คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Chapter8 Endless Arts Bless สุดขีดแห่งการเรียนรู้สู่แดนแห่งสรรพวิชาอนันต์
I am the Glass of those Glasses.
ตัวข้าคือแก้วของกระจกเหล่านั้น
'All Arts' in my left hand and 'Experience' Own Right.
สรรพวิชาในมือซ้าย และ ประสบการณ์เป็นของข้า
I have seen a thousand Arts.
ข้าได้เห็นวิชามานับพัน
Some are Simple, Some are Difficult.
บ้างเรียบง่าย บ้างลำบากยาก
Endure pain to train many arts.
กล้ำกลืนต่อความเจ็บปวดเพื่อฝึกฝนวิชาทั้งหลาย
Although those eyes will never find anything.
แม้ดวงตาคู่นั้นจะไม่เคยพบสิ่งใด
my life will the next alive.
ชีวิตของข้าจะคงอยู่ต่อไป
my wishful only " Endless Arts Bless "
ความปรารถนาของข้ามีเพียง พรแห่งสรรพวิชาไร้ขีดจำกัด
ร่างของหมาป่าผู้อาบไว้ด้วยน้ำหมึกสีดำซึ่งกลั่นตัวมาจาก มานา วิชาเพิ่มความเร็วขั้นสูงสุด ของเผ่าหมาป่า
ซึ่งจะมีพลังมากขึ้นในยามค่ำคืนที่ แสงจันทร์สาดส่อง
===================Lunar Eclipse===================
ร่างสีดำทะมึนนั้น แบกเสาหินซึ่งแกะสลักรูปปั้นบนเสาเป็นรูปสลักของ สัตว์หางตัวแรก
ผู้ริเริ่มอารยธรรมแห่งสัตว์หางทั้งมวล ในวันนี้ซึ่งเป็นวันคล้ายวันที่ สัตว์หางตัวแรกได้ถือกำเนิดขึ้น
สัตว์หางผู้เป็นตำนานและเป็นดั่งศาสดาแรกเริ่มของเหล่าสัตว์หางที่ชักชวนให้เคารพเหล่าเทพเจ้า
สัตว์หางผู้ก่อตั้งศาสนจักร เฟิสเทล(First Tails)
เงาดำนั้นพุ่งทะยานฝ่ากองทหารและเหล่าแม่ทัพ ซึ่งรายล้อมอยู่รอบ ลานประหาร แม้จะถูกขัดขวาง
ด้วยธนูไฟเงาดำนั้น ตอบโต้โดยการผ่าฝนธนูขาดเป็นท่อนด้วยลมกรด ร่างนั้นขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดของ
แท่นประหาร แล้วปลดสายสะพายซึ่งแบกเสาเฟิสเทล มาก่อนจะวางมันลง
เงาดำหันหลังกลับ แล้วทอดสายตามองลงไปเบื้องล่าง เหล่าสาวกแห่งศาสนจักร กำลังตกอยู่
ในอาการตื่นตะลึง ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปราวกับเขาร่ายมนตราดลบันดาล
ให้พวกเขาทั้งหมด ย้ายมาอยู่อีกโลกเลยก็ไม่ปาน
จากเดิม คือลานประหารซึ่งปกคลุกด้วยหิมะสีขาวโพลน กลับแปรเปลี่ยนเป็นทะเลทรายกว้างสุดขอบฟ้า
ไกลไม่รู้จบสิ้น จากท้องฟ้ายามค่ำคืนกลับกลายเป็นเที่ยงวันซึ่งแสงแดดแรงกล้า จากหิมะขาวโพลน
สู่เม็ดทรายนับไม่ถ้วนโปรยปรายลงมาจากฟ้า และ จากเม็ดทรายมากมายก่อตัวขึ้นเป็นกระจกเงา
นับร้อยๆบานฉายภาพสะท้อน เหล่าสัตว์หางแห่งศาสนจักร
ดวงตาของ สังฆราชสิงโตทะเล ถลนจนแทบจะทะลุออกจากเบ้าตา นับแต่เกิดมานี่ถือเป็นเรื่องบ้าสุดกุ่เท่าที่
เคยพบเห็นมา แต่หาได้ใช่ความยิ่งใหญ่ของ ทะเลทรายแห่งนี้หรือความอัศจรรย์ของ
การเปลี่ยนเที่ยงคืนเป็นเที่ยงวัน ตลอดชั่วชีวิตการสร้างดินแดนเสมือนนี้เขาเองก็เคยประสบมาแล้ว
แต่เป็นการสร้างด้วยฝีมือของ อัลคาเซีย หรือก็คือเทพเจ้าเท่านั้น
ทว่านี่เป็นครั้งแรก ที่เขาได้เห็นสัตว์หางเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา แม้จะเห็นต่อหน้า แต่หัวใจของเขา
กลับยิ่งปฏิเสธมัน สมองของเขาพยายามประมวลผลเพื่อหาคำตอบ ใคร อะไร และ ยังไง
สุดท้ายคำพูดซึ่งกลั่นกรองออกมาก็เหลือเพียงวาจาที่ลั่นออกมาโดยไม่ตั้งใจเพราะความ
ช็อกได้กลืนกินสติทั้งหมดไปเสียแล้ว
“ ป….ป….ป…..เป็น….เป็นไปไม่ได้…..นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?! ”
ไม่ต่างกันนักแม่ทัพเหยี่ยวอิทารุส ผู้ยืนอยู่ข้างๆ ก็ตกอยู่ในอาการตะลึงงึงงัน
ดวงตาคู่นั้นจับจ้องอยู่แต่เพียงร่างสีแดงเพลิงของซึ่งปรากฏขึ้นหลัง เงาดำสลายไปแล้ว
แม้แต่ ยุวราชแห่งแสง ราชาแกะสาวผู้เคยสัมผัสกับอาณาเขตเวทย์ของ เรจิ มาก่อนในตอนที่
ยังไม่ออกมาเป็นรูปเป็นร่างอย่างทะเลทรายแบบนี้ ก็ยังอดถลนตาด้วยความตกตะลึงเสียมิได้
“ นี่คือตัวตนจริงๆ ของเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ข้าได้ประดาบกับมันสินะ… ”
กษัตริยา ตรัสความทรงจำฝังหัวของนางจากครั้งนั้นทำให้รู้สึกเหมือนมันพึ่งจะผ่านมาเมื่อวาน
นี้เอง
บนแท่นประหาร สองพี่น้องพากันลั่นวาจาออกมาโดยอัตโนมัติ
“ เรจิ?! ”
ทั้งสับสน และ ฉงนงง เหตุใดหมาป่าแดง ถึงมาช่วยพวกเขา
ในมุมมองของ โลกิ มันคือเรื่องน่าตกตะลึง
ไม่ใช่เรื่องพลังที่สร้างเขตแดนยิ่งใหญ่แบบนี้แต่เป็น เรื่องที่ตนเคยทำไว้กับ เรจิ ซึ่งก็คิดว่าน่าจะขยาด
จนไม่อยากจะเห็นหน้าเขาแล้วด้วยซ้ำไป
ในมุมมองของ ทอล ความสับสนซึ่งประเดประดังสู่หัวใจนั้นมีความยินดีแฝงตัวมาด้วย
มันเอ่อล้นขึ้นมาคือความซาบซึ้งนี่นับเป็นหนที่สองแล้วที่ เขาได้ถูกช่วยชีวิตไว้โดยหมาป่าตัวนี้
นับจากครั้งที่ปะทะกับ สกายบัค
บนน่านฟ้าสีครามเหนือทะเลทรายสีขาว เหล่าแขกพิเศษผู้จับตาดูละครโศกที่กลายเป็นปาฏิหารย์
ต่างก็พรั่นพรึงกับพลังอันมหาศาลของ หมาป่าแดง อยู่ไม่น้อย
“ นี่คือ….พลังที่แท้จริงของนายสินะ…เรจิ… ”
เซเวอร์ เปรยพลางใช้สายตาสอดส่องไปรอบๆ อาณาเขตทะเลทรายแห่งนี้ เขาพยายามวิเคราะห์มัน
เพื่อค้นหารูปแบบพลังที่ เรจิ จะเรียกใช้จากดินแดนแห่งนี้
“ เมนทาโลเปีย(Mentalopia) หรือ เมนทาลูโทเปีย(Mentalutopia) มาจาก Mental จิตใจ
บวกกับ Utopia ดินแดนในอุดมคติ มันคือโลกแห่งจิตใจที่ขยายออกมาทับซ้อนกับโลกแห่งความจริง
สิ่งนี้เป็นเวทมนต์ระดับสูงที่ผู้สร้างมันน้อยชนิดนับหัวได้ หรือที่จริงเราต้องบอกว่ามีแต่เทพเจ้าที่ทำมันได้
หรือก็คือ หมาป่าสีแดงตัวนั้น คืออวตารของเทพเจ้าก็ว่าได้สินะขอรับ? ”
บุรุษอีกา พูดพร้อมกับหันมาส่งสายตาเจ้าเล่ห์ใส่ เด็กหนุ่ม
“ ข้ารอมันมาตลอด…ที่จะได้เห็นสิ่งนี้…พลังที่แท้จริงของสหายข้า ”
เด็กหนุ่ม ตอบก่อนจะตั้งสมาธิเพื่อจับตาดูพลังของ เพื่อนหมาป่าแดง
บนแท่นประหาร หมาป่าแดง หันกลับมายังสองพี่น้อง ก่อนจะตรงรี่เข้าไปหา ทอล
แล้วกล่าวร่าย เวทย์รักษา ซึ่งลักจำมาจากตอนที่ได้สู้กับกษัตริยา
“พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ
พระองค์ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ ”
(The LORD is my shepherd; I shall not want. He restoreth my soul: he leadeth me in the paths of righteousness for his name's sake.)
ยามที่บทร่ายแห่งเวทย์จบลง ก็ผลันเกิดประสายแสงสว่างระยิบระยับ ในอากาศโปรยสู่บาดแผล
ของ หมาป่าดำ บาดแผลึ่งเกิดจากลูกกระสุน สมานตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับขับเอาลูกกระสุนที่ฝัง
ออกมาโดยอัตโนมัติ
=============Heal===============
“ เรจิ จะช่วยเอง วางใจได้เล้ย~~~ ” หมาป่าแดง พูดอย่างมั่นใจก่อนจะหันกลับไปแล้วพูดด้วยเสียงอันดังก้อง
“ ในนามของ อัศวินสูงสุดแห่งศาสนจักร อัศวินสวรรค์ เรจิ (Raji the Heaven Knight) ขอสั่งให้
หยุดการประหารลงเดี๋ยวนี้!! ”
คำพูดของหมาป่าแดง ได้รับการตอบกลับมาด้วยความเงียบสงบที่เกิดขึ้นยังเบื้องล่าง ยากที่จะเชื่อ
สำหรับหมาป่าไร้เดียงสาผู้ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า แต่กลับอวดอ้างตนเป็น อัศวินสูงสุดแห่งศาสนจักร
การกระทำเช่นนั้นไม่ต่างอะไรกับยกตนข่มท่าน ไม่มีใครในที่นี้ จะเชื่อในคำพูดของเขาเลย
แม้แต่ตัวเดียว
สังฆราชสิงโตทะเล หรี่ตาซึ่งเคยถลนให้แคบลง ความเคลือบแคลงใจคือสิ่งที่ฉายอยู่ในแววตานั้น
“ ไร้สาระ! ไอหมาป่าปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อย่างแกนะรึจะเป็นอัศวินสวรรค์ น่าขันสิ้นดี ถ้าเจ้าคิดจะขัดขวางการประหาร ต่อให้เจ้าเป็นเพื่อนกับ เซเวอร์ ข้าก็ไม่ไว้หน้าทั้งนั้น ”
เร็กกุ ลั่นเสียงด้วยโทสะ พร้อมกับออกคำสั่งให้ พลธนู โจมตีรวมไปถึงสั่งให้ แม่ทัพ โบลดาส
นำกำลังทหารและเหล่าพาลาดิน ทั้งหลายขึ้นไปจับกุมตัว หมาป่าแดง
“ …….ข้าขอน้อมรับ วิญญูศาสตรา……… ” น้ำเสียงเรียบนิ่งของ กษัตริยา ป่าวประกาศ
พร้อมกับอาวุธศักดิ์สิทธ์ทั้งสี่ โรยตัวลงมาจากฟากฟ้า ล้อมแท่นประหารเอาไว้ในบันดล
=============Soul of Arm=============
“ อย่าว่ากันเลยนะ…นี่เป็นหน้าที่ของข้า ”
กษัตริยา ตรัสเบาๆ แล้วจึงโบกมือเพื่อสั่งให้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ บุกโจมตี หมาป่าแดง
พริบตานั้น ภาพของนางซึ่งกำลังร่ายรำ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ ก็ได้ปรากฏฉายขึ้นบนกระจกบานหนึ่ง
จากนับร้อยๆบานที่ตั้งบนทะเลทรายแห่งนี้
เมื่อเจอเข้ากับการบุกจู่โจมขนานใหญ่แบบนี้ หมาป่าแดง จึงเตรียมพร้อมที่จะตอยบโต้กลับเช่นกัน
ร่างสีแดงเพลิง นั้นสูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนออกอย่างช้าๆ ริมฝีปากเล็กๆนั้นป่าวประกาศด้วย
เสียงกึกก้อง
“ คอมโบ!! Instant Cast กับ Soul of Arm….ข้าขอน้อมรับวิญญู ศาสตรา!!! ”
สิ้นคำ ความตกตะลึงก็ได้ย้อมดวงตาของทุกตัว อีกครั้ง ศาสตราศักดิ์สิทธิ์สี่ชิ้น หน้าตาแบบเดียว
กันกับของ กษัตริยา ถูกอัญเชิญให้ล่องลอยลงมาจากฟากฟ้า แล้วเข้าปะทะกันเอง
“ บ้าน่า! ศาสตราอีกชุดงั้นเหรอ! เป็นไปได้ยังไงกัน?! ”
กษัตริยา สบถดวงตาของนางแทบจะถลนออกจากเบ้า ตลอดเวลาที่แล้วมา นางคิดอยู่เสมอว่า
หมาป่าแดง เพียงแค่ลอกเลียนแบบ การเปิดคลังอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของนางเท่านั้น แต่ดูเหมือนจะผิดถนัด
เวทย์ Soul of Arm เป็นการเรียกใช้ศาสตราแท้ซึ่งน่าจะมีเพียงต้นฉบับเดียว ดังนั้นจึงไม่มีทางเป็นไปได้เลย
ที่หมาป่าแดงจะนำอีกชุดมาได้ นอกเสียจาก การลอกเลียนแบบนั้น สมบูรณ์จนถึงขั้นเลียนแบบปรากฏการณ์
อันเป็นต้นกำเนิดพลังของนางได้ หรือก็คือ เรจิ ได้สร้างคลังอาวุธศักดิ์สิทธิ์ จำลองขึ้นมาด้วยตัวเอง
“ ไม่ใช่แค่ Soul of Arm แต่ยังมี Instant Cast ของเราด้วย?! ทั้งที่วันนั้นเห็นแค่ครั้งเดียวเองแท้ๆ ”
โลกิ เองก็ทึ่งไม่แพ้กัน วิชาของเขาถูก นำไปใช้ได้โดยง่าย ทั้งที่เขาฝึกฝนมันแทบตายกว่าจะสามารถ
ทำมันได้
“ หนอยแน่ะ! ไอปีศาจข้าจะเป็นคนเด็ดหัวแกเอง เรื่องพลังของแกน่ะข้ารู้มาหมดแล้วถ้าไร้ซึ่ง มานา เจ้าก็ใช้ปาหี่หลอกเด็กนี่ไม่ได้อีก จงรับวิชาลับของข้าไปชิมหน่อย ผนึกเวทย์สามชั้น! ”
===========Triple Cast==========
เร็กกุ สบถอย่างเดือดดาล จนร่างกายเปลี่ยนสีเป็นสีฟ้า มันคือสีของมานาซึ่งกลั่นตัวมาไหลเวียนอยู่ใน
เส้นเลือดของเขา ปริมาณของมานา ซึ่งไหลเวียนอยู่ในตัวมากเสียจนย้อมสีผิวของเขาเป็นสีฟ้านั่นเอง
สังฆราชสิงโตทะเล ชูไม้เท้าขึ้นกวัดแกว่งแล้วกล่าวคาถาด้วยเสียงอันดังก้อง
“ โอม เร็กก้า เร็กก้า เร็กกุ จงเผามันให้เหือดแห้งจงสูบกินชีพจรมันให้หมดสิ้น มานาเบิร์น!!”
=============Mana Burn==========
จากการไต่สวน โลกิ ทำให้ เขาได้ข้อมูลสำคัญมา นั่นคือหนทางพิชิต เรจิ ด้วยการเผาผลาญพลังจิตใจ
จนไม่มีเหลือให้ใช้ เวทย์มนต์ หรือ ท่าวิชา ที่เลียนแบบมาได้ ดังนั้นมนตราบทนี้จึงนับได้ว่าเป็นไพ่เด็ด
ที่สามารถปิดผนึกพลังของ เรจิ ได้ โดยหารู้ไม่เลยว่า การกระทำทั้งหมดของตนได้ฉายอยู่บนกระจก
บานหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
ไอควันมากมายพวยพุ่งออกมาจากร่างของ หมาป่าแดง ซึ่งก็คือพลังจิตใจ(Mp) สำหรับการกลั่นมานา
บัดนี้มันได้เหือดหายไปจากร่างของเขาเสียแล้ว ท่ามกลางความนึกคิดที่ว่า หมาป่าแดงสิ้นฤทธิ์ แล้วนั้น
หายนะ……………..กำลังจะมาเยือน
กองทหารซึ่ง แม่ทัพไลเกอร์โบลดาส ได้เป็นผู้ออกนำ ปีนขั้นบันไดแท่นประหารจนขึ้นมาถึงชั้น
ที่สามแล้วนั่นเอง หมาป่าแดงซึ่งสูญเสียพลังที่จะกลั่นมานา ได้เดินลงไปจากชั้นสี่แล้วหยุดที่กลางขั้นบันได
ก่อนจะร่ายบทสวดซึ่งคุ้นหู ทอล เป็นอย่างดี
“ ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง ..... ”( Our Father , in heaven , holy be your name ; your kingdom come .....)
=========== Cross Impact ============
มานาในบรรยากาศ ถูกกลั่นกรองมารวมที่ดาบคู่ของ เรจิ ซึ่งตอนนี้เขาได้ประสานมันไว้ด้วยกัน
พร้อมกัน มานาบางส่วนยังซึมเข้าสู่เส้นเลือดของเขา แล้วย้อม สีขนจากแดงเพลิงให้กลายเป็น
สีฟ้าน้ำทะเล มันคือทริคแบบเดียวกับที่ เร็กกุ พึ่งจะได้แสดงให้เห็นไป Triple Cast นั่นเอง
=========== Triple Cast ===========
“ คอมโบ! Cross Impact ….Triple Cast….เทคนิกแอดวานซ์(Technic Advance) กีก้าครอส!! ”
*******************Giga Cross*******************
สิ้นคำ แล้ว หมาป่าแดงก็ได้สำแดงพลัง อันน่าตระหนกแก่ทุกหางอีกครา ร่างซึ่งกลับจากฟ้าเป็นแดง
ทะยานขึ้นไปในอากาศ แล้วถลาลงสู่พื้นบันไดพร้อมกับฟาดดาบคู่ซึ่งอาบไว้ด้วยแสงสว่าง
ผลันแสงสว่างจากใบดาบก็แผ่ขยายกว้างออกเป็นรูป กา กบาท กินอาณาเขตมากกว่าแบบปกติที่ ทอล
เคยใช้ถึงสามเท่า กางเขนแสงสว่างประทับลงบนขั้นบันไดสู่ชั้นที่สี่ ทั้งหมด พวกโบลดาส
ที่กำลังจะเหยียบลงไปบนขั้นบันได แทบจะหยุดเท้าตัวเองไม่ทันต่อหน้าขั้นบันไดที่กำลีง
ลุกไหม้ด้วยเพลิงสีขาวซึ่งทอดตัวเป็นลักษณะของ กางเขนขนาดใหญ่
“พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์ อาเมน! เทคนิกแอดวานซ์ แมกนัสครอส!! ”
( your will be done on earth as it is in heaven . Amen.)
==========Grand Cross=========== >>>Advance To
**********************Magnus Cross*********************
หมาป่าแดง ลั่นเสียงอย่างรวดเร็วพร้อมกับควงดาบคู่แล้วปักคมทิ่มลงสู่ขั้นบันได ที่กำลังลุกไหม้ด้วย
กางเขนแสงสว่างจาก การโจมตีในหนแรก และแล้วกางเขนแสงสว่าง ก็เจิดจ้าขึ้นกว่าเดิมอีกสามเท่า
บรึม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
กางเขนแสงสว่างขยายตัวเป็นระเบิดแสงสว่างลูกใหญ่กลืนทั้งแท่นประหารตั้งแต่ชั้นที่
สามลงมาให้หายไปในพริบตา แรงจากการระเบิดเป่าเอา น้ำมันและรั้วไหม้ซึ่งเป็นเชื้อเพลิง
ตามชั้นต่างๆ รวมไปถึง ร่างของ โบลดาส และเหล่าทหาร ลอยละลิ่วขึ้นไปในอากาศ
ก่อนจะร่วงหล่นลงบนพื้นทรายนุ่มๆที่เบื้องล่าง อาการของพวกเขาจึงไม่ถึงชีวิตแต่
แรงระเบิดนั้นก็สร้างบาดแผลฉกรรจ์จนทั้งหมดนั้นนอนหมดสภาพจมกองทรายในทันที
ภาพเหล่านั้นสะท้อนอยู่บนดวงตากลมใสของ สังฆราชสิงโตทะเล สีหน้าของเขาซีดขาว
เนื้อตัวเย็นเฉียบ ราวกับคนตาย ความหวาดกลัวซึ่งกำลังสั่นคลอนโสตประสาทของเขาจนไม่ได้ยิน
เสียงใดๆอีก ทั้งในใจก็ย้ำคิดและตริตรองเป็นพันๆครั้ง การผนึกการใช้ มานาด้วยการเผาผลาญ
พลังจิตใจไม่เป็นผล จนเมื่อสายตาของเขา สบเข้ากับภาพบนกระจกบานหนึ่ง
ซึ่งมันไม่ได้ฉายภาพสะท้อนตามปกติ แต่มันเป็นภาพของเขาเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว ซึ่งกำลัง
ร่ายมานาเบิร์น เมื่อภาพฉายนั้นจบลงที่การร่ายคาถาของเขา ภาพสะท้อนก็ย้อนกลับมาเริ่มตั้งแต่เขา
เริ่มร่ายคาถาใหม่ เหมือนกับการฉายหนังย้อนกลับไปกลับมา สันนิษฐานอันน่าหวาดหวั่นได้ ผลักดัน
คำตอบให้หลุดออกจากปากของ เร็กกุ อย่างแผ่วเบา
“ เป็นไปไม่ได้….มานา..มัน… ”
“ ท่านไม่ได้เผาพลังจิตใจของมันจนหมดหรอกหรือ มันยังกลั่นมานา มาใช้ได้อยู่เลย? ”
กษัตริยา ถามด้วยความสงสัย แม้ว่ามือจะยังไม่ว่างจากการที่ต้องบังคับ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของตน
เข้าปะทะกับอาวุธที่ เรจิ อัญเชิญมา
“ ไม่…ข้าเผามันหมดแล้วแต่ว่าการกลั่นมานาของมัน….ไม่ได้กลั่นด้วยตัวเอง แต่เป็นที่นี่
ทะเลทรายทั้งหมดนี่คือแหล่ง มานา ของหมาป่านั่น หมายความว่าเราผนึกพลังของมันด้วยการ
ยับยั้งการใช้มานาไม่ได้! แล้วถ้าเราใช้วิชาหรืออะไรก็ตามกระจกพวกนี้จะสะท้อนภาพของเรา
แล้ววิชา ของพวกเราก็จะถูกเอาไปใช้!! ”
คำตอบของ เร็กกุ สร้างความตกตะลึงแก่ นาง และสัตว์หางทุกๆตัว พวกเขาต่างมองไปรอบๆ
อย่างหวาดระแวง รอบกายรายล้อมไปด้วย กระจกเงา มากมาย ที่กำลังรอฉายภาพการใช้วิชาของพวกเขา
แล้วเมื่อนั้น วิชาเหล่านั้น จะตกไปอยู่ในมือของหมาป่าแดงในทันที
“ งั้นทำลายกระจกพวกนี้ซะก็หมดเรื่องสินะ! ”
อิทารุส กล่าวพร้อมกับชักปืนขึ้นมาแล้วกราดยิงใส่บานกระจกทั้งหมดหวังจะให้มันแตกกระจาย
เป็นเสี่ยง แต่แล้วเรื่องน่าอัศจรรย์ก็ยังไม่ได้หมดแค่นั้น กระสุนทั้งหมดวิ่งผ่านกระจกไปเหมือนวิ่ง
ผ่านทราย ไม่นานนัก ทรายบนพื้นก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาอีก และกลายเป็นกระจกอีกสิบกว่าบาน
หันมาที่เขาราวกับกำลังจดจ้องรอที่จะให้ งัดท่าวิชาออกมาแล้วเมื่อนั้น ท่าวิชานั้นก็จะฉาย
อยู่บนกระจกเหมือนเช่นที่แล้วๆมา
แม่ทัพเหยี่ยว ขบฟันกรอด แล้วจึงสยายปีกโผทะยานขึ้นไปข้างบน เขาบินขึ้นไปสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้
บัดนี้เมื่อมองลงไป ทั้งแท่นประหารและ พวกทหาร ก็เห็นเป็นเพียงจุดเล็กๆเท่านั้น แม่ทัพเหยี่ยว
บรรจุกระสุนใส่ปืนทั้งสองกระบอกจนเต็มเพื่อเตรียมยิงไม้ตายเผด็จศึกของตน ด้วยความคิด
ที่ว่า หากขึ้นมาสูงถึงบนนี้แล้ว กระจกเหล่านั้นก็จะสะท้อนภาพของเขาไม่ได้
“ เทาซัน ชอต!! ”
แม่ทัพเหยี่ยวตะโกนพร้อมกับ เหนี่ยวไกปืนเล็งไปที่ลานประหาร ไม่จำเป็นต้องใช้ความแม่นยำมาก
กับการยิงกราดชนิดปูพรม ลูกกระสุนทั้งสิบนัดพุ่งออกจากปากกระบอกแล้วอาบด้วยมานาอีกชั้น
ก่อนจะแตกกระจายตัว โปรยปรายลงไปดั่งสายฝน
เสียงเม็ดกระสุนแหวกอากาศบาดเข้ามาถึงหูของหมาป่าแดง เรจิหันหน้ากลับขึ้นไปมอง
แล้วพูดอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะรับมือกับกระสุนพวกนั้น
“ คอมโบ! Triple Cast….. Lunar Eclipse เทคนิกแอดวานซ์ Solar Eclipse! ”
********************Solar Eclipse******************
สิ้นคำมานา ในบรรยากาศก็ได้กลั่นตัวกลายเป็นน้ำหมีกสีดำอาบย้อมขนไปจนผิวหนังทั้งร่าง
ให้ดำสนิท ร่างสีแดงซึ่งกำลังถูกย้อมเป็นสีดำนั้นคล้ายคลึงกับปรากฏการณ์ สุริยคลาส
ในครั้งนี้ ร่างเงาของเรจิ ต่างออกไปจากครั้งก่อนๆมันเรืองแสงออกมาด้วยท่ามกลาง
คราบดำมืดของน้ำหมึกมานา เหล่านั้นมันกำลังเปล่งประกายสะท้อนแสงวาววับ
แล้วเสี้ยววินาที แห่งความตกตะลึงก็บังเกิดขึ้น ร่างของเรจิ หายไปจากแท่นประหาร
ชั่วพริบตาก่อนจะกลับมาจนดูเหมือนไม่ได้ขยับไปไหน ทว่ากระสุนทั้ง หนึ่งพันนัด
ที่แม่ทัพอิทารุส ได้กราดยิงลงมานั้น ก็ตกอยู่ในสภาพที่ถูกผ่ากลางขาดเป็นซีกหมดทุกนัด
และร่วงหล่นสู่พื้นทรายจนไม่มีนัดไหนๆ ฝ่าเข้ามาถึงแท่นประหารเลย
เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ทั้งหมดอยู่ในสายตาของ คามิโอ และ เซเวอร์ ซึ่งกำลัง
มองดู ความโกลาหลเบื้องหน้าด้วยอาการนิ่งเฉย
“ เมื่อกี้เป็นภาพที่งดงามมาก ในเวลาชั่วเสี้ยว วินาที จากความเร็วดั่งเงา กลายเป็น ความเร็วแสง
สมกับเป็น โซล่าอีคริปส์ พัฒนาขึ้นมาจากลูน่าอีคริปส์ แบบคนละชั้นเลยทีเดียว เจ้าหนูตัวแดงนั่น
พุ่งเข้าไปตัดกระสุนทุกเม็ดทีละเม็ดจนครบในเวลาแค่ 0.0000000 อีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้
มิลลิวินาทีเลยทีเดียวเชียวล่ะ~~~ ”
บุรุษอีกา เปรยพร้อมกับเบี่ยงสายตาไปทาง เด็กหนุ่ม ที่อยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ ข้าเคยเห็นเขาเป็นแบบนี้ตอนที่เล่นเกมที่เรียกว่าการ์ดพลัง เรจิ ชอบที่จะจับคู่การ์ดหลายๆใบ
มาสร้างรูปแบบสำหรับเอาชนะในเกม นั่นคือที่มาของการประยุกต์พลังเลียนแบบนี่ให้น่ากลัว
ได้ขนาดนี้สินะ ”
เซเวอร์ เปรยพร้อมกับนึกทบทวนถึงหลายๆครั้งที่เขา เฝ้าดู เรจิ ตอนเล่นการ์ดเกม กับพวก นิโค่
การละเล่นแบบเด็กๆ กลับกลายเป็นกุญแจสำคัญของเชิงยุทธ์ที่น่ากลัว ตามที่กำลังเห็นอยู่ในขณะนี้
ระดับของความน่ากลัวซึ่งเขาตีค่าไว้ส่งผลให้ มือไม้สั่นระริก ในตอนนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็
ไม่แน่ว่าอาจจะหยุด เรจิ เอาไว้ไม่ได้
ท่ามกลางความโกลาหลเช่นนี้ เร็กกุ สั่งให้พลธนู ตั้งคันศรแล้วเล็งยิงไปที่หมาป่าแดงอีกครั้ง
ลูกศรนับร้อยๆดอก ดีดตัวออกจากโก่งธนู ขึ้นสู่อากาศ
เรจิ เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับมันแล้ว สายตาซุกซนกลิ้งกรอกอยู่ในเบ้าตาควานหาในหมู่สัตว์หาง
จนเจอกับ ยุวราชแห่งแสง ที่พื้นทรายเบื้องล่าง กำลังร่ายรำควบคุม อาวุธศักดิ์สิทธิ์
“ คอมโบ! Triple Cast Instant Cast Mana Burn ทริปเปิลมานาเบิร์น!! ”
***************Mana Burn x3****************
สิ้นคำหมาป่าแดง ยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังร่างของ ยุวราช แล้วไอควันก็พวยพุ่งออกจากร่างของนาง
กษัตริยา หยุดการร่ายรำเอาไว้ด้วยความฉงน ก่อนจะทันรู้ตัวว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ของนาง
ได้มลายหายไปกลางอากาศเสียแล้ว
“ ชิ….เมื่อกี้เจ้านั่น เผาพลาญพลังจิตใจของข้างั้นรึ… แบบนี้พลังที่จะคงศาสตราทั้งสี่ไว้ก็…”
กษัตริยา ขบฟันกรอด เมื่อไร้สิ้นพลังที่จะกลั่นมานา มาใช้ก็ไม่อาจคงไว้ซึ่งอาวุธทั้งสี่ได้
บัดนี้ เรจิ ได้ย้อนศรการผนึกการใช้มานา มาใส่ตัวเธอเองเสียแล้ว
เบื้องหลังของนางนั้น สังฆราชเร็กกุ ก็เริ่มเตรียมการบางอย่าง เขาร่ายมนต์ด้วยเสียงอันแผ่วเบา
จนไม่มีใครได้ยิน
“ ข้าขอวิงวอนต่อ ราชันย์แห่งวิญญาณ……….. ”
ขณะเดียวกัน ศาสตราทั้งสี่ซึ่ง เรจิ เป็นผู้อัญเชิญมา ก็ถูกดึงกลับมาจากการปะทะกับ ศาสตราของ
กษัตริยาที่พึ่งหายไป เขานำพวกมันมาเรียงแถวอยู่ต่อหน้า แล้วให้ทั้งสี่ชิ้นหมุนควงเหมือนใบพัด
กังหันลมก่อนจะเริ่มสิ่งที่เตรียมการไว้รับมือกับ ฝนธนูที่กำลังจะตกลงมา
“ คอมโบ! Triple Cast Instant Cast Soul of Arm ข้าขอน้อมรับวิญญูศาสตรา! ทริปเปิลโซลออฟอาร์ม!! ”
********************Soul of Arm x 3******************
สิ้นคำ อาวุธทั้งสี่ซึ่งเรียงแถวก็ แตกตัวเพิ่มจำนวนออกมาอีกรวมเป็นสามชุด ศาสตราศักดิ์สิทธิ์
ทั้ง 12 ชิ้นซึ่งกำลังหมุนควง ทำหน้าที่เสมือนพัดลมเป่าลูกศรให้กระเด็นออกไป
บัดนี้ศาสนจักร จนปัญญาที่จะทำอะไรแล้ว ไม่ว่าจะวิธีใดๆก็ไม่อาจโค่น หมาป่าแดงลงได้เลย
“ ……ด้วยพันธะสัญญาอันเป็นนิรันด์ …… ”
เสียงพึมพำในลำคอของ สังฆราชเร็กกุ ดึงให้ทุกสายตาหันมาจับจ้อง กษัตริยา ถลึงตามอง
ไปที่เขาด้วยความตระหนก ด้วยความรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่า สิงโตทะเลตรงหน้ากำลังจะทำอะไร
โดยไม่ทันคิดหรือ วินาทีนี้ไม่ว่าศักดิ์ศรี หรือ ฐานะ ก็ไม่สำคัญเท่ากับหยุดสิ่งที่ เร็กกุกำลังจะทำ
ยุวราชแห่งแสง เข้าไปจับไหล่ทั้งสองข้างของ สังฆราชสิงโตทะเล
แล้วพูดใส่หน้าเขาจนทุกหางต่างก็พากันมองด้วยสายตา ตื่นตระหนก
“ ท่านทำบ้าอะไรน่ะ! คิดจะฆ่าพวกเราทั้งหมดที่นี่รึไงกัน!! ”
แต่ทว่า เร็กกุ ก็ยังไม่ยอมหยุดกระซิบในลำคอ แต่กลับเปล่งเสียงดังยิ่งขึ้น ดังกึกก้อง
“ ……โปรดมอบพลังแก่ข้า หยาดน้ำตาแห่งความวิบัติ ”
ดวงตาของ สังฆราชสิงโตทะเล นั้นเหม่อลอยราวกับเขาไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไรอยู่
ความตื่นตระหนก ซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ถาโถมสู่หัวใจ นับแต่ก้าวเข้ามาใน ดินแดนแห่งทรายกระจก นี้
บีบคั้นจิตใจและบดขยี้ซ้ำด้วยความเครียดจากพิธีประหารที่ไม่เป็นไปตามแผน
ปากจึงได้ลั่นคาถาอาคมไปอย่างไร้สติ มานาในบรรยากาศทั้งหมดกลั่นตัวเป็น
ละอองแสง ล่องลอยขึ้นไปสูง ทะลุเมฆจนหายลับไปจากสายตาของพวกเขา
…………………………………………..
เหนือชั้นบรรยากาศ สถานที่อันว่างเปล่าที่มีแต่ความมืดมิด อวกาศอันกว้างใหญ่ เศษหิน
และก้อนหิน มีมากมายหลากหลายขนาดตั้งแต่ เล็กเท่ากรวด ไปจนถึงขนาดเท่ากับภูเขา
พวกมันคือเศษซากของ อุกกาบาต ซึ่งลอยอยู่นอกวงโคจรของโลก
ละอองแสงมานา ซึ่งลอยขึ้นมาจาก พื้นผิวโลกจับเข้ากับกลุ่มหินเหล่านั้น แล้วดึงให้มารวม
กันเป็นก้อนๆเดียว กลุ่มของหินก่อตัวขึ้นจนมีขนาดใหญ่เท่ากับภูเขาสองลูกซ้อนกัน
ละอองมานาเหล่านั้นยังดึงดูดมันให้เข้าสู่วงโคจรของโลก
………………………………..
กลับมาที่พื้นโลก กษัตริยา ยังคงไม่ปล่อยมือ ออกจากไหล่ของ สังฆราช ร้อนถึง เอนกิดู ไบซัน
ร่างยักษ์ผู้เป็นสหายของนาง ต้องเข้ามาแยกนางออกก่อน เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่า
นางต้องการจะทำอะไร เพราะเมื่อมองดูแล้ว จะเห็นเพียงแค่ เร็กกุ กำลังพึมพำอะไรอยู่กับตัวเอง
ส่วน กษัตริยา เป็นผู้ที่เข้าไปหาเรื่อง ด้วยตรรกะตามปกติแล้วก็ต้องแยกเอา นางออกมาก่อน
“ เอนกิดู! ปล่อยข้านะ! ข้าต้องหยุดมัน! ”
ยุวราชแห่งแสง ดิ้นพรวดๆอยู่ในอ้อมกอดของ สหายไบซัน หมายจะสลัดให้หลุดเพื่อเข้าไป
จัดการกับ เร็กกุ ซึ่งนั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะเขารัดตัวนางเอาไว้อย่างแน่นหนาแล้ว
ไม่มีทางที่ แกะสาวผู้ไร้ซึ่งพลังเวทย์ในยามนี้ จะหลุดออกไปได้ด้วยตัวเอง
แม่ทัพเหยี่ยว บินลงมาเพื่อดูสถานการณ์ด้วยความฉงน ก่อนจะพูดกับนางด้วยเสียงกระด้าง
“ ท่านกษัตริยา ท่านเป็นอะไรไป สงบใจก่อนเถิด ”
“ เจ้าให้ข้าสงบใจได้อย่างไร เจ้าไม่รู้รึว่า สิงโตทะเลนั่นมันเสียสติไปแล้ว มันจะฆ่าพวกเราทุกคน!!! ”
อิทารุส เลิกคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง คือปฏิกิริยาตอบรับจากคำพูดของนาง คำว่า ‘เสียสติ’
ดูเหมือนจะต้องใช้กับนางเสียมากกว่า ทุกสายตาที่จับจ้องอยู่ก็คิดเช่นนั้น
จนไม่มีใครทันสังเกตุ ละอองแสงมานา ที่ลอยกลับมายังทะเลทราย ละออง
เหล่านั้นเรียงตัวกันจนเป็นลำแสงส่องลงมาที่จุดๆหนึ่งบริเวณแท่นประหาร
ฟ้าววววววววววววววววววววววว
เสียงหวีดหวิว ของสายลมแปรปรวนและพัดกระหน่ำเอาทรายบนพื้นลอยขึ้นในอากาศ
ทุกสายตาจึงได้เงยขึ้นไปยังเบื้องบน บนท้องฟ้านั้นบางสิ่งกำลังแหวกหมู่เมฆลงมา
มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนเห็นได้อย่างชัดเจน
สังฆราชสิงโตทะเล ยังคงไม่ยอมหยุดปาก และท่องคาถาด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีก
“ …… จงหลั่งไหล! จงกลืนกิน! จงจบสิ้น! ทุกสรรพสิ่ง! นั่นคือคำพิพากษาสุดท้าย!! เมเทโอร่า! ”
===============Meteora=============
ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้าที่ซิ่ง เซเวอร์ กับ คามิโอ ก็มองดูเหตุการณ์อยู่นี้ ทั้งสองเริ่มขยับตัวกันแล้ว
“ โอ๊ะโอ๋ แบบนี้ไม่ดีแน่~~~~ ” บุรุษอีกา เปรยพลางตีหน้าซื่อมองดูก้อนศิลาขนาดเท่าภูเขา
กำลังใกล้เข้ามาจากด้านบน
สายตาทุกคู่เบิกกว้าง ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลย ความเงียบเข้าปกคุลมบรรยากาศทั้งหมด
จนได้ยินแต่เสียงหวีดหวิวของสายลมเท่านั้น
“ หน….หนีเร็ว!!!!!!!!!!!!!!!!! ”
ทันทีที่เสียงตะโกนนั้นดังขึ้น ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความโกลาหล ทุกหางพากันวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
ไม่มีใครสนยศฐาบรรดาศักดิ์ แม้จะต้องเหยียบหัวผู้นำ ก็จะวิ่งหนีไปให้พ้น กลุ่มก้อนของสัตว์หาง
แตกกระจายออกเหมือนฝูงผึ้งแตกรัง
“ ฮ่าๆๆ ข้าจะสังหารพวกลูกหลานของซาตานด้วยมือของข้าเอง ”
เร็กกุ เปรยสายตาเลื่อนลอย ราวกับคนเสียสติ เขาทรุดตัวคุกเข่าลงบนทราย ท่ามกลางฝูงชน
ที่หนีตายกันจ้าละหวั่น มองดู อุกกาบาตยักษ์บนฟ้าไปก็พลางยิ้มไป จนเมื่อสายตานั้นเลื่อน
ลงมาหยุดที่ร่างสีแดงเพลิงของ เรจิ มันก็เบิกกว้างออก
“ ทำไม….ทำไมกัน…. ” ร่างเล็กพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา สายตาเลอะเลือนนั้นก็จับจ้องอยู่
แต่ร่างของ หมาป่าแดง ที่ยืนประจันหน้าท้าทายต่ออุกกาบาตอย่างไม่เกรงกลัว
ความช็อกนี้ แทบจะทำให้เขาคืนสติ หยาดน้ำใสหลั่งไหลออกจากดวงตากลมๆของสิงโตทะเล
“ เจ้าไม่กลัวบ้างเลยรึ…. ” ร่างเตี้ยป้อม นั้นก้มตัวมุดหัวลงกับพื้นดินในใจ ก็ได้แต่ติเตียนตัวเองซ้ำไปซ้ำมา
ข้าทำบ้าอะไรลงไป! ข้าทำบ้าอะไรลงไป! ข้าทำบ้าอะไรลงไป! ข้าทำบ้าอะไรลงไป!!!!!!!!!!!!!!!!!
………………………………………………..
บนแท่นประหาร หมาป่าดำ พยายามแก้มัดให้กับ ลิงสีแดง ผู้เป็นน้องชาย
เพื่อจะหนีไปจากที่แห่งนี้ แต่เวลาก็ดูจะไม่เอื้ออำนวย อุกกบาตอยักษ์กำลังจะตกลงมาในอีกไม่กี่วินาที
แต่การแก้มัดเชือกก็ไม่ได้ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย ความเหนียวของเชือกมากเกินกว่าที่ แรงงัดดาบของ
ทอล จะตัดมันให้ขาดได้
“ ไม่ไหวหรอกเชือกมันเหนียวมาก พี่รีบหนีไปเถอะ! ” โลกิ พูดด้วยอาการลนลาน
“ เลิกพูดเรื่องบ้าๆได้แล้ว ฉันถ่อมาถึงนี่ เรื่องอะไรจะกลับไปตัวเดียวล่ะ ให้แลกด้วยชีวิตก็
จะลากนายกลับไปให้ได้เลย ” ทอล สบถพร้อมกับออกแรงงัดดาบตัดเชือกให้มากกว่าเดิม
แม้จะซาบซึ้ง แต่เวลามีเหลือไม่มากนัก ลิงหนุ่มหันมาขอร้องกับ ร่างสีแดงตรงหน้าแทน
“ เรจิ ขอร้องล่ะ นายรีบพาพี่หนีไปที ถ้าเป็นสปีดของนายล่ะก็ต้องหนีพ้นแน่…. ”
“ เงียบ!!!! ” เสียงนั้นทำให้สองพี่น้องสะดุ้ง ร่างสีแดงเพลิงเจ้าของเสียงจึงพูดต่อทันที
“ เรจิ บอกแล้วไงว่าจะช่วยเอง…จะช่วยทุกคนเลย เพราะว่า เรจิ จะเป็น เซเวอร์ของทุกคน
เป็น เทลอาโพคาลิปส์(Tails Apocalypse)! ”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความตั้งใจอันหนักหน่วง แววตาของเขาไม่ได้ฉายแววแห่งความสิ้นหวัง
หรือท้อแท้ต่อสถานการณ์นี้เลย
“ Triple Cast ” ร่างสีแดงยื่นดาบในมือขึ้นพร้อมกับ ร่างกายเปลี่ยนเป็นสีฟ้าน้ำทะเล
“ Thousand Shot ” มืออีกข้างยื่นดาบขึ้นมาเสมอมือแรก ตั้งท่าจับดาบเหมือนกับจับปืนคู่
แบบเดียวกับที่ อิทารุส ทำ
“ เทคนิกแอดวานซ์ อินฟินิตี้ชอต!!! ”
*************Infinity Shot************
ดาบทั้งสองมือของเขา ขยับลั่นสนั่นได้ราวกับปืนลั่นไก มานากลั่นตัวขึ้นทุกครั้งที่ดาบลั่น
และกลายเป็นเม็ดกระสุน พุ่งขึ้นไปมากมายนับไม่ถ้วน
จังหวะพอดีกับที่แม่ทัพเหยี่ยว ผู้กำลังบินอยู่เหนือฝูงชน ทันเห็นคำตอบของทฤษฏีที่เขา
เคยคิดเอาไว้พอดิบพอดี
/อะไรกันวิชาของข้า….หมายความว่าต่อให้กระจกไม่สะท้อนภาพ
ของข้าหรือเจ้าไม่เห็น แต่ถ้าเกิดว่าใช้ท่าวิชาในเขตแดนแห่งนี้…เจ้าก็เรียนรู้ได้ทั้งหมดงั้นรึ/
แม้จะบินขึ้นไปสูงเสียจนไม่มีสิ่งใดจะมาจับตาการใช้ท่ายิงหนึ่งพันนัด ก็ตามทีทว่าสิ่งที่
จับจ้องอยู่ตลอดเวลาคือ มิติแห่งนี้ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตามตราบใดที่อยู่ที่นี่ ไม่มีอะไรจะ
ลอดไปจากสายตาของ เรจิ ได้
และคำตอบที่ว่าก็คือบรรดา ห่ากระสุนที่เข้าปะทะกับอุกกาบาตทั้งปาดและเฉี่ยวกระเทาะ
จนขนาดของอุกกาบาตลดลง ทว่าเมื่อกระสุนทั้งหมดหยุดยิง ขนาดของมันก็ยังมากพอ
จะกวาดล้างลานประหารทั้งหมดได้อยู่ดี
“ Celestial Splitter ”
พลันท้องฟ้าทิศที่อุกกบาตตกลงมาได้สะบั้นออกจากกัน เสมือนกับว่า เวลาได้หยุดลงไปชั่วขณะหนึ่ง
อกุกาบาตทั้งลูกที่กำลังร่วงหล่นกลับค้างเติ่งอยู่บนท้องฟ้าทั้งแบบนั้น
จนเมื่อรอยสะบั้นของท้องฟ้าสมานตัวกันดังเดิมแล้ว อุกกาบาตลูกมหึมา จึงขาดออกจากกัน
แล้วแตกสลายเป็นเถ้าธุลี โปรยปรายลงสู่พื้น โดยที่ไม่อาจทำอันตรายแก่ใครได้อีก
เบื้องหลังของอุกกาบาตที่ได้แปรสภาพเป็นขี้เถ้าแล้วนั้น เด็กหนุ่มนามเซเวอร์ ยืนทรงตัวอยู่ในอากาศ
ซึ่งในมือของเขากุมดาบสั้นอัญมณีฟ้าฟื้น เอาไว้ ฝีมือการทำลายอุกกาบาตนั้นเป็นของเขาเอง
ร่างสูงนั้นขยับเท้าก้าวเดินในอากาศเหมือนเดินอยู่บนพื้นดิน เขยิบเข้าไปใกล้กับแท่นประหาร
จนมาหยุดอยู่ต่อหน้า เรจิ
“ ในที่สุดนายก็ตัดสินใจเสียทีนะ เรจิ ถ้างั้นก็มาเริ่มกันที่นี่เดี๋ยวนี้เลยเถอะ อาโพคาลิปส์(Apocalypse) น่ะ ”
สิ้นคำ เด็กหนุ่มก็ ฟาดคมดาบใส่ เพื่อนหมาป่าแดงอย่างไม่ลังเล
………………………………………………………………
………………………………
ย้อนกลับไปเมื่อ หลายนาทีก่อนหน้านี้
ภายนอกโลกสมมติ บัดนี้ลานประหารกลายเป็นพื้นที่หิมะคลุมขาวโพลนกว้างๆเรียบๆ
โดยไม่มีสิ่งใดตั้งอยุ่บนลานแห่งนี้เลย ทั้งสัตว์หางที่รายล้อมอยุ๋บริเวณนี้ และ แท่นประหารสูง4เมตร
ทั้งหมดอันตรธานหายไปจากที่แห่งนี้ ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าจำนวนมากมายบนพื้นหิมะ
“ แสงเมื่อกี้ทำเอาใจหายแวบเลย พับผ่าสิแถมทุกคนก็โดนมันกลืนหายไปหมดอีก มันแสงอะไรกันนะ ”
เสียงบ่นพร่ำเพรื่อจากปากของ แมวหนุ่มคอย์น ผู้เดินไปมาอยู่บนลานหิมะนี้
ฟ้าวววววววว
เสียงหวีดหวิวของสายลม บาดลึกเข้าสู่โสตประสาทพร้อมๆกับที่ เกล็ดหิมะซึ่งโปรยปรายอยู่รอบตัว
พัดกระจายปลิวไปคนละทิศละทาง ด้วยความสงสัย แมวหนุ่มไม่ลังเลเลยที่จะแหงนหน้าขึ้นมอง
แล้วสายตาช่างสงสัยนั้น ก็ได้ฉายภาพของภูเขาอุกกาบาต กำลังจะเข้ามาสัมผัสกับใบหน้าของเขาอยู่
รอมร่อ แมวหนุ่มอึ้งจนพูดไม่ออก ร่างการแข็งทื่อเป็นหินไม่ขยับกระดิกแม้แต่น้อย
หากไม่ใช่ว่า ลูกอุกกกาบาต นั้นหายไปในช่องว่างอากาศ ที่อยู่ห่างจากใบหน้าของเขาในระยะ
แค่ไม่กี่มิล เขาคงได้แบนเป็นกล้วยทับแน่ๆ ไอร้อนจากการเสียดสีกับชั้นบรรยากาศแผ่ออกมาจาก
หินร้อนตรงหน้า จนใบหน้าแดงระเรื่อและร้อนผ่าว เขายืนแข็งทื่ออยู่แบบนี้มา เป็นเวลากี่นาทีแล้ว
เจ้าตัวก็ไม่อาจทราบ แม้ว่า หินอุกกาบาตจะ อันตรธานหายไปจากตรงหน้าแล้วก็ตามที
……………………………………………………………………………
……………………………..
ภายในมิติแห่งสรรพวิชาไร้ขีดจำกัด
ไคล์แมกซ์หลักของโศกนาฏกรรมแห่งพิธีประหาร เปลี่ยนจากงานโชว์พลังของ หมาป่าแดง เป็น
การห้ำหั่นกันด้วยคมดาบของคู่หู เมื่อเซเวอร์ได้ฟาดดาบใส่ เรจิ
ดาบทองคำซึ่งเสกออกมาจาก วิชา Divinity Sword ที่ลักจำมาจาก กษัตริยา เรจิ ใช้มันทั้งสองเล่ม
ยันกับดาบฟ้าฟื้น ของ เซเวอร์ พร้อมถามกลับด้วยความฉงน
“ เซเวอร์ จะทำอะไรน่ะ!? ”
ระหว่างนี้ ดาบสั้นก็ได้กดดาบทองคำคู่ ให้ถอยกลับเข้าหาผู้เป็นนาย เรี่ยงแรงของ เด็กหนุ่ม
มีมากกว่าที่เห็นจากร่างกายอันบอบบาง เรจิ กัดฟันเค้นแรงทั้งหมดเท่าที่มีออกมาผลักดาบกลับออกไป
แต่ส่วนต่างของพลังนั้นยังมีอยู่มาก ระยะของดาบไม่ได้ขยับออกไปจากเดิมเลย
“ นายพูดเองแล้วนี่! ว่าจะเป็น เทลอาโพคาลิปส์ ถ้างั้นระหว่างเราก็มีแต่ต้องต่อสู้กันเท่านั้น ”
เด็กหนุ่มตอบ พร้อมกับใช้เท้าถีบยันใส่ลำตัวของเพื่อนตัวแดง จนหงายหลังล้มกลิ้งไป
“ Κενότητος ἀστράπσατω δὲ τεμέτω! ”(เคโนเททอส แอสทรัฟซาโต้ เด เทเมโท่! )
[จงมา มหาราชอัสนีบาต ผู้มาจากอนัตตา จงมาพล่าผลาญอริข้าให้สิ้นไป ]
บทร่ายแห่งเวทมนต์กล่าวออกมาโดย เด็กหนุ่มแล้วมือขวาจึงกำหมัดชูขึ้นเหนือศรีษะ
ก่อนจะกางนิ้วชี้ออก
ครืนนนนนนนนนนนนนน!!!!!!!!!!!
บนท้องฟ้าเมฆาทมิฬ ก่อตัวขึ้นมากมาย เหนือแท่นประหารประกายสายฟ้าแล่นแปลบปราบ
ฟ้าร้องครืนๆ ราวกับจะขย่มขวัญหมาป่าแดง
มือของเด็กหนุ่มสะบัดลงแล้วชี้นิ้วไปยัง หมาป่าแดงที่นอนคู้ตัวกองอยู่บนพื้นจากที่ถูกถีบใส่ท้อง
“ Δίος τύκος! ”(ดิออส ทูวคอส) [ขวานอัสนีบาตกัมปนาท!]
เปรี้ยงงงงงงงงงงงง!!!!!!!!!!!!!!!
สิ้นคำ หมู่เมฆาทมิฬก็บันดาล สายฟ้าฟาดลงมายังแท่นประหารแสงสายฟ้ารวมตัวกันจนเห็นเป็นลำแสงก่อนจะไหลลงสู่พื้นแท่นประหาร แล้วย่างสด เรจิ ในทันที
“ कुर्म ”(Kurma)
เซเวอร์ ลั่นเสียงโดยพลันเมื่อบนพื้นแท่นประหารหลังจากลำแสงสายฟ้าเผาพลาญปรากฏเพียง
รอยไหม้จางๆบนพื้นเท่านั้น คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้อากาศรอบๆแข็งตัวกลายเป็นวัตถุโปร่งแสง
ล้อมร่างของเขาไว้เหมือนลูกแก้ว การที่เด็กหนุ่มถอยมาป้องกันกระทันหันเช่นนี้ เป็นเพราะ
มีเพียงเขาที่มองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนสายฟ้าจะทันฟาดใส่ร่างของ เรจิ
นั้นคือคำอธิบายสำหรับแสงสีแดงซึ่งแล่นแปลบปลาบ วนไปรอบแท่นประหารแห่งนี้
“ ความว่องไวที่จะหลบขวานอัสนีบาตความเร็วแสงให้พ้นได้ก็มีแต่ความเร็วแสง
ด้วยกันเท่านั้น โซล่าห์อีคริปส์ งั้นสินะ เรจิ! ”
เซเวอร์ พูดพร้อมกันนั้น เหล่าศาสตราทองคำ จากวิชา Soul of Arm ซึ่งเคยทำหน้าที่เป็นกังหัน
เป่าลูกศร ก็เปลี่ยนเข้ามาบุกโจมตีใส่เขา จากทุกทิศทาง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ไม่มีศาสตราชิ้นใดเลย
ที่เข้าถึงตัวของเด็กหนุ่ม พวกมันถูกสะกัดกั้นไว้ด้วยกำแพงอากาศทรงกลมที่มองไม่เห็น
ซึ่งล้อมรอบตัว เขาอยู่
และแล้ว แสงสีแดงที่วนอยู่ลานประหารก็หักลำพุ่งเข้าหา เซฌวอร์ประกายไฟสีดำปรากฏขึ้น
บนแสงสีแดง ในเสี้ยววินาทีก่อนที่จะปะทะเข้ากับ กำแพงอากาศซึ่งคุ้มครองเด็กหนุ่มอยู่
ทันทีที่แสงสีแดงนั้นหยุดลง ร่างที่แท้จริงก็ปรากฏขึ้น ร่างของหมาป่าที่ฉาบไว้ด้วยคราบมานาสีดำ
จนกลายเป็นเงาแต่เงาก็ยังมีรัศมีแสงส่องประกายเรืองรองออกมา จนดูเหมือนกับปรากฏการสุริยุปราคา
และสีของประกายไฟสีดำที่ปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้ก็คือ วิชาเจาะทะลวงที่ เรจิ ถนัด Dark Edge นั่นเอง
แม้ว่าที่ผ่านๆมา เมื่อใช้วิชานี้แล้วก็ไม่มีเคยมีปราการใดๆที่ป้องกันจากคมดาบอัคคีดำนี้ได้
แม้จะเป็นกำแพงอากาศของ เซเวอร์ ก็ตามทว่ามีเพียงคมดาบที่อาบไว้ไฟสีดำเท่านั้น
ที่ทะลุผ่านกำแพงอากาศไป ตั้งแต่โกร่งดาบรวมไปถึงร่างของ เรจิ ไม่สามารถผ่านกำแพง
อากาศเข้าไปได้แล้วใบดาบก็ยาวไม่พอที่จะเข้าไปถึงตัวของเด็กหนุ่มอีกต่างหาก
“ กุรมา(Kurma) คือหนึ่งในความสามารถ 10 อวตารของข้า กุรมาวตาร คือเต่ายักษ์ที่ใช้กระดองรับเอาเขามันทระ ในพิธีกวนเกษียรสมุทร ความยิ่งใหญ่จากภาคอวตารนั้น คือพลังของการป้องกันสมบูรณ์แบบ
นี้ยังไงล่ะ ”
เซเวอร์เปรยพร้อมกับย่างสามขุมเข้าไปหา ร่างของเพื่อนหมาป่าแดง ผู้พยายามดึงเอาดาบทองคำซึ่ง
เสียบคาอยู่บนกำแพงอากาศ มือของเด็กหนุ่ม ยื่นไปจับข้อมือซึ่งกำลังดึงดาบออก
สัมผัสของมานาสีดำที่เคลือบร่าง เรจิ ส่งผ่านมายังมือความร้อนที่ทำให้เนื้อสุกได้
หากไม่ใช่ว่า กุรมา หรือพลังสร้างกำแพงอากาศนี้ คอยคุ้มครองเขาอยู่โดยจับตัวเป็น
เยื่อหุ้มบางๆเคลือบทั้งร่ากายของเขาการสัมผัสร่างที่ร้อนระอุของ เรจิ คงเผาร่างเขาจนสุกไปแล้ว
ความร้อนจากมานาที่เคลือบร่างของ เรจิ คือสาเหตุที่มันส่องรัศมีแสงออกมา
เพราะเมื่อเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ร่างกายก็จะเสียดสีกับอากาศมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายของผู้ใช้วิชาไหม้เป็นจุลไปในระหว่างเคลื่อนไหวด้วยความเร็วแสง มานาจึงถูกกลั่นมาเคลือบตัวเพื่อเป็นฉนวน
กันความร้อนจากการเสียดสี โดยดูดซับเอาความร้อนไม่ให้เข้าถึงส่วนผิวหนังที่อยู่ข้างใน
“ พูดไปแล้วก็ประจวบเหมาะเหลือเกินที่วิชาของนายกับ กุรมาวตารของฉัน มีความเกี่ยวข้องกัน
ตามเรื่องเล่าของตำนานกวนเกษียรสมุทร เพราะในนั้นกล่าวถึงการกำเนิดของ ราหูกินจันทร์และกินอาทิตย์
จนเป็นที่มาของ จันทรุปราคา และ สุริยุปราคา แถมวิชาของพวกเราทั้งคู่ยังเป็นชื่อของปรากฏการณ์
เหมือนกันอีกต่างหาก หึๆๆ สมแล้วที่เป็นสหายของฉัน บางทีเราสองคนชาติก่อนอาจจะ
เคยเจอกันมาก่อนก็ได้ ”
เด็กหนุ่มพูดเสียงระรื่นอย่างสนุกปาก แม้จะอยู่ในการต่อสู้แต่ความสุนทรีย์ของ เขาก็หาได้หมดไป
“ เรจิ จะเป็นเทลอาโพคาลิปส์ แต่การต่อสู้กับ เซเวอร์ ยังไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้ เรจิ อยากจะช่วย ทอล ก่อน! ”
หมาป่าแดง ตัดใจสละดาบทองคำเล่มที่เสียบคากำแพงอากาศ แล้วสลัดมือของ เซเวอร์ ออกจาก
ข้อมือของตนแล้วพุ่งทะยานหนีออกมากับดาบทองคำอีกเล่มในมือด้วยความเร็วแสง จนกลายเป็น
เส้นแสงสีแดงวิ่งวนไปมารอบแท่นประหารอีกครั้ง
ระหว่างที่วิ่งด้วยความเร็วแสง เรจิ ได้สั่งให้ศาสตราทองคำทั้ง 12 ชิ้น บุกเล่นงาน เซเวอร์ เป็นครั้งที่สอง
“ Κενότητος ἀστράπσατω δὲ τεμέτω! Δίος τύκος! ”
(เคโนเททอส แอสทรัฟซาโต้ เด เทเมโท่! ดิออส ทูวคอส)
[จงมา มหาราชอัสนีบาต ผู้มาจากอนัตตา จงมาพล่าผลาญอริข้าให้สิ้นไปขวานอัสนีบาตกัมปนาท! ]
เด็กหนุ่ม กล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วยกมือขึ้นก่อนจะสะบัดลงมาที่ตัวเอง ลำแสงสายฟ้าฟาดลงมา
ยังที่ๆ เขายืนอยู่พร้อมกับระเบิดอาวุธทองคำทั้ง 12 ชิ้น ที่พุ่งเข้าหาจนแตกสลายเป็นละอองแสงแห่งมานา
ลอยหายไปในอากาศ เบื้องหลังการระเบิดของสายฟ้านั้นทิ้งไว้เพียงรอยไหม้จางๆ ไม่มีวี่แววของ
เซเวอร์ผู้ ร่ายสายฟ้าฟาดใส่ตัวเอง แต่กลับปรากฏแสงสว่างสีทอง แล่นปราดเข้าหาแสงสีแดง
ที่กำลังวิ่งวนอยู่รอบแท่นประหาร
แสงทั้งสองแล่นเข้าปะทะกันแล้วสะท้อนออกไปกันคนละทิศ ก่อนจะแล่นกลับมาปะทะกันใหม่
ซ้ำไปซ้ำมา แสงทั้งสองสีวิ่งลงบันไดแท่นประหารลงมาสู่พื้นทะเลทรายเบื้องล่าง แล่นตัดหน้า
เหล่าทหาร แม่ทัพ พวกมันแล่นไปทุกที่อย่างรวดเร็ว เท่าที่ทะเลทรายแห่งนี้จะมีให้วิ่งได้
ทุกสายตาของสัตว์หางในทะเลทรายแห่งนี้ ล้วนเป็นพยาน หมาป่าแดงและเด็กหนุ่ม
ทั้งคู่กำลังประหัดประหารกันด้วยความเร็วแสง จนยากที่สายตาจะมองตามทัน ว่าเกิดอะไรขึ้น
ในเสี้ยววินาที อาจจะเกิดการประดาบมากกว่า ร้อยครั้ง เพราะทุกครั้งที่เส้นแสงทั้งสอง
เข้าปะทะกันจะเกิดประกายไฟแลบขึ้นมา
ในโลกแห่งความเร็วแสง
เรจิ เป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ การต่อสู้ด้วยความรวดเร็วเช่นนี้ การใช้ท่าวิชาใดๆก็ตามจะกลายเป็นการเปิดช่องให้อีกฝ่ายบุกเข้ามาในจังหวะที่หยุดนิ่ง การดวลความเร็วแสงนั้นแค่เพียงเสี้ยววินาทีก็อาจตัดสินผลได้
เทียบกันแล้วฝ่ายเซเวอร์ ซึ่งมีพละกำลังมากกว่าย่อมได้เปรียบเพราะไม่ต้อง ใช้ท่าวิชาอะไรมากมาย
ลำพังแค่เชิงดาบก็เป็นต่อเขาแล้ว อีกทั้งร่างกายของ เซเวอร์ ยังฉาบเอาไว้ด้วยกำแพงอากาศ
ซึ่งทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อนจากการใช้ความเร็วแสง ทำให้นอกจากดาบในมือที่ลุกไหม้ไฟสีดำ
เพียงเล่มเดียวแล้ว ไม่ว่าจะเตะจะต่อย ก็เข้าไม่ถึงตัว เซเวอร์ กลับกัน คราบมานาที่เคลือบร่างของ
เรจิ ช่วยกันได้แค่ความร้อนและเพิ่มความเร็วเป็นความเร็วแสงเท่านั้น
เซเวอร์ คอยระวังเพียงแค่ดาบของ เรจิ ในขณะที่ เรจิ ต้องระวังทั้งดาบและท่าร่างพวก หมัด เท้า
เข่า หรือ ศอก
ระหว่างนี้เองเวลาที่ได้ล่วงเลยผ่านไป โดยไม่รู้ตัว พื้นทะเลทรายกำลังเลือนหายไปท้องฟ้า
กลับมามืดสนิทอีกครั้ง อากาศร้อนอบอ้าวกลับคืนสู่ความหนาวเย็น
บัดนี้ โลกแห่งจิตใจของ เรจิ แดนแห่งสรรพวิชาไร้ขีดจำกัด ได้ถึงเวลาอันสมควรของมันแล้ว
ทุกหาง กลับคืนสู่ลานประหารในคืนหิมะพรายอีกครั้ง ในตำแหน่งเดียวกับก่อนที่จะถูกย้ายไปยัง
โลกแห่งจิตใจ
“ เหวย!! มากันจากไหนเยอะแยะเนี่ย! ”
คอย์น แมวหนุ่มผู้ยืนอยู่บนลานแห่งนี้ในตอนที่ ทุกหางยังอยู่ที่ แดนแห่งสรรพวิชาไร้ขีดจำกัด
หลังจาก เหตุการณ์อุกกาบาตพุ่งตัดหน้า ตอนนี้เขาต้องมาเป็นพยานของปรากฏการณ์สุดช็อก
ของการโผล่มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ของเหล่าศาสนจักร และเมื่อเขาสังเกตุเห็น ก็พบว่าบางอย่าง
ดูแปลกตา ทุกหางไม่มีใครพูดหรือทำอะไรแต่กำลังมองดูอะไรบางอย่างอยู่ ด้วยความสงสัย
จึงหันไปมองตามทิศที่ทุกหางมองอยู่ และแล้วเขาก็ได้กลายเป็น 1 ในผู้ชมการประลองความเร็วแสง
ไปในที่สุด
แสงสว่างทั้งสองเส้นวิ่งตัดกันไปตัดกันมา วิ่งกลับขึ้นไปยังแท่นประหาร แล้วแสงสีแดงก็
ดับลง พร้อมร่างของ เรจิ ที่คราบมานาสีดำหลุดลอกออกไปหมดแล้ว ล้มกลิ้งลงไปยังพื้นบนแท่นประหาร
ต่อหน้าสองพี่น้อง ทอล กับ โลกิ เป็นเพราะ เขตแดนของเขาได้หยุดลง ความสามารถในการผสมผสานท่าวิชาจึง หายไปด้วยความเร็วในร่าง โวล่าห์อีคริปส์ จึงตกลงจนหายไปนั่นเอง
แล้วแสงสีทองที่ตามมาก็ดับลงด้วยเช่นกัน เซเวอร์ ผู้ซึ่งออกจากความเร็วแสงได้ปลดกำแพงอากาศ
ที่เคลือบร่างออก ไอควันจากความร้อนของการเสียดสี พวยพุ่งออกมาจนตลบอบอวลไปทั้งแท่นประหาร
ก่อนสายลมหนาวจะพัดเอามันออกไป เส้นผมสีทองซึ่งเซ็ตให้ชี้ตั้งไว้ด้วยเจลชุ่มเหงื่อจนย้อยตกลงมา
ปรกหน้า สภาพของเด็กหนุ่มเองก็โทรมอยู่ไม่น้อย เสื้อผ้าชุ่มเหงื่อจนเปียกแฉะ มือซ้ายที่ไม่ได้จับดาบ
เอื้อมไปปลดผ้าคาดเอวลายพรางซึ่งขาดวิ่นทิ้งไป มันเป็นเช่นนั้นเพราะถูกฟันด้วยดาบของ เรจิ
ในตอนที่ดวลความเร็วแสงกัน
ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยัง ร่างสีแดงซึ่งนอนราบอยู่แท่นประหาร กำลัง
ตั้งดาบทองในมือเป็นหลักค้ำยันตัวให้ลุกขึ้นยืน ลมหายใจอันร้อนผ่าวพ่นออกจากปากของ
หมาป่าแดง และกลายเป็นไอ ด้วยความหนาวเย็น
ขาทั้งสองข้างสั่นพั่บๆ ค้ำจุนร่างได้ไม่ดีนัก แต่ เรจิ ก็ยังฝืนต่อไป เขาชักดาบขึ้นจากพื้น
แล้วยื่นมันท้าทายต่อ เซเวอร์ ที่กำลังใกล้เข้ามา
เด็กหนุ่มมองค้อนไปยัง ทอล ที่กำลังมองพวกเขาอยู่เช่นกันก่อนจะฟาดดาบใส่พร้อมกับถามขึ้น
ด้วยเสียงอันดัง
“ เมื่อกี้นายพูดว่าอยากจะช่วยหมาป่าตัวนั้น…เพราะอะไรทำไมถึงอยากช่วย? ”
เรจิ ยกดาบทองคำขึ้นรับ เหตุการณ์เหมือนกับจะย้อนกลับสู่จุดเริ่มต้น
จุดที่ทั้งคู่ยืนอยู่คือ จุดเดียวกันกับที่ เซเวอร์ ฟาดดาบใส่ครั้งแรก
“ ญาติก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ไม่เชิง ความเกี่ยวข้องกันก็ไม่มี แล้วทำไมนายถึงจะต้องปกป้องมันด้วย! ”
เซเวอร์ ลั่นเสียงพร้อมกับออกแรงกดดาบอีก หมายจะยันให้ร่างสีแดงซึ่งสั่นเทิ้มไปทั้งตัวจากอาการ
เหนื่อยล้า ได้ล้มลงไปศิโรราบให้กับตน
“ เพราะ….. ” ปากของหมาปาแดงสั่นเทา จนน้ำเสียงสั่นตามไปด้วย
“ เพราะอะไร! ตอบมาสิ!! ” เด็กหนุ่มตะคอกเสียงดังจนทุกตัวได้ยิน ในเวลานี้
ไม่มีใครพูดหรือทำอะไรทุกสายตากำลังจับจ้องรอฟังคำตอบ หรือก็คือเหตุผลของการ
กระทำการใหญ่โตที่หมาป่าแดง ได้สร้างขึ้นในวันนี้
“ เพราะว่า เรจิ ชอบทอลน่ะสิ!!!!!!!!! ”
ชิ้ง~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
บรรยากาศของความเงียบสงัดอันน่าอึดอัดแผ่ขึ้นมาปกคลุมโดยรอบในทันที
แม้กระทั่ง เซเวอร์ ผู้เป็นเจ้าของคำถามก็ยัง ยืนงงเป็นไก่ตาแตก
“ เดี๋ยวนะไอที่ว่าชอบเนี่ย….หมายถึง…. ”
เด็กหนุ่มลดดาบลงแล้วถามกลับ ถึงจะตีความตามที่พูดตรงๆ แต่คำว่าชอบก็แปลได้อย่างกว้าวขวาง
นั่นคือ ชอบ ในแบบเพื่อน หรือ คนรัก หรืออาจจะชอบเพราะชื่นชม ไม่ว่ายังไงก็ตาม
ตอนนี้เขาต้องการคำอธิบาย คำว่า ‘ชอบ’ ตัวนี้อย่างที่สุด ถึงแม้เพื่อนหมาป่าแดง จะไร้เดียงสา
แต่จะพูดว่าชอบ ไม้ป่าเดียวกันมันก็ดูแปลกเกินไป
“ อื้อก็ ทอล น่ะเป็นหมาป่าเหมือนกับ เรจิ ไงก็ต้องชอบสิ ”
คำตอบของหมาป่าแดง สร้างความตกตะลึงแก่ เขาอีกครั้ง มันดูจะไร้สาระเสียเหลือเกิน
ที่จะสละตัวเองมาช่วยเหลือคนอื่นเพราะเหตุผลแบบนั้น
/ฉันคงลืมไปสนิท จะไปหาสาระอะไรกับหมอนี่กันนะ แต่ก็…เพราะแบบนี้แหละฉันถึงได้ไม่เคยโกรธนายลงซักที เรจิ/
เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มออกเล็กน้อย และผ่อนสีหน้าจากความเคร่งเครียดลง ก่อนจะ
ลั่นเสียงหัวเราะ ออกมา
“ ฮะๆๆๆๆ สมกับเป็นนายจริง…โอ้ยไม่ไหวแล้ว ฮะๆๆ ท้องแข็งไปหมดละ… ”
เซเวอร์ พยายามกลั้นขำ หลังจกาหลุดออกไปชุดใหญ่ ทว่าหมาป่าแดง เหมือนจะไม่ค่อยอยากเล่นด้วย
เพราะสำหรับเขาแล้ว เหตุผลแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว
“ เรจิ พูดจริงๆนะ อย่าหัวเราะกันจิ! ”
“ ฮะๆๆ ข….เข้าใจแล้วน่า ฮะๆๆ… ” เด็กหนุ่มตอบแต่ยังหยุดขำไม่ได้ จนเมื่อเวลาผ่านไปซักครู่
เขาจึงหยุดเสียงหัวเราะลงพร้อมกับสูดลมหายใจเข้า เพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการหัวเราะ
“โอเคงั้นฉันจะรอจนกว่าเวลานั้นจะมาถึงก็แล้วกัน สำหรับตอนนี้ในฐานะเพื่อนฉันจะช่วยนายเอง ”
เซเวอร์ ตอบก่อนจะหันกลับไปมอง เหล่าศาสนจักรที่ยืนอยุ่บนลานประหารข้างล่าง
ดาบสั้นในมือถูกยกขึ้นชี้ตรงข้างหน้า มือซ้าย ยกขึ้นปัดเสย เส้นผมสีทองที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อจน
ตกลงมาปิดหน้าออก
“ ศาสนจักรเอ๋ย สหายข้าได้บอกให้พวกเจ้าหยุดการประหาร พวกเจ้าจะหยุดรึไม่? ”
เด็กหนุ่ม ตะโกนให้ได้ยินกันทั้งลาน สิ่งที่ตามมาคือเสียงพูดคุยไปต่างๆนานา ของบรรดา
สัตว์หางที่อยู่บนลานหิมะ จนเมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น ทุกเสียงจึงเงียบลง
สังฆราชสิงโตทะเล เร็กกุ คือผู้ที่เป่านกหวีด ร่างเตี้ยป้อมเดินต้วมเตี้ยม ออกมาจาก
ฝูงชน แล้วตะโกนตอบกลับไป
“ ต่อให้เป็นเจ้าก็ตามเซเวอร์ พวกเราศาสนจักรจะไม่วันปล่อยให้ปีศาจนั่นได้ลอยนวลเด็ดขาด ”
บนแท่นประหาร เด็กหนุ่มหันกลับมาปรึกษากับ สัตว์หางทั้งสามตัว
“ เอาไงดีดูเหมือนว่าจะไม่ยอมง่ายๆเลยแหะถ้าจำเป็นจะให้กวาดทิ้งทั้งหมดเลยก็ได้นะ? ”
เซเวอร์ พูดเหมือนหยอกเล่นแต่ดวงตาสีแดงของเขาฉายแววของความจริงจังอยู่ คำพูดหยอกเล่นเมื่อครู่
คงจะกลายเป็นความจริงได้ไม่ยาก
“ พอแล้วล่ะ ถึงจะหนีไปได้แต่ก็ต้องหนีไปตลอด ตอนนี้ไม่มีที่ไหนใน
โลกนี้ยอมรับให้ฉันมีชีวิตอยู่ได้หรอก ”
โลกิ ตัดพ้ออย่างหมดหวัง ตั้งแต่ที่ก้าวขึ้นแท่นประหารมา เขาก็เตรียมใจจะจบเรื่องทุกอย่าง
ไว้ที่เขาเพียงลำพัง ยิ่งการที่ทั้ง ทอง และ เรจิ บุกฝ่ามาหยุดการประหารจนเรื่องวุ่นวายขึ้น
มาขนาดนี้ยิ่งทำให้ ความตระหนักว่าต้นเหตุคือตน ถูกตอกย้ำลงไปอีก
วินาทีนี้แม้แต่ ทอล เองก็หมดปัญญาจะปลอบแล้ว เพราะตัวเขาเองก็เช่นกันที่เตรียมใจ
จะตายไปพร้อมกับโลกิ การเข้าขัดขวางพิธีการสำคัญเช่นนี้ ศาสนจักรก็คงไม่ไว้หน้าเขาเช่นกัน
เซเวอร์ มองดูสองพี่น้องผู้ตกอยู่ในอาการสลด ก็อดถอนหายใจยาว ไม่ได้ก่อนจะหันไปพูดกับ เรจิ
“ เรจิ เจ้านั่นไม่ได้ให้หลักฐานหรืออะไรมาเลยหรือ? แค่คำพูดน่ะบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อหรอก
ว่านายเป็น อัศวินสวรรค์จริงๆ ”
หมาป่าแดง ทำท่าครุ่นคิดตีความคำพูดของ เซเวอร์ อยู่ซักพักก่อนจะตบมือดังฉาด เหมือนพึ่งนึกออก
แล้วเดินกลับไปแบกเอา เสาเฟิสเทลที่เขาแบกมาตั้งต่อหน้า โลกิ ก่อนจะหันกลับไปตะโกนด้วยเสียงอันดัง
“ นายยยยย นี้ มีครายยยยยยยยย ชื่อออ เร็กกกกกกกกโก้กกกกกกกกกกกก บ้างงงงงงงงงงงงงงงง!!!!!!!! ”
ไม่นานนักสัตว์หางข้างล่าง พากันมองหน้าเลิ่กลั่ก ถามกันไปถามกันมา ว่าใครชื่อนี้
แม้จะถกถามกันอยู่นานแต่ก็ไม่มีใครีชื่อตามที่ว่ามาเลย เรจิ จึงเสริมทับลงไปอีกว่า
“ เขา เปนนนนนนนนน สิงงงงงงงงงง โต ทะเลลลลลลลลลล ”
“ ข้าว่าเขาหมายถึงท่านหรือเปล่า ท่านเร็กกุ? ” อิทารุส กล่าว
สังฆราชสิงโตทะเล หรี่ตาลงก่อนจะตะโกนกลับขึ้นไป
“ เจ้าหมายถึงข้า เร็กกุ ผู้นี้ใช่รึไม่? ”
“ ช่ายยยยยยยยยยล้าวววววววววววว มี โจดดดดดดดดดดด หมายยยยยยยย
จากกกกกกก ป๊ะ~~~~~~~ป๋า~~~~~~ส่งมา~~~~~~~~ ”
แล้ว หมาป่าแดง ก็โยนม้วนกระดาษม้วนหนึ่งลงไป สังฆราชสิงโตทะเล รับมันมาเปิดอ่าน
อย่าง งงๆ ระหว่างนั้นเอง เรจิ ก็กลับไปเตรียมการของตนเองต่อ
“ โลกิ มานี่ทีจิ ” หมาป่าแดงพูดพร้อมกับลากตัว ลิงหนุ่ม มานั่งลงต่อหน้าเสาเฟิสเทล
รูปสลักบนเสาเริ่มสั่นครึ่กๆ หลังจาก โลกิ สบตากับมัน แสงสว่างฉายส่องออกมาจากส่วน
หัวของไม้เท้าที่รูปสลักถืออยู่ ขณะเดียวกันที่เบื้องล่าง เร็กกุ ก็กำลังอ่านจดหมาย
เสียงดังเพื่อให้ทุกตัวได้ยิน
“ พระราชสาส์น นี้ระบุขึ้นเพื่อมอบหมายอำนาจให้แก่อัศวินสวรรค์ เรจิ ดิ วูฟ ยับยั้งพิธีประหาร
โลกิ ดิ มังกี้ และ พระราชทานอภัยโทษ พร้อมทั้งแต่งตั้ง เรจิ ดิ วูฟ และ โลกิ ดิ มังกี้ ขึ้นเป็น
12 ผู้กล้า และให้ เซอร์ คามิโอ กิมนัมกาแกป ดิ โคร์ว เป็นผู้จัดการคณะผู้กล้า
…….ลงชื่อรับรอง ราชาคณะ……ปล. ลูกชายข้าน่ารักใช่ไหมล่ะ ปลล. เร็กกุ ฝากเจ้า
ดูเขาให้ห่างจาก กษัตริยา ด้วย ปลลล.เร็กกุ ข้าหวังว่าเจ้าจะได้เป็นคนอ่านมันนะ
เพราะอย่างที่รู้กันว่าลายมือข้ามีแต่เจ้าที่อ่านออก ”
หลังจากอ่านสาส์นจบความเงียบสงัดก็เข้าปกคลุมอาณาบริเวณในทันที
“ พระราชสาส์นอภัยโทษงั้นรึ?! ”
แม่เหยี่ยว อิทารุส เป็นผู้กล่าวทำลายความเงียบ สายตาของเขามองดูสาส์นในมือ เร็กกุ
อย่างเคลือบแคลง
“ แถมยังแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้กล้าอีก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน มันเป็นของปลอมรึเปล่าท่าน เร็กกุ? ”
กษัตริยา ตรัสถาม นางเองก็รู้สึกสงสัยกับสำนวนของ พระราชสาส์นอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะที่
มันกล่าวถึงตัวนางเอง แบบแปลกๆ
“ ไม่…มันเป็นของจริง ” สังฆราชสิงโตทะเล ปฏิเสธเรื่องสาส์นปลอม พร้อมกับ
แสดงเนื้อความในสารให้ทุกตัวดูทว่า ลายมือยึกยือบนกระดาษ เขียนหวัดเสียจนไม่มีใครอ่านออก
จะมีก็แต่ตรารับรองสาส์นรูปไม้กางเขนที่ประทับอยู่มุมขวาบนของกระดาษ
“ ตรารับรองบนสาส์นนี้เป็นของจริง แถมลายมือกระรอกเขี่ยแบบนี้แล้วยังตบมุขแป้กๆด้วย ปล.
ยาวเป็นหางว่าวแบบนี้มีคนเดียวแน่นอน ”(- -“)
สังฆราชสิงโตทะเล พูดโดยมีสีหน้าพะอืดพะอม กับความหวัดเขี่ยของพราชสาส์นอยู่ไม่น้อย
ซึ่งทุกตัวที่ได้เห็นก็มีสีหน้าไม่ต่างไปจากเขาซักเท่าไหร่
“ ดูนั่นสิ! นั่นมันสัญลักณ์ของผู้กล้านี่ ”
เสียงแม่ทัพไลเกอร์ โบลดาสเรียกให้พวกเขาแหงนหน้าขึ้นไปมองบนแท่นประหาร
จากเสาของเฟิสเทล แสงสว่างได้ฉายขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ดำสนิท ในแสงสว่างนั้น
มีเงาอยู่ เงานั้นมีรูปลักษณ์เป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ของสัตว์หางประเภทลิง
สัญลักษณ์นี้ คือเครื่องหมายของ สัตว์หางเผ่าลิงตัวแรก
สัญลักษณ์ที่ว่านี้มีอีกมากมาย เพราะสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกรียติแก่สัตวหางตัวแรกของเผ่าพันธุ์นั้นๆ
และมันได้ถูกนำมาบรรจุลงใน เสาเฟิสเทลเพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับบ่งชี้ ตัวนักรบผู้
ที่จะได้รับการคัดเลือกเข้าเป็นผู้กล้า
หลังจากแสงสว่างดับลง สามตัวกับอีกหนึ่งคน บนแท่นประหารก็ทยอยกันลงมา
เพื่อจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
เร็กกุ เป็นตัวแรกที่วิ่งเข้ามาหาพวกเขาพร้มอกับโบกพระราชสาส์นในมือไปมา
“ นี่เจ้า!! เอาจดหมายนี่มาจากไหนกัน?! ”
“ อ๋อป๊ะป๋าเป็นคนเขียนอ้ะ ” เรจิ ตอบน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ ฝ่ายศาสนจักร ตอนนี้ได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“ จริงสิจะว่าไปแล้ว ในพระราชสาส์นก็พูดถึงลูกชายด้วยนี่แถมยังบอกให้ระวังจาก ท่านกษัตริยา ด้วยแสดงว่าลูกชายของท่านราชาคณะ จะต้องเป็นหมาป่าอย่างแน่นอน ”
โบลดาส กล่าวซึ่งก็จริงตามนั้น จากปากคำของเรจิ ที่บอกว่า บิดาของเขาเป็นผู้เขียนพระราชสาส์น
และ ในพระราชสาส์นเองก็พูดลูกชายด้วยเช่นกัน บวกกับข้อสันนิษฐานของโบลดาส
เข้าไปอีกทำให้ทุกตัวเริ่มจะเชื่อขึ้นมา
“ ก็ไม่อยากจะท้วงเพราะเป็นพระราชสาส์นของจริง อยู่หรอกนะ แต่ไอที่ว่า
ให้ระวังจากข้าเนี่ย เจ้าสันตะปาปานั่นมันห็นข้าเป็นตัวอะไรกันแน่ยะ ” (0_0 #)
กษัตริยา พูดเสียงขึ่นด้วยความไม่พอใจ
“ งั้นเรื่องที่เป็นอัศวินสวรรค์ก็…. ”
ทอล เปรยขึ้นมา ก่อนที่ เซเวอร์ จะตอบให้ด้วยตัวเอง เพราะเรื่องนี้ เรจิ คงอธิบายอะไรไม่ได้มาก
“ อื้ม ก็เรื่องจริงน่ะสิเห็นหน้าตาบ๊องแบ้วแบบนี้แต่หมอนี่สอบผ่านใบรับรองมาครบหมด
ในสัปดาห์เดียวเลยล่ะ ไม่ว่าจะบทสวดพระสูตร วิชาต่อสู้ก็ตามที่เห็นนั่นแหละ เพราะว่าเลียนแบบเก่ง
เลยฟังพระสูตรครั้งเดียวก็จำได้หมด….. ”
เซเวอร์ พูดยังไม่ทันจะขาดคำดี ฝ่ายศาสนจักรทุกตัว เหล่าสัตว์หางที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา ทั้งสี่
ต่างพากันล้มตัวคุกเข่าและก้มหน้าลงจรดพื้น ตั้งแต่ระดับ พลทหาร พลธนู อัศวิน และ
เหล่า อาร์คไนท์หรือมหาอัศวิน ไปจนถึง พระมหาสังฆราชอย่าง เร็กกุ ก็ยังยอมศิโรราบแก่
สัตว์หางเพียงตัวเดียว หมาป่าแดงเรจิ จะมีก็เพียงกษัตริยา ที่ไม่ก้มลงทำความเคารพ
เพราะนางคือ ราชาแห่งราชอาณาจักร หรือก็คือมีศักดิ์เท่าเทียมกับ สันตะปาปาผู้เป็น
ราชาคณะของศาสนจักร
“ กระหม่อมผิดไปแล้ววววว!!!!!โปรดอภัยโทษให้กระหม่อมด้วยยยยย กระหม่อมไม่รู้ว่าท่านคือ
เจ้าฟ้าชายแห่งศาสนจักร!!!!!!! ”
สังฆราชสิงโตทะเล กล่าวขอโทขอโพยเป็นการใหญ่ ด้วยกลัวว่า เรจิ จะเอาเรื่องกับการกระทำอัน
ล่วงเกินก่อนหน้านี้
“ อื้ม! ยกโทษให้!! ทุกคนลุกขึ้นเถอะ! ”(^w^)
สิ้นคำทุกตัวก็เงยหน้าขึ้นจากพื้น โดยเฉพาะ เร็กกุ ถึงกับถอนหายใจยาวเป็นสาย
“ ถ้างั้น! เรื่องการประหารล่ะ?! ” ทอล และ โลกิ ถามขึ้นแทบจะพร้อมกัน
“ ก็…..ในเมื่อพระราชสาส์นสั่งมาแบบนั้น ก็ต้องตามนั้นแหละนะ ”
โบลดาส พูดก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้กับ สังฆราชสิงโตทะเล
“ …..ท่านเร็กกุ ”
เร็กกุ พยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปหา กลุ่มศาสนจักรที่ยืนอยู่เบื้องหลังแล้วประกาศ
ด้วยเสียงอันดังกึกก้อง
“ ขอประกาศยกเลิกพิธีประหาร!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ”
สองพี่น้อง มองหน้ากันอย่างมีความสุข ความเศร้าสลดที่เรียกว่าการเตรียมใจได้ถูกปัดเป่าให้หายไปกับ
คำประกาศเมื่อครู่
…………………………………………………………….
หลังจากการประกาศยกเลิกพิธีประหารแล้ว เหล่าศาสนจักรก็พากันสลายตัวไปจนหมด
เพราะต่างก็อยากกลับไปเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส ด้วยความรู้สึกดีๆที่ยังรอดชีวิตกลับมาจาก
เหตุการณ์ชวนใจหายเหล่านั้น ทั้งการหลงเข้าไปในแดนแห่งสรรพวิชาไร้ขีดจำกัด
ทั้งเรื่องอุกกาบาตที่เกือบโหม่งใส่หัวพวกเขาก็ดี อยากที่จะลืมๆมันไป
“ โลกิ….…. ”
เสียงซึ่งฟังคุ้นหูนี้ เรียกให้สองพี่น้องหันหลังกลับไปหาทิศที่เสียงมา ที่นั่นหมาป่าขาวผู้เป็น
พ่อของทั้งสองกำลังเดินเข้ามาหา แต่เมื่อเดินจนเกือบจะถึงแล้วกลับหยุดเว้นระยะห่างเอาไว้
สถานการณ์ในตอนนี้ ไม่ว่าจะคนเป็นพ่อหรือลูกก็ตาม คงไม่อาจเข้าหน้ากันติด
พ่อที่ไม่รู้จะพูดกับลูกชายอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ในใจก็นึกอยากจะโผ
เข้าไปกอดลูกๆให้หายโศก จากการที่เกือบจะต้องสูญเสียไปทั้งสองตัว
ฝ่ายลูกๆ ก็ไม่รู้จะเข้าหาพ่อยังไง พี่ชายก็รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป น้องชายที่ไม่ได้พบพ่อมาครึ่งปี
ยิ่งแล้วกันไปใหญ่ ท่ามกลางสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้เอง ทำให้ เซเวอร์ เริ่มจะหมดความอดทน
จึงได้พูดขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบสงัดนี้
“ จำคืนวันที่พิพากษาคดี ความเสร็จได้ไหม ทอล หลังจากที่เจ้าออกไปจากห้องแล้ว โอดิน
ก็ก้มหัวขอร้องกับ เรจิ ว่าให้ช่วยพวกเจ้าด้วย โอดินรู้หมดนั่นแหละว่าลูกๆอย่างพวกเจ้า
น่ะคิดอะไรอยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้พวกเจ้ารู้ไว้ด้วยว่า พ่อของพวกเจ้าได้พยายามทุ่มเท
ทั้งหมดที่มีเพื่อช่วยพวกเจ้าแล้ว และนั่นก็คือที่อยู่เพียงที่เดียวที่ยอมรับพวกเจ้าไม่ใช่รึ ”
หลังจากคำพูดนั้น สองพี่น้องจึงพากันมองหน้า ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาหมาป่าขาวเสียเอง
ลูกหมาป่าและลูกลิง กล่าวขึ้นพร้อมๆกันด้วยน้ำเสียงสลด
“ พ่อครับ….. พวกเราขอโท…”
ไม่ทันที่คำขอโทษจะเล็ดลอดออกจากปาก โอดิน ก็พุ่งตัวเข้าไปสวมกอดลูกชายทั้งสอง
ทันที ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆบรรยายอีกแล้ว มันเป็นภาพของครอบครัว ที่กลับมาอยู่
กันพร้อมหน้าอีกครั้ง หลังจากการแยกจากกันมาครึ่งปี
เด็กหนุ่ม อดที่จะยิ้มไม่ได้กับภาพตรงหน้าครอบครัวที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง
จนตัวเขาเองก็อยากที่จะสัมผัสมันบ้าง แม้แต่ตอนนี้ตัวเขาก็ไม่รู้หรือจำอะไรได้เลย
ว่าแท้จริงแล้วนอกจากตัวตนในฐานะ เซเวอร์ เขาเป็นใครมาจากไหน และเขามีครอบครัว
ที่รออยู่หรือไม่ ถึงเขาจะจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้ แต่หัวใจของเขาก็เรียกหา
มันอยู่ตลอดเวลา
“ แหมๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้วเรื่องทุกอย่างก็จบลงด้วยดี แถมตัวกระโผ้มเองยังได้รับแต่งตั้งเป็น
หัวหน้าคณะผู้กล้าด้วยอีก แล้วนี่ก็คริสต์มาส แล้วด้วยถ้างั้นเราไปฉลองกันด้วย
บะหมี่ถ้วยสุดหรูดีกว่าขอรับเด๋วกระผมเลี้ยงเอง~~~~~~~~~~~ ”
บุรุษอีกา เซอร์ คามิโอ ผู้โผล่ขึ้นมากลางวง แบบไม่มีใครรู้ตัว และพูดจาด้วยน้ำเสียงระรื่นเหมือน
อย่างเคยๆ
“ แงะ บะหมี่ถ้วยอีกแล้วเรอะ ”(=_=’)
ทอล เปรยเขายังจำได้ดีแม้ว่าตอนที่ไปหา คามิโอ ที่คฤหาสน์ตอนนั้น สติจะไม่อยู่กับเนื้อกับ
ตัวแล้วก็ตาม แต่ที่นั่น คามิโอ ก็เสิร์ฟบะหมี่ถ้วย เป็นอาหารเย็นให้กับเขา
“ อ๊า!! ฉลองวันคริตมาส หยอ งั้นเรจิ ขอเนื้อ!!!!!!!!! จาเอาเนื้อ! เนื้อ! เนื้อ! ”
หมาป่าแดงเองก็เช่นกัน เขายังจำที่ นิโค่ บอกเกี่ยวกับเรื่องวัน คริสต์มาสได้เป็นอย่างดี
แค่เรื่องเนื้ออย่างเดียวน่ะ
ห่างออกจากกลุ่มของ ทอล ที่เริ่มจะส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันอย่างสนุกปาก
ราชาแกะสาว ผู้ยืนทอดกายตากหิมะ กำลังมองดูพวกเขาด้วยสีหน้าเศร้าๆ
ภาพเหล่านั้นอยู่ในสายตาของ แมวหนุ่มคอย์น ผู้เนียนดูเหตุการณ์อยู่ในฝูงชนตั้งแต่
ตอนที่ทุกตัวกลับมาจาก ดินแดนแห่งสรรพวิชาไร้ขีดจำกัด
“ ทำหน้าเหมือนไม่พอใจ เจ้ายังเจ็บใจเรื่องพระราชสาส์นนั่นอยู่รึไงกัน
หรือว่าหมาแดงตัวนั้นคือ…….สเป็คน่ะหืม? ”
แมวหนุ่ม ยิงคำถามขณะดินเข้ามาหา ยุวราชแห่งแสงหัวเราะในลำคอก่อนจะตอบว่า
“ หึๆพูดอะไรบ้าๆ อย่างข้าน่ะไม่สนใจเด็กหรอก ก็แค่….. ”
นางหยุดชะงักไปพักหนึ่งเหมือนกับชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่
“ …..ก็แค่คิดว่า ถ้าตัวข้ากับมอร์กาน่า จะได้รับปาฏิหารย์เช่นนี้บ้างก็เท่านั้นเอง ”
ความหวังอันแสนเลือนลางในใจของ ยุวราชแห่งแสง ซึ่งนางเคยลืมเลือนมันไปนานแล้ว
ด้วยความรู้อยู่แก่ใจว่าวันที่ นางกับน้องสาว จะคืนดีกันและกลับมาอยู่ด้วยกันนั้นไม่มีวันเป็นความจริง
แต่เหตุการณ์ในวันนี้ก็เป็นเหมือนแสงสว่างที่ส่องเข้ามา ให้พอได้วาดภาพของวันแห่งปาฏิหารย์นั้น
ขึ้นในหัวใจ และ ได้เฝ้าภาวนาว่ามันจะเป็นจริงด้วยเช่นกัน
……………………………………………………………….
……………………………..
หุบเขาแห่งสายลม ชื่อของมันมาจากการที่มีลมพัดผ่านช่องหุบเขาไม่เคยหยุดพัด ระบบนิเวศ
ภายในหุบเขาแห่งนี้ประกอบด้วยพืชประเภทฝ้าย อยู่มากมายจึงมักมีสปอร์ฝ้ายของพืช
ลอยมากับลมเสมอๆแมลงสิงโตลีโอบัค และ หนอนยักษ์ เวิร์มบัค(Worm Bug) ต่างก็อาศัยอยู่ที่
หุบเขาแห่งนี้ ทว่าด้วยเหตุบางประการ ทำให้ตอนนี้สายลมในหุบเขาได้หยุดพัดลง
ติ๊งดิ่งด่อง ตะดิดิ๊งดิ๊งด่อง……. ปิ๊บ
เสียงเรียกสายเข้าของโทรศัพท์มือถือถูกกดรับด้วยมือ เล็กๆของสัตว์หางเผ่าตุ่นขนสีขาวปลอด
“ ห้าโหล หกโหล? ”
/ฉันบอกแล้วไงว่าเวลารับโทรศัพท์ให้พูดว่า ฮัลโหล!!/
เสียงของจากคู่สาย ฟังดูหงุดหงิดนิดๆกับการรับโทรศัพท์ของเขา
“ อ่า..ฮัลโหลครับท่านพี่สบายดีไหม สวัสดีครับลาก่อน ”
ตุ่นขาว ตอบเสียงเรียบและเกือบจะวางหูไปแล้วถ้าหากว่า คู่สายไม่รีบบอกให้เขาหยุด
/อ้าวเฮ้ยเดี๋ยว!!!ฟังฉันพูดก่อนเซ่ อย่าพึ่งวางหูสิเฟร้ย ฉันเคยสอนไปแล้วไม่ใช่รึง้ายยยยยยยย!!/
“ ครับ…..ท่านพี่ ”
/เฮ้อ~~~/
/เอาล่ะทางนั้นเป็นยังไงมั่งรายงานมาซิ อาไมม่อน(Amaimon) /
“ ครับท่านพี่ พอเราสร้างเขื่อนกั้นลมเสร็จเจ้าแอนเชี่ยนบัค(Ancient Bug)ก็โผล่ออกมา
ปล่อยควันพิษเลย เราก็เลยหยุดรอให้ควันเจือจางซะก่อนน่ะครับ ”
/เหรอ~~ สาเหตุที่พวกลีโอบัคมาบุกโคลอสเซียมเมื่อวันก่อนเป็นฝีมือเจ้านั่นเองสินะแล้วตอนนี้พวกนายทำอะไรกันอยู่ล่ะ?/
“ ครับท่านพี่ ผมก็กำลังคุยสายอยู่กับท่านพี่ไงครับ ”
คำตอบของอาไมม่อน ทำให้คู่สายพูดอะไรไม่ออกไปพักนึงก่อนจะเริ่มถามต่อ
/………แล้วนอกจากคุยสายกับฉันตอนนี้นายทำอะไรอยู่?/(= w =’)
“ กินขนมครับอยู่ท่านพี่ หยับๆหยับๆ ”
เขาตอบพร้อมกับหยิบแผ่นมันฝรั่งทอดเข้าปากเคี้ยวกรุบๆให้ คู่สายฟัง
/………… (= w =’) แล้วเรื่องที่ฝากให้ไปทำล่ะ/
“ อ๋อเรียบร้อยล่ะครับท่านพี่ มาโอห์ กำลังเก็บพิษของมันอยู่ ”
/ดีมาก ถ้างั้นเจ้ากับมาโอห์ จงรีบกลับมาทำตามแผนการณ์ต่อไปได้แล้ว ตอนนี้ข้ากำลังจะได้ผู้สงเคราะห์
คนใหม่สำหรับ ราชาแห่งแมลงแล้วล่ะ /
คำพูดของคู่สายทำให้เขา ตกใจนิดหน่อยจึงถามกลับไปทันที
“ หมายความว่าท่านพี่จะเรียก ท่านพี่เบลเซบับ มาด้วยงั้นหรือครับ? ”
/ช่ายเลย~~~~ เพราะบทที่สองของ เจเนซิส กำลังจะเริ่มแล้ว ต่อไปจะเป็นตาพวกเราเปิดตัวกันบ้างล่ะทีนี้/
คู่สายตอบกลับเสียงระรื่น ระหว่างนี้เองก็มีเสียงแทรกมาจากคู่สาย
/ขอกินเนื้อก่อนล่ะน้า~~~~~/ เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูไร้เดียงสาแบบเด็ก
/อ๊า!!!!!!!! เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งกิน…รอก๊อนนนน อะ แค่นี้ก่อนนะ!/
ปิ๊บ ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
และแล้วคู่สายก็วางหูโทรศัพท์ลง อาไมม่อน พับโทรศัพท์มือถือของตนเก็บลง
กระเป๋าก่อนจะหันกลับไปข้างหลัง ที่เบื้องหลังนั้น ร่างอันใหญ่โต มโหราฬขนาดเท่ากับตึกหลังหนึ่ง
หุ้มด้วยเปลือกหนาสีเขียว มันมีเขี้ยวยาว งอกออกมาโง้งเข้าหากัน แมลงที่ว่ากันว่าจำศีลอยู่
ใมนหุบเขาแห่งสายลมมาแต่โบราณ และจะตื่นขึ้นมาเมื่อสายลมแห่งหุบเขาหยุดพัดลง
ทว่าบัดนี้มันได้สิ้นฤทธิ์ลงแล้วและกลายเป็นเพียงซากไร้ชีวิตนอนแน่นิ่งอยุ่บนพื้นทราย
ใกล้กับจุดที่มันนอนตายอยู่นั้น แมวชราตัวหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาใช้หลอดดูดสารละลาย
ดูดเอาสารสีเขียวเข้มที่ไหลออกมาจากปากของมันมาเก็บใส่ลงไปในขวดโหล
“ มาโอห์ ท่านพี่เรียกตัวแล้วไปกันเถอะ ”
ตุ่นขาว พูดจากนั้นทั้งสองก็พากันเก็บข้าวของแล้วเดินออกจากหุบเขาแห่งนี้ไปในทันที
………………………………………………
………………………………………………………………………………………
มนุษย์……………
สัตว์หาง………………
………..และบัดนี้เผ่าพันธุ์ที่สามกำลังจะปรากฏขึ้นมาแล้ว……….
ความจริงเมื่อ 5000ปีที่แล้วคืออะไรกำลังจะเปิดเผยขึ้นมา เป้าหมายของการจัดตั้ง12ผู้กล้า
และ ความหมายในการมีอยู่ของ เซเวอร์ ………………………………..
Next Chapter 9 Tails Apocalypse
ความคิดเห็น