คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #41 : Login 39: ค่าชดเชยของการเปลี่ยนชะตากรรม
Login 38: ค่าชดเชยของการเปลี่ยนชะตากรรม
Heraldic Beast Deity: Dusk Shell
Lv. 50
[//…10890:60000…..]
สัตว์เทวะจ่าฝูงดัคส์เชลถูกโจมตีโดยลำแสงปริศนาจนพลังชีวิตลดลงเกินครึ่งโดยที่ยังไม่ได้จัดการสัตว์เทวะจ่าฝูงตัวอื่นๆ
หากปล่อยไว้มันจะเรียกพวกมารวมกันบุกโจมตีที่จุดเดียวแต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด
สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นกว่าเดิมเมื่อมนุษย์ต่างดาวปรากฏกายขึ้นมาในจังหวะเช่นนี้
“บ้าจริงทำไมมนุษย์ต่างดาวถึงมาตอนนี้เนี่ย”
พันโทข้าวหลามสบถคำพูดพลางขบกรามด้วยความเจ็บใจแล้วถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่แขนซ้ายของมนุษย์ต่างดาวมีโล่ติดอยู่
โล่สีดำสนิทแล้วโล่นั้นก็มีไอควันลอยฉุยออกมาบางทีคงเพิ่งไปสัมผัสกับความร้อนมาจากที่ไหนหรือไม่ก็
“หมอนี่เป็นคนโจมตีสัตว์เทวะงั้นเรอะ...”
น่าจะเป็นอย่างนั้น
ลำแสงหรืออะไรที่ยิงมาเมื่อครู่คงจะเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาวตรงหน้าอาจจะเป็นสกิลที่ต้องใช้โล่ประกอบการโจมตีหรืออาจใช้เป็นศูนย์รวมพลังก่อนจะปลดปล่อยออกมาเพราะเหตุนั้นตัวโล่ถึงได้มีไอควันร้อนลอยฉุย
อย่างไรเสียจะต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ทุกคนรวมถึงศูนย์บัญชาการรับทราบสถานการณ์ก่อนดังนั้นหน้าจอสื่อสารจึงถูกเปิด
เป็นการสื่อสารถึงนายทหารอีกสี่คนที่อยู่ที่นี่
“ทุกนายระวังตัวด้วยมีเอเลี่ยนแว๊นมอร์เตอร์ไซค์มาหาแน่ะส่วนสัตว์เทวะรีบกำจัดมันทิ้งก่อนจะเรียกพวกซะพลังชีวิตมันเหลือไม่มากแล้ว”
จากนั้นจึงหันไปสั่งกับทหารอีกคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ฝากแจ้งกองบัญชาการทีเดี๋ยวชั้นจะไปตบหัวไอ้เด็กแว๊นต่างดาวไม่รู้กาลเทศะนั่นก่อน”
“ครับ! ระวังตัวด้วยนะครับ”
แต่ข้าวหลามไม่ได้รอฟังคำพูดอวยพรของลูกน้องเขาพุ่งตัวออกไปทันทีหลังจากฝากคำสั่งเสร็จพร้อมกับควงปืนคู่ใจทั้งสองกระบอกไปด้วย
สายตาของข้าวหลามจ้องไปที่มนุษย์ต่างดาวหนุ่มแล้ววิเคราะห์ข้อมูลของอีกฝ่าย
ผ้าคลุมสีขาวเครื่องหมายของมนุษย์ต่างดาวชั้นครู
เลเวล 90 ระดับพลังเหนือมนุษย์จะอยู่ที่ 6 เท่า
ส่วนสูงประมาณ 170 เซนติเมตร รูปร่างอายุประมาณเด็กหนุ่มถ้าเป็นมนุษย์อายุน่าจะอยู่ที่
15 ถึง 16 ปี
“เด็ก ม. ต้นเรอะ”
ปืนทั้งสองกระบอกเล็งไปที่ศีรษะศัตรู
อัตราความแม่นยำในการยิงทดสอบของเขาอยู่ 80.7
เปอร์เซ็นต์โอกาสพิชิตได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเป็นที่หวังผลได้
พันโทหนุ่มลั่นไกปืน
ลูกกระสุนยิงตรงไปที่เป้าหมายซึ่งยังคงหันหลังให้
มันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าอีกแค่ไม่กี่วินาทีลูกกระสุนจะเจาะทะลุกะโหลกศีรษะ
แต่ทว่า...
ในเวลาเสี้ยววินาทีที่คิดเช่นนั้นมนุษย์ต่างดาวก็โยกตัวหลบกระสุนได้อย่างง่ายๆ
มนุษย์ต่างดาวเปรยตามองมาแวบหนึ่ง
“น่ารำคาญ...”
ขยับปากเหมือนจะพูดอะไรแบบนั้นออกมาก่อนจะวิ่งหนีไป
“อ้าวเฮ้ย! อย่าเพิ่งหนีเซ่!”
นับเป็นปฏิกิริยาชวนงงจนตอบโต้ไม่ถูกเลยที่มนุษย์อย่างเขาจะต้องมาวิ่งไล่มนุษย์ต่างดาวทั้งที่มันควรจะกลับกัน
แต่สถานการณ์กำลังดำเนินไปอย่างนั้น
ทว่าไม่นานนัก...ข้าวหลามก็อ่านความคิดของมนุษย์ต่างดาวออก
อีกฝ่ายไม่ได้หนีแต่ไม่สนใจเขาต่างหาก
ที่มันเล็งไว้คือสัตว์เทวะจ่าฝูงซึ่งกำลังจะถูกลูกน้องของเขากำจัด
“มันรู้เรื่องของสัตว์เทวะ?”
อาจจะเป็นอย่างนั้น...
ข้าวหลามตั้งข้อสังเกตไว้แล้วก็จงใจคิดแบบนั้นเผื่อไว้ก่อนด้วยว่าในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือมนุษย์ต่างดาวตั้งใจจะใช้กองทัพสัตว์เทวะบุกถล่มฐานที่มั่น
มนุษย์ต่างดาววิ่งผ่านสัตว์เทวะไปแล้วเข้าปะทะกับกลุ่มของลูกน้อง
ดูเหมือนว่าที่คาดการไว้จะถูกต้องพวกลูกน้องของเขาเลเวลห่างชั้นกับอีกฝ่ายอย่างเทียบไม่ติดแค่ไม่กี่วินาทีทุกคนก็ถูกจัดการหมด
ถูกอัดจนกระเด็นไปกองอยู่บนพื้นทางเดินเท้าแต่ไม่มีใครถูกฆ่า
แค่ทำให้สลบไปเท่านั้น...
ข้าวหลามยิงปืนออกไปหนนี้เขาชักยันต์ออกมาด้วย
“ชาร์คชู้ต”
กระสุนกลายเป็นฉลาม
เข้าจู่โจมมนุษย์ต่างดาว
“ซุสนัคเคิล”
แต่ทว่า... เด็กหนุ่มต่างดาวเพียงแค่รับมันไว้ง่ายๆด้วยมือเปล่าเท่านั้น
มือที่จับฉลามบีบเข้าหากัน กำเป็นกำปั้นแล้วคลื่นไฟฟ้าก็บีบร่างของฉลามจนแหลก
น้ำจากร่างของฉลามที่แตกกระจายทำท่าจะสาดโครมใส่มนาย์ต่างดาวจังหวะนั้นข้าวหลามก็ชักยันต์ออกมาแล้วร่ายสกิล
“เป็นน้ำแข็งไปซะเถอะ ชาร์คแฟงฟรอสไบท์!”
น้ำราดลงบนร่างของมนุษย์ต่างดาวแล้วจับตัวแข็งเป็นน้ำแข็งในพริบตา...
เพล้ง!!
แต่ก็ไร้ผลเสียงเหมือนแก้วแตกดังก้อง
ร่างของมนุษย์ต่างดาวที่ควรจะแข็งเป็นน้ำแข็งไปแล้วกลับขยับตัวแหวกออกจากก้อนน้ำแข็งอย่างง่ายดาย
“สถานะผิดปกติใช้ไม่ได้หรอกนะ...”
มนุษย์ต่างดาวพูดแล้วชักดาบจากเอว
“รอยัลเซเบอร์”
ใบดาบเปล่งแสง
เขาชูดาบออกไปข้างหน้า
“บลิโอแน็ค”
ทันใดนั้นแสงจากใบดาบก็ยิ่งทวีความสว่างมากขึ้นอีกทั้งยังยืดยาวออกไปข้างหน้ายาวราวกับหอก
หอกแสงพุ่งใส่ข้าวหลามแต่เขาก็เบี่ยงตัวหลบมันได้พลางยิงสวนกลับไป
มนุษย์ต่างดาวยกโล่กันเอาไว้
กระสุนจึงกระแทกเข้ากับโล่แล้วสะท้อนออก
การรุกรับของต่างฝ่ายต่างไร้ช่องโหว่และดูท่าจะกินเวลานาน
แต่ข้าวหลามก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายจงใจให้เป็นแบบนั้น
จากการต่อสู้เขาสัมผัสได้ว่ามนุษย์ต่างดาวกำลังออมมือให้แต่เพื่ออะไร?
“เฮ้ย! ไอ้เด็กเปรตจะมัวเล่นไปถึงเมื่อไหร่”
ด้วยความสงสัยจึงลองถามออกไป
แต่มนุษย์ต่างดาวทำหน้าเซ็งๆ
แล้วตอบกลับมา
“เพราะนายมันฝีมือครึ่งๆ กลางๆ
ถ้าเอาจริงเดี๋ยวก็ได้ตายก่อนพอดีจะประมาทก็ไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าจะเล่นตุกติกเมื่อไหร่”
ได้ยินดังนั้นแววตาของข้าวหลามก็เริ่มมีความขุ่นมัวปรากฏขึ้น
“อ๋อเหรอ
งั้นขอโทษที่คนมันอ่อนไปหน่อยนะคร้าบ”
จากนั้นข้าวหลามก็ถอยหนีเพื่อทิ้งระยะห่างแต่มนุษย์ต่างดาวไม่ได้ตามเข้ามากลับหันหลังให้อย่างง่ายดายเหมือนไม่สนใจ
หรือก็คือไม่มีตัวตนในสายตาแต่แรกเขาถูกดูแคลนถึงขนาดนั้น
“หยิ่งเหลือเกินนะไอ้หนูทำเอานึกถึงคนแถวนี้เลยสิพับผ่า
ถ้าเจ้านั่นมีน้องชายคงทำตัวกวนตีนแบบนี้เลยล่ะมั้ง”
ข้าวหลามหมายถึงอิงศร....
แต่ชายคนนี้ก็ไม่ได้รู้เลยว่ามนุษย์ต่างดาวที่เขากำลังประมืออยู่ด้วยนั้นเป็นไปตามคำพูดลอยๆ
ของตัวเอง
ตอนนั้นเอง
ข้าวหลามก็ประกอบปืนทั้งสองอันเข้าด้วยกัน
“เทคนิคัลเวพ่อน (Technical Weapon)”
จากปืนสั้นสองกระบอกกลายเป็นปืนไรเฟิลไป
ข้าวหลามเล็งปืนไรเฟิลไปที่มนุษย์ต่างดาว
“ลองชิมพลังของอาวุธที่มนุษย์เปลี่ยนคลาสขั้นสูงมาแล้วดูหน่อยเป็นไง”
แล้วลั่นไก
ปืนไรเฟิลไม่ได้ยิงเป็นลูกกระสุนหากแต่ยิงลำแสงออกมา
ลำแสงสีแดงพุ่งเป็นเส้นตรง
จู่โจมใส่มนุษย์ต่างดาวที่หันหลังให้
"มิคาเอล"
มนุษย์ต่างดาวพูดพลางสะบัดดาบ
วินาทีนั้นเองปีกสีขาวจำนวนสามคู่ก็ผุดงอกขึ้นมากลางหลัง
วินาทีต่อมาลำแสงก็เข้าปะทะกับเป้าหมายแต่กลับไม่เกิดอะไรขึ้น
พลังชีวิตของศัตรูไม่ได้ลดลงไปเลย มิหนำซ้ำ...
"ฮะ...เฮ้ยเอาจริงดินี่แกใช้เดม่อนแอพได้ด้วยเรอะ"
ข้าวหลามสีหน้าตกตะลึงยามที่ได้เห็นปีกกลางหลังมนุษย์ต่างดาว
แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง...
แต่เขามองไม่ผิดแน่นอน
พลังที่อีกฝ่ายสำแดงออกมาไม่ใช่สกิลแต่เป็นเดม่อนแอพ
ตอนนั้นเอง สัตว์เทวะก็คำราม
มันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว...การรวมทัพของสัตว์เทวะ
มนุษย์ต่างดาวหันกลับมาแล้วพูดด้วยท่าทีหยิ่งผยองราวกับได้รับชัยชนะ
"มันจบแล้วล่ะ"
โดยที่ข้าวหลามได้แต่กัดฟันเสียงดัง
'กรอด'
ด้วยความเจ็บใจ
จากนั้นมนุษย์ต่างดาวก็ลดเสียงลงจนกลายเป็นการพึมพำคนเดียวที่ไม่มีคนอื่นได้ยิน
"ศร...รออีกหน่อยนะขวัญจะไปรับเดี๋ยวนี้แหละ"
ห้องศูนย์บัญชาการ
มีเสียงเรียกเข้าดังปิ๊บสามครั้งติด
จากนั้นสิงห์ก็เปิดหน้าจอขึ้นมา
"เดม่อนแอพของมังกรมาถึงแล้วค่ะ"
เสียงจากปลายสายเป็นน้ำเสียงแสดงความนอบน้อมอย่างที่คุ้นเคย
ซึ่งตัวตนของเจ้าของเสียงนั้นเพิ่งออกจากห้องนี้ไปเมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อนหลังจากได้รับรายงานว่าพวกอิงศรโค่นสัตว์เทวะได้รวมถึงผนึกแอพพลิเคชั่นปีศาจแล้วส่งมาให้ที่นี่
สิงห์ตอบกลับไปว่า
"เข้าใจแล้ว เดี๋ยวชั้นจะลงไป"
แล้วปิดหน้าจอสื่อสาร
สั่งเจ้าหน้าที่ทั้งหมดให้ปฏิบัติตามแผนการต่อไป
จากนั้นสิงห์ก็เดินออกจากห้อง
เดินไปตามทางเดินภายในอาคารจนกระทั่งถึงลิฟต์
เขาก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์
กดปุ่มชั้นที่หนึ่ง
ประตูเลื่อนตัวปิดแล้วลิฟต์ก็เริ่มเคลื่อนที่
ทั้งที่ภายในลิฟต์น่าจะมีเขาเพียงคนเดียวแต่กลับสัมผัสได้ถึงเค้าลางของคนอื่นในลิฟต์
สิงห์พูดโดยที่ไม่ได้หันหลังกลับไปมองแต่ก็พูดกับคนที่กำลังยืนอยู่เบื้งหลัง
"แกมาทำอะไรที่นี่"
"..."
อีกฝ่ายไม่ตอบ
แต่กลับมีเสียงเหมือนคีย์บอร์ดกำลังถูกเคาะดังแว่วมา
"หาไม่เจอน่ะสิเรื่องของเดม่อนแอพเพราะแพทซ์ยังอัพเดทไปไม่ถึงจุดที่มนุษย์จะใช้งานปีศาจได้”
ตอนนั้นเองที่เงาสะท้อนของผู้อยู่เบื้องหลังปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางบนพื้นผิวโลหะหลังประตูลิฟต์
จากเงาสะท้อนลางๆ
นั่นมองเห็นเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งมีเรือนผมสีขาวใส่หูฟังแบบครอบฟองน้ำสวมเสื้อวอร์มสีแดง
ผู้ถูกลืมเลือนนั่นเอง...
แสงจากหน้าจอที่ผู้ถูกลืมเลือนเปิดไว้ได้ทำให้ผนังของประตูลิฟต์เกิดการสะท้อนเงาขึ้น
ตอนนี้เขาเปลี่ยนมายืนท่ากอดอกอยู่เบื้องหลังสิงห์พลางส่งยิ้มให้
"แต่ว่านายก็ทำตามที่ผมบอกไปหมดเลยสินะสิงห์"
"แกเป็นคนเอาข้อมูลนั้นมาขายให้ชั้นเองไม่ใช่รึไง"
"นั่นสินะ..."
ผู้ถูกลืมเลือนพยักหน้ารับคำพูดนั้น
"แล้วไงอีก
สำหรับคนทรยศอย่างแกที่มีค่าก็คือข้อมูลเท่านั้นแล้วชั้นก็สูบมันมาจากแกหมดแล้วอยากไปที่ไหนก็ไปซะ"
"..."
"อ้อ
แต่ถ้าแกเกิดเปลี่ยนใจล่ะก็ชั้นจะมอบตำแหน่งสุนัขรับใช้ให้ก็ได้นะ"
สิงห์ดำเนินบทสนทนาต่อไปโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
ผู้ถูกลืมเลือนก็เช่นกันแม้ว่าจะโดนแสดงอาการดูถูกดูแคลนอยู่ก็ตาม
“ไม่ล่ะ...”
ผู้ถูกลืมเลือนส่ายศีรษะแล้วคลายแขนที่กอดกันไว้ออก
“ถ้างั้นก็ไปให้พ้นๆ หน้าชั้นซะ”
แต่ผู้ถูกลืมเลือนก็ไม่ไปเขาหันมามองสิงห์ที่ยังหันหลังให้
“นี่สิงห์นายจะไม่ลองคิดดูใหม่เหรอ”
“แกมาเพื่อแค่พูดเรื่องไร้สาระนั่นรึไง”
“แต่นายก็เลือกที่จะช่วยเด็กคนนั้น
ช่วยมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกไม่ใช่เหรอถ้าอย่างนั้นนายเองก็...”
แต่สิงห์ก็พูดขัดคำพูดนั้นไปอย่างเด็ดขาด
“พอซักทีเลิกคาดหวังลมๆ แร้งๆ
ในตัวมนุษย์ได้แล้วโลกนี้มันเกินจะเยียวยาไปแล้ว”
“เพราะแบบนั้นนายก็เลยจะเปลี่ยนมันเหรอ”
“เพราะว่านั่นคือหน้าที่ของผู้ถูกเลือกยังไงล่ะ”
“…”
เมื่อผู้ถูกลืมเลือนไม่ได้พูดตอบกลับมาความเงียบก็เข้าปกคลุมลิฟต์
ตัวเลขบนหน้าปัดบอกชั้นเลื่อนลงมาถึงชั้นที่
2
ทั้งที่เวลาผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วินาทีแต่กลับรู้สึกเหมือนผ่านไปนานเป็นนาที
ผู้ถูกลืมเลือนหลับตาลงแล้วเริ่มพูดอย่างสิ้นหวัง
“งั้นเหรอ
คงจะเปลี่ยนใจนายไม่ได้จริงๆ สินะก็สิงห์มักจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว
ถ้าเป็นนายล่ะก็อาจจะทำได้ก็ได้แต่ว่า....”
ตัวเลขบนหน้าปัดลิฟต์เปลี่ยนเป็นเลข
1
”ค่าชดเชยต่อการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมน่ะมันหนักหนาเอาการอยู่นะ”
ตอนนั้นเองก็มีเมล์เข้ามา
หน้าจอระบบของสิงห์เปิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
ข้อความบนนั้นเขียนเอาไว้ว่า
======================
Subject: @Clipius Death Timing
Delivery
Form: GM
Detail:
ตัวจับเวลาตายของเพื่อนคุณมาถึงแล้ว!
เวลาชีวิตที่เหลือของ อิงศร โรจน์จุฬาคือ
[00:22:12]
======================
“…”
หลังจากอ่านเมล์ฉบับนั้นเพียงพริบตาเดียวใบหน้าของสิงห์ก็เปลี่ยนไปอย่างหาได้ยาก
ใบหน้าที่มักจะว่างเปล่าไร้ซึ่งการแสดงออกทางอารมณ์ใดๆ
ได้ถูกเจือไว้ด้วยสีแห่งความตกตะลึงแล้วสีหน้านั้นก็ยิ่งแพร่กระจายเมื่อเลือดสูบฉีดมากขึ้นเพราะตัวเลขจับเวลาเกิดกระพริบเองเหมือนถูกกดโดยที่เขายังไม่ได้ทันจะทำอะไรกับมันแล้วภาพก็ปรากฏขึ้น....
ภาพที่ทำให้สิงห์ต้องถลึงตามองด้วยความตกตะลึงนั่น
คือภาพใบหน้ายามสิ้นชีพของอิงศร
บนภาพเด็กหนุ่มคนนั้นแถบพลังชีวิตกลายเป็นว่างเปล่า
เด็กหนุ่มล้มลงอยู่ต่อหน้าพวกทหารร่วมสังกัดสามคน
มีสองคนที่พอจะมองจากด้านหลังแล้วรู้ว่าเป็นมีนากับเมษาดังนั้นจึงตีความด้านหลังของอีกคนได้ไม่ยากนักนั่นจะต้องเป็นกวินทร์อย่างแน่นอน
สถานที่เกิดเหตุในภาพเป็นถนนเส้นหนึ่งที่ตัดผ่านประตูทิศไหนซักแห่งแต่ว่ามันคือที่ไหนกัน?
อิงศรตายแล้ว...ไม่สิก่อนที่จะออกจากห้องก็ยังได้รับรายงานว่าอิงศรยังมีชีวิตอยู่แล้วก็เดินหน้าไปที่ประตูทิศใต้
รูปถ่ายนี่ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับเวลานับถอยหลังถ้าอย่างนั้นนี่คือการนับถอยหลังไปสู่การเป็นจริงของภาพอย่างนั้นหรือเปล่า?
แล้วมันมีความแม่นยำแค่ไหนกัน?
สิงห์ใช้เวลาเพียงแค่การจ้องมองภาพในเสี้ยววินาทีตีความมันด้วยประสบการณ์ทั้งหมดแต่ก็วิเคราะห์ออกมาได้แค่นั้นแทบจะไม่รู้เงื่อนงำของเมล์ฉบับนี้เลย
ดังนั้นเขาจึงหันไปบัลดาลโทสะกับตัวต้นเหตุที่น่าจะยืนอยู่ด้านหลัง
“นี่แก!”
สิงห์คำรามพร้อมกับหันตัวกลับ
แต่ผู้ถูกลืมเลือนได้หายไปแล้ว
เสียง ’ติ๊ง’
ดังขึ้นลิฟต์ลงมาถึงชั้นที่1 ประตูเคลื่อนตัวเปิดออก
เบื้องหน้าของประตูนั้นคือเลขาสาวคนสนิทวิเชียรมาศที่รอการมาถึงของเขา
เธอเป็นคนต่อสายขึ้นไปบอกว่าแอพพลิเคชั่นปีศาจเพิ่งจะมาส่ง
เธอมองเข้ามาในลิฟต์เห็นเจ้านายหันหลังให้
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“…”
สิงห์ปิดหนาจอเมล์
เบี่ยงตัวกลับมาแล้วเดินออกจากลิฟต์โดยที่รักษาสีหน้าสงบเยือกเย็นเอาไว้
เขาเดินออกมายืนต่อหน้าลูกน้อง
“ไปเกณฑ์พลคุ้มกันที่อยู่รอบๆ
ตึกนี้มาให้หมดเดี๋ยวเสร็จจากที่นี่แล้วชั้นจะออกไปด้วยตัวเอง”
“เอ๋?!”
ใบหน้าของเลขาสาวซึ่งมักจะรักษาท่าทีและสำรวมกิริยาเอาไว้ตลอดนั้นกลับผุดทั้งความงุนงง
ทั้งความตกตะลึง ขึ้นมาพร้อมๆ กัน
แต่สิงห์ก็เมินสีหน้าประหลาดที่เธอแสดงให้เป็นครั้งแรกไปแล้วออกคำสั่งว่า
“จากนี้จะต้องมีคนตายให้น้อยที่สุดไปสั่งเจ้าพวกที่อยู่ข้างนอกนั่นด้วย”
“คะ...ค่ะ”
แล้ววิเชียรมาศก็เดินแยกออกไปโดยที่ได้ยินเสียงตะโกนเรียกรวมพลดังแว่วมา
สิงห์เปิดเมล์ขึ้นมาเปิดดูภาพนั้นอีกครั้งแล้วเริ่มมองอย่างถี่ถ้วนเพื่อหาเบาะแส
เบาะแสที่จะเชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์ในภาพ
บนถนนที่อิงศรล้มลงไปนั้นดูเหมือนจะมีเม็ดทรายกระจายอยู่เต็มไปหมด
มีคราบน้ำปรากฏให้เห็นจางๆ
ในหลายจุด
ดิน... น้ำ... ถนน... สัตว์เทวะ...
คีย์เวิร์ดทั้งหมดถูกดึงออกมาจากภาพเล็กๆ
เพียงภาพเดียว แล้วเขาก็คิดออก
"ที่นั่นเองสินะ"
สิงห์หันกลับไปมองลิฟต์
ภายในว่างเปล่าและประตูกำลังจะเคลื่อนตัวปิด
ประตูลิฟต์ปิดลง
จากนั้นพลเอกหนุ่มก็แค่นเสียงหัวเราะ
“เฮอะ
อุตส่าห์ได้ฟันเฟืองที่สามารถขับเคลื่อนโลกทั้งใบมาอยู่ในกำมือแล้วเรื่องอะไรจะปล่อยให้หลุดมือไปอีกเล่า”
แล้วพูดเหมือนกับจะประชดประชัน
ความคิดเห็น