คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #292 : Extra Log 288: ดาราจุติ
Extra
Log 288: ดาราจุติ
สนามพลังที่ขวางใจกลางของเมืองคลายออก
ใจกลางเมืองที่ตอนนี้ลึกลงไปเป็นโพรงขนาดใหญ่
อากาศภายในโพรงลึกรั่วไหลออกมาด้านนอก
สัมผัสได้ถึงไอแห่งความชั่วร้ายที่ปะปนมาด้วย
เป็นสัมผัสชวนให้สันหลังเย็นวาบเลยทีเดียว
“ราหูอยู่ที่นั่น”
ซากิริเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัวร่างกายตอบสนองไปเองเพราะสัมผัสอันนั้น
อย่างไรก็ตามมันยังมีคนที่ไม่ได้หวาดกลัวต่อไอพลังชั่วร้ายแล้วกระโจนดิ่งลงไปยังโพรงลึกที่ตรงใจกลางเมืองนั่น
ซีลอร์ด อิงศร
แฟรนเซียน ข้าวหลาม ไทเทเนียม มิ่งขวัญ กวินทร์
ทั้งเจ็ดคนดิ่งลงไปจากเรือตามลำดับโดยที่ไฮพีเรียลไลซ์ไว้แล้ว
ข้าวหลามกับไทเทเนียม ที่บินไม่ได้นั้นขี่โฮเวอร์บอร์ดลงไป
“ฝากด้วยล่ะทุกคน”
ทีนี้แผนการก็เข้าสู่ขั้นสุดท้าย
ไม่มีอะไรที่ซากิริคนนี้นะทำได้อีกแล้ว เหลือเพียงแค่ยืนรอดูผลลัพธ์เท่านั้น
แต่ในความเป็นจริงกลับไม่มีเวลาให้พักหายใจหายคอเลยด้วยซ้ำ
จู่ๆ
สัญญาณสื่อสารจากกลุ่มที่แยกไปโจมตีสัตว์เทวะก็ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือกันโดยพร้อมเพรียง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะอธิบายสถานการณ์มาที”
มีเสียงตอบกลับมากก็จริงแต่คลื่นแทรกรบกวนมีมากเกินไปจนฟังไม่รู้เรื่อง
‘รา…มันมา…”
นั่นคือเสียงสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดซึ่งส่งมาจากเน็กส์ที่อยู่กับนิวที่มีพลังขยายคลื่นสัญญาณแต่มันก็ขาดหายไปแล้ว
พวกเขาถูกโจมตีอย่างนั้นหรือ?
“จะบอกให้ก็ได้นะว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
จู่ๆ
ก็มีเสียงตอบกลับความนึกคิดดังแว่วมาจากด้านบนทั้งที่ในเรือนี่ไม่มีใครนอกจากเธออีกแล้ว
น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบดุจปีศาจสัมผัสของมันคล้ายกับไอพลังที่ลอยออกมาจากโพรง
ซากิริเงยหน้ามองขึ้นไป
“ราหู!”
เทพมารสีดำกำลังลอยอยู่เหนือเรือ
“คำตอบก็คือข้าผู้นี้ราหูไงล่ะ”
ซากิริตอบโต้ต่อคำพูดของอีกฝ่ายถึงแม้จะรู้ว่าสู้ไม่ได้แต่ก็ไม่ยอมจำนน
ทว่า
ในความเป็นจริงแล้วเรือทั้งลำตกอยู่ภายในหมอกสีขาวทัศนวิสัยมืดบอดไปหมดแล้ว
กระทั่งความรู้สึกรู้ตัวก็ด้วย
ราวกับถูกหมอกเหล่านี้สูบเอาสติไป
“ง่วง...นี่มัน...”
ซากิริหมดสติลงในตอนนั้น
ร่างกายของเธอกลายเป็นไพ่แล้วความมืดก็ผุดขึ้นมารอบๆ
โอบล้อมไพ่นั้นที่พลิกคว่ำลง ความมืดก่อร่างเป็นสวัสติกะ
ราหูเข้าไปเก็บไพ่ขึ้นมา
“ที่นี้ก็เสร็จไปอีกหนึ่ง”
@@@@
“หืม
เมื่อกี้ได้ยินเสียงอะไรไหมครับ”
กวินทร์พูดแล้วหันแค่ใบหน้ากลับไปส่วนตัวยังคงบินตรงไปข้างหน้า
แต่ว่ามองไม่เห็นอะไรแล้วเพราะมนโพรงแทบจะมืดสนิทเมื่อรวมกับบรรยากาศอึมครึมกับช่วงเวลากลางคืนบนรากอาคาชิกแล้วตอนนี้เรืออาร์คลำใหญ่ของพวกเขายังเลือนหายไปในความมืด
ทว่า
ก็ยังได้ยินเสียงอยู่แม้จะมืดมากก็ตามแล้วหูที่ได้รับการขยายความสามารถในการได้ยินจากร่างไฮพีเรี่ยนก็ได้ยินไกลเอามากๆ
“เหมือนจะเป็นเสียงคุณซากิริเลยนะครับเกิดอะไรขึ้นกับคนอื่นๆ
รึเปล่า”
กวินทร์ถามกับอิงศรที่บินอยู่ข้างๆ
“ตอนนี้สนใจแต่ข้างหน้าก็พอ”
อิงศรให้คำตอบแสนเย็นชามาแล้วเร่งความเร็วราวกับจะหนีจากการสนทนา
“…”
กวินทร์มองตามแผ่นหลังของรุ่นพี่ไปด้วยสายตางวยงง ถ้าเป็นปกติแล้วน่าจะมีปฏิกิริยามากกว่านี้
ถ้าเป็นอิงศรอย่างทุกทีจะต้องไม่ละสายตาไปจากความผิดปกติเพียงเล็กน้อยยิ่งถ้ามันเกี่ยวพันถึงพวกพ้องด้วยแล้ว
“ความเร็วนายตกแล้วนะกวินทร์”
ไทเทเนียมที่ขี่โฮเวอร์บอร์ดพูดแล้วบินแซงเขาไป
บินช้าลงจริงๆ
นั่นแหละไม่อย่างนั้นโฮเวอร์บอร์ดที่บินช้ากว่าไม่มีทางแซงไปได้แน่แต่ก็เพราะแบบนั้นถึงฉุกใจคิดได้ว่าหน้าที่ของนัวเองในตอนนี้คือการบุกโจมตี
ยิ่งในแผนบุกสายฟ้าแลบแบบนี้หากพวกเขาชักช้าทำให้แผนการล่าช้าแล้วล่ะก็พวกพ้องจะยิ่งตกอยู่ในอันตราย
บางทีอิงศรคงจะเข้าถึงความเสี่ยงนั้นถึงได้ให้คำตอบเย็นชามาแบบนั้น
“ตั้งใจหน่อยสิเรา”
กวินทร์พูดปลุกปลอบใจตัวเองแล้วเร่งความเร็วไล่ตามคนอื่นๆ
ที่นำไปค่อนข้างไกลมากแล้ว
@@@@@@
“ทนได้ขนาดนี้สมแล้วล่ะที่เป็นเธอน่ะ”
เทพมารสีดำกล่าว
“อึก อือออ”
นรินทร์ครางด้วยความเจ็บปวดพยายามจะรักษาสมดุลร่างกายให้ยืนหยัดบนพื้นถนนได้
เขาเงยหน้ามองเทพมารตนนั้นด้วยร่างกายที่สะบักสะบอมไปทั้งตัว
รอบๆ
มีแต่พวกพ้องที่ถูกทำให้เป็นไพ่แล้วขังไว้ภายในกังหันสวัสติกะดำ ราหูเรียกมันว่า ‘ออฟ (off)’ หรือการปิด
มันเป็นพลังที่อดัมเคยแสดงให้เห็นตอนที่บุกมาที่สวนศักดิ์สิทธิ์คราวก่อน
ก่อนหน้านี้หลังจากได้รับการยืนยันว่าสนามพลังด้านนอกคลายออกแล้วทำลายพวกเขาก็เตรียมจะหนีออกจากตัวสัตว์เทวะแต่จู่ๆ
สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
พวกเขาโผล่ออกมาที่ถนนซึ่งเคยถูกเขตแดนของสัตว์เทวะตั้งทับเอาไว้
แต่ตอนี้ที่นี่ไม่มีเขตแดนอยู่อีกต่อไปรวมถึงโดมสีดำของเขตแดนอื่นๆ
ที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ก็หายไปด้วย
แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเองที่พวกเขาคิดกันไปเองว่าพอทำลายเสาส่งพลังงานได้ทั้งสัตว์เทวะทั้งเขตแดนเลยพากันหายไป
แค่เผลอคิดว่าแผนสำเร็จไปเพียงเสี้ยววินาที
วินาทีถัดมา
ทันทีที่รู้สึกตัว
ราหูก็มาโผล่อยู่ต่อหน้าแล้ว พวกพ้องทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นไพ่แล้วขังเอาไว้ในกังหันดำกันหมดเหลือแต่เขาคนเดียวที่รอดมาได้แต่ก็สู้พลังของราหูไม่ได้เลย
โดรนทั้งหมดถูกทำให้เป็นไพ่ในสภาพเดียวกันกับพวกพ้อง
สกิลหรือลำแสงอมฤตก็ทำอะไรมันไม่ได้ พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง
“เจ้านี่มันดักรอจังหวะที่พวกเราแยกกันอยู่งั้นเหรอ”
นรินทร์พึมพำความคิดที่เริ่มจะล้นสมองออกมา
ภายในหัวที่มีแต่คำถาม
มันรู้แผนพวกเราตั้งแต่แรก?
คำถามมากมายถามว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
ทำไมพวกเขาถึงเสียท่าให้มัน
แล้วคำตอบก็เริ่มจะผุดตามออกมา
ไม่สิพวกเราใช้เวลามากเกินไปต่างหากเพราะเจ้านี่วางแผนให้เป็นแบบนั้นทั้งสัตว์เทวะกับเสาส่งพลังแล้วก็เงื่อนไขที่จะฝ่าการป้องกันเข้าไป
ทั้งหมดเป็นไปตามแผนของมันพวกเราถูกบังคับให้เดินตามเกมนี้แต่แรกแล้ว
ราหูได้เอ่ยมาว่า
“น่าสงสารจังนะกลายเป็นเบี้ยใช้แล้วทิ้งจนได้สิ”
“อะ…”
คำพูดนั้นทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมา
คิดขึ้นมาว่า
เรื่องง่ายๆ
แบบนี้อิงศรจะมองข้ามไปงั้นเหรอ
ไม่สิขนาดมีแฟรนเซียมกับพวกเหลี่ยมจัดที่เคยทำพวกเราลำบากลำบนมารวมตัวกันขนาดนี้แล้วทำไมถึงยังมองเรื่องง่ายๆ
แบบนี้ไม่ออกกันล่ะ
ตัวเขาพลาดเองที่ไม่ได้เคลือบแคลงในแผนการนี้เลยเพราะคิดว่าเชื่อใจพวกพ้องได้
คิดว่าถ้ามีอะไรล่ะก็อิงศรคงจะรู้
ใช่แล้วอิงศรน่ะไม่มีทางรู้เรื่องแบบนี้แล้วยังใช้พวกเขามาเป็นเบี้ย
ทว่า
ราหูก็กล่าวขัดมา
“รู้สิ”
“…”
นั่นเป็นคำพูดที่ตอบคำถามที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ในใจสินะ
“อิงศรรู้เรื่องทั้งหมด”
ราหูพูด
เจ้านี่มันอ่านความคิดเรางั้นเหรอเหมือนกับคุณซีลอร์ด
“เขารู้อยู่แก่ใจว่าแผนนี้จะไม่มีทางสำเร็จถ้าไม่มีการเสียสละ”
“อิงศรไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก”
เขาตอบโต้ออกไปเองโดยไม่รู้ตัวเพราะว่าหัวใจยังเชื่อมั่นในพวกพ้อง ซึ่งมันคงเป็นความจริงอิงศรไม่ได้ทิ้งพวกเขาเพราะราหูตีสีหน้าผิดหวัง
“ใช่
ไม่มีทางทำแน่ๆ”
มันกล่าวยอมรับอย่างเสียดายแต่กลับแสยะยิ้มออกมาในตอนท้าย
”ถ้าอิงศรคนเดียวคงไม่มีทางทำแบบนั้นได้”
“จะบอกว่าพวกมนุษย์ต่างดาวปั่นหัวอิงศรงั้นเหรอพวกนั้นหักหลังพวก…”
แต่ราหูก็ขัดมาอีก
“แต่เพราะพวกเธอผลักดันเขาจนบิดเบี้ยวไปจากเดิมแล้วน่ะสิ”
“หมายความว่ายังไงน่ะ”
คราวนี้ยิ้มแสยะของเทพมารก็ขยายออกเป็นยิ้มกว้างจนเห็นฟันเขี้ยวสีขาว
“พวกเธอยอมเอาตัวเข้าแลกให้กันง่ายเกินไปน่ะสิ
ทำแบบนั้นมาหลายครั้งแล้วเพราะคิดว่าอยากตอบแทนอิงศรที่ทำแบบนั้นใส่พวกเธอก่อน
มันเลยเกิดความเคยชินขึ้นมาในหัวใจที่แสนจะบริสุทธิ์นั่นยังไงล่ะ”
“จะบอกว่าอิงศรทึกทักเอาเองว่าพวกเราจะยอมให้เขาใช้แล้วทิ้งยังงั้นเหรอ”
“เอ้าๆ
พูดออกมาเองแล้วนะ”
“อึก”
แย่แล้ว....
“แย่ล่ะสิตกหลุมพรางซะแล้วทั้งที่น่าจะรู้อยู่แล้วว่าทางนี้จงใจให้แตกแยกกันคิดแบบนั้นอยู่สินะ”
ราหูพูดขัดกระทั่งความนึกคิด
“…”
“เสียใจด้วยนะมันเป็นความจริง”
อย่านะ
อย่าพูดนะ
“อะ…อิง”
อย่าพูดออกมานะ
“อิงศรหักหลังพวกเราเหรอ
กลั้นเอาไว้มันทรมานนะรีบๆ
พูดไปเถอะเพราะถึงอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้แล้วนี่ว่าตัวเองกำลังสงสัยเพื่อนน่ะ”
ราหูพูดความในใจของเขาแทน
เจ้านั่นอ่านความคิดเขาดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองได้สงสัยในตัวอิงศรไปแล้ว
“อุก”
รู้สึกได้ว่าสีหน้าของตัวเองกำลังเปลี่ยนไปอย่างมาก
มันกำลังน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ
สีหน้าอันน่ารังเกียจที่นึกสงสัยโกรธแค้นในตัวผู้อื่นกำลังผุดขึ้นบนใบหน้า
“ฮะฮะฮะ
งดงามมากพริบตาที่ความหวังกลายเป็นความสิ้นหวังแล้วความสิ้นหวัง”
อย่างที่มันพูดเลย
เขากำลังถูกความสิ้นหวังกัดกิน
”นั่นแหละ
แบบนั้นนั่นแหละ เจ้าจะค่อยๆ พังทลายทีนี้ขั้นถัดไปก็คือทำให้มันหักล้างกันเป็นความว่างเปล่าต้องมอบความหวังให้เพื่อหักล้างสินะ”
ราหูกอดอกทำท่าใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มพูด
“อืม อ่า ใช่แล้วๆทั้งหมดเมื่อกี้เป็นแผนน่ะช่วยลืมๆ ไปเถอะสุดท้ายก็ตกหลุมพรางของทางนี้ความรู้สึกเมื่อกี้มันเสียเปล่าเลยใช่ไหมล่ะ”
“อะไร”
นรินทร์สบถ
เจ้านี่มันอยากจะทำอะไรกันแน่
ทำไมถึงมาล้อเล่นกับหัวใจของเขา
ราหูหัวเราะ
“ฮุฮุฮุ”
นรินทร์จึงตวาดออกไป
“อะไร…แกคิดจะทำอะไรกันแน่”
“แบบนั้นแหละ
สับสนเข้าไปยิ่งเข้าใกล้ความสับสนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสุญสลายมากเท่านั้นในท้ายที่สุดจะเหลือแต่ความว่าง....อะ
นี่มัน”
จู่ๆ
ราหูก็ชะงักคำพูดไป บางทีมันคงจะรู้ตัวแล้ว
“ยังอีกเหรอครับคุณออร์ทิเกสซาร์”
‘อีกนิดนึงน่ะ’
แต่ว่าความแตกไปแล้ว
เรื่องที่ให้ออร์ทิเกสซาร์ช่วยกลบเกลื่อนความนึกคิดให้แล้วเตรียมไพ่ตายสุดท้าย
ราหูหุบยิ้มแล้วตวาด
“กล้าตบตาข้าผู้นี้เลยรึสมแล้วที่ถูกเลือกจากออร์ทิเกสซาร์จอมปลิ้นปล้อนนั่น”
มันดูจะประหลาดใจมากกว่าจะโกรธที่เสียรู้พวกเขาบางทีตอนที่มันรู้แล้วว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรก็อาจจะยังไม่เกินไปจากความคาดหมายของมัน
‘ได้แล้วนรินทร์!’
“ครับ”
อย่างไรก็ตามการเตรียมการเสร็จทันเวลาพอดีแต่การจะปลดปล่อยมันยังต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อยถ้าถูกโจมตีเข้ามาก็จบ
“เจ้าทำให้ข้าตกใจมากเลยนรินทร์เด็กดีใสซื่ออย่างเจ้ามีเล่ห์เหลี่ยมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
กระนั้นแล้วราหูยังคงพูดจ้อต่อไม่หยุด
นี่อาจจะเป็นโอกาสแล้วก็ได้
“โซเดียมิราจ จงมาร่างจุติแห่งวิศนุ”
ทันทีที่กล่าวคำพูดปลดปล่อยออกไปแสงสว่างสีแดงชาดของอมฤตที่สะสมเอาไว้ก็แผดแสงเจิดจ้าไปทั่วทั้งบริเวณ
พลัง
พลัง
รู้สึกถึงพลังมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาภายในร่าง
สามารถยืนหยัดร่างกายที่เคยหนักอึ้งได้อย่างง่ายดาย
ร่างกายเบาหวิวจนเท้าแทบจะลอยออกจากพื้น
ใช่
เขากำลังบินอยู่
ผลจากการปลดปล่อยปีศาจที่เป็นส่วนหนึ่งของตัวเองออกไปด้วยการใช้พลังของเครื่องทำสวนที่สามารถบงการอมฤตได้กระตุ้นเข้าไป
เส้นผมงอกยาวขึ้นจรดแผ่นหลัง
ขนนกสีดำงอกขึ้นมารอบๆ ใบหู
“อ๋อ
เป็นเพราะอิงศรสินะ”
แม้แต่ตอนนี้เองราหูก็ยังจ้อไม่หยุด
ถึงแม้ว่าวิศนุเทพผู้ที่ทำให้บททดสอบแห่งการล่มสลายจะมาปรากฏอยู่ต่อหน้ามันแล้วก็ตาม
“โอ้
มาแล้วสินะเจ้าตัวปัญหาสำหรับนรินทร์ของรูทนี้ รูทที่พลังของวิศนุมีมากที่สุดนรนิทร์นารายณ์”
“ทำไม”
ทำไมถึงยังเอาแต่พูดจ้ออยู่ล่ะ
นรินทร์คิดจะถามแบบนั้นแต่คงไม่ต้องพูดออกไปทั้งหมดเพราะยังไงก็โดนอ่านใจเอาอยู่ดีพลังในการกลบเกลื่อนของออร์ทิเกสซาร์ก็หายไปหมดแล้ว
“งั้นก็จะตอบให้ตามตรงก็แล้วกันนะ”
ราหูคลายอิริยาบถจากท่ากอดอกแล้วกางแขนออกเปิดเผยหน้าอกอย่างเต็มที่โดยไม่ป้องกัน
หรืออยากจะบอกว่านี่คือการพูดคุยอย่างเปิดเผยกันล่ะ?
ราหูกล่าวว่า
“เพราะว่ายิ่งตัวหมากทรงพลังมากเท่าไหร่เกมก็ยิ่งสนุกขึ้นเท่านั้นยังไงล่ะ”
“อ้อ งั้นเหรอ”
นรินทร์พูดแล้วยกไม้เท้ายื่นไปข้างหน้า
เลโอทิกแฟงเกอร์ (LEOTIC FANGER)
อาวุธไฮพีเรี่ยนที่เป็นไม้เท้าซึ่งมีอัญมณีพิเศษอยู่ตรงหัว
มันมีพลังในการสำแดงอำนาจของปีศาจอยู่ด้วยเป็นผลมาจากครั้งหนึ่งที่ออร์ทิเกสซาร์จำแลงวิญญาณของตัวเองเป็นเดม่อนแอพให้กับพลเอก
สิงห์ ธุวดารกะ ความสามารถนั้นจึงถ่ายทอดมาที่ร่างไฮพีเรี่ยนนี้ด้วย
นี่คือการจำแลงร่างเป็น
‘นรินทร์นารายณ์’
พลังทั้งหมดที่เขามีจะขอใช้มันจัดการต้นตอของความชั่วร้ายนี้
ถึงจะตั้งใจเอาไว้แบบนั้นแต่ทันทีที่เข้าสู่สภาพของ
‘นารายณ์’ แล้วสติสัมปชัญญะก็เหมือนจะลดลงไปด้วย กำลังจะหลายเป็น นารายณ์ไปแล้ว....
“จงดับสูญไปซะเถอะกาลียุค”
คำพูดของนรินทร์เปลี่ยนไป
ภายในกายนี้ได้กลายเป็นเทพไปโดยสมบูรณ์
ไม้เท้าหุบพับเก็บส่วนหัวที่โอบล้อมลูกแก้วมณีเข้ามา
ทำให้แก้วมณีอยู่ตรงจุดบนสุดของไม้เท้า
แสงสว่างยืดออกจากแก้วมณีนั่นแล้วคงตัวเป็นดาบ
“ด้วยธรรมมะเล่มนี้เจ้าจะถูกชำระล้าง”
นรินทร์นารายณ์เงื้อดาบไม้เท้าขึ้น
แต่ราหูก็เตรียมรับมือเอาไว้ทุกอย่างแล้วนี่จะเป็นการประลองกำลังกันเพียวๆ
“สัตยายุค!!”
ดาบซึ่งถูกเรียกว่าธรรมมะฟาดลงมา
มันผ่ามิติออกเป็นช่องและจะฉีกกระชากทุกอย่างรวมถึงราหู
“ไฮพีเรียลไลซ์”
ไพ่อาคานาร์ปรากฏขึ้นในอุ้งมือของเทพมาร
เมื่อแสงอันลึกลับเปล่งออกมาจากตัวไพ่ทุกอย่างก็ถูกกลืนเข้าไปในโลกสีขาวโพลน
ดาบของวิศนุเทพต้องหยุดชะงักลง
“นี่มันกลลวงอันใดกัน”
เพราะว่าเมื่อรู้สึกตัวอีกทีรอบๆ
ก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก
ไม่มีอีกแล้วซากเมืองยามราตรีกาล
ไม่มีอีกแล้วรากของความทรงจำแห่งจักรวาล
ที่นี่มีแต่ความว่างเปล่า
ทั้งมืดดำ
ดำสนิท
ทุกสรรพสิ่งกลายเป็นสีดำยกเว้นตัวเอง
"จงถวายนมัสการแด่ราชาองค์ใหม่
จงถือเอาความว่างเปล่าเป็นที่มั่นแล้วละทิ้งสิ้นทุกสิ่ง"
เสียงกล่าวนั้นเป็นเสียงคำรามดั่งสัตว์ร้าย
เสียงคำรามดังกึกก้องมาจากทุกทิศทาง นารายณ์ได้แต่หันเหสายตามองหาที่มาของเสียง
มองหาเจ้าของคำพูดนั่น
หากไม่ใช่สายตาแห่งเทพแล้วคงไม่อาจจะมองให้ก้าวข้ามความกว้างขวางอันไพศาลของสิ่งมีชีวิตที่ตอนนี้มหาเทพอย่างตนเป็นได้เพียงเห็บหมัดของมัน
“นี่มันอะไรกัน”
สิ่งที่ดำทะมึนโอบล้อมทุกสรรพสิ่งเอาไว้นั้นหาใช่มิติหรือจักรวาลแต่เป้นสิ่งที่เกือบจะทัดเทียมกันได้
มันเป็นสิ่งมีชีวิตเพรากำลังเคลื่อนไหวและศีรษะมีดวงตามีใบหน้าและปากยาวเรียวราวกับจงอยปากนก
มีเขางอกจากหัวดั่งกวาง
มังกรที่มีขนาดตัวพอจะยัดใส่อวกาศได้อาจจะนิยามมันได้ดีที่สุดก็ว่าได้
ตอนนั้นเองเสียงคำรามนั่นก็ดังกระหึ่มมาอีก
“หึๆๆ โทษทีนะแต่ว่าอยู่ในสภาพนี้แล้วข้าก็ควบคุมตัวเองไม่ได้มากนักหรอกแต่จะบอกให้ว่าสถานที่ที่เจ้าอยู่ในตอนนี้คือพื้นที่หนึ่งบนตัวของดาราจุติมังกรวิวรณ์ระบาด”
จากลักษณะของวิธีพูดแล้วนั่นน่าจะเป็นตัวราหูเอง
มันกลายเป็นสัตว์ร้ายที่น่าเกรงขามเช่นนี้ไปแล้วรึ
“นามนั้นก็คือ
สตาร์วาตาร์เรเวลเลชั่นเอาท์เบรกดราก้อนชือเหวิน (Star-Vatar Revelation Outbreak Dragon Chiwen)”
วิศนุเทพทอดสายตามองความยิ่งใหญ่ของมันแต่ก็หาได้เกรงกลัวไม่
ต่อให้จะยิ่งใหญ่สักเพียงใดหากธรรมะได้ตวัดลงบนตัวมันทุกอย่างก็จะพินาศและถูกชำระล้าง
มหาเทพมั่นใจเช่นนั้นแล้วเริ่มกวัดแกว่งธรรมะอีกครั้ง
กวัดแกว่งความถูกต้องเพื่อให้สัตยายุคมาถึง
เมื่อดาบฟาดไปในทางใดที่ตรงนั้นก็จะถูกผ่าจนขาดออกจากกันแต่เบื้องหลังของความว่างเปล่าที่ถูกผ่าออกก็มีแต่ความว่างอันใหม่ที่ลอยขึ้นแทนที่แล้วรอยแผลแห่งมิติที่ทำไว้ก็สูญเปล่า
ยิ่งกวัดแกว่งดาบไปเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกสูญเปล่ามากขึ้นไปเรื่อยๆ
แล้วก็ดังขึ้นมาอีก
เสียงคำรามแห่งจุดจบ
เสีย่งป่าวประกาศว่าต่อหน้าความยิ่งใหญ่ของผู้รุกรานแล้ว
แม้แต่วันสิ้นสุด
แม้แต่เทพเจ้า
ก็ยังพินาศต่อได้ยิ่งกว่านั้น
“กายอันมหาศาลราวกับจักรวาลทั้งหมดอัดแน่นอยู่ภายในของมังกรตนนี้นั้นบรรจุนิมิตแห่งจุดจบเอาไว้มากมาย
ไตรเอกอัครมหาศาสดา
สี่มหาอัศวิน
เจ็ดอัครเทวทูต
สี่สิบหกผู้ลงทัณฑ์
เจ็ดสิบสองอัครมาร
ยังมีอีกมากมายที่แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่รู้รายละเอียดทั้งหมดรู้แค่ว่า
นิมิตหมายภายในกายของมังกรตนนี้ก็เป็นเหมือนความฝัน
เมื่อตื่นขึ้นทุกสรรพสิ่งก็จะคืนกลับสู่ความว่างเปล่า
ใช่แล้วล่ะนี่คือนิมิตแห่งจุดจบของเจ้า วิศนุเอ๋ย เจ้าเทพชราผู้เขลาขลาด”
เสียงนั้นบอกเล่าว่าความหวังและความสิ้นหวังจะกลืนกินแม้แต่จุดจบ
“นิมิตแห่งจุดจบ ศูนย์กลางแห่งความสับสน อเซธอท”
ความจริง
หรือ ภาพลวงตา
คำสัตย์
หรือ วัจนะอันปลิ้นปล้อน
“เดอะ
นิวเคลียเคออส”
วิศนุเทพไม่อาจตอบโต้ได้เลย
เมื่อความว่างเปล่าบีบรัดเข้ามาร่างกายก็ขยับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ความมืดดำบีบตัวเข้ามากลืนกินร่างของเทพเจ้าจนกระทั่งทุกอย่างเลือนหายไป
ทิวทัศน์ของเมืองจึงกลับคืนมาอีกครา
ราหูปรากฏขึ้นตรงจุดที่ความมืดบีบอัดเข้าไปรวมกันเป็นจุดสุดท้าย
ในเวลาต่อมาความมืดที่บีบอัดเป็นกลนกลมก็เปลี่ยนเป็นไพ่ที่มีรูปของนรินทร์อยู่บนนั้น
“ทีนี้เด็คของอิงศรก็เสร็จสมบูรณ์เสียที”
ราหูเก็บไพ่นั้นขึ้นมาแล้วเอาไปรวมกับไพ่ใบอื่นๆ
ไพ่ของมิกซ์ เน็กส์ นิว
แล้วเดี๋ยวก็จะมีของคนอื่นๆ
จากเขตแดนอื่นมาร่วมด้วยอีก
“เกมสุดท้ายสำหรับเจ้ากับข้าให้เป็นไมสเตอร์ดูเอลเพื่อให้เข้ากับบทสรุปของการทดลองค้นคว้าอันแสนยาวนานนี่ก็แล้วกัน”
****อาทิตย์นี้ไรท์ทำงาน OT ข้ามวันไม่หลับไม่นอนไปคืนหนึ่งเลยน็อกเลยฮะเพิ่งฟื้นจากไข้หวัดด้วยเลยรีบปั่นทดแทนส่วนที่ไม่ได้ลงไปด้วยเลย
แต่ทำรูปประกอบไม่ทัน แง(ร้องไห้) ว่าจะทำร่างนรินทร์นารายณ์ ที่เป็นนรินทร์ผมยาวในร่างไฮพีเรี่ยนซะหน่อยแต่ไม่มีเวลาเบย
TwT อ้อ
เรื่องที่เคยถามว่ารูปการ์ดอาคานาร์ของพวกอิงศรไรท์ทำเองรึเปล่านั่น
ไรท์ตอบในคอมเมนท์ไปแล้วแต่สงสัยจะไม่ทันได้อ่านกันเลยเอามาตอบตรงนี้อีกทีเลยก็แล้วกันว่าไรท์ทำขึ้นมาฮะ
โดย Reference มาจากไพ่อาคานาร์ของเกมซีรี่ย์Persona และ Pactio การ์ดของมังงะเรื่องเนกิมะ(เก่าไปหน่อยตั้งแต่ไรท์ยังอยู่
ม.ต้นเลย)
เอาล่ะเลิกเฟลดีกว่าอาทิตย์หน้าเข้าโค้งสุดท้ายจะได้เจอราหูซักทีสงสัยสิ้นปีนี้ต้องเอาเวลามาปั่นให้จบซะแล้วมั้งเนี่ยไม่งั้นข้ามปีแน่
โอเมก้า อย่างน้อยก็กะว่าจะเขียนตอนส่งท้ายจบช่วงวันเด็กล่ะมั้งนะ (ถ้าปั่นทัน)****
ความคิดเห็น