ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter1: 2-Wolf~
ลึกเข้าไปภายในป่าทึบที่ซึ่งต้นไม้ขึ้นสูงชัน คุณจะได้ยินเสียงของน้ำไหลดังออกมาอย่างแผ่วเบา
มันคือเสียงของน้ำจากลำธารตื้นๆแต่กว้างราวกับแม่น้ำ ระหว่างสองฝั่งของลำธาร เชื่อมไว้ด้วยเกาะเล็กๆ
ที่มีสร้างสะพานไม้ต่อยาวกันเป็นทอดๆ ลำธารที่นี่ยังมีความพิเศษอีกอย่างคือ มีเสาหินอ่อนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ตั้งอยู่ในลำธาร แต่ละต้นมีความสูงเกือบ 2 เมตร บางต้นก็สูงราว 3-4เมตรเลยทีเดียว
ด้วยความที่เป็นแม่น้ำสายใหญ่ของป่า อีกทั้งน้ำยังตื้นและไหลเอื่อย ที่นี่จึงเป็นราวกับสวรรค์ของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ที่
มาพักคลายร้อนด้วยการลงไปแช่ในน้ำ ถึงจะพูดว่าเป็นสัตว์ แต่ที่จริงพวกที่หากินและอาศัยอยู่ในป่าก็ล้วนแล้วแต่เป็นแมลงทั้งนั้น พวกมันเป็นแมลงหน้าตาประหลาด
ทั้งตัวใหญ่อวบอ้วนและมีผิวสีเขียวใบไม้
ฟ้าว ฉับ! ฉับ! ฉับ! ฉับ! ฉับ!
แมลงอ้วน(FatBug) แปรสภาพกลายเป็นแผ่นเนื้อที่ถูกหั่นเป็นแว่นๆ ในพริบตาโดยไม่ทันแม้แต่จะรู้สึกถึงสายลมอันคมกริบที่ระดมกระหน่ำออกมาจากการ สะบัดดาบไม้ด้วยสองมือของ
หมาป่าสีแดง จากด้านหลัง โดยปกติแล้วเพียงแค่ลมพัดคงไม่อาจทำให้ร่างของแมลงอ้วน ที่อุดมไปด้วยน้ำมันและผิวหนังที่ยืดยุ่นราวกับยาง ขาดจากกันเป็นชิ้นๆได้ หากแต่สายลมนั้นคือ
คลื่นสูญญากาศที่เกิดจากสะบัดดาบฟันออกไปอย่างรวดเร็ว หรืออันเป็นชื่อวิชาที่เรียกกันว่า เพลงดาบ
==========Blade Song=========
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าหมาป่าแดง นั้นเมื่อครู่เคยเป็นแมลงอ้วนตัวเขื่อง ที่ตอนนี้กลายเป็นกองเนื้อกองโต ตาของมันลุกวาวเป็นประกาย ก่อนจะเข้าไปโกยเอาเนื้อทั้งหมดใส่ลง แคร่ ที่ประกอบขึ้นมาจากกิ่งไม้
เมื่อแคร่ เต็มไปด้วยเนื้อแล้ว จึงยกขึ้นหามบนหลังแล้วตะกุยสี่ขาวิ่งหายกลับเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว โดยทิศที่มันมุ่งไปคือป่าลึกที่มีควันไฟลอยขึ้นมา
...
ในป่าซึ่งห่างออกไปจากลำธารไม่ไกลนัก ณ จุดที่ควันไฟลอยขึ้นมา
เด็กหนุ่มผมสีทองวัย 15 ปี สวมชุดลำลองสีเหลืองและมีชายเสื้อข้างซ้ายห้อยยาวลงไปถึงปลายเท้า นอนเอนกายพิงหลังกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งห่างออกจากกองไฟที่เขา
จุดไว้เองราว 1 เมตร และคอยเอาฟืนโยนสุมใส่กองไฟเพื่อไม่ให้มันดับ
ความสงบเงียบของป่า และเสียงปะทุของเปลือกไม้แตกดัง อยู่ในกองไฟช่วยขับกล่อมจนดวงตาคล้อยจะหลับ เว้นเสียแต่ว่า....
" เซเวอร์!!! "
เสียงเรียกนั้นทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งตกใจ จนต้องหันมาดูยังทิศทางของเสียง หมาป่าสีแดงนั่นเอง และยังแบกแคร่ที่เต็มไปด้วยเนื้อกลับมาอีกด้วย
" ได้มาเพียบเลย ดูสิ! ดูสิ! "
หมาป่าแดง วางแคร่ลงพร้อมกับชี้ให้เด็กหนุ่มดู กองเนื้อแมลงอ้วนที่ไปล่ามา เด็กหนุ่มยิ้มให้ก่อนจะลูบหัวเพื่อชื่นชมกับผลงานการล่า
" งั้นวันนี้เรามาทำบาร์บีคิวกินกันนะ เรจิ "
คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้หมาป่าแดงสะบัดหางด้วยความดีใจ ก่อนจะโผเข้าไปเลียหน้าเขา ซึ่งถ้าเอาแขนยันไว้ไม่ทัน ใบหน้าของเด็กหนุ่มคงจะเต็มไปด้วยน้ำลายหมาเป็นแน่แท้
" เฮ้ๆ ใจเย็นสิพวกไม่เอาน่าน้ำลายเลอะไปหมดแล้ว "
สำหรับเราแล้ว ทั้งหมาป่าแดง และพวกแมลงอ้วนในป่า อาจจะดูเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด หากแต่ในความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งล้วนกลับกันโดยสิ้นเชิง
เป็นตัวเด็กหนุ่มเองต่างหากที่เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดในโลกแห่งนี้ เพราะเขาเป็น มนุษย์ที่มาอยู่ในเวลาที่มนุษย์ ไม่สมควรจะอยู่ นั่นเอง....
...
5000 ปีมาแล้วหลังจากการสูญสิ้นของ มนุษย์ อารยธรรมเกือบทั้งหมดสูญหายและล่มสลายลงไปจนหมดสิ้น เรื่องเล่านี้ถูกเล่าขานต่อๆ กันมาในยุคสมัยของเหล่าสัตว์ที่วิวัฒนาการ
ขึ้นมาปกครองโลกแทนมนุษย์ พวกเขาเรียกตัวเองว่า สัตว์หาง(Tails) และเรียกชนเผ่าที่ล่มสลายหรือมนุษย์ ว่า ชนเผ่าไร้หาง(No Tail)
ภายใต้การปกครองของเทพเจ้าทั้ง 6 อัลเคเซีย บาเบร็อค มูราดิน อนีโมเน่ ซันซัน และ เซร่า
ประวัติศาสตร์ของเผ่าสัตว์หาง เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ กระรอกน้อยตัวหนึ่งได้รับแสงสว่างจาก เทพีแห่งแสง อัลคาเซีย และก่อเกิดปัญญาขึ้นมา เทพีอัลคาเซีย
ได้ขนามนามให้กับกระรอกตัวนั้นว่า เฟิสเทล(First Tail) และมอบไม้เท้าแห่งปัญญาให้ เฟิสเทล จึงได้ออกเดินทางเพื่อรวบรวมเหล่าสัตว์ทั้งหลายและมอบความรู้
และวิถีชีวิตให้จนในที่สุดก็สามารถ ทำให้สัตว์ทั้งหมดออกจากป่าและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน ก่อร่างสร้างอารยธรรมจนสูงส่ง
อีกหนึงตำนานเล่าขานถึง 12 ผู้กล้าที่จะปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อกอบก้ ูวิกฤติ ในครั้งอดีตก็เคยเกิดหายนะ อันร้ายแรงขึ้น แต่ก็ได้รับการกอบก้ ูจากเหล่าผู้กล้าทั้ง 12......
ทว่าไม่มีใครรู้หรือเข้าใจว่า อาเพทชนิดใดกันที่เหล่าเทพเจ้าที่ทรงพลังอำนาจกว่าสิ่งใดๆในโลกถึงกับรับมือไม่ได้ แต่เหล่าสัตว์หางเดินดินเฉกเช่นพวกเขากลับเป็นผู้
กอบก้ ูไว้ มันจึงเป็นราวกับนิทานหลอกเด็กที่เล่าต่อๆกันมา แต่ในความเป็นจริงในทุกๆ 12ปี ก็ยังคงมีการคัดเลือกผู้กล้าขึ้นจาก 12 ชนเผ่า
แต่เพื่อการใด....ไม่อาจมีใครล่วงรู้ได้..........
...
บนทางเดินเท้าซึ่งทอดผ่านป่าออกไปสู่ ไร่นา และ สวนของชาวบ้านในละแวกนั้น เดิมทีหากสัญจรไปมาแค่เพียงท้องนากลางทุ่ง ก็เป็นเส้นทางที่ปลอดภัย
ตรงกันข้าม เส้นทางในป่านั้นกลับอันตรายอย่างคาดไม่ถึง ทั้งอันตรายจากแมลงยักษ์ในป่า หรือที่แย่ที่สุดคือ กองโจรที่คอยดักปล้นนักเดินทางหรือใครก็ตามที่
บุกรุกเข้ามาในเขตแดน พวกกองทัพแมลงนินจา(Ninja Bug) พวกมันเป็นฝูงแมลงที่ชำนาญการใช้อาวุธในการจู่โจมนักเดินทางที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าพวกมัน
ยกตัวอย่างเช่น หมาป่าหนุ่มขนสีดำ ที่กำลังเดินเท้าอยู่บนถนน ตอนนี้คือเหยื่อที่ เดินทะเล่อทะล่าเข้ามาในเขตแดนของพวกมันอย่างไม่ระวังตัว
เหล่านักล่ากระจายตัวกันเข้าไปหลบในร่มเงาของต้นไม้ข้างทาง บ้างก็ซ่อนตัวในพุ่มไม้ เพื่อรอเวลาที่เหยื่อจะเดินมาถึง และบุกจู่โจมไม่ให้ได้ตั้งตัว
เหยื่อจะถูกฉีกด้วยสารพัดอาวุธมีคม ทั้งเคียวอันแหลมคม(Sickle) และ ดาวกระจาย(Shuriken) หลังจากเหยื่อบาดเจ็บด้วยคมเคียวจนเต็มไปด้วยบาดแผล
ก็จะถูกรุมกระหน่ำด้วยระเบิดมือขนาดเล็ก เมื่อสะเก็ดและความร้อนจากการระเบิดสัมผัสแผล ปากแผลจะเปิดและพุพองเหยื่อจะทุรนทุรายอย่างทรมาน
ก่อนจะสิ้นใจ หลังจากนั้นก็จะเป็นเวลาของการค้นหาและแบ่งสินทรัพย์จาก เหยื่อ โดยเป้าหมายหลักๆ คือเสบียงที่นักเดินทางต่างก็พกไว้
บัดนี้เมื่อหมาป่าดำ เดินมาถึงจุดที่กำหนดแล้วแผนการล่าอันน่าสะพรึงก็ได้เริ่มต้นขึ้น แมลงนินจาสีดำผู้ใช้เคียว กระโดดออกจากพุ่มไม้พร้อมกันจากสามทิศทาง
ซ้าย ขวา และ ข้างหลัง ปิดทางหนีจนหมดสิ้น
เคียวเงื้อขึ้นหมายจะฉีกแผ่นหลังของหมาป่าดำ.........................เราคงจะต้องยืนไว้อาลัยกันแล้ว........................................
...........................ไว้อาลัยแก่การจากไปของฝูงนินจาบัค
เคร้ง!!!!
เสียงปะทะกันของโลหะดังก้องกังวาน คมเคียวจากทั้งสามทิศทางถูกสะกัดกั้นไว้ด้วย ดาบยาวสองเล่ม ซึ่งชักจากเอว มารับไว้ได้ในเสี้ยววินาที
ในตอนนี้เองที่กลุ่มแมลงนินจา ได้รับรู้ว่าหมาป่าตัวนี้ เป็นนักรบหาใช่ชาวบ้านธรรมดาดั่งเช่นเหยื่อรายก่อนๆ ด้วยหลักฐานคือชุดเกราะเหล็กที่สวมใส่ทั้งยังมีลวดลาย
กา กบาทสีขาวอันแสดงถึงสังกัดของหมาป่าตนนี้
"เดชะพระนาม ... " (In the name of..)
หมาป่าดำเปล่ง ถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง พลันดาบคู่ที่ขัดกับคมเคียวก็เปล่งประกายด้วยแสงสว่าง
แมลงนินจาทั้งสามตัว ต่างออกแรงกดเคียวลงกันสุดฤทธิ์ แต่หมาป่าดำยังคงนิ่งเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"....พระบิดา และพระบุตร และพระจิต"(the Father, and of the Son, and of the Holy Spirit.)
ยามเมื่อถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์เปล่งออกมาอีก ประกายแสงรอบดาบยิ่งส่องสว่างเจิดจ้า หมาป่าดำดึงดาบและหมุนตัวตวัดดาบมือขวาเป็นเส้นแนวนอนก่อนจะลงดาบมือซ้าย
ในแนวตั้งฉาก ประกายแสงจากดาบถูกวาดออกมาตัดกันเป็นเส้นแกนแนวนอนและแนวตั้ง กางเขนศักดิ์สิทธิ์ สัญลักษณ์แห่งศาสนจักร ถูกวาด
ให้ปรากฏขึ้นในพริบตาที่แสงจากดาบตัดไขว้กัน
=========Crusader==============
"อาเมน!"(Amen)
หมาป่าดำ เปล่งถ้อยคำอย่างหนักแน่น และ แมลงนินจาดำที่ฟันคมเคียวเข้าใส่ในครั้งแรก ก็พินาจโดยพร้อมเพรียง ถูกแสงสว่างจากดาบผ่าขาดกลางไปในพริบตา
เมื่อเห็นว่าพรรคพวกโดนจัดการไปแล้ว แมลงนินจา ตัวอื่นที่ซุ่มอยู่จึงระดมโจมตีด้วย ดาวกระจาย และ ระเบิดมือ
ทว่า ด้วยขนาดของอาวุธที่เล็กตามขนาดตัวของพวกมัน อานุภาพจากอาวุธเหล่านั้นก็เป็นได้แค่เพียง การขว้างเศษก้อนหินหรือประทัดลูกเล็กใส่เท่านั้น
ไม่ได้ทำให้ หมาป่าหนุ่มสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
"สิริพึงมีแด่พระบิดา พระบุตร และพระจิต เหมือนในปฐมกาล บัดนี้...." (Glory be to the Father, and to the Son, and to the Holy Spirit. As it was in the beginning, is now....)
หมาป่าดำ ก้าวตรงไปข้างหน้าพร้อมกับเปล่งบทสวดไปด้วย แม้จะถูกเหล่าแมลงนินจา ระดมโจมตีพร้อมๆกัน แต่ทุกย่างก้าวของเขานั้น มั่นคงและไม่สะทกสะท้าน
สิ่งมีชีวิตทั้งมวลล้วนแต่รักตัวกลัวตายและเป็นเพราะตรรกะนั้น เป็นตัวปลุกสัญชาตญาณการเอาตัวรอด เหล่าแมลงนินจา ตัดสินใจทิ้งอาวุธและสาวเท้าหนีกันโดยพร้อมเพรียง
หมาป่าดำ ควงดาบทั้งสองมือขึ้นมาวางไขว้เป็น กา กบาท ท่วงท่านี้ช่วยเพิ่มขวัญและกำลังใจ เมื่อจิตใจเข้มแข็ง ร่างกายก็จะรับอิทธิพลนั้น และเข้มแข็งตามขึ้นไปด้วย
".... และทุกเมื่อตลอดนิรันดร อาเมน"(....,and ever shall be, world without end. Amen. )
=============Brave Spirit===============
หมาป่าดำ ออกไล่ล่าด้วยความรวดเร็วว่องไวกว่าตอนแรกเสียอีก เริ่มจากแมลงนินจาตัวที่อยู่รั้งท้ายเพื่อน และขยับขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงหัวแถว
ในพริบตา....แถวของแมลงนินจา ก็ล้มระเนระนาด ทุกตัวถูกผ่าร่างกายขาดสองท่อนนอนจมกองของเหลวสีเหลืองที่ไหลออกจากแผลของพวกมัน
"โปรดให้อภัย นี่เป็นหน้าที่ของข้า ภารกิจแห่งศาสนจักร"
หมาป่าดำ กล่าวและเก็บดาบลง ก่อนจะเดินจากไป โดยทิ้งซากศพของเหล่าแมลงไว้เบื้องหลัง
.............ภารกิจแห่งศาสนจักร...................
หมาป่าหนุ่มสีดำ ตัวนี้คืออัศวินขององค์กรทางศาสนา ของ นครแห่งแสง(Light City) กองอัศวินแห่งศาสนจักรนั้น นอกจากรับใช้และออกต่อสู้ตามคำสั่ง
ของศาสนจักรแล้ว พวกเขาเหล่านี้ยังเป็นปราการด่านหนึ่งในการปกปักษ์พิทักษ์ นครแห่งแสง เพราะแท้จริงแล้วพวกเขานับเป็นหน่วยอัศวินพิทักษ์พระราชวัง
แต่เนื่องด้วยเขตการปกครองของนครแห่งแสงนั้น ขึ้นตรงกับพระศาสนจักร จึงทำให้กองอัศวินนั้นรวมเข้ากับพระศาสนจักรไปโดยปริยายนั่นเอง
อัศวินพิทักษ์พระราชวัง หรือ พาลาดิน(Paladin) เป็นนามแห่งอัศวินที่น่าเกรงขามในเรื่องของพลัง และ ความซื่อสัตย์ จนมีคำกล่าวว่าพวกเขาเหล่านั้นคือ
ดาบแห่งพระศาสนจักรและเพราะหน่วยอัศวินมีหน้าที่ปกป้องดูแลรักษาความสงบในอาณาจักร ภารกิจของพวกเขาจึงรวมไปถึงการปราบปรามเหล่า
ปีศาจร้ายหรือสัตว์ร้าย ที่ลุกล้ำเข้ามารบกวนราษฏรในความปกครองด้วยเช่นกัน
"กำจัดแมลงนินจาเรียบร้อย ต่อไปก็..."
หมาป่าดำเปรยกับตัวเอง ก่อนจะแหงนหน้ามองขึ้นไปยังท้องฟ้าทางทิศใต้ของป่า ที่แห่งนั้นมีทุ่งดอกไม้อันกว้างขวางรอเขาอยู่
...............................................................................
ณ ป่าทางตะวันตก กลุ่มของเด็กหนุ่ม กับ หมาป่าแดง เซเวอร์ กับ เรจิ ทั้งคู่กำลังเอร็ดอร่อยกับ บาบีคิวเสียบไม้ ยามบ่าย
ซึ่งทำจากเนื้อแมลงอ้วนที่ล่ามาได้ โดยแล่เนื้ออกเป็นชิ้นเล็กๆขนาดพอดีคำ แล้วนำมาเสียบไม้นำไปย่างไฟให้สุกกำลังดี
จนไขมันจากเนื้อไหลเยิ้มอาบจนทั่วแล้วจึงหยิบมาเป่าให้เย็นลงก่อนกิน เนื้อทั้งนุ่มและหวานมันอย่าบอกใคร ทั้งสองกินกันจนหมดอย่างรวดเร็ว
หลังจากอิ่มท้องแล้ว เซเวอร์ บิดขี้เกียจก่อนจะลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นทรายออกจากกางเกง
"ฮึบ อ้า~~~ ท้องก็อิ่มแล้วพักก็เต็มที่แล้วงั้น ฉันไปขอตัวไปทำงานก่อนนะ"
"จะไปนานไหมอ่า~~~"
"เดี๋ยวเดียวก็กลับแล้ว นายเองก็ไปเล่นกับพวก นิโค่ รอก่อนก็ได้ป่านนี้คงมารออยู่ตรงแถวๆทุ่งดอกไม้ทางใต้แล้วล่ะมั้ง"
"จริงด้วย นัดกันว่าจะเล่นซ่อนหานี่นา ลืมซะสนิทเลย!!"
เรจิ สะดุ้งทันทีที่นึกนัดสำคัญออก ก่อนจะรีบตะกุยสี่เท้า วิ่งออกไป
"มาไวไปไวซะจริงนะ หมอนี่ ..."
เซเวอร์ อมยิ้มเล็กน้อยขณะที่มองดู เรจิ วิ่งจนลับสายตา สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนไปดูจริงจัง และ ขึงขังกว่าปกติ เด็กหนุ่มเริ่ม
สาวเท้าเดินดุ่มๆออกไปสองสามก้าว ทิวทัศน์รอบตัวของเด็กหนุ่ม เปลี่ยนไปตามจำนวนก้าวทั้งที่การก้าวนั้นไม่รวดเร็วหรือ ก้าวยาวแต่อย่างใด
แต่ทิวทัศน์รอบ ๆกลับเปลี่ยนไปราวกับ ตัวเขากำลังวิ่งด้วยความเร็วที่เหนือกว่ารถยนต์เสียอีก ทั้งอย่างนั้นท่วงท่าการเดินของเด็กหนุ่มก็ยังเป็นเพียงแค่การก้าวสั้นๆ
เพียงสามก้าว เสมือนว่า เส้นทางกำลังวิ่งเข้าหาตัวเขาเอง
เมื่อหยุดก้าวที่สามลง เซเวอร์ก็มาหยุดอยู่หน้าประตูปราสาท กำแพงและตัวปราสาทล้วนทำขึ้นจาก คริสตัลที่ส่องแสงสีม่วงอ่อนๆออกมา
บรรยากาศรอบตัวปราสาทนั้น อึมครึมและมืดมิดแทบจะไม่มีแสงสว่างใดๆส่องลงมามีแต่เพียงแสงสว่างจากตัวปราสาทที่ ส่องออกมาแทน
"ฉันมาหาแล้วนะ.....เซร่า"
...
ณ ทุ่งดอกไม้ทางใต้ของป่า (Flower Field)
ทุ่งดอกไม้อันกว้างขวาง สุดลูกหูสุดลูกตา จะเห็นเพียงแต่เส้นขอบฟ้าจรดกับพื้นทุ่งที่รายเรียงไปด้วยดอกไม้สีสวยสด
ขึ้นเป็นหย่อมๆที่ทุ่งนี้มีดอกไม้หลายหลายสายพันธ์ขึ้นรวมกันอย่างน่าอัศจรรย์ สถานที่แสนวิเศษนี้เกิดขึ้นมาได้ เพราะ
ไม่ได้รับการรบกวนจากภายนอกเลย เนื่องจากเป็นพื้นที่ยุบตัวซึ่งเปราะบางเกินกว่าจะรองรับสิ่งก่อสร้างใดๆไว้
พื้นที่เป็นทุ่งที่ราบเรียบไม่มีที่ให้ซ่อนตัวหรืออาหาร จึงไม่มีสัตว์ชนิดใดเข้ามารบกวนพื่นที่แห่งนี้
เว้นเสียแต่กลุ่มเด็กสัตว์หาง จากนครแห่งแสง พวกเขาใช้ที่นี่เป็นสถานที่เล่นของพวกเขา จนถึงสองวันก่อน ที่มี
เรื่องร้องเรียน ถึงการหายตัวไปของ เด็กคนหนึ่งที่มาเล่นแถวนี้ แม้ว่าครอบครัวและเพื่อนบ้านจะช่วยกันออกมาค้นหา
อยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่พบหรือเจอแม้แต่เงาของ เด็กที่หายตัวไปเลยแม้แต่น้อย ท้ายที่สุดครอบครัวของเด็กที่หายไป
ได้เข้าแจ้งความกับสถานทำการของนครแสง เรื่องผ่านการพิจารณาและไตร่ตรอง จนมาถึงมือของ หมาป่าดำ
เขาจึงออกมาพร้อมกับรับงานกำจัดฝูงแมลงนินจาในระหว่างทางที่ผ่านมาด้วย
บัดนี้ หมาป่าดำ ได้มาถึงทุ่งดอกไม้อันเป็นจุดหมายของภารกิจสุดท้ายแล้ว
ฮัดชู่ว!!
หมาป่าดำ จามตั้งแต่มาถึงทุ่งดอกไม้นี้ เขาเริ่มมีอาการ คัดจมูกและจาม อยู่เป็นพักๆ
หลังจากกวาดสายตาไปรอบๆทุ่งมันว่างเปล่าไม่มีวี่แววของสิ่งใดอยู่เลย มีเพียงดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอม โชยออกมาอยู่เต็มไปหมด
และกลิ่นพวกนั้นที่ทำให้เขา รู้สึกคัดจมูก มันใช่สถานที่ ที่น่าอภิรมย์นักสำหรับ เผ่าหมาป่าที่จมูกดีเป็นพิเศษกลิ่น
ของดอกไม้เหล่านี้แรงเกินไป สุดท้ายเพื่อตัดปัญหา จึงเอามือบีบจมูกแล้วหันมาหายใจด้วยปากแทน
ก่อนจะลุยเข้าไปสำรวจในดงดอกไม้
เพียงแค่ 3นาที ผ่านไปเขาก็ต้องยอมแพ้ เกสรดอกไม้เหล่านี้ ทำให้แสบจมูกไปหมดแล้วแม้จะพยายามหายใจด้วยปาก
ไม่นานนัก เกสรเหล่านั้นก็เข้าไปอุดอยู่ในลำคอจนสำลัก
"คงไม่มีอะไรอยู่แถวนี้แล้ว ละ....ฮัคชู่ว!!!...มั้ง "
หมาป่าดำจามอย่างแรง แรงจากการจามทำให้เสียหลักเซถลาล้มลงไปในพงหญ้าใกล้ๆ
โป๊ก!!
"โอ้ย~~"
หัวของเขา กระแทกเข้ากับอะไรบางอย่างในพงหญ้า นอกจากนี้เสียงร้องโอดโอยนั้นหาใช่มีแค่เสียงของตนเท่านั้น
แต่สิ่งที่อยู่ในพงหญ้าก็ร้องเช่นเดียวกัน ด้วยความสงสัย จึงยื่นมือเข้าไปจับกุมสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าทันที
สัมผัสจากอุ้งมือของเขาบอกว่าสิ่งที่จับกุมไว้นั้น มีลักษณะยาวๆอ้วนป้อมและมีขน ด้วยความอยากรู้จึงยกมันขึ้นมาเลย
สิ่งที่เขากุมอยุ่ในมือคือหางของลูกแมวน้อย ซึ่งกำลังดิ้นกระเ สือ ก กระสนอยู่
"นิโค่ ?" (Nico)
หมาป่าดำ เอ่ยเสียงเรียบ เขารู้จักแมวน้อยตัวนี้
"พ...พี่ทอล...."
ลูกแมวน้อย ตอบกลับพลางส่งยิ้มแห้งๆให้
"นี่นายมาเล่นซ่อนหาแถวนี้อีกแล้วเหรอ...ที่นี่มันอันตรายนะ"
"ม...ไม่ใช่นะพวกผมมาช่วยหาตัว ไดซ์ต่างหากล่ะ!" (Dice)
นิโค่ แย้งและบอกจุดประสงค์ของตนเพื่อที่จะไม่ถูก ทอลหมาป่าดำ ที่จับกำลังตัวเขาไว้ตำหนิเอา
"ไดซ์...อ๋อเด็กที่หายตัวไปสินะ ว่าแต่ที่บอกว่า 'พวกเราน่ะ' แปลว่ายังมีใครอยู่อีกใช่รึเปล่า"
ทอล มองไปที่ดวงตาของ ลูกแมวในมือ หากไม่ยอมสบตาด้วย ก็แสดงว่ากำลังโกหกอยู่ นี่เป็นวิธีการจับเท็จเบื้องต้น
ในการสอบปากคำ แม้จะรู้อยุ่แล้วว่า นิโค่ คงไม่พูดโกหกกับเขาแต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ได้รับการฝึกมาและใช้จนติดเป็นนิสัยไปแล้ว
"อื้อ ก็มี ฟา มาช่วยหาด้วยเหมือนกันอ่ะ"(Far)
นิโค่ ตอบและสบตาตรงๆ ทอลแน่ใจแล้วว่า เขาไม่ได้โกหก จึงปล่อยนิโค่ ไปและเริ่มทอดสสายตามองหาในทุ่งอีกครั้ง
มันก็ยังคงว่างเปล่าในสายตาเขาอยู่ดี พงหญ้าที่อยู่รอบทุ่งดอกไม้ นั้นสูงขนาดพอๆกับตัวเด็กพวกนี้ ขนาด นิโค่ ที่อยู่ใกล้กับเขา
ยังซ่อนจนมิดได้ขนาดนั้น การจะหาตัวอีกคน คงไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตามเขาอยากจะไล่พวกเด็กๆ
กลับไปก่อนจะสำรวจต่อ จากรายงานที่ได้รับมา ไดซ์หายตัวไป เกือบจะครบสัปดาห์แล้ว ความเป็นไปได้ที่ว่าอาจมีสัตว์ร้าย
มาอาศัยใกล้ๆกับทุ่งแห่งนี้แล้วจับตัวพวกเด็กๆไปเป็นอาหาร นับว่ามีความเป็นไปได้สูง
"นิโค่ ฟังนะไปตามหา ฟา แล้วพวกเธอก็กลับบ้านไปซะ ฉันมีงานต้องทำ....."
กรี้ดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!!
เสียงกรีดร้องแหลมดังขึ้นมาจากทุ่งดอกไม้ต่อจากนั้นไม่กี่วินาที ลูกแกะตัวน้อยได้กระโจนออกมาจากพงหญ้าที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
พวกเขาวิ่งเข้าไปหาเธอทันที ลูกแกะมีสีหน้าหวาดผวา อะไรบางอย่างในพงหญ้าที่เธอกระโดดออกมา
สร้างความหวาดกลัวให้กับเธอ
"ฟา ป...เป็นอะไรไหม"
นิโค่ เข้ามาถาม ทว่า ฟาก็ได้แต่อ้ำอึ้ง เธอตกใจจนพูดไม่ออก จึงชี้เข้าไปในพงหญ้าแทน ข้างในพงหญ้าที่เธอกระโดดออกมานั้น
มีหัวกระโหลก ขนาดเท่ากับหัวเด็กอยู่ นิโค่ เองถึงเหวอไปชั่วขณะเมื่อได้เห็นมัน
หลังจากเห็นสิ่งที่อยู่ในพงหญ้าแล้ว ทอล จึงออกเดินแหวพงหญ้าบริเวณ รอบๆที่เจอ หัวกระโหลกและได้เจอเข้ากับชิ้นส่วนที่เหลือ
ชิ้นส่วนกระดูกตั้งแต่ ซี่โครง แขน ขา ไปจนทั้งหมด
ด้วยความกังวลต่อสภาพจิตของเด็กทั้งสอง ทอล จึงพาตัวพวกเขาออกจากทุ่งดอกไม้ โดย จูงมือเด็กทั้งสองไปนั่งพักที่ต้นไม้ใกล้ๆ
"ร...หรือว่านั่นจ..จะ..จะเป็นของไดซ์น่ะ..."
นิโค่ ยังคงผวากับสิ่งที่เห็นไป ฟา เองเริ่มมีน้ำตาคลอที่เบ้าแล้ว
"ก็ยังไม่แน่หรอก อาจจะอยู่ตรงนั้นมาก่อนตั้งนานแล้วก็ได้"
ทอลไม่ต้อการสร้างความวิตกให้กับพวกเด็กๆ ทุ่งดอกไม้นี้เป็นที่เล่นของพวกเขามานานและพวกเขามาเล่นที่นี่ทุกวัน
เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เคยเจอซากกระดูกนั่น นี่เป็นข้อสรุปของเขา ซากนั่นเพิ่งจะมีมาไม่นานและ การที่มันเหลือแต่กระดูก
ก็ยิ่งตอกย้ำว่ามีอะไรบางอย่างกินเด็กคนนั้นเข้าไป
"ม...มันต้องใช่แน่ๆ...น...นั่นคือไดซ์!!"
เสียงตะคอกของลูกแกะน้อย แสดงถึงความหวั่นกลัวในจิตใจ แต่เพราะอะไรกันถึงทำให้เธอพูดออกมาได้อย่างมั่นใจว่า
ซากกระดูกนั่นเป็นของเพื่อนเธอจริงๆ ทอล มองดูเธออยู่ซักครู่ก่อนจะสังเกตุเห็นว่าเธอถืออะไรมาด้วย มันเป็น ไพ่สำหรับเล่นเกมของพวกเด็กๆ
เขาเคยเห็นมันตอนที่ ทั้งสามตัวเล่นด้วยกัน
"นี่มันการ์ดของไดซ์ นี่!" นิโค่ สะดุ้งหลังจากได้เห็น ไพ่ที่อยู่ในมือของ ฟา
"ใช่...ฉันเจอมันตกอยู่ข้างๆกระโหลกนั่น"
ฟา พูดน้ำเสียงของเธอยิ่งเหมือนจะหวาดกลัวหนักขึ้นไปทุกที การเห็นศพของเพื่อนนั้นคงมากเกินกว่าที่เด็กผู้หญิงอย่างเธอจะรับได้
"การ์ดนั่นขอฉันเก็บไว้ก็แล้วกัน เดี๋ยวพวกเธอรอฉันอยู่ตรงนี้ก่อน เก็บศพเสร็จแล้วฉันจะพาพวกเธอไปส่งที่บ้านเอง"
ทอล พูดจบก็ดึงไพ่ในมือ ลูกแกะน้อย ออกมาทันที ก่อนจะกลับเข้าไปในทุ่งดอกไม้ เพื่อรวบรวมซากกระดูกกลับไป
จนถึงตอนนี้ เขาถึงพึ่งรู้สึกตัวว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไป เขาไม่จามแล้ว และ ไม่รู้สึกแสบจมูกอีกด้วยทั้งที่ก่อนหน้านี้
เขาแพ้เกสรในทุ่งนี้จะเป็นจะตายเอาด้วยซ้ำ ในตอนนี้เองพาลาดินหนุ่ม จึงได้ตระหนักแล้วว่าเกสรดอกไม้ที่เคยกระจายฟุ้งในทุ่งแห่งนี้หายไป?
แล้วมันหายไปได้อย่างไร คำตอบกำลังจะปรากฏต่อหน้าเขา ดอกไม้เล็กๆ ในทุ่งกำลังลอยขึ้นจากพื้น มันกำลังปลิวไปตามแรงลม
ที่พัดขึ้นจากทุ่ง
โดยที่ไม่รู้ตัวเลย ท้องฟ้าเหนือทุ่งดอกไม้ถูกปกคลุมด้วยเมฆฝน อยู่ๆสภาพอากาศก็เปลี่ยนกระทันหัน นี่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างแน่นอน
สัญชาตญาณหมาป่าของ ทอล เตือนให้เขาระวังตัวบางอย่างกำลังจะมาเยือน ม่านหมอกของเมฆดำแหวกออกแล้ว ลมพัดแรงขึ้นมันแรงจัดเสียจน
พัดเอาดอกไม้ในทุ่งกระเจิงขึ้นไปบนฟ้าหมด
นี่คงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ทุ่งแห่งนี้ฟุ้งไปด้วยเกสร พวกมันถูกพายุลึกลับนี่ดูดขึ้นไปทั้งดอกทั้งพุ่ม และเมื่อลมหยุดพัด พวกมันถึงร่วงลงมา
แต่เกสรที่เบากว่าอากาศนั้นจะร่วงโรยอย่างช้าๆ จนตกค้างอยู่ในอากาศ
"แกเองสินะตัวการของเรื่องทั้งหมด!"
ทอล พยายามมองเข้าไปในหมู่เมฆที่แหวกตัวออก โฉมหน้าของฆาตกร ร่างกายอันใหญ่โตมหึมา เกล็ดสีน้ำเงินและลำตัวเป็นปล้อง ปีกใสที่ติดกับต้นคอของมัน
ยาวเกือบ5เมตร ความยาวจากหัวถึงหางราวๆ 18เมตร นี่คือแมลงยักษ์บินได้ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเหล่าสัตว์หาง จนขนามนามให้กับมันว่า
เป็นจ้าวแห่งนภา สกายบัค(Sky Bug)
.....................................โปรดติดตามตอนต่อไป.......................
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น