่านกำลังใช้เวลาในการลำรึกความปลื้มปิติกระผมจะไปสั่งจองโต๊ะให้ที่
ร้านจาม่อนก่อนก็แล้วกันนะขรับ ”
แล้วเจ้าตัวก็ อันตรธานหายไปในทันทีเหมือนอย่างเคยๆ ทิ้งให้ โลกิ จ้องมองชุดใหม่ของตัวเอง
อย่างกระอักกระอ่วน
/เท่ห์ ดีแหะ……../ โลกิ คิดในใจพลางใช้มือดึงเสื้อตัวใหม่สวมให้กระชับขึ้นก่อนจะ
กลับเข้าไปรวมกลุ่มอีกครั้ง
…………………………………………………………………
………………….
ณ ตำหนักเทพเงา
มอการ์น่า ค้างคาวสาวผู้นำแห่งลัทธิ นางเอาแต่สวดภาวนาต่อเทพแห่งเงาเซร่า อยู่ในโถงพิธีเพียงลำพัง
ต่อเนื่องมา2วันแล้ว นับแต่ที่ ได้ข่าวจาก คามิโอ ว่าโลกิ ถูกจับกุม
“ กลับมาแล้วขอร้าบ~~~~ ” น้ำเสียงหวานชื่น ดังขึ้นมาจากด้านหลัง นางค้างคาว
ทิ้งการสวดภาวนาแล้วหันกลับไป จ้องมองร่างผอมโกร่ง ของ บุรุษอีกา
สภาพน่าอิดโรย และดวงตาที่คล้ำดำ เพราะขาดการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ของนางทำเอา
เขา เหวอไปแวบนึงจนพูดอะไรไม่ออก
“ คามิโอ! แล้วโลกิล่ะ!? ”
คำถามแรกของนาง มันสุดขีดแล้วที่จะอดทน นางเฝ้าเป้นกังวลมา 2วันเต็มๆ และตอนนี้
นางอยากจะทราบข่าวดีจากเขา มากที่สุด
บุรุษอีกาแสยะยิ้มที่มุมปาก สภาพจิตใจเช่นนี้สถานการณ์แบบนี้ คือสิ่งที่เขารอมานาน
เพื่อเป้าหมายบางอย่าง คำพูดโกหกและเสแสร้ง ไหลออกจาก จงอยปากอันยื่นยาวของ
เขาไม่ขาดสาย
“ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งด้วยนะขอรับ กระผมพยายามสุดความสามารถแล้ว
แต่ก็เอากลับมาได้แค่นี้ ”
คามิโอ ยื่นผ้าคาดหัวที่เขา เอามาจาก โลกิ ให้นางค้างคาวดู ก่อนจะพูดต่อในทันที
“ ส่วนที่เหลือน่ะไหม้เป็นจุลไปหมดแล้วล่ะขรั้บ ”
ดวงตาของนางค้างคาว เบิกโผลง ใบหน้าซีดเซียว ขาของนางทรุดลงกับพื้น ปากก็พะงาบๆ
พูดออกมาไม่เป็นคำพูด
“ อ………อุ….ไม่นะ……ไม่…. ” มอร์กาน่า ยกสองมือขึ้นกุมขมับ ความเศ้ราเสียใจกำลัง
ถาโถมใส่หัวใจของนาง และแล้วเสียงกรีดร้องปลิ่มจะขาดใจ ก็ดังสะท้อนก้องไปทั่วโถงพิธี
รอยยิ้มอย่างมีเลศนัยคลี่ออกมาบนใบหน้าของ บุรุษอีกา ความคิดแสนชั่วช้ากำลังแล่นไป
และแล้ว ขอเสนอของปีศาจก็ถูกหยิบยื่นแก่ นางค้าวคาวผู้จมปรักในความสิ้นหวัง
“ คุณกำลังโกรธแค้นอยู่ใช่ไหมขรั้บ แค้นต่อศาสนจักร ความแค้นที่ถูกพรากเอาสิ่งสำคัญไป
ถ้างั้นสนใจจะใช้ความแค้นนั้น ทำลายศาสนจักรไหมขอรับ? ”
……………………………………
…………………………………………………….
ตัดมายังร้านอาหารของจาม่อน
ก๊วนของ ทอล กับ โลกิผู้เป็นน้องชาย และ คอยน์ ซาจิทาเรียส เซเวอร์ เรจิ ก็ตามมาด้วยกันที่
เหลือคือ อาร์คไนท์ อย่างแม่ทัพโบลดาส และ โอดิน ที่หน้าร้าน บุรุษอีกายืนคอยพวกเขา
อยู่ก่อนแล้ว หลังจากเข้าไปนั่งในร้านกันเป้นีท่ เรียบร้อย คามิโอ จึงขอตัวออกมา
ที่นอกร้านเขา หยิบเอาสิ่งหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อสูท เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะมีในยุคนี้ มันคือ
โทรศัพท์มือถือแบบ Smart Phone
นิ้วเรียวบาง สัมผัสลงบนจอโทรศัพท์อย่างคล่องแคล่ว กดโทรไปยังเบอร์ที่เขาต้องการซึ่งก็มี
อยู่แค่เบอร์เดียวในเครื่อง
“ ฮัลโหล! อาไมม่อน…. ” แล้วเขาก็เริ่มสนทนากับคู่สาย เมื่อการสนทนาจบลง
จึงเก็บโทรศัพท์ ใส่กระเป๋าสูทตามเดิม แล้วพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“ จากนี้ไปคือตาพวกเราเดินหมากกันบ้างล่ะ หึๆๆๆ ”
…………………………………………………………….
…………………………………………
หลังวันคริตส์มาสสิ้นสุดลง ข่าวการไว้ชีวิต โลกิ ผู้เป็นบุตรแห่งซาตานก็ได้แพร่ขจรขจาย
ไปตามสายทางต่างๆของ ศาสนจักร จนเป็นที่รู้กันหมดในเวลาไม่นาน
………………………………………………………………………………..
===============Grand Magnus Convent=============
สูงขึ้นไปทางเหนือสู่ดินแดนแห่งความหนาวเย็นซึ่งปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลน
แหล่งอารยธรรมสำคัญของดินแดนแห่งนี้คือหอคอยสูงเสียดฟ้า ซึ่งถูกเรียกขานกัน
ในนาม Frozen Tower หรือหอคอยเยือกแข็ง
ตัวหอคอยนั้น สร้างขึ้นจากน้ำแข็งตามชื่อของมัน สถานที่แห่งนี้ยังเป็นศูนย์กลางของสังคม
แห่งจอมเวทย์(Mage Society) อันมีนามว่า สภามหาเวทย์ องค์กรนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อคานอำนาจ
กับศาสนจักร ในยุคที่เริ่มเติบใหญ่เพื่อมิให้ ศาสตร์แห่งเวทมนต์ ดั้งเดิม ถูกกลืนกลายเป็น
พระเวท จนหมด อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน สภามหาเวทย์ก็เหมือนเป็นองค์กรลูกของ
ศาสนจักรกลายๆไปแล้ว เพราะทุกวันนี้ องค์กรแห่งนี้มีหน้าที่วิเคราะห์และเป็นที่ปรึกษา
เกี่ยวกับการตรากฏหมายทางไสยเวทย์ของศาสนจักร พูดง่ายๆก็คือศาสนจักรจะเป็นผู้กหนดเองว่า
ศาสตร์เวทย์อันไหนใช้ได้ และ อันไหนห้ามใช้ก็จะกลายเป็นอวิชชานอกรีตไปทันที
และในที่แห่งนี้เอง ก็มีผู้กล้าอยู่เช่นกัน……………….
ณ ชั้นบนสุดของหอคอยเยือกแข็ง ด้วยความสูงระดับนี้ ที่นี่จึงเป็นจุดเดียวที่รับแสงอาทิตย์
ได้มากที่สุด ในดินแดนแห่งน้ำแข็งแห่งนี้ สัตว์หางเพนกวิ้นขนสั้นเรียบสีฟ้า ขนาดตัวเล็ก
กระจ้อยกระทัดรัดพกพาสะดวก(?) กำลังเปลือยท่อนบน นอนอาบแดด อย่างสบายอกสบายใจ
จนเมื่อเพนกวิ้น อีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นรุ่นน้อง วิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาพร้อมทั้งยื่นซองจดหมายสีขาวให้กับเขา
“ ท่านมหาปราชญ์ เบลเทแชสซาร์ (Belteshazzar) ขอร้าบบบจดหมายด่วนจากศาสนจักรรรรร!!!! ”
เสียงเรียกนั้น ปลุกให้เพนกวิ้นหนุ่มลุกขึ้นจากพื้นน้ำแข็งอันเย็นเฉียบมา รับเอาซองไปเปิดอ่าน
“ หืม~~~~ เรียกรวมพลเหล่าผู้กล้าเข้าร่วมประชุมด่วน…… ”
เบลเทแชสซาร์ กวาดสายตาอ่านเนื้อความของจดหมายจนหมดจึง พับจดหมายลงแล้ว
สั่งให้เพนกวิ้นรุ่นน้อง เอาเสื้อผ้ามาให้แก่เขา
“ เมื่อวานซืนก็พึ่งจะมีข่าวหนาหูว่าไว้ชีวิตบุตรแห่งซาตาน คราวนี้ก็เรียก
ประชุมผู้กล้าอีกทำอะไรเอาแต่ใจกันจริงจริ๊ง~~ ”
เบลเทแชสซาร์ บ่นไปพลางขณะรับเอาเสื้อคลุมจากเพนกวิ้นรุ่นน้องมาสวมใส่
และในระหว่างนี้เอง เพนกวิ้นรุ่นน้องก็เข้าไปกระซิบที่ใบหูของเขา
หลังจากได้ฟังทั้งหมดแล้ว สีหน้าของ เบลเทแชสซาร์ ก็เปลี่ยนไป จริงจัง
ทันที เขาหันกลับมามองเพนกวิ้นรุ่นน้องแล้วย้ำถามให้แน่ใจ
“ เป็นคำสั่งจากท่าน เกรกอรี่…..จริงๆน่ะเรอะ…. ” เพนกวิ้นรุ่นน้องพยักหน้า
นั่นทำให้ เบลเทแชสซาร์ ปราชญ์เพนกวิ้นผู้ยังหนุ่มแน่น ต้องขบคิดเป็นการใหญ่
…………………………………
………………………………………………………………………….
===================Sunken City================
ย้ายลงไปยังสุดเขตทะเลใต้ ลึกลงไปยังก้นมหาสมุทร คือมหานครแห่งบาดาล ที่ซึ่งสัตว์หาง
สายพันธุ์สัตว์ทะเลอาศัยอยู่ มหานครแห่งบาดาล (Sunken City) ความยิ่งใหญ่ของนครแห่งนี้
หาได้เป็นรองนครแห่งแสงเลย ที่นี่เองก็มีศาสนจักรเช่นกัน หากศาสนจักรของนครแสง
ถูกเรียกว่า ศาสนจักรแห่งแสงสว่าง แล้ว ที่นี่ก็จะเรียกว่าศาสนจักรแห่งสายน้ำ
ระดับยศของอัศวินแห่งศาสนจักรของที่นี่จะมีการเรียกขานที่ต่างกันไป เช่นระดับ พลทหาร
เสือดำหรือเสือดาว หรือ หมาป่ายศทหารเลวที่นครแห่งแสงจะเรียกพวกเขาว่า Soldier และ Warrior
แต่ที่นี่ จะเรียกรวมๆกันว่า Guardian ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นหน่วยพิทักษ์นคร สำหรับยศอัศวิน
ที่นครแห่งแสงจะมี อัศวินพิทักษ์พระราชวัง อย่าง Paladin ที่นครบาดาลก็จะเป็น อัศวินวารี Aqua Knight
และเช่นเดียวกัน สำหรับอัศวินระดับสูงยศที่เทียบเคียงกับ ArchKnight ก็คือ อัศวินแห่งพระวิหารสมุทร
Ocean Templar
และ 1ในผู้กล้าที่ได้รับการคัดเลือก ก็อาศัยอยู่ที่ นครบาดาลแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
อัศวินแห่งพระวิหารสมุทร โอเชียนเทมพลา ไพซิส (Pieces) สัตว์หางเผ่าวาฬผิวสีฟ้า
น้ำทะเล ก็ได้รับหมายเรียกประชุมจาก นครแห่งแสงด้วยเช่นกัน เมื่อ ไพซิส อ่านข้อความ
ในจดหมายจบลงแล้วเขาก็เตรียมตัวออกเดินทางในทันที
………………………………………………………
……………………………
============== Red Cross Order=============
กลับมายังนครแห่งแสง นอกจากภาคีอัศวิน สำหรับการยุทธ และ การวิจัย แล้วก็ยังมี
ภาคีของหน่วยแพทย์พยาบาลเช่นกัน นั่นคือ ภาคีอัศวินกาชาด (Red Cross Order)ซึ่งจะมีเครื่องหมาย
ประจำภาคีเป็น กา กบาทสีแดง และเครื่องหมายนี้ยังเป็น เครื่องหมายประจำตัว
ของเหล่าอัศวินแพทย์และพยาบาล ด้วยเช่นกัน
สถานีประจำการของภาคีนี้จัดตั้งอยู่ในค่ายทหารนอกเมือง อันที่จริงแล้วถ้ากล่าวถึงสถานที่ทำการ(Office)
แบบเป็นทางการก็จะตั้งอยู่ที่สำนักงานว่าการกลาง(อาคารที่โบลดาสยืนอยู่ในเกมส์
ซึ่งเป็นอาคารเดียวกับที่ โอดินพ่อของทอล ทำงานอยู่เช่นกัน) นั่นแล แต่เพราะงานของเหล่า อัศวินแพทย์
นั้นล้นมือ และเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วฉับไวจึงพากันไปตั้งกระโจม สำนักงานพยาบาล
กันถึงค่ายทหารแทน
ภายในกระโจมใหญ่ซึ่งเป็นที่พำนักพักพิงของ หัวหน้าแห่งคณะอัศวินแพทย์ หรือ ก็คือประธาน
แห่งภาคีอัศวินกาชาด กระต่ายสาวขนสีชมพูนักเล่นแร่แปรธาตุ และ แพทย์ใหญ่ ผู้ชำนาญการรักษา
นามของเธอคือ ไนติงเกล(Nightingale)
ไนติงเกล กำลังตรวจสอบเอกสารรายงาน อาการผู้ป่วยเมหือนอย่างที่เธอทำทุกๆครั้งในช่วง
เช้าของวัน เธอจะสุมหน้าอยู่กับกองเอกสารที่ล้นท่วมโต๊ะของเธอ ซึ่งการท่วมของเอกสารเหล่านั้น
หาใช่เป็นเพราะมีรายงานมากมายให้เธอตรวจแต่เป็นเพราะเธอขี้เกียจที่จะเก็บมันเข้าที่ต่างหาก
ไปๆมาๆ เธอก็ชินกับการทำงานบนกองเอกสารพวกนี้เสียแล้ว
“ คุณไนติงเกล ครับมีจดหมายจากสำนักงานว่าการกลาง ส่งมาครับ ”
ผ้าเต้นท์ของทางเข้ากระโจมถูกผลักออกพร้อมกับหมาป่าหนุ่มขนสีฟ้า สวมใส่ชุดพ่อบ้านสีดำ
ได้ก้าวเข้ามาส่งซองจดหมายสีขาวให้กับเธอที่โต๊ะ หมาป่าหนุ่มตัวนี้เป็นเลขาของเธอ
“ นายแกะมันแล้วก็อ่านให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้เลย คางามิ(Kagami) ”
กระต่ายสาว สั่งโดยไม่หันหน้าออกจากโต๊ะเอกสารของเธอ เลขาหมาป่า รับคำก่อนจะฉีกซอง
แล้วเริ่มอ่านข้อความในหมายสารนั้นเสียงดังฟังชัด
“ หมายเรียกนี้มีความประสงค์ให้ อัศวินแพทย์ ไนติงเกล ดิ แรบบิท มาเข้าร่วม
การประชุมผู้กล้าที่จะจัดตั้งขึ้นในวันพรุ่งนี้ พร้อมทั้งจะทำการแต่งตั้งยศผู้กล้าแก่ท่าน…. ”
หลังจากอ่านเนื้อความในจดหมายหมดแล้ว ไนติงเกล ก็หาได้ตอบรับอะไร เพียงแต่
เลขาหมาป่า สังเกตุได้ว่าเธอหยุดมือที่เคยเซ็นเอกสารลงอย่างกระทันหัน
“ เดี๋ยวนะ.. ” เสียงของกระต่ายสาวดังขึ้นเธอเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารเพื่อจะ
มองเลขาของเธอ ทว่ากองเอกสารก็สูงเสียจนบดบังสายตาของเธอหมด
จนเธอต้องกระโดดลงจากเก้าอี้แล้ว เดินอ้อมโต๊ะ เข้าไปหาแทน
เลขาหมาป่าส่ง จดหมายให้เธอรับไปอ่านด้วยตัวเอง ไนติงเกล กรอกลูกตาไปมาอ่านเนื้อความใน
จดหมายอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วเธอก็เปรยออกมา
“ แปลว่าได้ผู้กล้าครบ 12 ตัวแล้วงั้นรึ? ”
“ นี่คุณไม่ได้ตามข่าวหรอกหรือครับ พวกเขาให้บุตรแห่งซาตานเข้าเป็น 1ในคณะผู้กล้าน่ะ ”
“ บุตรแห่งซาตาน ? ” กระต่ายสาวเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน เลขาของเธอจึงเปลี่ยนคำพูด
ใหม่เพื่อให้เธอเข้าใจง่ายขึ้น
“ หมายถึงโลกิ น่ะครับน้องชายของ รุ่นพี่ทอล น่ะแหละ ”
“ เห~~~~? ” เสียงอุทานลั่นออกจากปากของกระต่ายสาว
……………………
…………………………………….
………………………………………………………………….
นานแสนนานมาแล้ว ในอดีต กษัตริย์หนุ่มผู้หนึ่ง ทั้งโอหังและอหังการ ท้าทายต่อเหล่าเทพเจ้า
เขาเป็นจ้าวผู้ปกครองนครอุรุค กษัตริย์กิลกาเมซ แห่งอาณาจักรบาบิโลนเหล่าเทพเจ้าต้องการที่จะ
สั่งสอนเขา จึงสร้างอมนุษย์ขึ้นมาจากดิน แล้วให้นามว่าเอนกิดู พร้อมทั้งมอบหมายให้ไป
จัดการกับ กษัตริย์แห่งอุรุค ทว่าเหตุการณ์กลับพลิกผัน อริกลับกลายเป็นมิตรแท้ สหายเพียง
หนึ่งเดียวที่กษัตริย์ผู้อหังการให้ยอมรับ
หนึ่งในเรื่องเล่าจากจารึกโบราณระบุถึงการต่อสุ้อันเป็นมหากาพย์ของทั้งสอง ในการต่อสู้กับ
โคสวรรค์สัตว์เทพเจ้าผู้มีคำเรียกขานในภาษาสุเมเรียนโบราณว่า กุกอลอันนา(gugalanna)
เรื่องทั้งหมดจบลงที่ สหายทั้งสองเอาชนะมันได้ แต่เอนกิดู ก็ถูกเหล่าเทพเจ้าสาปแช่ง
จนถึงแก่ความตาย………………………………………………………………………………………
บนผืนทรายอันแห้งผาก ฝุ่นดินปลิวคละคลุ้งในอากาศ กษัตริย์หนุ่ม แหงนมอง
ร่างสูงเทียมฟ้าของ สัตว์เทพเจ้า กุกอลอันนา และหาได้มีความเกรงกลัวอยู่ใน พระจิต
ของพระองค์ พระองค์ทรงมีสหายที่ยืนเคียงคู่ไปด้วยกัน และจะช่วยกันปราบ
สัตว์เทพเจ้าตนนี้ กษัตริย์หนุ่มหันกลับไปเพื่อจะบอกกับสหาย เพื่อจะเข้าไปกำราบมัน
พระเนตรเบิกกว้าง พระทัยของพระองค์แทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆดั่งหม้อดินตกกระทบพื้น
สหายของพระองค์กลับกลายเป็น โคสวรรค์ และมันกำลังจะกลืนกินพระองค์……
แฮ่กๆๆ….. เสียงหอบของลมหายใจดังฝืดฝาด ผิวพรรณสีขาวนวลอาบชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
ดวงตาสีฟ้าคราม กรอกมองไปรอบๆ ร่างนี้ตื่นขึ้นจากฝันร้าย ยุวราชแห่งแสง หรือ กษัตริยา
ทรงตีสีพระพักต์ ด้วยความหวาดวิตก นางฝันว่านางเป็นกษัตริย์ของมนุษย์และมีสหายที่กลายเป็น
วัว คำถามก้องสะท้อนอยู่ในทรวง นิมิตนี้ต้องการจะบอกอะไรแก่นางกันแน่
“ เอน….กิ….ดู….. ” เพียงคำเดียวที่เปล่งออกมาจากพระโอษฐ์ คือชื่อของสหายไบซัน
ผู้ที่นางนับถือดั่งพี่ชาย
………………………………………
………………………………………………………
บนผืนทรายอันกว้างใหญ่ ยามเมื่อต้องแสงจันทร์ ก็สะท้อนเห็นเป็นคลื่นสีขาวนวล
ทะเลทรายแห่งนี้อยู่ห่างจาก นครแห่งแสง ราว 600 ลี้
ตึง! ตึง!!! ตึง!!!!!!!!!!!!
เสียงดังกึกก้องปานฟ้าร้องนี้คือเสียงก้าวเดินของ เงาขนาดมหึมา ทุกที่ๆมันเหยียบย่างลงไป
ฝุ่นดินจะฟุ้งกระจาย แผ่นดินจะสั่นสะเทือน ยามเมื่อร่างของมันต้องกับแสงจันทร์
เปลือกสีเทาขุ่นลักษณะแข็งกระด้าง คลุมส่วนหลังจนเหมือนกับกระด อง
มีขาแปดขาแต่ละขานั้น ล้วนป้อมใหญ่และกำยำ แข็งแรงหุ้มด้วยเกล็ดหนาอีกชั้น
มันคือแมลงหุ้มเกราะ ซึ่งอาศัยอยุ่บนทะเลทรายแถบนี้ เหล่าสัตว์หางเรียกมันว่า มอคบัค(Mok Bug)
ด้วยขนาดอันใหญ่โตของมัน จึงแทบไม่มีศัตรูในธรรมชาติของมันเลย แม้แต่เหล่าสัตว์หางเอง
ก็พากันขยาด กับความมโหฬารของมัน โชคยังดีที่พวกมันไม่เคยออกจากเขตทะเลทรายรกร้าง
แห่งนี้ จึงไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นมันบ่อยนัก ทว่าในคืนนี้ ทิศที่ มอคบัค ตัวนี้กำลังมุ่งไป
คือหนทางสู่ นครแห่งแสง
“ จริงสิท่านพี่เองก็เคย ถูกเรียกว่า เออา(Ea) อยู่เหมือนกันนี่ครับ หยับๆ ”
ร่างเตี้ยป้อมสีขาว พูดพลางใช้มือขวาตะกุยลงไปในถุงขนมพลาสติก ควานหามันฝรั่งแผ่น
หยิบขึ้นมาเคี้ยวแก้มตุ่ย
“ ช่ายแล้ว พี่ของนายคนนี้คือผู้ที่รักมนุษย์ เป็นที่สุด อา~~ความรักที่เรียกหากันของพวกนั้นมันช่าง
น่าซาบซึ้งซะจนผ่าโลกทั้งใบเพื่อให้ได้มาพบกันเลยเชียวล่ะ~~~ ”
น้ำเสียงแหบแห้ง ตอบกลับคำพูดของร่างสีขาว เจ้าของเสียงคือ บุรุษอีกา ผู้ที่เราคุ้นเคย
กันเป็นอย่างดี เซอร์ คามิโอ กินนัมกาแกป แต่หนนี้เขามาในชุดนอนลายคุณหมี มีมี่(Mimi)
คามิโอ กำลังสาธยายถึงรสนิยมของตนให้กับ ตุ่นสีขาว ผู้ที่เรียกเขาว่าพี่ ทั้งสอง และ
แมวชรานาม มาโอห์ นั่งอยู่บนหลังของ มอคบัค ซึ่งกำลังท่องไปบนผืนทรายยามราตรี
“ ว่าแต่ท่านพี่มาหาผมทำไมเหรอครับ หยับๆ ที่นัดกันมันวันพรุ่งนี้นี่นา หยับๆๆ ”
ตุ่นขาว พูดไปพลางเคี้ยวมันฝรั่งแผ่นไปพลาง โดยไม่สนใจจะมองหน้าตาที่บูดเบี้ยว
ของพี่ชายอีกา ซึ่งกำลังจ้องเขม็งมาที่ตน ด้วยสายตาโกรธเคือง
“ อาร์ไมม่อน ฉันเคยสอนแล้วไม่ใช่เรอะ….? ”
จงอยปากของ บุรุษอีกา เสียดสีเหมือนกับขบฟัน ความไม่พอใจปรากฏอยู่บนสีหน้า
ที่ซึ่งคิ้วของเขากระตุกเป็นจังหวะรอให้ เส้นสติขาดผึงอยู่แหล่มิแหล่
“ อ๋อครับ ห้ามเคี้ยวขนมระหว่างที่คุยกันใช่ไหมครับ หยับๆ ”
ตุ่นขาว ตอบโดยที่มือก็ยังไม่หยุดพุ้ยมันฝรั่งแผ่นเข้าปากอยู่ดี และนั่นทำให้เสียง
เหมือนอะไรสักอย่างขาดออกจากกันดังขึ้น มาจากใบหน้าอันบิดเบี้ยวของ บุรุษอีกา
กรงเล็บบนมือทั้งสองข้าง คว้าหมับเข้าที่แก้มของ ตุ่นขาวพร้อมกับดึงให้ยืดยาน
จงอยปากอันยื่นยาวก็พลางลั่นเสียงสบถด้วยวาจารุนแรง
“ ใช่ที่ไหนเล่าเฟร้ยยย!!!! ฉันหมายถึงที่แกกำลังจะขี่มอคบัค ชนเมืองแสงนี่ต่างหาก
บอกแล้วไงว่าให้เดินมร้า~~~~~ ”
“ อั้นอี้อี้เอ้าไออ้ากอังเอยอะอั้บ อับๆๆ ”(ท่านพี่นี่เข้าใจยากจังเลยนะครับ หยับๆๆ)
การกระทำของสองพี่น้องอยู่ในสายตาของแมวชรา มันหรี่ตามองอย่างเอือมระอา
กับความหรรษาของพี่น้องคู่นี้และเปรยออกมาแบบเซ็งๆ “ เห้อ~~~ตรูละหน่ายยย ”
………………………………………………………………….
…………………………………..
……………………..
เช้าสายของวันหนึ่ง นับจากเหตุการณ์พิธีประหาร ก็ผ่านมา 3 วันแล้ว และในตอนนี้
เหล่าผู้กล้าทั้ง12 จึงได้ถูกเรียกตัวมาชุมนุมกันยัง พระราชวังแห่งแสง
อันที่จริงแล้ว ต้องบอกว่า 9 ผู้กล้า เพราะอีกสามตัวยังมาไม่ถึง…………
“ มันจะชักช้าไปถึงไหนกันนะเจ้าลูกตัวนี้……. ”
เซอร์ โอดิน อาร์คไนท์หมาป่าขาว ขบกรามกึกๆ ความหงุดหงิดแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน
ตอนนี้ใน ห้องกลางของพระราชวัง ซึ่งเทพีแห่งแสงอัลคาเซีย ทรงประทับอยู่ที่นี่ ตัวเขา และ
อาร์คไนท์สามแม่ทัพ โบลดาส อิทารุส เร็กกุ รวมไปถึงเหล่าผู้กล้าอีก 9 ตัว หรือแม้แต่ เซเวอร์
ก็ล้วนอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว จะเว้นเสียก็แต่ ทอล โลกิ และ ซาจิทาเรียส ที่ยังไม่มา
ตึกๆๆๆๆๆ ปึง!!!
เสียงฝีเท้าดังไล่ขึ้นมาจากบันได และจบลงที่ หมาป่าดำ ลิงแดง และ กิ้งก่าเหลือง ทั้งสามตัว
พุ่งจากบันไดเข้ามาล้มกองอยู่บนพื้นห้อง ในสภาพเหงื่อท่วมตัวกันทั้งสามตัว
“ แฮ่ก…..แฮ่ก….ท…ทันจนได้…เฮ้อ~~ ” หมาป่าดำครางอย่างเหนื่อยอ่อน
“ เพราะมัว….แฮ่ก…แต่ปลุกพี่….แฮ่ก…..นั่นแหละถึงได้มาสาย ”
ลิงหนุ่มผู้เป็นน้องชายพยายามจะขึ้นเสียง แต่ด้วยความเหนื่อยหอบ จึงทำให้เสียงของเขา
ไม่ได้ดังไปกว่าการพูดตามปกติ
“ ทอมมี่ ….แฮ่ก….บทจะขี้เซาก็…..แฮ่ก……..หลับเป็นตายเลยนะ…..แฮ่ก ”
กิ้งก่าเหลือง พูดพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นมาช่วยจูง สองพี่น้อง ที่กองอยู่กับพื้นให้ลุกตามขึ้นมา
“ ช้ากันซะจริงนะ! เอ้ารีบไปเข้าที่ได้แล้ว เราจะเริ่มประชุมสำคัญกันแล้ว ”
หมาป่าขาว สั่งเสียงเข้มแม้อยากจะลงโทษให้สำนึกที่ทำให้ทุกตัวต้องคอย แต่ก็จะเป็นการเสียเวลา
ยิ่งกว่าเดิม จึงต้อนให้ทั้งสามไปยืนเข้าแถวกับกลุ่ม ผู้กล้าทั้ง 8 ตัว
และแล้วในตอนนี้ ผู้กล้าทั้ง 12 ก็อยู่กันพร้อมหน้า สังฆราชสิงโตทะเลเร็กกุ จึงประกาศเริ่มการประชุม
“ เริ่มการประชุมได้!! ”
เมื่อสัญญาณของการประชุมเริ่มขึ้นทุกตัวก็เงียบเสียงลง และตั้งใจฟังสิ่งี่ เทพีแห่งแสง
จะเอ่ยกล่าวต่อพวกเขา
“ ถ้าอย่างนั้นเราจะบอกให้พวกเจ้าทั้ง 12 ได้รับรู้ถึงความลับสูงสุดที่จะรู้กันเฉพาะผู้ที่ได้รับเลือก ”
เทพีแห่งแสง เอ่ยแล้วนางก็ยกไม้เท้าประจำตัวขึ้นโบกแกว่งเป็นวง พลันทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดสนิท
ที่ใจกลางของห้องปรากฏแสงสว่างขึ้นแสงสว่างนั้นคือภาพฉายของ อะไรบางอย่าง
มันเป็นวัตถุทรงรี สีฟ้าครามและมีลวดลายสีขาวขุ่นหมุนวนอยู่บนผิวสีฟ้าของมัน
“ นี่….คือสถานที่ซึ่งพวกเราอยู่อาศัยกัน ดวงดาวที่มีชื่อว่าโลก แต่นี่คืออดีตกาล ”
อัลคาเซีย พูดพร้อมกับแกว่งไม้เท้าอีกครั้งแล้วภาพฉายก็เปลี่ยนไป นี่คือมนตรารูปแบบมิติ
ที่เรียกกันว่า เมนทาโลเปีย เป็นเวทย์ลักษณะเดียวกับ Endless Arts Bless ของเรจิ
ภาพฉายที่กลางห้องตอนนี้ ดวงดาวสีฟ้าบนภาพฉายกลายเป็นสีแดงเข้มแล้ว
และภาพก็ซูมลงไป บนโลกนั้นน้ำทะเลในมหาสมุทรกลายเป้นสีแดงเหมือนเลือด
และแผ่นดินก็รกร้าง ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยควันสีดำทะมึน
“ สภาพอันน่าสยดสยองของโลกในตอนนี้เกิดขึ้นจากน้ำมือของ ชนเผ่าไร้หาง พวกเขา
ใช้ทรัพยากรและทำลายสภพแวดล้อมจนสูญเสียซึ่งสมดุล สังคมของพวกเขาคือการชิงดีชิงเด่น
แก่งแย่งและทำสงคราม เพื่อเอาชีวิตรอด การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของตนเพื่อการอยู่รอดก็ได้เริ่มขึ้น ”
อัลคาเซีย คอยเล่าขยายความไปในแต่ละตอนที่ภายฉายดำเนินไป และตอนนี้ ภาพฉาย
กำลังแสดงภาพของ สงครามเหล่าเครื่องจักร และ จักรกลหน้าตาแปลกประหลาดและชวนให้หวาดหวั่น
ส่งเสียงคำรามดังสนั่น เขย่าโสตประสาทของพวกเขา จนต้องยกมือขึ้นปิดหู เครื่องจักรเหล่านั้น
ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ หรือ แม้แต่มนุษย์ฆ่าล้างกันเองก็มีให้เห็นอยู่ร่ำไป
ภาพฉายสะท้อนอยู่ในแววตาของ เซเวอร์ เขาจ้องตาไม่กระพริบกับจุดจบอันน่าเวทนาของเหล่ามนุษย์
ที่เขาจักต้องกอบกู้
“ ในวันสุดท้ายที่พวกเขาปะทะกันด้วยขุมกำลังที่มีทั้งหมด ณ จุดที่พวกเราเรียกกันว่า รอยแผลแห่งโลก
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาชนเผ่าไร้หาง ก็หายสาบสูญไปจากโลกจนหมดสิ้น ”
การต่อสู้ครั้งสุดท้าย อาวุธทั้งหมดของเหล่ามนุษย์ ระดมจู่โจมลงไปยังพื้นที่แห่งเดียวกัน เกิดการ
ระเบิดครั้งใหญ่ กินพื้นที่กว้างขวาง ผลจาการปะทะนี้ เลปือกโลกถึงกับเกิดรอยร้าว
แผ่นดินแยกออกจากกันเป็นหลุมใหญ่แล้ว แมกม่าเดือดๆก็ทะลักขึ้นมาสู่ผิวโลก และกวาดล้างอารยธรรม
ทั้งหมดของ มนุษย์จนหมดสิ้น
“ สิ่งที่ตกค้างจากการกระทำของชนเผ่าไร้หางนั้นได้ให้กำเนิด มานา ขึ้นมาและเป็น
เพราะ มานา นี้เองที่ทำให้ จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ มาก้า(Maka) ตื่นขึ้นมา
และช่วยเยียวยาฟื้นฟูธรรมชาติอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นกาลเวลาก็ได้ผ่านพ้นไปร่วม 5000ปีโลก
จึงเป็นอย่างที่พวกเราได้เห็นกัน มาก้า กลั่นตัวรวมกับมานาและตกตะกอนเกิดเป็นเรา อัลคาเซียผู้นี้ ”
สิ่งที่ปรากฏบนภาพฉายคือ วิถีการดำเนินชีวิต ของเผ่าพันธุ์สัตว์หาง ไล่มาตั้งแต่ที่ เฟิสเทล
ถือกำเนิดขึ้น จนก่อร่างสร้างอารยธรรม เช่นปัจจุบัน
“ นี้คือสิ่งที่พวกเจ้าเองก็เรียนรู้ต่อๆกันมาจากเหล่าบรรพบุรุษ แต่สิ่งที่เราจะบอกหลังจากนี้ไป
เป็นสิ่งที่ไม่มีการเล่าขานไว้ มันเป็นความลับสูงสุดที่จะรับรู้กันเพียงแค่ผู้เกี่ยวข้อง นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า
อาโพคาลิปส์ ”
เมื่อ อัลคาเซีย กล่าวจบภาพฉายก็ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์วันตัดสินของ ชนเผ่าไร้หาง
สูงขึ้นไปจากพื้นโลกซึ่งเต็มไปด้วยสงคราม สถานที่เหนือชั้นบรรยากาศ
มวลทรงกลมเปล่งประกายด้วยแสงสว่างมันทอประกายเจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ ในตอนที่
เปลือกโลกกำลังปะทุ ให้แมกม่าใต้โลกขึ้นมาล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์นั่นเอง เจ้ามวลทรงกลมนี้ก็
เฉิดฉายแสงส่องลงไปยังโลก ไปสู่ร่างของมนุษย์ทุกคนบนโลกซึ่งล้วนจะต้องตายเพราะ
เพทภัยนี้ และทำให้ร่างของมนุษย์อันตรธานหายไปก่อนจะถูกทำลาย จนเมื่อไม่มีมนุษย์อยู่บน
โลกนี้อีกแล้ว ทรงกลมแสงสว่าง จึงลอยตัวออกไปสู่วงโคจรของโลก
“ ทรงกลมแสงนั่น คือขุมพลังสุดท้ายที่ชนเผ่าไร้หาง สร้างขึ้นมามันคือ อาโพคาลิปส์(Apocalypse)…..และที่นั่นคือสถานที่พวกเขาดำรงอาศัยอยู่ในกาลนี้ ”
“ …………………….. ”
ความจริงอันน่าตระหนกโถมเข้าสู่หัวใจของเหล่าผู้กล้าชนิด ไม่ทันตั้งตัวไม่มีตัวไหนกล้าพูดอะไร
ออกมาเลย ใครจะกล้าแย้งเล่าเมื่อความจริงนี้บอกเล่าจากปากคำของ เทพีแห่งแสงสว่างผู้เป็นจ้าวแห่งปัญญา
นางย่อมรู้อะไรดีกว่าพวกเขา
ภาพฉายที่กางห้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง มันกำลังฉายภาพการต่อสู้ของเหล่าสัตว์หาง
กับสิ่งมีชีวิตรูปแบบ Element รูปร่างของมันคล้ายกับ หญิงสาวกำลังห้อยหัว และ มีลูกตาอันใหญ่โต
เหมือนปีศาจ
“ นี่คือการต่อสู้เมื่อ 500 ปีก่อน ในตอนที่ อาโพคาลิปส์กลับมาที่โลก มันเรียกให้
นางมาร เกอร์มานอตต้า(Germanotta) ออกมาอาละวาดทำลายล้าง บรรพบุรุษของพวกเจ้า ”
อัลคาเซีย เริ่มอธิบายต่อ พร้อมกันนั้นภาพฉายก็เปลี่ยนอีกครั้ง คราวนี้เป็นเหตุการณ์ที่
เฟิสเทล สัตว์หางเผ่ากระรอก ผู้เป็นสัตว์หางตัวแรกของโลก ออกนำทัพสัตว์หาง
ร่วมมือกับเหล่าเทพเจ้าเพื่อต่อกรกับ นางมารเกอร์มานอตต้า
“ พวกเราเหล่าเทพเจ้าทั้งหมดได้ร่วมมือกับเหล่า บรรพบุรุษของพวกเจ้า เข้าต่อสู้กับมัน
และขับไล่กลับไปได้ ”
และแล้วภาพทั้งหมดก็ดับหายไปห้องกลับคืนสู่สภาพปกติดังเดิม พวกเขากลับมาสู่พระราชวังแห่งแสงแล้ว
ปุ้ง!!!!!
ไอควันมากมายตลบอบอวลขึ้นมาในห้องอย่างกระทันหัน พร้อมๆกับการปรากฏตัวของ
บุรุษอีกาดำ เซอร์ คามิโอ กินนัมกาแกป เขาฉีกยิ้มกว้างเหมือนกับรอที่จะได้พูด
“ งั้นจะขอสรุปเลยก็แล้วกันนาขอร้าบ~~~ จุดประสงค์ที่ก่อตั้ง 12 ผู้กล้าก็เพื่อที่จะเฟ้นหา
ผู้ที่จะเป็น เทลอาโพคาลิปส์(Taills Apocalypse) ยังไงล่ะขรั้บ!! ”
“ …………………………………… ” ไร้ซึ่งการตอบกลับใดๆ ไม่มีผู้กล้าตัวไหนเข้าใจสิ่งที่
คามิโอ ต้องการจะสื่อ แววแห่งความหงุดหงิดฉายอยู่ในดวงตาอันขุ่นมัวของบุรุษอีกา เขาทำเสียงจิกจัก
ในปาก ก่อนจะเริ่มอธิบาย
“ เอาะอ๋อ จริงด้วยสินะยังอธิบายกันไม่ถึงไคลแมกซ์งั้นสินะ ถ้างั้นกระผมจะขอเล่าเองก็แล้วกัน
Tails Apocalypse คือคำที่ใช้เรียกผู้กล้าที่จะต่อกรกับ เซเวอร์ ถ้าหากเปราบ เซเวอร์ ลงได้
อาโพคาลิปส์ก็จะล่าถอยกลับไปโคจรรอบโลกอีก 250 ปีเพื่อสะสมพลังมาอัญเชิญเซเวอร์คน
ใหม่ยังไงล่ะพูดแบบให้เข้าใจง่ายกว่านั้นอีกเก๊าะ คือการแข่งขันที่มีเดิมพันเป็นความอยู่
รอดของแต่ละเผ่าระหว่างสัตว์หางกับเผ่าไร้หาง แน่นอนว่าถ้า เซเวอร์ เป็นฝ่ายชนะพวกเรา
สัตว์หางก็จะต้องพบกับการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เพื่อให้พวกไร้หางกลับมาโลดแล่นบน
โลกอีกครั้งนั่นเอง ”
“ เรื่องของเกอร์มานอตต้า ก็เคยพอจะได้ยินมาบ้าง แต่เรื่องที่จะเปลี่ยนแปลงโลกขนาดนั้น
มันเท่ากับเป็นการหักล้างกฏของความเป็นจริงบนโลกทั้งหมดเลยเชียวนะมัน
จำเป็นที่จะต้องใช้พลังที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้ มันจะเป็นไปได้รึ? ”
หนึ่งในกลุ่มผู้กล้าผู้แสดงความเห็นนี้ออกมา คือ ปราชญ์จอมเวทย์เพนกวิ้น
จากสภามหาเวทย์แห่ง หอคอยเยือกแข็ง เบลเทแชสซาร์ หลังจากรับฟังข้อเท็จจริงของ
การจัดตั้งกลุ่มผู้กล้าแล้ว และรับทราบถึงอำนาจ ของอาโพคาลิปส์ ในฐานะที่เป็น
ปราชญ์ผู้วิจัยเกี่ยวกับศาสตร์แห่งเวทย์ นี่นับเป็นความรู้ใหม่
ชนิดที่ไม่เคยเจอมาก่อน ถึงเขาจะรู้เรื่องของ นางมารเกอร์มานอตต้า มาบ้าง
แต่ก็เป็นจารึกของ จอมเวทย์จากยุคก่อนๆบันทึกกันมาแต่กลับไม่เคยเล่าถึง
อาโพคาลิปส์ หรือ ชนเผ่าไร้หางเลยทั้งที่ว่าเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดนั้นแต่กลับเก็บ
เป็นความลับมาได้จนถึงปัจจุบันโดยที่ไม่มีใครรู้ได้อย่างไร ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่น่าสงสัย
คำถามของเขาถูกตอบรับจาก คามิโอ ด้วยการโค้งหัวให้ก่อนจะพูดขึ้น
“ โอ้ ท่านคือ ปราชญ์อันดับหนึ่งจากสภามหาเวทย์แห่งหอคอยเยือกแข็งสินะขอรับ เป็นเกรียติจริงๆที่ได้
สัตว์หางเก่งๆอย่างคุณมาร่วมเป็นผู้กล้าในคณะของกระโผ้ม ส่วนคำตอบของคำถามนั่นเราไปให้เจ้า
ตัวตอบกันเองเลยดีไหมขอรับ ”
บุรุษอีกา กล่าวจบก็หันไปทาง เซเวอร์ ที่ยืนดูการประชุมอย่างเงียบๆมาตั้งแต่เริ่ม
ปราชญ์เพนกวิ้น ไหวตัวด้วยความตกใจ เขาไม่นึกว่าสิ่งที่น่าจะเป็นศัตรูของพวกเขา
จะมาอยู่ร่วมฟังการประชุมในที่นี้ด้วย
/พวก ศาสนจักรต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ทำไมถึงเอาสิ่งตัวเองบอกว่าเป็นตัวอันตราย มาอยุ่ที่นี่ได้นะ/
ปราชญ์เพนกวิ้น ครุ่นคิดอยู่ในใจ พลางใช้สายตามอง เด็กหนุ่มอย่างพินิจพิเคราะห์
จนเมื่อเด็กหนุ่มเริ่มไหวตัว ก็พลอยทำให้เขาเพิ่มการระวังตัวมากขึ้น
/จากข้อมูลที่เรามี นางมาร เกอร์มานอตต้า ในอดีตมีพลังทำลายเชิงคำสาปที่น่ากลัวมากๆ ถ้าเจ้าลิงไม่มีหางนี่
เป็นประเภทเดียวกับ นางมารนั่นล่ะก็…. / ความนึกคิดบนสมองอันปราดเปรื่องกำลังคำนวณ
หาความเสียหายและความเป็นอันตรายที่จะเกิดจาก เด็กหนุ่มตรงหน้า ทว่าไม่ว่าจะประมวล
ผลอย่างไร ก็ไม่พบความเป็นไปได้ที่ สิ่งมีชีวิตขนาดตัวไม่ได้ใหญ่ไปกว่าแมลงอ้วน(Fat Bug)
จะสร้างความเสียหายได้เท่ากับ ระดับนางมาร อย่างเกอร์มานอตต้า
“ …..ถ้าเป็นพลังของ อาโพคาลิปส์ ล่ะก็มันทำได้สบายๆอยู่แล้ว ที่จริงเมื่อกี้ อัลคาเซียก็แสดง
ให้พวกเจ้าเห็นแล้วไม่ใช่รึ เวทมนต์ที่รังสรรค์ โลกสมมติขึ้นมา ”
เซเวอร์ ตอบเสียงเรียบ
“ เจ้ากำลังหมายถึง เมนทาโลเปีย โลกสมมติที่สร้างขึ้นมาจากการกลั่นมานา น่ะรึ? ”
เบลเทแชสซาร์ ถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ
“ ใช่……… ” เด็กหนุ่มรับคำก่อนจะ เริ่มพูดต่อ
“ แต่ว่าของที่ อาโพคาลิปส์จะสร้างน่ะมันไม่ได้กระจอกระดับโลกสมมติ หรอก มัน
จะจำลองโลกทั้งใบที่เป็นของมนุษย์ขึ้นมาทับซ้อนกับโลกของพวกเจ้า เหมือนกับการ
เขียนภาพทับลงไปเลยล่ะ สงครามระหว่างข้าเซเวอร์ผู้นี้กับพวกเจ้าเหล่าสัตว์หางก็คือส่วนหนึ่ง
ของพิธีกรรมที่สรรค์สร้าง เมนทาโลเปีย ขึ้นมา มันถึงต้องใช้เวลาสะสมพลังงานเป็นร้อยๆปี
ก็เพื่อสร้างขอบเขตของพิธีกรรมที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เปลี่ยนแปลงโลกได้แบบไม่มีข้อจำกัด ”
“ ……………………… ” เบลเทแชสซาร์ ถึงกับพูดไม่ออก ความเป็นไปได้ตามที่เด็กหนุ่ม
กล่าวนั้นไม่มีหลักฐานยืนยันว่าจะเกิดขึ้นได้จริง แต่มันก็มีความเป็นไปได้ที่สูง
ความตึงเครียดเข้าปกคลุมที่ประชุม บรรยากาศฮันน่าอึดอัดนี้ ทำให้ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก
เมื่อไม่มีคำถามแล้ว คามิโอ จึงเริ่มอธิบายต่อจากที่ค้างไว้
“ สรุปแล้ว เทลอาโพคาลิปส์ นั้นคือผู้กล้าที่ได้รับการฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์เพื่อ
ที่จะปราบเซเวอร์ นั่นล่ะขอรับ ก็ขอให้ทุกท่านทั้ง 12 ตัวตั้งใจทำภารกิจที่จะได้รับมอบหมายหลังจากนี้ไป
แล้วสั่งสมประสบการณ์กับฝีมือให้มากๆ เพื่อความอยุ่รอดของพวกเราทั้งมวลก็แล้วกันนะขอร้าบ~~~ ”
ช่างเป็นมุขตลกที่ไม่ชวนให้ขำเอาเสียเลย ตอนนี้เหล่าผู้กล้ารับรู้ได้เป็นอย่างดีว่า ภาระที่พวกเขา
จักต้องแบกรับนั้นยิ่งใหญ่และหนักหนาสาหัสเพียงใด ความกลัดกลุ้มและความสับสนก่อตัวขึ้นในจิตใจ
ของพวกเขา ความรู้สึกที่ว่า อาจจะไม่สำเร็จ หรือ อาจจะล้มเหลวผุดขึ้นในหัวเป็นดอกเห็ด
“ เรจิ จะเป็นเทลอาโพคาลิปส์ เองทุกคนวางใจได้เล้ย~~~ ”
หมาป่าแดงตะโกน เสียงดังลั่นไปทั้งห้อง น้ำเสียงนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ และ
แฝงไว้ด้วยความเข้มแข็ง ที่เห็นจากความไร้เดียงสานั้น คำพูดของเขาช่วย บรรยากาศ
ของความตึงเครียดผ่อนคลายลง เหตุการณ์ทั้งหมดสะท้อนอยู่ในดวงตาสีแดงก่ำ
ของเด็กหนุ่ม เขาแหงนหน้าขึ้นสบตากับเทพีแห่งแสงแล้วพูดอย่างมั่นใจ
“ อย่างที่ข้าได้เคยบอกเจ้าไปแล้ว อัลคาเซีย ข้าจะเป็นคนเลือกตัวเทลอาโพคาลิปส์
เอง เพราะงั้นการจัดตั้งกลุ่มผู้กล้าอะไรนี่ก็ไม่มีความจำเป็นมาตั้งแต่แรกแล้ว ”
สิ้นคำเด็กหนุ่มก็หันไปสบตากับ หมาป่าแดงอย่างรู้ใจ ผู้ที่เขาจะเลือกให้มาเป็น คู่ต่อสู้คนสุดท้าย
หรือ เทลอาโพคาลิปส์
…………………………
…………………………………………………………..
หลังการประชุมจบลง ทุกตัวก็พากันแยกย้ายและเดินลงบันไดสู่ชั้น1 ห้องสมุดของพระราชวังนั่นเอง
“ เดี๋ยวพ่อ กับโบลดาส จะกลับไปทำงานที่ สำนักงานต่อ ทอล บ่ายนี้อย่าไปประชุมพลสายอีกล่ะ
ไม่งั้นเจอวิดพื้นพันครั้งแน่ ”
หมาป่าขาวโอดิน ผู้เป็นพ่อพูดข่มขู่ลูกชาย เอาไว้ก่อนจะพากันเดินออกจาก ห้องสมุดไปพร้อมๆกับ
แม่ทัพไลเกอร์โบลดาส
“ เชอะ! อย่าไปสายล่ะ ”(-3-)
หมาป่าดำ แกล้งทำเลียนเสียง ก่อนบ่นออกมาด้วยความรู้สึกน้อยใจ “ ไม่ใช่เด็กแล้วซักหน่อย
พูดมาได้นะพ่อ ”
“ แล้วมันจริงไม่ใช่รึไงครับ เท่าที่อ่านรายงานในสมุดพกของพี่ก็พอจะรู้แล้วล่ะ
ว่าตลอดครึ่งปีที่ผมไม่อยู่เนี่ยพี่เข้าประชุมพลสายแทบทุกครั้งเลย ”
โลกิ ผู้เป็นน้องชาย เอ่ยพลางเปิดสมุดพกเล่มสีดำ ในมือและมองดูอย่างถี่ถ้วน
“ อะเห้ยยย!!! เอาไปตั้งกะเมื่อหร่ายยยย!!!!! ”
มือของทอล ยื่นไปแย่งสมุดมาจากมือของ โลกิ มาเก็บทันที ก่อนจะหันกลับไปต่อว่า
ด้วยสีหน้าเขินอายที่ถูกแฉประวัติ ต่อหน้าประชาชี “ ทำแบบนี้กับพี่ชายได้ไงกัน…. ”
แล้วทอล ก็ต้องเงียบไปกลางคันเมื่อ มือของโลกิ ยื่นนาฬิกาพกพาสีเงินเรือนเล็กซึ่ง
เต็มไปด้วยหยากไย่เกาะและฝุ่นจับหนาเตอะหากว่า เขาไม่ได้ใช้ผ้าเช็ดหน้ารองมันเอาไว้
มือคงเปื้อนฝุ่นไปด้วยเป็นแน่
“ จำ-ได้-ไหม-ว่า-นี่-คือ-อะ-ไร ” ลิงหนุ่มเน้นเสียงพลางตีสีหน้าน่ากลัว ข่มใส่ผู้เป็นพี่จนถึงกับหงอ
“ น…นา…นาฬิกาปลุกที่นายเคยให้ฉัน….. ” หมาป่าดำ ตอบเสียงตะกุกตะกัก อ้ำอึ้งอยู่ในคอ
ในหัวก็พลางคิดถึงเรื่องร้ายๆที่จะเกิดขึ้นต่อไปจากนี้
“ มันถูกวางทิ้งบนโต๊ะที่บ้านล่ะ แถมมีแต่หยากไย่ เกาะเต็มไปหมดเลยแสดง
ว่าพอผมไม่ได้อยู่ตั้งเวลาปลุกให้ พี่ก็ไม่เคยคิดจะแตะมันเลยสินะ ”
แม้จะ โลกิ จะพูดเสียงหวานใส่ แต่สีหน้ากับคำพูดที่ไปด้วยกันไม่ได้นั้น ชวนให้รู้สึกสยดสยอง
ขึ้นไปอีก
“ บ….แบบว่า…. ” ทอลสู้หน้าน้องชายด้วยการยิ้มแห้งๆ เขาหาเหตุผลจะมาแก้ตัวไม่ได้เลย
นั่นยิง่ทำให้ โลกิ แผ่รังสีความอำมหิต ออกมายิ่งกว่าเดิมเสียอีก แต่ก่อนจะได้ทันลงมือกับพี่ชาย
ก็มีเสียงหนึ่งเรียกทอล ขึ้นมา
“ ทอล เจ้ายังเป็น พาลาดิน อยู่อีกรึ? ”
สองพี่น้อง พากันหันไปยังต้นเสียง ที่นั่น วาฬสีฟ้ารางใหญ่ยักษ์ กำลังมองมาที่พวกเขาด้วยสีหน้านิ่งเฉย
ทั้งคู่พากันนิ่งเงียบ จนเมื่อ ทอล เหมือนจะนึกขึ้นได้แล้วทักขึ้นมาทันที “ นี่นาย….. ไพซิส เองเหรอ?! ”
และเมื่องดวงตาของเขา สะดุดเข้ากับตราสัญลักษณ์บนชุดและเครื่องแบบของ ไพซิส
พาลลาดินหนุ่มจึงต้องร้องออกมาอย่างทึ่งๆเป็นครั้งที่สอง
“ นี่นายได้เลื่อนขั้นเป็น โอเชี่ยนเทมพลา แล้วเหรอเนี่ย! ”
“ ที่ควรจะแปลกใจน่าจะเป็นข้ามากกว่า ทอล เท่าที่ข้าได้ยินมาเจ้าก็ทำภารกิจไปตั้งมากมาย
การที่เจ้ายังไม่ได้เป็น อาร์คไนท์ อีกนั่นเพราเจ้าไม่ยอมเขียนรายงานการทำงานส่งไปเลยใช่ไหม? ”
ไพซิส ตำหนิใส่โดยที่ยังคงสีหน้านิ่งเฉยไว้ราวกับไร้ความรู้สึก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ชาชินแล้ว
สำหรับ ทอล
“ ก็นะ…ฉันมันไม่ใช่พวกชอบเขียนรายงานอยู่แล้วนี่นะ ”
ทอลแก้ตัวพร้อมกับ ยิ้มเจื่อนๆ เมื่อลองมานึกย้อนถึงครึ่งปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่
ทำให้เขาได้พบกับ ไพซิสคือตอนที่รับงานไปช่วยเหลือ กลุ่มอัศวินของ ศาสนจักรแห่งน้ำ
ในตอนนั้น เป็นช่วงที่เขาพึ่งจะพรากกับ โลกิ ไปได้ไม่นาน และถูก บิดาโอดิน
กำชับให้แสดงความภักดีต่อศาสนจักรเพื่อไม่ให้ถูกสงสัยตามโลกิ ไปด้วย
ตัวเขาในตอนนั้นเคร่งครัดต่อหน้าที่ และ แสดงออกมาเช่นนั้น จึงพลอยทำให้
ไพซิส วาฬผู้จริงจังกับงานในฐานะอัศวิน เข้าใจเกี่ยวกับตัวเขาผิดๆไป
พอมาตอนนี้ เลยยิ่งทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าไพซิส อีกครั้ง
“ อย่างไงก็เถอะเจ้าคงไม่คิดจะเป็น พาลาดินไปตลอดหรอกนะ ไม่งั้นข้าจะรู้สึกเสียดาย
ความสามารถของเจ้า ที่ไม่ได้ใช้มันรับใช้ให้กับศาสนจักรอย่างเต็มที่ ”
ไพซิส กล่าวก่อนจะขอตัวลา และเดินออกจากห้องไป
“ งั้นข้าขอตัวก่อนล่ะนะ ยังมีงานอีกหลายอย่างที่ข้าต้องสะสางที่ ศาสนจักรแห่งสายน้ำ ”
“ เพื่อนของพี่หรอ? ” โลกิ ถามหลังจากที่ ไพซิส เดินออกไปแล้ว
“ จะว่างั้นก็ได้อ่ะ ถึงจะทำตัวเคร่งเครียดไปหน่อยแต่ก็ไม่ใช่สัตว์ที่เลวร้ายอะไร ”
“ จะว่าไปแล้วเมื่อกี้ผมพูดกับพี่ถึงไหนแล้วนะ ” (0w0)
ดวงตาสีบุษราคัมของ ลิงหนุ่มส่องประกาย และแผ่รัศมีอันน่าสะพรึงออกมาอีกครั้ง
จน หมาป่าดำถึงกับเสียวสันหลังวาบ
“ แว้ก!!! ด…เดี๋ยวก๊อน!!!เรื่องนี้มันอธิบายได้นะ!! ”
ทอลรีบแก้ตัวเป็นการใหญ่ เพราะรู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากปล่อยให้
น้องชายตัวดีได้ระบายอารมณ์ใส่ตน แค่คิดเท่านั้นก็ชวนให้ขนพองสยองเกล้า
“ แหมๆ ยังเป็นคู่พี่น้องที่น้องข่มพี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ ”
เสียงหวานใสดังแทรกขึ้นมาระหว่างการสนทนาของพี่น้อง เจ้าของเสียงคือ กระต่ายสาวขนสีชมพู
และใกล้ๆกับเธอ เลขาหมาป่าสีฟ้าก็มาด้วยกัน
“ ไนติงเกล ”
***********************โปรดติดตามตอนต่อไป************************
ความคิดเห็น