คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #78 : Login 75: อารย-สนธยา
Login
75: อารย-สนธยา
“พระเป็นเจ้าของพวกเจ้ามันก็แค่เรื่องแต่ง
ปีศาจที่หลุดออกมาจากอาคาชิกเรคคอร์ดในเฮเว่นฟอลที่พวกเจ้าเรียกว่าพระเป็นเจ้าไม่ได้มีตัวตนอยู่อีกต่อไปแล้ว”
แววตาของโดโกบาร์ตอนที่พูดออกมานั้นดูแปลกจากไปทุกที
นัยน์ตาของเด็กชายแข็งกร้าวและดุดันเหมือนไปโกรธใครมา
แต่อิงศรก็นึกขอบคุณโดโกบาร์ที่ทำให้ไม่ต้องโดนฆ่า
แต่...
ตอนนี้สถานการณ์กลับยิ่งทวีความวุ่นวายหนักข้อกว่าเดิม
โดโกบาร์ยังคงพูดโดยไม่ยี่หระต่อสถานการณ์
“อย่าได้เชื่อคารมอันเท็จลวงของเทวทูตปลอมเหล่านี้ล่ะมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก
เทวทูตที่อ้างพระเป็นเจ้าเหล่านี้คือผู้นำพาไปสู่ความตายการให้อภัยของพวกมันเป็นเพียงลมปากหวานหูแท้จริงแล้วก็เป็นเพียงการเลือกสรรมนุษย์ด้วยความพึงพอใจของพวกมันเองแล้วกำจัดส่วนที่ไม่ถูกเลือกไปพวกมันกำลังหมายตาเจ้าเพราะเจ้าคือผู้ถูกฟันเฟืองเลือก”
แล้วแทบจะในทันทีเทวทูตที่ก็แย้งกลับมาเทวทูตถือคันธนูที่น่าจะชื่อว่ากาบรีเอลนั่น
“สามหาว!
เจ้าเป็นใครกันผู้แปดเปื้อนกล้าดูหมิ่น...”
คงตั้งใจจะพูดว่า
‘กล้าดูหมิ่นพระเจ้าได้ยังไง’ แต่โดโกบาร์ก็พูดขัดซะก่อน
“เราคือโดโกบาร์ผู้พิสูจน์แห่งสวนศักดิ์สิทธิ์”
เพียงแค่โดโกบาร์ประกาศชื่อกับสถานะของตนออกไปความพยายามที่อิงศรเคยทำมาทั้งหมดก็สูญเปล่าในทันที
หมอนี่จะรู้ตัวบ้างไหมนะว่าที่ผ่านมาเขากับพวกพ้องจะพยายามไปเพื่ออะไร
ในเมื่อมาทำความแตกต่อหน้าธุวดารกะผู้สูงส่งทั้งหมดแบบนี้ก็ไม่ต่างกับป่าวประกาศความลับให้รู้กันทั้งเมตไตรยเลย
ขณะเดียวกันก็เริ่มมีเสียงจากพวกธุวดารกะดังมากันแล้ว
เสียงตกใจที่ดูเหมือนจะรู้กันเป็นอย่างดีว่าโดโกบาร์คือใครทั้งที่เขากับพวกพ้องแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยถ้าเจ้าตัวไม่บอก
“โดโกบาร์เหรอ!
นั่นมันชื่อของเครื่องทำสวนที่ถูกเรียกในแพทซ์ไม่ใช่รึ!”
“เครื่องทำสวนที่จะลงทัณฑ์มนุษย์นั่นน่ะเหรอ!”
“ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ!”
ในบรรดาพวกนั้นมีแต่ฝาแฝดมีนากับเมษาที่ทำหน้างุนงงบางทีสองคนนั่นอาจจะเป็นเด็กนอกคอกอย่างที่บอกจริงๆ
พวกนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยมีแต่พวกธุวดารกะที่เก็บงำเรื่องสำคัญๆ
ไว้กับตัวเองเป็นพวกน่ารังเกียจที่คอยแต่จะกวาดผลประโยชน์เข้าตัวกันอย่างนั้นสินะ
เทวทูตซึ่งถือไม้เท้าและอยู่ทางฝั่งซ้ายมือของกาบรีเอล...ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อว่าราฟาเอลได้พูดมาว่า
“เครื่องมือของซาตานอย่างนั้นรึทำไมกัน...”
โดโกบาร์หรี่ตาลงแคบแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เหลวไหล
ซาตานที่เจ้าว่าก็คือส่วนหนึ่งของ ยฮวฮ ผู้เป็นนายของพวกเจ้าไม่ใช่รึไง”
อิงศรที่มองดูการโต้เถียงทางศาสนาเหล่านั้นแล้วก็เป็นงงไปกับมัน
‘ยฮวฮ’
นั่นน่าจะเป็นชื่อของพระเจ้าในความเชื่อของศาสนาแล้วก็ ‘ซาตาน
‘คำที่ใช้เรียกปฏิปักษ์ของศาสนานั่นแต่ทำไมเนื้อหามันถึงได้ชวนมึนขนาดนี้นะ
คงไม่แปลกหรอกเขาไม่ได้นับถือศาสนานั่นแล้วก็ไม่ได้สนใจวิชาศาสนาด้วยที่รู้ก็เพราะมันมีอยู่ในชั่วโมงเรียนของการฝึกทหารในเมตไตรยบางทีคงให้เรียนรู้เพื่อเป็นแนวทางในการใช้แอพพลิเคชั่นปีศาจ
ในตอนนั้นเองหน้าจอสื่อสารก็เปิดขึ้นฉายใบหน้าของซีลอร์ดเอาไว้แล้วเจ้าตัวก็เริ่มพูด
‘ดูเหมือนจะเลี่ยงไม่เล่าให้เธอฟังคงไม่ได้แล้วสินะ’
อีกฝ่ายพูดเหมือนกับรู้ใจ
‘ประมาณสองพันปีได้แล้วล่ะมั้งที่เกิดเหตุเฮเว่นฟอลขึ้นมาในตอนนั้นเกิดข้อพิพาทกันระหว่างเหล่าแอดมินิสเทรเตอร์ทำให้มีปีศาจทรงอำนาจตนหนึ่งหลุดออกจากอาคาชิกเรคคอร์ดแล้วลงไปที่สวนแห่งที่สองกว่าจะคลี่คลายข้อพิพาทกันได้แล้วเริ่มตามจัดการปีศาจที่หนีไปมันก็เกิดความเสียหายอันใหญ่หลวงแก่สวนแห่งที่สองไปมากแล้วปีศาจที่อ้างชื่อว่า
ยฮวฮ ได้สร้างความปั่นป่วนที่ไม่อาจซ่อมแซมได้ สิ่งมีชีวิตที่ปกครองสวน ณ
เวลานั้นได้ตกเป็นทาสของความเชื่อและการทำลายล้างเพื่อมัน
ดังนั้นโดโกบาร์จึงได้รับคำสั่งให้จัดการกับปีศาจตนนั้นแต่ถึงจะจัดการได้ความเสียหายก็ยังคงหลงเหลืออยู่’
อิงศรฟังที่ซีลอร์ดเล่ามาไม่ค่อยรู้เรื่องนักแต่พอจับใจความได้ว่า
‘พระเป็นเจ้า’ คือปีศาจเหมือนกับแอพพลิเคชั่นปีศาจที่พวกเขาใช้และเคยสร้างความวุ่นวายให้แก่โลกแล้วเวลาสองพันปีก็ตรงกับจำนวนปีโดยประมาณของการเกิดศาสนานั่นด้วย
ซีลอร์ดยังคงพูดต่อไปว่า
’และเพื่อที่จะแก้ไขความเสียหายเหล่านั้นโดโกบาร์ได้ไว้ชีวิตเหล่าเทวทูตสมุนของ
ยฮวฮ
เพื่อให้พวกมันเป็นสื่อกลางที่จะแก้ไขความเสียหายโดยใช้ให้ติดต่อกับมนุษย์เพศหญิงคนหนึ่งและคอยชี้นำเธอแต่ว่ามนุษย์ในเวลานั้นก็แปดเปื้อนเสียจนไม่อาจชักนำกลับมาได้แล้วดังนั้นมนุษย์ที่ถูกโดโกบาร์เลือกจึงถูกมนุษย์ด้วยกันฆ่าตายด้วยไฟแล้วสมุนเหล่านั้นก็หนีหายไป’
ฆ่าตายด้วยไฟ...
คำๆ นี้คือคีย์เวิร์ดที่บอกถึงการเผารึเปล่า
ถ้าพูดถึงการฆ่าด้วยการเผากับเรื่องของศาสนาก็มีแต่ ‘การล่าแม่มด’ ที่เกิดช่วงปลายศตวรรษที่
14
ซึ่งนั่นก็หลังจากสงครามครูเสดไปแล้วบางทีเฮเว่นฟอลที่ว่านั่นอาจจะหมายถึงตัวการที่ทำให้เกิดสงครามศาสนาครั้งใหญ่นั่นและถ้าเรียบเรียงไปตามนี้การล่าแม่มดที่เลื่องชื่อลือชาที่สุดในยุคถัดมาก็คือ
'ยอร์นแห่งอาร์ค'
“เดี๋ยวก่อนนะหรือว่าชื่อของคนที่โดโกบาร์เลือกก็คือ
ฌาน ดาร์ก น่ะ”
ซีลอร์ดเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินอิงศรพูดชื่อนั้นออกมา
เขาพยักหน้าแล้วตอบกลับ
‘ใช่ น่าตกใจนะที่เธอรู้อยู่แล้ว
และที่โดโกบาร์กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่นี่เธอก็คงเข้าใจแล้วสินะผมแนะนำว่าให้รีบหยุดเขาก่อนจะดีกว่า’
อิงศรละสายตาจากหน้าจอสื่อสารไปก็ตอนที่รู้สึกถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงที่แผ่ออกมาจากที่ไหนซักแห่ง
เขาเงยหน้าขึ้นแล้วก็เห็นว่าร่างของโดโกบาร์เริ่มเปล่งแสงอ่อนๆ
ส่วนพวกเทวทูตก็ทำท่าจะต่อสู้เต็มที่
“นี่จะทำสงครามครูเสดกันที่นี่รึไงเนี่ย”
อิงศรสบถพลางคิดหาวิธีที่จะหยุดโดโกบาร์เพราะหากปล่อยไว้ที่นี่คงไม่เหลือแม้กระทั่งซากดีไม่ดีโลกอาจจะพังทลายไปถึงขั้นสุดท้ายเลยก็ได้
ตอนนั้นเองเทวทูตที่มีใบหน้าอยู่บนโล่...รู้สึกจะชื่อว่าอูริเอลก็พูดอะไรบางอย่างกับกุมภา
“ผู้รับใช้ของพระเจ้าเอ๋ยจงจัดการเสีย”
“ค่ะ”
กุมภาโค้งตัวน้อมรับคำสั่งนั้นแล้วหันไปสั่งทหารที่เฝ้าประตูที่ด้านหนึ่งของห้อง
“เอาตัวพวกนั้นมา!”
อิงศรหันตามไปพาลก็รู้สึกสังหรณ์ไม่ค่อยดีนัก
ประตูทางนั้นเปิดออกแล้วก็มีคนคุ้นหน้าคุ้นตาถูกพวกทหารที่เหมือนจะเป็นหน่วยพิเศษที่ขึ้นตรงกับกุมภาผลักให้เดินกะเผลกๆ
เข้ามาข้างในห้องอย่างทุลักทุเล
เพราะว่าสองคนนั้นถูกมัดมือไพร่หลังเอาไว้เนื้อตัวก็สะบักสะบอมและมีแต่รอยฟกช้ำกับบาดแผลเหมือนถูกซ้อม...
ไม่สิคงถูกทรมานด้วยเหตุผลบางอย่างแน่ๆ
อย่างเช่นให้สารภาพเกี่ยวกับเรื่องที่สิงห์ทรยศอะไรเทือกนั้น
ใบหน้าของกวินทร์และนรินทร์เต็มไปด้วยคราบเลือดที่แห้งสนิท
พลังชีวิตก็เต็มปรี่บางทีคงได้พักฟื้นฟูหลังจากโดนทรมานและการที่พาตัวแบบนี้ก็ไม่ต้องเดาให้ยากเลยนั่นก็เพื่อทำให้อิงศรยอมจำนนต่อทั้งหมด
“คิดว่าแค่นั้นจะหยุดข้าได้งั้นรึ”
โดโกบาร์เหลือบไปมองตัวประกันสองคนที่ถูกพาเข้ามาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“แกน่ะอาจจะไม่แต่อีกคนน่ะไม่แน่”
กุมภาคลี่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วหันไปทางอิงศร
ที่นั่นเด็กหนุ่มกำลังแสดงสีหน้าอย่างชัดเจน สีหน้าแห่งความเกลียดชัง
“สกปรกที่สุดนี่น่ะเหรอการกระทำของเทวทูตน่ะ
ต่ำช้าสิ้นดี!”
อิงศรหันไปตะหวาดใส่กุมภาและเทวทูตแต่พวกมันคงไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้นอยู่แล้ว
“เราไม่คิดจะใส่ใจต่อการประเมินของเธอหรอกนะ”
กุมภาตอบกลับมาด้วยท่าทีสงบจากนั้นก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นออกคำสั่ง
“เอาล่ะคงรู้หน้าที่แล้วใช่ไหมรีบหยุดเครื่องทำสวนซะเพราะเธอคอยดูแลอยู่ตลอดน่าจะทำได้สินะ”
“ได้ที่ไหนกันเล่า!”
“อย่ามาโกหกหน่อยเลย”
หล่อนเมินคำพูดของเขาแล้วชักดาบจากเอวตวัดไปจ่อที่คอของกวินทร์
“อึก”
กวินทร์กลัวจนหน้าซีดพลางกัดฟันทนความหวาดเสียวที่มีคมดาบจ่ออยู่ตรงปลายลำคอ
หล่อนเอาจริงแน่ถ้างั้นก็มีแต่ต้องหยุดโดโกบาร์ให้ได้เท่านั้น
“โธ่เว้ย!”
อิงศรสบถแล้วหันไปบอกกับโดโกบาร์
“เฮ้ย!
หยุดก่อนเถอะไหว้ล่ะ”
ตอนนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมา
“อะฮะฮะฮะฮะ
ทีนี้นายเริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้วใช่ม้า~ ศร”
เจ้าของเสียงคือข้าวหลามที่อยู่ๆ
ก็หัวเราะออกมาเหมือนจะเสียสติ
แล้วเมื่อหยุดหัวเราะเขาก็ชันใบหน้าเข้ากับมือข้างหนึ่งรวบผมหน้าม้าสีทองให้ลู่ไปข้างหลังพลางเงยหน้า
ยืดตัว แล้วเดินออกมาอยู่ข้างหน้า
กุมภาพูด
“คิดจะทำอะไรน่ะฉันยังไม่ได้สั่ง...”
แต่ข้าวหลามเมินเธอสนิทแล้วเริ่มพูดกับอิงศรต่อ
“นี่แหละธุวดารกะไม่สิต้องบอกว่านี่แหละคือมนุษย์ล่ะทั้งก่อนจะล่มสลายแล้วก็หลังล่มสลายนายเองก็คงคิดว่ามันน่ารังเกียจสุดๆ
ไปเลยใช่ไหมล่ะแล้วตอนที่ยังไม่ล่มสลายเจ้าพวกแบบนี้ก็เล่นเกมชักใยคนธรรมดาๆ
เหมือนเป็นตัวหมากอยู่ทุกวันโดยที่ตัวหมากอย่างพวกเราไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลย”
กุมภายังคงย้ำคำเดิมด้วยเสียงที่ดังขึ้นไปอีก
“นี่ฉันบอกว่าให้หยุดไง!”
แต่ข้าวหลามกลับ
“นี่รู้รึเปล่าว่าโค้ดเนมเมดูซ่าเนี่ยมันสะดวกดีนะเพราะใครต่อใครก็จะทึกทักว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงกันไปเองทั้งที่ยังไม่เคยเจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำ”
พูดสิ่งที่น่าตกใจออกมาอย่างนั้นแล้วก็ยิ้มระรื่น
‘เมดูซ่า’ ถ้าจำไม่ผิดก่อนหน้านี้มีนาเคยเล่าให้ฟังว่าภายในองค์กรได้มีสปายของ อารย-สนธยา ที่ใช้โค้ดเนมนั้นลอบเข้ามาถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า..
“นี่นายเป็นพวกอารย-สนธยางั้นเรอะ!”
ขณะเดียวกันเสียงของซีลอร์ดก็ดังแทรกขึ้นมา
‘อิงศรมีปีศาจตัวหนึ่งกำลังบุกไปที่นั่นสัญญาณของมันใหญ่มาก’
น้ำเสียงนั้นดูจะแสดงความตื่นตระหนกออกมามากกว่าซีลอร์ดตามปกติแสดงว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่แต่ยังไม่ทันที่จะสอบถามถึงเรื่องนั้นเพดานห้องก็เกิดถล่มลงมาซะก่อน
เพดานถล่มลงมาจุดหนึ่ง
สองจุด
สามจุด
เพดานกำลังถล่มลงมาพร้อมกันจากทุกทิศทางราวกับถูกฝูงของอะไรบางอย่างทะลวงเข้ามา
เศษซากเพดานตกลงมาบนพื้นสร้างฝุ่นควันขึ้นมาบดบังทัศนวิสัยจนย่ำแย่
เงาของสิ่งที่ทะลวงเพดานลงมานั้นโยกย้ายส่ายหัวไปมาราวกับมองหาอะไรบางอย่างท่ามกลางกลุ่มควันอันหนาแน่น
จากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก
มีเงาหนึ่งในนั้นได้เคลื่อนที่ตัดหน้าอิงศรไป
ตัดหน้าพวกเทวทูต
ข้ามหัวกุมภา
และไปสิ้นสุดที่บัลลังก์ซึ่งมกร
ธุวดารกะประทับอยู่
ตูม!!
เสียงระเบิดโดดๆ
ดังขึ้นมาแล้วเงานั่นก็บดขยี้มกรไปพร้อมกับบัลลังก์จนติดผนัง
มีเสียงกระดูกหักดังกรอบแกรบเหมือนกับพลาสติกถูกขยี้ตามด้วยเสียง
‘แผละ’ สั้นๆ บางที
มกรอาจจะร่างกายแหลกเหลวไปแล้วก็ได้
อิงศรทอดสายตามองสิ่งที่จู่โจมเข้ามามันมีเกล็ดสีดำนิล
แผ่แม่เบี้ยได้ ลำตัวยาวออกไปถึงข้างนอกผ่านทางรูที่เจาะลงมาจากเพดาน
มันคืองู...งูเห่ายักษ์ที่มีขนาดศีรษะใหญ่พอจะกลืนรถบรรทุกทั้งคัน
พวกมันมีกันหลายตัว... ไม่สิพวกมันมีแค่ตัวเดียวแต่มีหลายหัวมากกว่า
แต่ละหัวก็เหมือนจะมีนอ หรือ หงอนงอกขึ้นมาถ้าให้นิยามแล้วล่ะก็บางทีอาจจะเรียกว่า
‘พญานาค’
เทวทูตที่มีแต่ใบหน้ากับปีกสามคู่ที่อดีตคือซากิริได้คืนร่างตัวเองกลับไปเป็นมนุษย์อีกครั้งแล้วเริ่มทำการเก็บข้อมูลเหมือนอย่างที่เห็นบ่อยๆ
ไม่นานหล่อนก็พึมพำเหมือนตั้งใจอยากจะให้ได้ยินกันทุกคน
“เหลือเชื่อเลยงูพวกนี้คือปีศาจแถมไม่ได้ควบคุมด้วยแอพพลิเคชั่นซะด้วยรู้สึกจะชื่อ...”
“เศษนาคาแห่งการดับสูญและการเกิดใหม่
อนันตาเจ้านี่คืออาวุธใหม่ของพวกเราอารย-สนธยา”
ข้าวหลามพูดขัดคำพูดของซากิริเป็นการประกาศจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจนว่าเป็นศัตรูขณะเดียวกันเจ้าตัวก็เดินไปหาทหารที่จับตัวกวินทร์กับนรินทร์ไว้
“โทษทีนะแต่ช่วยปล่อยหน่อยสิ”
พูดแบบนั้นแล้วซัดทหารที่จับตัวนรินทร์จนหมอบในหมัดเดียวแล้วพร้อมกันนั้นเอง...
“ท่านพ่อ!”
เสียงของกุมภาก็ดังมาจากอีกด้านซักพักก็มีเสียงของพวกธุวดารกะคนอื่นๆ
ตามมา
“ท่านพ่อเป็นอะไรไหม!”
“เฮ้!
รีบไปช่วยท่านพ่อเร็ว!”
“ท่านพ่อ!”
“ท่านพ่อ!”
“ท่านพ่อ!”
แล้วคนพวกนั้นก็เฮโลกันไปยังที่ๆ
หัวของพญานาคอัดร่างของมกรจมผนัง
แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรพญานาคก็ถอนปากออกแล้วถอยจากกำแพงไป
สิ่งที่หลงเหลืออยู่นั้นคือผนังที่ละลายเป็นรูโหว่กับเศษซากบัลลังก์ที่จมอยู่ในกองพิษสีดำและกำลังละลายลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งชิ้นส่วนที่เป็นไม้ ชิ้นส่วนที่เป็นเหล็ก ทุกอย่างละลายราวกับเป็นน้ำก้อนน้ำแข็ง
ถ้าอย่างนั้นร่างของมกรเองก็น่าจะละลายจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกไปแล้วหรือไม่ก็ถูกพญานาคกลืนเข้าไป
“ไม่นะ
ท่านพ่อตายแล้ว! ”
“ท่านพ่อ!”
“ท่านพ่อตายแล้ว!”
ในช่วงที่พวกธุวดารกะกำลังสารวนอยู่กับความตายของผู้นำอยู่นั่นเอง
ข้าวหลามก็...
“เอ้า!
กัดฟันให้ดีๆ ล่ะ”
ไล่ต้อนนรินทร์ที่เพิ่งเป็นอิสระจากทหารที่โดนอัดสลบไป
นรินทร์ถูกมัดมือไว้จึงป้องกันตัวไม่ได้
“ค...คิดจะทำอะไรน่ะพันโท...อุก”
แต่ก็พูดได้แค่นั้นเพราะกำปั้นของข้าวหลามกระแทกเข้าไปที่ท้องอย่างจัง
รวดเร็วจนหลบไม่ได้
รุนแรงจนเด็กหนุ่มลำตัวคู้งอเป็นกุ้งแล้วล้มลง
แต่ข้าวหลามรับตัวนรินทร์ที่หมดสติเอาไว้แล้วพาแบกพาดไหล่ไปอย่างสบายๆ
“พี่นรินทร์!”
กวินทร์ยังคงถูกจับตัวอยู่
ส่วนทหารที่จับตัวกวินท์ก็...
“นี่แกคิดจะทำอะไร
คิดจะทรยศงั้นเรอะ!”
ถามคำถามแล้วยกปืนชี้ใส่ข้าวหลามหวังจะข่มขู่
“เฮ้ๆ
ขืนทำแบบนั้นแล้วผู้กอบกู้ของพวกฉันโดนไปด้วยก็ซวยกันพอดีน่ะสิ”
ข้าวหลามพูดแล้วทำเพียงแค่สบตากับทหารคนนั้น
แค่เพียงเท่านั้น...
“อ๊ากกก!!”
ทหารคนนั้นก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วล้มตึงลงไปชักดิ้นชักงออยู่สองสามวินาทีก่อนจะตัวแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อนอีก
แถบพลังชีวิตก็ถูกทำให้ว่างเปล่าในทันที
กวินทร์เป็นอิสระแต่พอคิดจะตามไปช่วยนรินทร์ทั้งที่ตัวเองก็โดนมัดมืออยู่
ก็ถูกอิงศรแทรกตัวเข้ามาขวางไว้ไม่ให้ไป
อิงศรพูดกับข้าวหลาม
“นี่นายคิดจะทำอะไรกันแน่แล้วจะพานรินทร์ไปไหน”
แล้วตั้งคันธนูที่ขึ้นลูกศรไว้เรียบร้อย
“เออ
นั่นสินะจะว่าไปพวกนายเลือกข้างที่จะอยู่กันแล้วรึยังล่ะ”
ข้าวหลามถามกลับมา
“หา?”
แต่ยังไม่ทันจะได้สอบถาม...
ท่ามกลางความวุ่นวายซึ่งทหารของธุวดารกะเริ่มต่อสู้กับหัวของพญานาคกันไปแล้วนั่นเอง
โดโกบาร์ก็ได้คิดที่จะสยบความวุ่นวายเหล่านี้
“เห็นทีจะต้องทำให้อยู่ในความสงบกันซักหน่อยสินะ”
เด็กชายพูดแล้วตั้งมือขึ้นหมายจะกำจัดพญานาคออกไป
“ไม่ยอมให้ทำแบบนั้นหรอกน่า”
มีเสียงดังขึ้นมาแบบนั้นเป็นน้ำเสียงนุ่มนวลของผู้หญิง
หญิงสาวลูกครึ่งผมสีทองแต่งตัวเซ็กซี่คนหนึ่งไปอยู่ข้างหลังโดโกบาร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
แต่อิงศรจำได้ว่าเธอคนนั้นคือแฟนของข้าวหลามที่เคยบอกว่าชื่อยูลี่
เธอคนนี้ก็เป็นสปายเหมือนกันอย่างนั้นหรือ?
ทันใดนั้นเองห้องก็เริ่มสั่นไหว
แผ่นดินกำลังสั่นสะเทือนอย่างไร้สาเหตุ
หลายคนเสียการทรงตัวท่ามกลางห้องที่โคลงเคลงไปมาราวกับอยู่บนเรือ
แม้กระทั่งพวกเทวทูตที่ตัวลอยอยู่เหนือพื้นก็ยังสั่นโคลงเคลงไปด้วย
ที่จริงสิ่งที่กำลังสะเทือนอยู่ไม่ใช่แค่พื้นแต่บรรยากาศเองก็กำลังสั่นไหว
ตลอดการสั่นสะเทือนที่ดำเนินไปอย่างยาวนานกินเวลาหลายสิบวินาทีและไม่มีใครขยับหรือทำอะไรในช่วงเวลานั้นจนกระทั่งเมื่อทุกอย่างหยุดสั่น
โดโกบาร์ก็ล้มลง....
ล้มทรุดลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรงราวกับตุ๊กตาที่สายป่านขาด
“อึก...พลังมัน...หายไป”
แล้วพึมพำด้วยสีหน้าทรมาน
แต่เรื่องแปลกประหลาดยังไม่ได้หมดเพียงเท่านี้มันแค่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
เมื่อเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นมา...
“ฮ...เฮ้!
ตัวแสดงพลังชีวิตหายไปแล้ว!”
“ของนายก็ด้วยหายไปแล้วเหมือนกัน”
“ฉันเปิดคลังไม่ได้
ไม่สิระบบอะไรของเกมก็ใช้ไม่ได้เลย”
"สกิลก็ใช้ไม่ได้ด้วย!"
“พวกเราถูกทำให้กลายเป็น
NPC เหรอ?!”
เสียงโวยวายจากบรรดาทหารเหล่านั้นที่อยู่ๆ
ก็กลายเป็นคนธรรมดาแล้วคนธรรมดาก็ต่อกรกับปีศาจไม่ได้
หลังจากนั้นไม่นานซักเท่าไหร่ทหารที่คอยคุ้มครองธุวดารกะก็ถูกพญานาคกินเข้าไปทีละคนๆ
ถูกเขมือบกลืนเข้าไปโดยไม่มีโอกาสได้ตอบโต้
ส่วนสาเหตุนั้นจะเป็นเพราะการสนับสนุนของเกมหายไปเลยทำให้สมรรถภาพของร่างกายถดถอยอย่างรวดเร็วจนตั้งรับการโจมตีไม่ทันหรือเพราะสาเหตุอื่นก็ไม่อาจทราบได้
และถึงจะมีคนตายไปต่อหน้า...
ตายไปอย่างไร้ค่า...
พวกที่ยังเหลือรอดก็ไม่ได้วิ่งหนีกันเลยพวกนั้นยอมตายเพื่อธุวดารกะเป็นสมุนที่ฝึกมาให้จงรักภักดีจนตัวตายหรือแค่มีความศรัทธามากจนไม่เสียดายชีวิตกันแน่
น่ากลัวว่าจะเป็นอย่างหลัง
นี่คือเนื้อแท้ของเมตไตรย คือวิธีการที่ธุวดารกะใช้
เมื่อลองทบทวนถึงการประชุมที่ผ่านมาเมื่อเทวทูตปรากฏตัวทุกคนก็โอนเอนตามพวกมันไปหมด
ตอนนี้ในห้องจึงแยกเป็นสามฝ่าย
พวกธุวดารกะ
อารย-สนธย
แล้วก็พวกของอิงศร...
อิงศรมองสำรวจตัวเอง
มีแค่ตัวเองเท่านั้นที่แถบพลังชีวิตกับชื่อยังแสดงอยู่และหน้าจอสื่อสารกับซีลอร์ดก็ยังคงเปิดค้างเอาไว้บางทีสาเหตุที่มีแต่เขาเท่านั้นอาจจะเป็นเพราะฟันเฟือง
มันอาจจะมีอำนาจอะไรบางอย่างที่ทำให้เขายังรักษาสภาพของเกมเอาไว้ได้
แต่คนอื่นไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วทั้งพลังชีวิตทั้งชื่อพวกนั้นกลายเป็นเหมือน
NPC ที่พวกมนุษย์ต่างดาวทำกับมนุษย์ที่จับไปเป็นเชลย
กวินทร์พูดมาจากข้างหลังด้วยท่าทางตื่นๆ
“ทุกคนกลายเป็น NPC กันหมดเลยนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
แต่ว่าอิงศรกลับ...
“แปลก...นี่คอนแทกเลนส์มันเสียรึไงเนี่ย”
กวินทร์ที่ได้ยินเสียงพึมพำของอิงศรก็ถามมาว่า
“เป็นอะไรไปหรือครับพี่ศร”
“คอนแทกเลนส์น่ะสิอยู่ๆ
มันก็ดับไปไม่วิเคราะห์ข้อมูลหรืออะไรออกมาเลยทั้งที่ก่อนแผ่นดินไหวยังใช้ได้อยู่แท้ๆ”
ถ้าแค่ทุกคนถูกทำให้กลายเป็นNPC ด้วยอะไรบางอย่างแล้วล่ะก็อย่างน้อยๆ
อุปกรณ์ที่สร้างขึ้นจากเกมก็น่าจะยังทำงานได้ตามปกติแต่นี่กลับไม่เป็นอย่างนั้นหรืออย่างน้อยที่สุดตัวเขาที่ยังรักษาสภาพของเกมเอาไว้ได้ก็น่าจะยังใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้สิ
ถ้าอย่างนั้นคำตอบของเรื่องนี้ก็มีแค่อย่างเดียว สมมติฐานอันน่าตกตะลึงแวบเข้ามาในสมอง
ถ้าหากว่าปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นที่ตัวบุคคลแล้วล่ะก็บางทีปัญหาอาจจะมาจากการแทรกแซงระบบของเกมโดยตรง
แล้วตอนนั้นเอง...
"อาคมจอกศักดิ์สิทธิ์ทำงานราบรื่นอมฤตถูกผนึกแล้วเท่านี้เหล่าเครื่องทำสวนก็สิ้นฤทธิ์ล่ะ"
ยูลี่ แฟนสาวของข้าวหลามพูดมาอย่างนั้นแล้วร่างของหล่อนก็กลายเป็นควัน
รูปโฉมภายนอกกำลังทยอยกลายเป็นควันและหลงเหลือไว้เพียงร่างแท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกของผู้หญิงมาโดยตลอด
ที่นั่นคือปีศาจที่มีรูปลักษณ์ของสตรีเพศผู้งดงามราวกับเทวรูป
ใบหน้าสงบนิ่ง
เรือนผมสีดำผูกแกละสองข้าง
มีแสงเรืองรองเหมือนรัศมีลอยอยู่ด้านหลังศีรษะ
รัศมีแสงนั้นแสดงให้เห็นเหมือนเป็นวงเวทย์มันดาระชนิดหนึ่ง สวมชุดชาววังค่อนไปทางวัฒนธรรมจีน
เป็นผ้าเนื้อดีสีหยกขาว ในมือถือก้านดอกบัว
ลักษณะเช่นนั้น
บางที...
“ปีศาจ...ไม่สินี่พวกนายเป็นเดโมนอยด์งั้นเรอะ”
อิงศรแค่เดาสุ่มไปมั่วๆ
แต่ข้าวหลามกลับทำหน้าตกใจ
“...นี่รู้กระทั่งเรื่องนั้นด้วยเรอะแต่ผิดไปหน่อยนะพวกฉันไม่ใช่ของล้มเหลวแบบนั้นหรอก”
แล้วพูดมาอย่างนั้น
ขณะเดียวกันยูลี่ที่กลายเป็นปีศาจก็หิ้วคอของโดโกบาร์ที่สิ้นฤทธิ์เหมือนหิ้วลูกสุนัขแล้วเดินมาสมทบกับข้าวหลามพลางกล่าวว่า
“พวกเราคือผู้สดับฟังเสียงแห่งโลกมิใช่อมนุษย์หรือครึ่งปีศาจอย่างที่เจ้ากล่าวหา”
น้ำเสียงของหล่อนดูสุขุมขึ้นเปลี่ยนไปจากตอนแรกอย่างชัดเจนราวกับเป็นคนละคน
ข้าวหลามพูดต่อ
“ก็ไม่อยากทำพูดจาอวดดีแบบสัตว์เทวะหรอกนะแต่พวกเราคือดิวินิแดด
ครึ่งมนุษย์ครึ่งพระเจ้า”
ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอยู่นี่เองกุมภาก็พุ่งเข้ามาตวัดดาบใส่ข้าวหลาม
เกิดเสียงปะทะแหลมสูงของโลหะดังแกร๊ง
แล้วดาบของกุมภาก็เข้าไปขัดกับเขี้ยวของหัวอสรพิษที่งอกมาจากแขนของข้าวหลาม...
มือของเขากลายเป็นงูเพื่อรับดาบไว้จากนั้นผิวหนังสีขาวผุดผ่องของคนหนุ่มก็เริ่มแตกลายปรากฏเป็นเกล็ดสีแดงเพลิงปกคลุมทั่วทั้งร่าง
กุมภาพูด
“คิดจะทำอะไร!”
หล่อนแสดงใบหน้าเกรี้ยวกราดนั่นเป็นสิ่งยืนยันว่าที่กำลังดำเนินอยู่ในขณธนี้ไม่ใช่การแสดง
ข้าวหลามเป็นคนของอารย-สนธยาแล้วก็กำลังก่อการร้ายด้วยปีศาจกับพลังที่เรียกว่า
ดิวินิแดด พลังที่ทำให้ตนเองกลายเป็นครึ่งปีศาจ
ดูเหมือนว่าพลังจากระบบของเกมที่คอยสนับสนุนข้าวหลามเองก็หายไปเหมือนกันแต่ก็ได้พลังในส่วนของที่กลายเป็นปีศาจเข้ามาแทนที่จึงมีความได้เปรียบเหนือกุมภา
“เป้าหมายน่ะเหรอก็สำเร็จไปเรื่องหนึ่งแล้วนี่นะ
เสียใจกับพ่อเธอด้วยก็แล้วกัน”
ข้าวหลามพูดแล้วเลื่อนสายตาไปทางผนังที่เป็นรูโหว่เพราะถูกเขี้ยวพิษของอนันตาบดขยี้ไปพร้อมบัลลังก์ที่มกรนั่งจนมองเห็นท้องฟ้าข้างนอก
“เพราะเขาเป็นตัวเกะกะแล้วเราก็เล็งหัวของเขามานานแล้วแต่เพราะข้างตัวมีสิงห์อยู่ทำให้เคลื่อนไหวอะไรก็ไม่สะดวกเอาซะเลยหลายปีมานี่ต้องปกปิดแล้วก็ปิดบังกันแทบตายสุดท้ายก็เพราะเธอเลยทำให้มีวันนี้ขึ้นมาขอบใจนะ”
ข้าวหลามพูดพลางส่งยิ้มให้จนเห็นรอยฟันสีขาวตัดผ่านเกล็ดสีแดงเถือกดูแล้วน่าสยดสยองจากนั้นก็สะบัดหัวงูพาให้ร่างของกุมภากระเด็นไปพร้อมกับดาบ
พลเอกหญิงร่างลอยอยู่กลางอากาศหลายวินาทีนั่นแสดงให้เห็นว่าเธอลอยไปไกลมากก่อนจะตีลังกากลับหัวลงพื้นได้อย่างปลอดภัย
ดวงตาที่กลายเป็นตางูของข้าวหลามเบิกกว้างเล็กน้อยเหมือนจะทึ่งกับสิ่งที่กุมภาทำ
“โห ขนาดไม่มีอมฤตแล้วยังฝีมือไม่ตกเลยนะพวกธุวดากระที่เก่งๆ
เนี่ยน่ากลัวเกินมนุษย์มนาจริงๆ แฮะ”
พอได้ยินว่าข้าวหลามพูดถึงอมฤต
อิงศรก็เริ่มแน่ใจแล้วว่าพวกอารย-สนธยา
น่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเบื้องหลังที่โลกกลายเป็นเกม ก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้รับข้อมูลจากซีลอร์ดมาเหมือนกันว่าเพราะอมฤตตกลงมายังโลกจึงทำให้เกิดสภาวะของเกมขึ้นมาถ้าหากว่าพวกนี้รู้ถึงเรื่องนั้นบางทีคงจะทำการแทรกแซง...
ไม่สิทำไปแล้วต่างหากสภาพในตอนนี้ก็คือผลลัพธ์ของการแทรกแซงนั่นเอง
ดังนั้นอิงศรเลยเสี่ยงถามออกไป
“นี่พวกนายทำอะไรกับอมฤตกันแน่”
ข้าวหลามตอบสนองต่อคำถามและหันมาทันที
“หืม
นี่นายรู้ถึงขนาดไหนกันเนี่ยชักจะสนใจแล้วสิถ้าไม่รังเกียจมาร่วมมือกับฉันไหมล่ะศรถ้าเป็นนายล่ะก็ฉันยินดีต้อนรับเต็มที่เลยนะเพราะสำหรับฉันนายก็เป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่ง”
“ลิ้นงูแล้วยังจะพูดแบบนั้นอีกใครมันจะไปเชื่อกันฟระ”
“นั่นสินะ
งั้นจะลองฟังเป้าหมายของพวกเราก่อนไหมล่ะไว้ถึงตอนนั้นนายก็ลองคิดใหม่ดูอีกทีละกัน”
แต่กุมภาก็พูดแทรกเข้ามา
“คิดว่าจะยอมให้ทำได้รึไง”
แล้วหล่อนกับพี่น้องธุวดารกะส่วนหนึ่งก็ตั้งท่าจะเข้ามาเล่นงาน
แต่ข้าวหลามก็ไม่สะทกสะท้านแล้วพูดต่อไปว่า
“มันเนิ่นนานเกินไปแล้วที่กลุ่มของผู้กุมอำนาจกลุ่มเล็กๆ
ได้รับผลประโยชน์ทั้งหมดแล้วปวงชนที่สมควรจะได้รับผลประโยชน์ก็ถูกลืมเลือนไปนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้อารย-สนธยาเกิดขึ้นมา
โลกล่มสลายลงผู้คนพากันล้มตายแต่ผู้มีอำนาจกลับอยู่ดีกินดีเอาตัวรอดอย่างผาสุกไปวันๆ
ดังนั้นการตอบรับความคาดหวังของเหล่าผู้ถูกลืมเลือนก็คือหน้าที่ของอารย-สนธยาพวกเราจะโปรดสัตว์แก่มนุษย์ที่หลงติดอยู่ในวังวนวัฏจักรอันบกพร่องที่ผู้สรรสร้างกำหนดขึ้น...”
ยังไม่ทันที่สุนทรพจน์ของข้าวหลามจะจบลงและเหล่าธุวดารกะจะเข้าถึงตัวเขา
ห้องก็เริ่มโคลงเครงไปมา
ทันใดนั้นเองทั้งเพดานและผนังฝั่งด้านหลังพวกข้าวหลามก็เกิดยุบตัวเข้ามาจากนั้นห้องก็หยุดโคลงเครง
“การโปรดสัตว์แรกได้ตัดแหล่งพลังงานที่หล่อเลี้ยงระบบของเกมโลกาวินาศไปแล้วมนุษย์จะเป็นได้แค่มนุษย์เท่านั้น”
หมายความว่าพวกอารย-สนธยาไม่เพียงแค่รู้เรื่องของเกมโลกาวินาศแต่ยังแทรกแซงมันได้ด้วยเป็นองค์กรที่มีพลังถึงขนาดนั้นเลยหรือ?
คำตอบนั้นซีลอร์ดที่ยังลอยอยู่บนหน้าจอสื่อสารน่าจะตอบได้
อิงศรถามใส่กับซีลอร์ด
“นายรู้วิธีแก้ปัญหานี้ไหม”
แต่ซีลอร์ดส่ายหน้าตอบกลับมา
“น่าเสียดายที่ต้องบอกว่าผมเองก็ไม่รู้เท่าที่ลองเช็คดูแล้วการส่งถ่ายอมฤตก็ยังเป็นปกติแต่มีอะไรบางอย่างไปขวางมันไว้ไม่ให้แพร่กระจายน่ะพวกเขาทำได้ยังไงกันนะ
มนุษย์เนี่ยบางทีก็ทำเรื่องน่าเหลือเชื่อขนาดที่ผมยังต้องอึ้งเลยเหมือนกันนะ”
สรุปว่าแม้แต่ผู้เกี่ยวข้องอย่างซีลอร์ดก็ยังไม่รู้
ขณะเดียวกันกุมภาก็จิกปากพลางตั้งดาบหมายจะใช้พลังของแอพพลิเคชั่นปีศาจ
“ฮึ่ม
ถึงจะไม่มีพลังหรือสกิลแต่ใช้ปีศาจได้ก็จบเกมอยู่ดี กุมภกรรณ!”
แต่ทว่า...
เรื่องแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นอีกเมื่อดาบของกุมภารวมถึงศาสตราติดตั้งปีศาจของพวกธุวดารกะถูกห้อมล้อมด้วยไอแปลกประหลาดสีดำ
ไอเหล่านั้นไหลออกจากศาสตราแล้วก่อเป็นรูปร่างอันพิลึกพิลั่น
รูปลักษณ์ของปีศาจ...
เงาคนยักษ์ปรากฏขึ้นต่อหน้ากุมภา
ยักษ์ที่น่าจะเป็นปีศาจในอาวุธของหล่อนกลับปรากฏขึ้นต่อหน้าแล้วสำแดงพลังใส่ผู้เป็นนาย
“นี่มันอะไรกัน!”
กุมภาตกใจที่เห็นกุมภกรรณหันคมหอกเข้าใส่
แต่หล่อนหลบได้หอกจึงพลาดเป้าและแทงทะลุพื้นไป
ข้าวหลามยังคงดำเนินสุนทรพจน์ต่อจนจบ
”...แล้วพวกเรา
ดิวินิแดด อารย-สนธยา เหล่าเทพเจ้าที่ถูกลืมเลือนก็จะเป็นผู้ช่วยเหลือทุกคนเอง”
ตูม!
ทิวทัศน์เบื้องหลังพังครืนลงมาทันทีที่เสียงพูดสิ้นสุดลง
สาเหตุที่ผนังห้องพังทลายก็เป็นเพราะปีกขนาดมหึมาฟาดลงมา
ปีกของพญาครุฑที่เคยไล่ล่าอิงศร
มันเองก็มาที่นี่ด้วยเช่นกันแล้วถัดไปเบื้องหลังก็คือร่างหุ้มเกล็ดดำของพญาอนันตนาคราชที่ทอดยาวจากที่นี่ไปถึงทะเล
ทิวทัศน์ใหม่ที่แสดงออกมาเบื้องหลังห้องที่พังทลายไปคือท้องฟ้าข้างนอกที่จะมองเห็นได้จากชั้น
7
ของอาคารธุรการที่โถงประชุมแห่งนี้ตั้งอยู่
แต่นั่นกลับเป็นท้องฟ้าที่ครึ้มไปด้วยควันดำจากไฟไหม้ในเมืองและซุ่มเสียงอันโกลาหลของมนุษย์ที่กำลังถูกปีศาจรุกราน
สาเหตุน่าจะเป็นเรื่องเดียวกับที่เดม่อนแอพพลิเคชั่นของพวกกุมภาสูญเสียการควบคุมและน่าจะมีต้นเหตุมาจากเรื่องเดียวกันด้วยนั่นก็คือเมื่อไร้ซึ่งอมฤตระบบของเกมก็จะหยุดการทำงานทั้งหมดนั่นรวมถึงโปรแกรมควบคุมปีศาจของเดม่อนแอพพลิเคชั่นด้วยนั่นเอง
นี่ก็หมายความว่าการตัดอมฤตไม่เพียงแค่ทำในวงที่จำกัดบางทีอาจจะทั้งเมือง
ประเทศ หรือไม่ก็ทั้งโลก
เมื่อได้เห็นพลังของอารย-สนธยา
อิงศรก็คำรามเหมือนสบถ
“ชิ..นี่น่ะเหรอการโปรดสัตว์ของพวกแกน่ะ”
ข้าวหลามเห็นดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดตอบกลับมาว่า
“ใช่
แต่นี่เป็นแค่ออร์เดิฟแรกของพลังที่พวกเรามีเท่านั้น”
จากนั้นก็มีเสียงคำรามประสานขานรับกันมา
เป็นเสียงของขบวนปีศาจนับร้อยๆ
ตนที่แห่แหนกันมาจากเมืองและจากที่อยู่ในห้องไปรวมตัวอยู่เบื้องหลังข้าวหลาม
”เพราะว่าพวกเราคือเสียงแห่งอิสรภาพยังไงล่ะ”
นั่นถือเป็นเสียงของเหล่าปีศาจที่ถูกกักขังไว้ในแอพพลิเคชั่นซึ่งได้รับอิสรภาพคืนมา
เหล่าเทพมารผู้ถูกลืมเลือนนับร้อยตน ขบวนของร้อยอสูร...
คือความแค้น
คือความเศร้า
คือความโกรธ
คือเสียงกู่ร้องของโลกที่ถูกจองจำ
...และนั่นก็คือ ‘อารย-สนธยา’
ความคิดเห็น