คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #34 : Login 32: คับบาลาห์และการแสดงความตั้งใจ
Login 32: คับบาลาห์และการแสดงความตั้งใจ
อะไรบางอย่างกำลังเวียนว่ายอยู่ภายในร่างกายของเด็กสาว
มีต้นอ่อนแทงยอดออกมาจากรูขุมขนบนร่างกาย
ต้นอ่อนเหล่านั้นงอกเงยอย่างงดงามกลับกันร่างของเด็กสาวกลับดูซีดเซียวและซูบผอม
พวกทหารที่อยู่ล้ำหน้าเธอไปก็แสดงอาการแบบเดียวกัน
“เหวอ!”
นรินทร์เผลอร้องเสียงหลง
มีเสียงแบบเดียวกันดังมาจากทางด้านหลังด้วยคงจะมีคนที่ขวัญอ่อนจนตกใจกลัวขึ้นมาแวบหนึ่งเหมือนกับเขาเช่นกัน
ยิ่งพลังชีวิตลดลงมากเท่าไหร่ต้นอ่อนก็ยิ่งงอกงาม
พอพลังชีวิตลดลงไปครึ่งหนึ่งรากของต้นไม้ก็แทงทะลุออกมาจากแขนและขา
เลือดสีแดงสดไหลทะลักเจิ่งนองเต็มพื้นถนน
นรินทร์ชักไม้เท้าออกมา
หากปล่อยไว้แบบนี้พวกพ้องจะพากันตายหมด
เด็กหนุ่มจึงร่ายคาถาที่เป็นชื่อสกิล
“คับบาลาห์ เซฟิร่า บินาห์ (Kabbalah Sephirah Binah)”
ไม้เท้าเปล่งแสง
เขาตวัดมันขึ้นไปแล้วแสงก็พุ่งออกจากไม้เท้า แสงระเบิดกลางอากาศ
ร่วงโรยลงมาเป็นละออง ผู้ที่สัมผัสถูกจะได้รับการเยียวยารักษาจากสภาวะผิดปกติทุกชนิด
แต่มันกลับไร้ผลต้นอ่อนยังคงเติบโตต่อไปพร้อมกับดูดพลังชีวิตมา
“ไม่ได้ผล...มันไม่ใช่สภาวะผิดปกติงั้นเหรอ”
เด็กหนุ่มเบ้ปากพยายามคิดหาทางช่วยเหลือ
ต้นอ่อนเติบโตเป็นลำต้นขยายกิ่งก้านสาขาจนกระทั่งร่างของภัสรากับคนอื่นๆ
แทบจะกลายเป็นกระถางต้นไม้อยู่รอมร่อ
ตอนนั้นเองภัสราที่ยังมีลมหายใจเหลืออยู่ก็พูดมาว่า
“มัวทำอะไรอยู่...รีบวิเคราะห์สิ...อย่าให้การเสียสละของพวกฉันสุ...สุญ...”
เธอตั้งใจจะพูดคำว่า ‘สูญเปล่า’
แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมีลำต้นงอกออกมาจากปาก
ลำต้นนั้นแตกกิ่งก้านสาขารวดเร็วกว่าต้นอื่นๆ แถมยังผลิใบแล้ว
บัดนี้ร่างของเหล่าทหารที่ถูกเล่นงานโดยต้นไม้ที่กำลังงอกบนร่างกายได้ถูกสูบพลังชีวิตมาจนหมด
แถบแสดงค่าพลังชีวิตกลายเป็นว่างเปล่า
รากไม้ที่งอกทะลุแขนกับขาเริ่มเคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระ
ราวกับต้นไม้มีชีวิตที่สวมใส่ซากศพของมนุษย์เอาไว้....
หน้าจอแสดงแถบพลังชีวิตกับชื่อหายไปนั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาได้ตายลง
แต่ต้นไม้ที่งอกออกมากลับยังเคลื่อนไหว แล้วรุกคืบเข้ามา
นริทร์ต้องถอยกลับไปอย่างไม่มีทางเลือก
เพราะมนุษย์ต้นไม้กำลังใกล้เข้ามา
เขาถอยกลับมารวมกับคนที่เหลือแล้วจ้องมองไปพร้อมกับทุกคน..
จ้องมองสัตว์ประหลาดที่เกิดจากศพของพวกพ้องด้วยใบหน้าตกตะลึงราวกับเห็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ
มีคำถามเกิดขึ้นมากมายในหมู่พวกเขา
“นั่นมันอะไรกันน่ะ”
“ทุกคนตายแล้ว...ถูกต้นไม้นั่นฆ่าตายกันหมดแล้ว..”
สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีนักมีโอกาสที่กองร้อยจะแตกตื่นจนตั้งตัวไม่ได้
นรินทร์ฝืนกล้ำกลืนความรู้สึกเศร้าโศกและอาลัยอาวรณ์ที่เสียเพื่อนลงไป
แล้วเริ่มคิดหาทางต่อ
“ต้องวิเคราะห์พวกมันก่อน”
เขาหวนนึกถึงสิ่งที่ภัสราพูดก่อนจะหมดลมหายใจ
เธอคงจะรู้อะไรบางอย่าง นั่นจะต้องเป็นเหตุผลที่เธอผลักตัวเขาออกมาทันทีที่จะเข้าไปช่วย
นรินทร์จับไม้เท้าในมือแน่นแล้วพยายามตั้งสมาธิ
จากนั้นก็พูดว่า
“เดม่อนแอพ จงมอบดวงตาปีศาจแด่ข้า
เนตรแห่งลาพาส (Eye
of Laplace’s Demon)”
พริบตานั้น
ไม้เท้าก็แผ่รังสีอันชั่วร้ายออกมาจนคนรอบข้างสัมผัสได้และรับรู้ว่าเขากำลังให้แอพพลิเคชั่นปีศาจทำงาน
ความสามารถของมันนั้นทุกคนในค่ายต่างก็รู้จักเป็นอย่างดีเพราอย่างนั้นจึงไม่มีใครตกใจหรือร้องผวาออกมายามที่เห็นร่างโปร่งแสงคล้ายวิญญาณของโครงกระดูกมนุษย์ในชุดสูทผู้ชายสีดำปรากฏตัวขึ้นด้านหลังนรินทร์
ชายคนนั้นคือปีศาจ...
ปีศาจที่สถิตอยู่ในไม้เท้าซึ่งติดตั้งแอพพลิเคชั่นปีศาจเอาไว้
มือของปีศาจประคองสิ่งของคล้ายแว่นตาวิทยาศาสตร์เหมือนที่เห็นกันในหนังไซไฟ
มันสวมสิ่งนั้นให้กับเขาแล้วหายไป
ภาพที่มองผ่านเบื้องหลังกรอบแว่นตานั้น
คือรายละเอียดเชิงลึกของมนุษย์ต้นไม้รวมไปถึงเจ้ามังกรที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่ด้วย
รายละเอียดที่มองได้จากแว่นตานี้มีมากกว่าอุปกรณ์
สเกาท์ติ้งสโคปที่กองทัพพัฒนาใช้กันอยู่เสียอีก
มิหนำซ้ำข้อมูลยังสามารถวิเคราะห์เพิ่มเติมเองได้อย่างแม่นยำหากว่าเคยเห็นมันมาก่อนแค่ครั้งเดียวก็พอ
นรินทร์วิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เกิดมนุษย์ต้นไม้แล้วพูดมันออกมา
“ทุกคนครับจากนี้ไปขอให้ต่อสู้โดยระวังอย่าไปสูดเอาละอองสีเขียวที่เจ้ามังกรนั่นพ่นออกมาเด็ดขาดเลยนะครับ
นั่นน่ะเป็นเมล็ดของพืชกาฝากที่จะดูดพลังชีวิตของเหยื่อแล้วกลายเป็นสัตว์ประหลาดแบบนั้น”
จากนั้นก็มีทหารคนหนึ่งถามขึ้นมาว่า
“แล้วมีวิธีทำให้กลับเป็นเหมือนเดิมไหม”
นรินทร์ส่ายหน้า
หากว่าแอพลิเคชั่นปีศาจไม่ได้สรุปออกมาให้เขาก็จะตอบไปว่า ‘อาจจะพอมีวิธี’
“ไม่ได้...ถ้ากลายเป็นแบบนั้นไปมันก็เท่ากับพวกเขาตายไปแล้วมีแต่ต้องกำจัดทิ้งเท่านั้น”
“อะไรกันน่ะเรื่องแบบนั้น”
นายทหารคนนั้นถึงหน้าเสียน้ำเสียงสั่นขึ้นมาเมื่อได้ยินที่พูด
เลยพลอยทำคนอื่นๆ กลัวไปด้วย และแล้วสิ่งที่นรินทร์กลัวว่าจะเกิดก็ได้เริ่มขึ้น...
มีนายทหารคนหนึ่งแสดงความหวาดกลัวออกมา
“ม...ไม่ไหวแล้วตายแน่ถ้าอยู่ต่อต้องตายแน่”
พูดจบก็วิ่งหนีไปอย่างคนขี้ขลาด
เมื่อสัตว์เทวะขวางทางอยู่ข้างหน้าที่จะให้หนีจึงมีแค่ทางกลับเข้าไปในค่าย
“เฮ้! อย่านะ ใครก็ได้หยุดหมอนั่นที!”
นรินทร์ตะโกนแต่ไม่มีใครขยับตัวเพราะมันกะทันหันเกินไป
นายทหารคนนั้นยืนอยู่ด้านหลังสุดตั้งแต่แรกจึงไม่มีใครรั้งตัวเอาไว้ทัน
แล้วนายทหารคนนั้นก็วิ่งกลับเข้าไปในค่ายแต่ก็ไปไม่ถึง...
ทันทีที่ก้าวเท้าข้ามเขตประตูไปร่างกายก็ถูกช็อตจนชักกระตุกแล้วดีดตัวกระเด็นกลับมา
พลังชีวิตของทหารคนนั้นลดลงอย่างฮวบฮาบแต่ยังไม่ถึงกับตาย
ตอนนี้ค่ายถูกกางอาณาเขตสนามพลังชีพจรมังกรเอาไว้จึงไม่มีใครเข้าไปข้างในหรือหนีออกมาข้างนอกได้
ไม่เว้นแม้แพวกเดียวกันเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่แจ้งให้ทราบโดยทั่วกันอยู่แล้ว
แต่ความกลัวคงทำให้ขาดสติยั้งคิดจนลืมไป
มังกรหัวเราะให้กับภาพนั้นพลางกล่าวว่า
“ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานซักเพียงใดมนุษย์ก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขลาดเขลาไม่ต่างจากเดิมเลยนะ”
แล้วมันก็สั่งพวกมนุษย์ต้นไม้ให้เข้ามาโจมตี
“เอ้าไปเลยสิสาวกแห่งข้าเอ๋ยทำให้พวกมันรู้ซึ้งว่าการมาหยามเทพลบหลู่ในสิ่งที่ไม่ควรมันจะเป็นอย่างไร”
มนุษย์ต้นไม้เริ่มคืบคลานเร็วขึ้น
ในไม่ช้าจะต้องปะทะกับพวกมันแน่ แต่ตอนนี้กองร้อยกลับจะแตกมิแตกอยู่ร่อมร่อ
ทหารทุกคนแสดงความหวั่นเกรงต่อพลังของสัตว์เทวะออกมาอย่างชัดเจน
แถมยังเสียนักรบฝีมือดีเลเวลสูงๆ ไปหลายคนก็ไม่แปลกที่จะพากันขวัญหนีดีฝ่อ
มันถึงเวลาที่จะต้องทำหน้าที่นำทุกคน
ให้สมกับที่ได้รับมอบหมายมาเสียที
“ทุกคนตั้งสติกันหน่อย!”
เสียงตะโกนของนรินทร์เรียกให้ทุกคนรู้สึกตัว
“พวกมันจะบุกมาแล้วเราต้องทำลายพวกมันคิดซะว่าเป็นการปลดปล่อยร่างของพวกพ้องที่ถูกสัตว์เทวะยึดไปก็ได้
อย่าให้การเสียสละของพวกพ้องต้องสูญเปล่าเราจะต้องไม่ตายเด็ดขาด!”
คำพูดเหมือนจะได้ผลสีหน้าของทุกคนดีขึ้นเล็กน้อย
ทันเวลากับที่กองทัพมนุษย์ต้นไม้มาถึงพอดี
“ลุย!”
นรินทร์ตวัดไม้เท้าไปข้างหน้าเป็นสัญญาณ
แล้วทุกคนก็เฮโลกันออกไป
“คนที่ใช้สกิลเวทธาตุไฟได้ใช้ไฟเผาพวกมันไปพร้อมกับละอองกาฝากเลย!”
มีอยู่สิบคนที่ตอบรับคำสั่งนั้นแล้วร่ายสกิลพร้อมกัน
“อัคคีราโอ!”
ลำแสงเพลิงพุ่งออกจากปลายไม้เท้าและไม้คฑา
แผดเผามนุษย์ต้นไม้ไปพร้อมกับซากศพของพวกพ้อง
ความเศร้าไหลออกจากดวงตาของพวกเขาแต่ไม่มีใครที่หยุดร้องไห้
ไฟเผามนุษย์ต้นไม้ได้อย่างง่ายดายพวกมันเปราะบางกว่าที่คิดเอาไว้
ไฟลามจากซากของพวกมันไปยังละอองกาฝากที่ลอยตัวอยู่จนถูกเผาไปพร้อมกัน
“โอหังเหลือเกินนะมนุษย์”
มังกรคำรามแล้วแตกร่างกายเป็นรากไม้ออกมาโจมตี
นรินทร์ร่ายสกิลเข้าขัดขวางในทันที
“คับบาลาห์ เซฟิร่า เชเซด (Kabbalah Sephirah Chesed)”
แสงสว่างพุ่งออกจากปลายไม้เท้าแล้วแตกเป็นสาย
แสงปะทะเข้ากับรากไม้แล้วมันก็หยุดชะงักในทันที เพราะคุณสมบัติของสกิลที่เขาใช้จะยับยั้งการโจมตีทั้งหมดได้หนึ่งครั้ง
จังหวะนี้เองทุกคนก็วิ่งออกไปข้างหน้าบุกเข้าไปเพื่อให้ถึงระยะโจมตี
มังกรยังไม่ยอมแพ้มันอ้าปากแล้วสูดลมหายใจเข้าไปหวังจะพ่นลมหายใจต้องสาปที่คร่าชีวิตพวกพ้องเขาไปออกมาอีก
“คิดจะใช้ไอวี่เบรธ (Ivy Breath) อีกสินะ”
นรินทร์ก้าวเท้าวิ่งออกไปในทันที
วิ่งจนกระทั่งแซงทุกคนไป นั่นทำให้เขาอยู่ห่างจากมังกรเพียงไม่กี่ก้าว
“คับบาลาห์ เซฟิร่า เคเธอร์ (Kabbalah Sephirah Kether)”
ทันทีที่สกิลร่ายเสร็จ
คือชั่วพริบตาที่มังกรจะพ่นลมหายใจออกมา เกิดเสียงดังฟุ่บ
แล้วลมหายใจของมังกรก็สลายไป
นรินทร์จ้องตากับมังกร
ดวงตาเบื้องหลังกรอบแว่นปีศาจนั้นสะท้อนแววตาอันเย็นชาออกมา
เด็กหนุ่มผิดพลาดและสูญเสียมาถึงสองครั้งสองครา หนแรกคือตอนที่ห้องคิงถูกโจมตี
แล้วก็มาหนนี้เขาปล่อยให้พวกพ้องตายเพราะไม่ยอมแสดงความตั้งใจออกมาให้ชัดเจน
เขาเคยคิดว่าถ้าหากตอนนั้นห้ามปรามให้มันสุดๆ
ไปเลยก็คงไม่ต้องสุญเสียกันถึงขนาดนี้
แต่ก็ยังย้ำถามตัวเองอีกหลายครั้งว่าจะทำได้เหรอ?
สุดท้ายมันก็จะลงเอยแบบเดิม
ถ้าอย่างนั้นการแสดงความตั้งใจที่เหมาะสมกับยุคสมัยแห่งการล่มสลายนี้ก็คงไม่ใช่การเลือกทางที่ปลอดภัยเอาไว้ก่อน
แต่เป็นการเลือกหนทางที่จะชนะ
“การวิเคราะห์เสร็จสิ้นจากนี้ไปผมจะไม่ยอมให้ใครตายเด็ดขาด”
ความคิดเห็น