คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : Login 30 : คุณค่าของโลกที่ล่มสลาย
Login 30 : คุณค่าของโลกที่ล่มสลาย
"คันสุดท้ายแล้ว!"
นายทหารของเมตไตรยคนหนึ่งตะโกนให้สัญญาณกับอีกคนที่ควบคุมเครื่องยกไม้กั้นประตูทางออกจากลานจอดรถ
พอไม้กั้นถูกยกออกเขาก็ดึงประตูคอนเทนเนอร์ของรถบรรทุกลงมาแล้วล็อกมัน
ข้างในคอนเทนเนอร์นั้นเต็มไปด้วยพลเรือนที่จะต้องอพยพไปยังศูนย์บัญชาการกลางที่จังหวัดชลบุรี
คนขับรถสตาร์ทเคคื่องยนต์ ล้อรถบรรทุกเริ่มหมุน
จากนั้นรถก็แล่นผ่านประตูออกไปตอนที่เสียงตามสายประกาศไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัยว่า
"ขณะนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงตรงขอให้กำลังพลทุกท่านไปรายงานตัวกับหน่วยที่สังกัดตามแต่ละประตูด้วยค่ะ
ย้ำอีกครั้งขอให้กำลังพลทุกท่าน..."
พอได้ยินเสียงประกาศทหารทุกนายก็พากันแยกย้าย
วันนี้ภายในค่ายเงียบสงบกว่าทุกวันเพราะพลเรือนถูกอพยพออกไปตั้งแต่สามวันก่อนจนกระทั่งวันนี้
จึงไม่มีคนหลงเหลืออยู่ภายในค่ายนอกจากทหารเท่านั้น
และแล้ววันนี้ก็มาถึง...
วันที่เรดบอสระดับห้าสิบจะเกิดขึ้นที่ค่ายชั่วคราวของเมตไตรย
ณ อาคาร 'หมายเลข ๑๗ ' ของคณะวิศวกรรมศาสตร์...
บนห้องโสตทัศนศึกษาชั้นที่เจ็ดซึ่งเป็นชั้นบนสุด
ถูกดัดแปลงเพื่อใช้เป็นศูนย์บัญชาการรบชั่วคราวตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อน
ภายในเป็นห้องโถงกว้างเหมือนกับห้องเรียนเล็คเชอร์ตามปกติแต่มีอุปกรณ์ครบครันกว่า
มีเวทียกสูงจากพื้นตั้งอยู่ด้านในสุดตรงกลางของห้อง
เจ้าหน้าที่ทุกคนนั่งที่โต๊ะเรียนซึ่งวางไล่ระดับลงมาเป็นขั้นบันไดโดยมีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุควางอยู่บนโต๊ะ
แต่ละเครื่องจะต่อสายเชื่อมเข้ากับเครื่องประมวลผลขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าของเวที
สิงห์ ธุวดารกะ
ผู้ทำหน้าที่บัญชาการรบในวันนี้ก็ยืนอยู่ที่นั่น
ข้างตัวเขานอกจากพวกเจ้าหน้าที่ประสานงานแล้ว ก็มีผู้หญิงอีกสองคนที่คุ้นหน้าคุ้นตายืนอยู่เคียงข้าง
หนึ่งในนั้นคือหญิงสาวใบหน้างดงาม เรือนผมสีฟ้าครามมัดรวบปลายผมไว้สองข้าง
ซึ่งก็คือ วิเชียรมาศ เลขาของเขานั่นเอง
อีกคนเทียบกันแล้วอาจจะดูเรียบๆ
ไปบ้างเธอมีเรือนผมสีดำมันคลับยาวปรกไหล่สวมเสื้อกาวน์ทั้งที่คนอื่นๆ ในห้องต่างก็สวมเครื่องแบบทหารประจำองค์กร
เธอชื่อ ซากิริ อามาเนะ
เป็นนักวิจัยเกี่ยวกับสัตว์เทวะที่มาจากศูนย์ใหญ่เพื่อจับตาดูเรดบอสในครั้งนี้
พวกเขาหันหน้าเข้าหาจอโปรเจคเตอร์ที่อยู่ติดกับเวทีซึ่งกางเรียงติดกันสามจอ
ภาพที่ฉายอยู่ เป็นภาพสถานที่ต่างๆในเขตและรอบรั้วมหาวิทยาลัยที่ใช้เป็นค่ายแห่งนี้
ซึ่งรับมาจากกล้องวงจรปิดอีกที จอซ้ายกับขวาฉายภาพสถานที่แบ่งเป็นหลายๆ ช่อง
ส่วนจอตรงกลางจะเป็นจอภาพหลักสำหรับนำภาพจากจอซ้ายหรือจอขวามาฉายแบบขยาย
ตอนนี้บนจอที่ว่ากำลังฉายภาพของพันโทข้าวหลาม
ภาพทิวทัศน์ที่เห็นจากกล้องที่กำลังถ่ายภาพพันโทอยู่นั้นน่าจะเป็นบริเวณประตูทางออกทิศเหนือเพราะมองแนวตึกร้างที่เคยเป็นย่านร้านค้าเก่าตั้งเรียงรายอยู่ไกลๆ
แต่เสียงของพันโทนั้นส่งมาทางระบบของเกมอีกทีโดยรับผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ของเจ้าหน้าที่สื่อสารแล้วส่งออกทางลำโพงที่ติดอยู่ในห้อง
"คิดอะไรอยู่กันแน่แทนที่จะให้ชั้นมาเฝ้าประตูที่นี่ให้ไปลุยกับหน่วยจู่โจมที่ประตูตะวันออกจะดีกว่าม้าง--"
เสียงของพันโทว่ามาอย่างนั้น
สิงห์ตอบกลับไปว่า
"เรามีกำลังสำหรับการป้องกันไม่พอถ้าประตูทิศเหนือถูกตีฝ่ามาได้ล่ะก็ข้างหน้าก็คือห้องนี้แล้วถึงต้องให้นายไปป้องกันไว้ไงล่ะ"
แล้วซากิริก็พูดแทรกขึ้นมา
"เพราะเส้นทางอพยพคนที่รถของพวกเรากำลังสัญจรอยู่นั้นมีการควบคุมฮาบิแททพอยซ์จากที่นี่เป็นหลักหากถูกทำลายฮาบิแทพอยซ์ก็จะเปิดขึ้นมาพร้อมกันทั้งเส้นทาง
ถ้าไม่ถ่วงเวลาไว้จนกว่ารถอพยพจะวิ่งเข้าสู้เส้นทางที่ฮาบิแททพอยซ์ผูกกับศูนย์ใหญ่จากศรีราชาแล้วล่ะก็พวกเขาจะถูกสัตว์เทวะที่เกิดใหม่ตามเส้นทางฆ่าตายหมดแน่เพราะเราไม่ได้ส่งกำลังไปคุ้มครองเลยที่อยู่บนนั้นก็มีแต่พลเรือน
พูดแบบนี้พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างรึยังล่ะหืม~"
"เพราะงั้นก็เลยให้ชั้นมาคุมประตูนี้ด้วยกำลังพลที่น้อยกว่าชาวบ้านอย่างนั้นสินะ"
ข้าวหลามพูดพลางเบี่ยงไหล่ออกเพื่อให้กล้องจับภาพบรรดาลูกน้องภายใต้บังคับบัญชาที่มีกันอยู่แค่สี่นาย
ซากิริตอบกลับไป
"มันก็ประมาณนั้น"
จากนั้นสิงห์ก็พูดสืบต่อว่า
"ถ้าเข้าใจแล้วก็ตั้งใจทำงานด้วยล่ะ"
พอได้ฟังดังนั้นข้าวหลามก็ทำหน้าหงุดหงิด
"ทำมาเป็นพูดดีนายเองก็เหอะเลเวลเก้าสิบเหมือนกันทำไมไม่ออกมาสู้เองเลยเล่า"
แล้วพูดมาอย่างประชดประชัน
"..."
สิงห์ไม่ตอบกลับ
ถ้าอีกฝ่ายคือเพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เล็กแล้วยังเป็นผู้มีความสามารถที่เขาให้การยอมรับด้วยตัวเองล่ะก็ถึงไม่ต้องใช้คำพูดก็ต้องเข้าใจได้ว่าเขาคาดหวังอะไรไว้
พันโทข้าวหลามไม่ได้มองเห็นฝั่งศูนย์บัญชาการดังนั้นย่อมไม่รู้ท่าทีของสิงห์ในตอนนี้แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับตอบมาราวกับคาดเดาได้
"มีแผนอีกงั้นสิ..."
"..."
"เอาเถอะ ถ้างั้นแค่นี้แหละ ฝากเรื่องข่าวสารทางนั้นด้วยก็แล้วกัน"
ข้าวหลามพูดมาอย่างนั้นก่อนจะเดินออกจากมุมของกล้องสิงห์จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ควบคุมเอาภาพใหม่ขึ้นจอหลักแทน
"ตัดไปที่กล้องตรงประตูทิศเหนือ"
"ครับ!"
จากนั้นภาพบนจอหลักก็เปลี่ยนเป็นภาพจากมุมสูงเพราะกล้องถ่ายลงมาจากชั้นที่สามของอาคารบริเวณประตูทิศเหนือ
จากภาพจะมองเห็นสะพานพาดผ่าน เหนือถนนใหญ่ที่แบ่งเป็นสี่เลน
บนเลนถนนฝั่งที่ติดกับประตูทางออกจากมหาลัยมีกองทหารจำนวนร้อยกว่านายรวมตัวกันอยู่ที่นั่น
เป็นทหารหนุ่มสาวทั้งสิ้น
ในนั้นมีพวกเด็กที่มาจากห้องคิงของหน่วยขับไล่ผู้รุกรานที่อิงศรเคยเข้าไปเรียนอยู่ช่วงหนึ่งปะปนอยู่ด้วยส่วนใหญ่แล้วจะยืนอยู่ที่หัวแถวกันหรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นเหล่าผู้มีความสามารถพอที่จะออกนำหน่วยได้
ที่ด้านหน้าของกองร้อยมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่พอมองเห็นจากที่ไกลๆ ก็เดาได้ในทันที
“ต่อสายไปที่นรินทร์”
สิงห์ออกคำสั่งจากนั้นเจ้าหน้าที่ควบคุมก็ทำให้ลำโพงในห้องกลายเป็นเสียงที่ส่งมาจากเด็กหนุ่มคนนั้น
ซึ่งก็คือ นรินทร์
นักเรียนผู้มีผลการเรียนวิชาทหารสูงที่สุดของค่ายฝึกชั่วคราวแห่งนี้ เขาได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้นำกองร้อยและหน่วยย่อยภายในกองที่เขาเป็นผู้บังคับบัญชาก็มีแต่เพื่อนร่วมห้องเลเวลสูงกว่าห้าสิบขึ้นไปทั้งนั้น พวกเขาคือความหวังของหน่วยโจมตีที่มารวมกัน ณ
ประตูทิศเหนือแห่งนี้
นรินทร์เป็นฝ่ายที่เริ่มพูดเข้ามาก่อน
“นี่สิบเอกนรินทร์ศูนย์บัญชาการได้ยินแล้วตอบด้วย”
ที่เด็กหนุ่มพูดมาเป็นรูปแบบของการยืนยันการสื่อสารซึ่งเป็นบทเรียนหนึ่งจากชั้นเรียนวิชาทหารซึ่งเขาทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
สิงห์ยิ้ม...
ยิ้มด้วยใบหน้าเรียบนิ่งที่แทบไม่เคยเปลี่ยนแปลงให้กับท่าทีของนรินทร์ที่สามารถตอบรับความคาดหวังได้
เขามักจะถูกใจคนที่มีความสามารถแน่นอว่าอิงศรเองก็เป็นกรณีเดียวกัน
“ทางนั้นเป็นยังไงบ้างรายงานมาซิ”
“ครับ ตอนนี้หน่วยโจมตีทุกหน่วยมาครบหมดแล้วกำลังตั้งแถวเพื่อกระจายคำสั่งต่อไปครับ”
ภาพจากกล้องวงจรปิดที่ฉายอยู่บนจอโปรเจ็กเตอร์เองก็บอกเล่าเช่นนั้น
เหล่าทหารกล้าทั้งร้อยนายกำลังสร้างแถวอย่างเป็นระเบียบ
ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่สำหรับสิงห์แล้วสายตาของเขามองลึกลงไปกว่านั้น
ทั้งที่มองจากภาพเดียวกันกับทุกคนในห้อง …กองทหารกล้าที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้นยังมีสิ่งหนึ่งที่ขาดไป
“กำลังตึงมือเลยสินะ”
คำพูดของสิงห์ส่งไปถึงฝั่งนั้นแล้วนรินทร์ก็มีปฏิกิริยากับมัน
“ห๊ะ...”
“เปิดเสียงทางโน้นทีสิชั้นจะพูด”
“อะ...ครับ”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงแว่วๆ มาเป็นเสียงของนรินทร์ที่ตะโกนสั่งให้ทุกคนอยู่ในความสงบเพราะว่าผู้บัญชาการกำลังจะพูดกับพวกเขาทุกคน
ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นอาการระสับระส่ายของบรรดาทหารวัยคึกคะนองเหล่านั้น
หลังจากควบคุมแถวให้อยู่ในความสงบได้แล้วนรินท์ก็เร่งเสียงที่หน้าจอสื่อสารซึ่งเปิดด้วยระบบของเกม
หันหน้าจอเข้าหาแถวตรงหน้า
สิงห์เริ่มพูด...
“ทุกนายจงฟัง...”
เสียงของเขาถูกกระจายลงไปยังเหล่าทหารที่ฉายอยู่บนจอภาพ
“ก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้นอยากจะให้จำไว้อย่างหนึ่ง
ถึงโลกที่ล่มสลายใบนี้จะไม่มีคุณค่าหรือความหมายในการปกป้องมันอีกแล้วก็ตาม”
จากนี้ไปคำพูดของเขาจะเปลี่ยนเป็นอีกน้ำเสียง...
น้ำเสียงที่จะดึงเอาความกล้าในตัวทุกคนออกมา
“แต่ว่า!”
สิงห์พูด
พูดด้วยน้ำเสียงที่ใส่อารมณ์มากกว่าทุกที
“ถ้าวันนี้คิดยอมแพ้แล้วหันหลังหนีมนุษยชาติจะไม่มีวันชนะอีก!
ถ้าหากวันนี้พวกเราต่อสู้แล้วชนะได้พวกเรานี่ล่ะจะเป็นก้าวแรกของมนุษยชาติที่จะทวงคืนโลก
และมีชัยเหนือพวกต่างดาว!
ถึงการต่อสู้ในวันนี้จะยากที่สุดเท่าที่เคยมีมาและไม่มีคุณค่าพอที่จะทำ
แต่พวกเราจะชนะแล้วสร้างคุณค่าของมันเอง!”
สิ้นคำเสียงโห่ก็ดังขึ้น
เสียงโห่ที่เปี่ยมล้นด้วยความฮึกเหิมของบรรดาทหารที่หลงคล้อยไปตามคำพูดของสิงห์
ทุกคนที่อยู่บนถนนต่างก็ชักอาวุธออกมาแล้วตะโกนเสียงดังว่า
“พวกเราจะชนะ!”
“โอ้!!”
“ฆ่าสัตว์เทวะให้หมด!!”
“ใช่! พวกเราจะเป็นก้าวแรก พวกเราจะทวงคืนโลกกลับมา!!”
ด้วยคำพูดไม่กี่คำของสิงห์
กองร้อยจูโจมก็พร้อมใช้งานแล้วที่เหลือก็เพียงแค่เวลา
เวลาที่เรดบอสจะเริ่มขึ้น…
นาฬิกาบนจอโปรเจ็กเตอร์บอกเวลา 08:59:50 น.
มันจะเริ่มตอนเก้าโมงพอดิบพอดี… อีกเพียงสิบวินาทีเท่านั้น
เมื่อตัวเลขนาฬิกาวิ่งมาถึง 09:00:00 น. ตอนนั้นเอง…
“จากประตูทิศเหนือ ค่าการปรากฏตัวเพิ่มสูงขึ้นครับ”
ก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
...สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันบรรยากาศภายในห้องเริ่มทวีความตึงเครียดขึ้นทุกขณะ...
“จะส่งภาพขึ้นจอหลักนะครับ”
เจ้าหน้าที่ควบคุมที่อยู่ใกล้กับสิงห์หันมาถามเขาพยักหน้าตอบกลับไป
จากนั้นภาพบนจอหลักก็ถูกเปลี่ยนเป็นภาพจากกล้องตัวที่เคยคุยกับข้าวหลาม
บริเวณท้องฟ้าเหนือห้องแถวที่เป็นย่านร้านค้ามาก่อนนั่นเอง
ได้ปรากฏรูสีดำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสามสิบเมตรแล้วยังขยายใหญ่ขึ้นได้อีก
จนเมื่อถึงจุดๆ
หนึ่งรูก็หยุดการขยายตอนที่มันมีเส้นผ่านศูนย์กลางเกินร้อยเมตรไปแล้ว
ศีรษะของสิ่งมีชีวิตก็ยื่นออกมาจากรูนั่น...
สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมารูปร่างเหมือนเต่าก้าวเท้าต้วมเตี้ยมคลานสี่ขาออกมาจากรูสีดำ
ทันทีที่เท้าของมันเหยียบลงบนพื้นถนน
พื้นก็ยุบตัวกลายเป็นหลุมไปส่วนที่เหลือของร่างกายซึ่งตามออกมานั้นได้ทับลงบนอาคารบ้านเรือนจนพังยับเยินไม่มีชิ้นดี
รูสีดำหายไป
สัตว์เทวะจ่าฝูงปรากฏตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ที่หน้าประตูทิศเหนือ
แค่ภาพที่มองเห็นผ่านกล้องยังสื่อความน่าเกรงขามออกมาได้ถึงขนาดนี้แล้วคนที่ต้องเผชิญหน้ากับมันจะรู้สึกอย่างไร
ทุกคนในห้องต่างก็คิดไปต่างๆ นานา
เจ้าหน้าที่รายงานด้วยเสียงอันดัง
“ออกมาแล้วครับ
ยืนยันระดับจ่าฝูงเลเวลห้าสิบดัคส์เชลปรากฏตัวขึ้นที่ประตูทิศเหนือ!”
แล้วตอนที่รายงานจบลงเจ้าหน้าที่ซึ่งคอยควบคุมข้อมูลจากประตูทิศตะวันตกก็รายงาน
“ยืนยันการปรากฏตัวของคริมสันเฟเธอร์เลเวลห้าสิบที่ประตูตะวันตกค่ะ”
จากนั้นประตูทิศอื่นๆ ก็ทยอยตามมา
“ที่ประตูทิศใต้อัลบิโน่คลอว์ปรากฏตัวขึ้นแล้วเลเวลห้าสิบเช่นกันครับ”
“ที่ประตูทิศตะวันออกยืนยันสัตว์เทวะระดับจ่าฝูงเลเวลห้าสิบเซลูลีนอายก็ปรากฏตัวแล้วค่ะ”
สิงห์จึงสั่งการไปว่า
“ให้แต่ละหน่วยที่ประจำอยู่ตามประตูทิศใต้ ทิศเหนือ กับทิศตะวันตก ดึงความสนใจสัตว์เทวะไว้ก่อนอย่าเพิ่งเข้าไปสู้ซึ่งๆ
หน้าแล้วเอาภาพจากประตูทิศตะวันออกที่กองร้อยหน่วยจู่โจมประจำการอยู่ขึ้นจอหลัก
ส่งการสนับสนุนจากที่นี่ไปที่หน่วยจู่โจมเป็นอันดับแรก”
“รับทราบ!”
เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
ความคิดเห็น