คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #282 : Extra Log 278: Project Apocalypse Online 2
Extra Log 278: Project Apocalypse Online 2
แอสคลีพิอุส
(AsclePius) นายแพทย์ผู้ที่เกือบจะทำให้มนุษย์เป็นอมตะ
และเพราะการเลือกทางเดินเช่นนั้นพระเจ้าจึงสังหารเขา
ออร์ฟีอุส
(Orpheus) นักดนตรีผู้พยายามจะช่วยชีวิตภรรยาที่ตายไปแล้วจนถึงกับดั้นด้นไปถึงยมโลก
เขาได้วิญญาณของภรรยาคืนมาและเกือบจะทำสำเร็จ
แต่เพราะเลือกทางเดินผิดเขาหันกลับไปมองภรรยาตอนที่จะออกจากปากทางเข้ายมโลกนั่นทำให้เขาผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าแห่งนรกนำไปสู่ความล้มเหลวในการช่วยภรรยาอันเป็นที่รัก
ไม่ว่าเมื่อไหร่มนุษย์ก็ต้องไปสู่ความตาย
แม้จะต่อต้าน
ขัดขืนขนาดไหนก็หนีไม่พ้นความตาย
มนุษย์ทุกคนเลือกทางเดินแล้วก้าวต่อไปข้างหน้า
ไปสู่ความตายที่ปลายทาง
อดัมเองก็เป็นมนุษย์ดังนั้นจึงไม่อาจหลีกพ้นการเลือกทางเดินไปสู่ความตาย
ดังนั้นผมถึงไม่เคยช่วยอดัมได้เลย
“ผู้เดินบนเส้นทางแห่งการกอบกู้ทุกสรรพสิ่ง
เมไซอานิกมาสเตอร์ซูลวานลอร์ด”
ออร์ฟี่ในรูปลักษณ์ที่ก้าวข้ามกฎแห่ง
กาล-อวกาศ
เสื้อวอร์มสีแดงที่ใส่อยู่เสมอถูกเปลี่ยนเป็นชุดแบบขุนนางยุโรป
ผ้าคลุมสีขาวผืนเดิม
ไม้เท้ามีงูทองคำสองตัวพันทับหันหน้าเข้าหากันงูเหล่านั้นมีปีก
ราวกับสัญลักษณ์
‘แอสคลีพิอุส’
ราวกับ
‘คาดูเซียส’ (Caduceus) ไม้เท้าแห่งเทพเฮอร์เมส
ไม่ว่าจะคล้ายคลึงหรือเหมือนกับตำนานเหล่านั้นเพียงใด
ไม้เท้านี้ซึ่งเปลี่ยนมาจากหอกแห่งเมสสิยาห์ ‘ลองกินุส’
นั้นไม่ได้สื่อถึงเรื่องราวพวกนั้นแม้แต่น้อย
ไม้เท้านี้...ซูลวานลอร์ด
คือนามแห่งอาวุธไฮพีเรี่ยนซึ่งสะท้อนตัวตนแห่งความเป็นไปได้ของออร์ฟี่
ออร์ฟี่ที่ปรารถนาจะกอบกู้ทุกสรรพสิ่งและกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเทพผู้สรรสร้าง
ถึงจะดูเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงแค่ภายนอกก็ตาม
แต่มันไม่ใช่แค่นั้น
‘ไฮพีเรี่ยน’
ร่างกายพิเศษนี้ให้ความรู้สึกราวกับการปฏิวัติ
สัมผัสได้ถึงการต่อต้านจากมิติที่พยายามปฏิเสธการคงอยู่ของร่างที่ก้าวข้ามกฏแห่ง
กาล-อวกาศ นี้
หากมีพลังไม่เพียงพอร่างนี้ก็จะกลับคืนสู่สภาพก่อนหน้าหรือก็คือมันมีระยะเวลาในการใช้งานจำกัดอยู่…
ดูเหมือนมันจะเริ่มขึ้นแล้วด้วย
“อะไร!?”
“พวกเรากำลังจะตกลงไป”
อิงศรกับนรินทร์กำลังตกลงไปอย่างเชื่องช้า
น่าจะมาจากเวลาในการไฮพีเรียลไลซ์ถึงขีดจำกัด
พวกเขากำลังจะสูญเสียความสามารถในการบินที่ได้จากร่างไฮพีเรี่ยน
การร่วงหล่นเริ่มเร็วขึ้น
ร่างกายพิเศษก็สลายหายไปแล้ว
“จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ออร์ฟี่ตะโกนแล้วพุ่งตัวไล่ตามไปสุดกำลัง
แต่อิงศรก็ตะโกนกลับมาว่า
“ไปช่วยคนอื่นก่อนฉันบินเองได้”
แล้วยกคันธนูที่เพิ่งเปลี่ยนสภาพคืนจากหน้าไม้ขึ้น
“สเลปเนียร์”
อิงศรบังคับให้เดม่อนแอพทำงาน
เด็กหนุ่มพลิกตัวกลางอากาศแล้วรับนรินทร์เอาไว้
ถ้าอย่างนั้นคนอื่นที่อิงศรให้ไปช่วยก็คือ…
มิ่งขวัญกับกวินทร์
“เหวอออ!!!”
“จะตกแล้วค้าบบบ!!”
ออร์ฟี่หันหลังกลับไปตามเสียงนั่น
ทั้งสองคนนั้นสูญเสียร่างไฮพีเรี่ยนและกำลังร่วงหล่นจากท้องฟ้า
แต่ก็ถูกช่วยเอาไว้ก่อนที่เขาจะเข้าไป
ถูกช่วยโดยปีศาจจากมหาโชคชะตาของพวกเขาเอง
เฮลเลลกับแจ๊ค
รับตัวมิ่งขวัญกับกวินทร์ได้ทันและพาไปส่งที่พื้นอย่างปลอดภัย
นั่นถือเป็นเรื่องแปลก...
ทั้งที่มันควรจะเป็นเรื่องธรรมดาถ้าไม่ใช่ว่าเพราะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
สถานการณ์ที่อาคานาร์รูปแบบ
22 ใบก่อการปฏิวัติต่อพวกเขาภายใต้นามของซูลวาน
ถ้าดูจากกรณีของเมอร์คาบาห์ของอิงศรแล้วล่ะก็ปีศาจพวกนั้นก็น่าจะเป็นศัตรู
แล้วที่มิ่งขวัญกับกวินทร์บินขึ้นมาก็น่าจะตั้งใจสู้กับสองตนที่ว่านั่น
“นี่ก็อาจจะเป็นการคืนชีพแบบหนึ่งก็ได้”
เสียงของเมอร์คาบาห์ดังมาจากด้านหลัง
“…”
ออร์ฟี่หันกลับไป
เทวทูตไม่มีทีท่าว่าจะโจมตีหรือต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงยังไม่โจมตี แต่ก็ไม่ได้ลดไม้เท้าลง
ออร์ฟี่หันหัวไม้เท้าไปยังเทวทูตแล้วถามคำถาม
“นี่มันหมายความว่ายังไง”
เมอร์คาบาห์พูด
“ถึงจะไม่ได้อยู่ในรูปลักษณ์เดิมแต่นั่นก็เป็นซูลวาน”
แล้วชี้มาที่ไม้เท้า
คงกำลังหมายถึงซูลวานลอร์ด
เมอร์คาบาห์ย้ายมือที่ชี้มายังไม้เท้าขึ้นไปด้านบน
”แอดมินิสเทรเตอร์เอ๋ยจนถึงตอนนี้ซูลวานก็ยังหลับไหลอยู่
ดังนั้นฉันจะเป็นผู้บอกความจริงให้เอง”
นั่นหมายถึงเมอร์คาบาห์ตั้งใจจะพูดแทนซูลวานตัวจริงที่ตอนนี้กลายเป็นเหมือนดวงตะวันลอยอยู่บนท้องฟ้าเกือบติดกับเพดานที่เป็นทะเลแห่งข้อมูล
ตอนนั้นเอง
อิงศรที่เพิ่งจะลงพื้นไปก็ตะโกนขึ้นมา
“หมายความว่าจะเลิกสู้แล้วอย่างนั้นเหรอ”
เมอร์คาบาห์ก้มหน้าลงมองอิงศร
“การทดสอบจบลงเท่านี้”
“การทดสอบ...”
อิงศรทวนคำพูดนั้น
จะว่าไปแล้วก่อนที่เมอร์คาบาห์จะเริ่มก่อปฏิวัติ
ก่อนที่จะเริ่มพิธีกรรมคืนชีพซูลวานก็พูดเอาไว้ว่านี่คือการทดสอบ
“งั้นการทดสอบนี่พวกฉันก็เป็นฝ่ายชนะสินะเพราะว่าซูลวานคืนชีพไม่ได้แล้ว”
“ซูลวานคืนชีพขึ้นมาแล้ว”
“ว่าไงนะ”
เมอร์คาบาห์เบนสายตาไปที่ออร์ฟี่
“อย่าบอกนะว่า”
อิงศรมองตามไป
ไม่อยากจะเชื่อเลย
จะบอกว่าออร์ฟี่ตอนนี้คือซูลวาน...มันสายเกินไป
เขาช่วยออร์ฟี่ช้าเกินไป...
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกอิงศร”
ออร์ฟี่พูดขัดความคิดมา
หมอนั่นคงจะอ่านใจเขาไปและรับรู้ถึงความกังวลที่ผุดขึ้นมานั่น
“ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนักหรอกนะ
แต่คิดว่าความตั้งใจของต้นไม้แห่งชีวิต ไม่สิ
นี่น่ะเป็นความตั้งใจของซูลวานตั้งแต่แรก เป็นบททดสอบที่จงใจจะมอบพลังให้ต่อกรกับราหูมาตั้งแต่แรก”
ออร์ฟี่เงยหน้ามองเมอร์คาบาห์
“ซูลวานผมมีคำถามที่คิดว่าคุณน่าจะตอบผมได้ช่วยตอบมาหน่อยจะได้ไหม”
“…..”
“งั้นก็ไม่เกรงใจแล้วนะ”
ดังนั้นออร์ฟี่จึงถามทั้งหมดในทีเดียว
“เมื่อครั้งที่ผมต่อต้านโซลาริสทำไมเขาถึงพยายามไว้ชีวิตผมมันเกี่ยวกับที่คุณบอกผมว่าเหล่าแอดมินิสเทรเตอร์รุ่นก่อนก็ร่วมทางใน
‘บท’ อะไรนั่นด้วยใช่ไหม นี่มันเกี่ยวกับพิธีกรรมคืนชีพด้วยงั้นสิ
แล้วการคืนชีพอะไรนั่นก็คือแบบนี้สินะตัวผมที่ไฮพีเรียลไลซ์แล้วกลายเป็นซูลวานลอร์ดนี่น่ะ”
เมอร์คาบาห์พูด
“ในอดีตก่อนที่จะแยกออกจากกันเธอคือแอดมินิสเทรเตอร์มาตั้งแต่แรกคอยปกป้องซูลวาน
ด้วยความสัมพันธ์นั่นทำให้เธอได้พบกับเศษเสี้ยวของซูลวานที่แตกกระจัดกระจายไป”
คำพูดนั่นบ่งชี้ถึงอิงศรอย่างชัดเจน
ตั้งใจจะบอกว่าการพบกันกับอิงศรและเหล่าผู้ถูกฟันเฟืองเลือกคนอื่นๆ ...
ไม่สิต้องบอกว่าที่ฟันเฟืองไปหาอิงศรกับพวกพ้องเหล่านั้นก็คือการชักนำของซูลวานอย่างนั้นสินะ
“จากเหตุการณ์ในคราวนั้นดูเหมือนเธอจะสูญเสียความทรงจำในส่วนนั้นไป
ทั้งโซลาริสกับลูนาริสต่างก็เป็นสิ่งที่ซูลวานสร้างเมื่อแยกออกจากกัน
เพื่อให้คอยดูแลเธอ เพื่อที่ซักวันหนึ่งทุกสิ่งจะกลับมาถูกต้องอีกครั้ง”
คำพูดนี้ตอบคำถามสองข้อจากทั้งสามข้อที่เขาถามไป
ตอบว่าทำไมโซลาริสถึงพยายามไว้ชีวิตเขา
แล้วก็เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมคืนชีพซึ่งมีเขาเป็นส่วนร่วม
แต่ยังไม่ได้ตอบคำถามสุดท้าย
“ถ้าอย่างนั้นผมที่กลายเป็นซูลวานลอร์ดก็คือซูลวานที่คืนชีพแล้วอย่างนั้นสิ”
“ก็ไม่ได้คาดคิดเอาไว้ว่ามันจะออกมาในลักษณะไหน”
คำตอบของเมอร์คาบาห์ค่อนข้างต่างจากที่คิดเอาไว้
“นี่จะบอกว่าซูลวานไม่ได้รู้อยู่ก่อนแล้วหรอกเรอะ”
อิงศรพูดแทรกขึ้นมา
เมอร์คาบาห์จึงตอบไปว่า
“เรื่องนั้นเธอเองก็เป็นซูลวานไม่ใช่รึน่าจะรู้คำตอบสินะ”
“อึก”
ดูเหมือนอิงศรจะถูกยอกย้อนแบบที่โต้กลับไม่ได้
แต่ถ้าพูดแบบนี้มาก็แสดงว่าฝ่ายนั้นยอมรับว่าไม่รู้จริงๆ นั่นแหละ
อิงศรพูด
“ถ้าจะบอกว่าฉันคือซูลวานล่ะงั้นนายล่ะเมอร์คาบาห์
นายเป็นใครกันแน่”
”ก็คือเธอ”
“หมายถึงเป็นซูลวานเหมือนกันน่ะเหรอ”
แต่เมอร์คาบาห์ส่ายหน้าปฏิเสธ
“อาคานาร์ต่างหาก
เพราะอัตตาตัวตนที่เกิดขึ้นจากการเป็นอิงศรทำให้ส่วนที่เป็นซูลวานตกผลึกออกมาเป็นฉัน”
“แต่นายบอกเองนะว่าอาคานาร์เป็นสิ่งที่ราหูให้ฉันมาแล้วทำไมพลังของศัตรูถึงทำให้นายเกิดขึ้นมาโดยที่นับถือข้างซูลวานกันล่ะ”
“…”
“เฮ้ย!”
แม้จะส่งเสียงตวาดออกไปเมอร์คาบาห์ก็ยังคงนิ่งเฉย
พอนานเข้าเจ้าตัวก็เปลี่ยนเรื่องพูดดสียอย่างนั้น
”จากนี้ไปซูลวานจะบอกความจริงให้ฟังความจริงที่พวกเธอน่าจะอยากรู้กันมากที่สุด”
ได้ฟังแบนั้นเข้า
อิงศรก็เริ่มคิดอย่างกลัดกลุ้ม
คิดว่าความจริงที่จะบอกหลังจากผ่านการทดสอบนั้นต้องเป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสไม่น้อย
เหมือนกับที่ออร์ฟี่สมัยยังเป็นซีลอร์ดบอกเรื่องตัวตนของแอดมินิสเทรเตอร์กับเขาเป็นครั้งแรก
ในตอนนั้นคือหลังจากที่รู้ถึงการมีอยู่ของเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์
นั่นเป็นเหมือนการทดสอบแบบหนึ่งก็ว่าได้การทดสอบที่รอให้เขามีประสบการณ์ก่อนไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีทางเชื่อเรื่องที่จะพูดต่อจากนั้น
ต่อมาก็เป็นตอนที่มอบบททดสอบในการต่อสู้
หากเขาไม่แสดงว่าสามารถเอาชนะเครื่องทำสวน
เอาชนะซีลอร์ดได้ ก็จะไม่สามารถก้าวข้ามกำแพงที่ขวางทางไปได้
การทดสอบนั้นเป็นการสอนหลักการตัดสินของพระเจ้าก็ว่าได้
เขาได้รับบทเรียนว่าพระเจ้าจะไม่ฟังคำทัดทานของผู้ที่อ่อนแอ
เพราะคำพูดเหล่านั้นจะเป็นเพียงเรื่องเพ้อเจ้อ
แล้วในตอนนี้…
บททดสอบที่ได้รับจากซูลวาน
บททดสอบนี้คงเหมือนกัน
เป็นการประเมินความสามารถของพวกเขาว่าจะยอมรับความจริงที่จะบอกต่อจากไปนี้ได้หรือเปล่า
เท่ากับว่าความจริงที่ซูลวานจะบอกต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
แล้วก็คงเป็นความจริงที่หนักหนาสาหัสเอามากๆ
บางทีอาจจะเป็นเรื่องที่พวกเขากำลังกังวลกันอยู่
เมอร์คาบาห์ดำเนินคำพูดถัดไปออกมา
“ตัวจริงของโลกใบนี้และโลกคู่ขนานทั้งหมด”
นั่นปะไร
ความจริงที่ว่าเป็นเรื่องเดียวกับที่พวกเขากังวลกันอยู่จริงๆ
“ซูลวานจะฉายความจริงให้กับพวกเธอมันคงทำให้รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย”
พอเมอร์คาบาห์พูดมาแบบนั้น
“อึก…นี่มัน”
ภายในหัวก็เหมือนมีเสียง
วิ้ง ดังขึ้นมารู้สึกมึนหัวเล็กน้อย
อิงศรกุมขมับตัวเองด้วยมือทั้งสองข้าง
คนอื่นรอบตัวก็มีอาการเหมือนๆ
กันดูเหมือนว่าทุกคนจะโดนแบบเดียวกันกับที่เขาโดนไปด้วย
“…”
ภายในหัวเริ่มจะมีภาพของอะไรบางอย่างปรากฏขึ้นมา
ห้องโถงกว้างที่เพดานสูงเทียมฟ้าเทียมเมฆ
ห้องอยู่ในสภาพรกร้างไม่ได้ถูกใช้งานมานานมากแล้ว
ภายในห้องมีเครื่องจักรรูปทรงเป็นกล่องสี่เหลี่ยมสีดำคล้ายกับตู้ล็อกเกอร์จำนวนหลายตู้วางเรียงกันเป็นทิวแถว
ห้องโถงเต็มไปด้วยตู้พวกนี้และไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
ตู้เหล่านี้คล้ายกับเครื่องเซิฟเวอร์ เครื่องมือเก็บข้อมูลและประมวลผลระบบขนาดใหญ่
สภาพของห้องเองก็ชวนให้นีกถึงห้องเซิฟเวอร์ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่จะคิดแบบนั้น
“…”
ไม่สิ
ถึงจะมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีมากขนาดไหนก็ไม่น่าจะเดาสุ่มจากลักษณะภายนอกที่ไม่คุ้นตาของเครื่องจักรพวกนี้เป็นตุเป็นตะไปได้ขนาดนั้น
ถ้าอย่างนั้นแล้วความรู้ความชำนาญที่สามารถตีความได้ว่านี่คือห้องเซิฟเวอร์ก็เป็นสิ่งที่ถูกยัดเยียดเข้ามา
คนที่ทำแบบนั้นน่าจะเป็นซูลวานที่พยายามแสดงนิมิตนี้ให้พวกเขาเห็น
วิธีการเองก็คล้ายกับความทรงจำที่ผุดขึ้นมาเป็นตัวอักษรด้วย
บางทีซูลวานอาจจะเป็นตัวต้นเหตุที่รับผิดชอบต่อเรื่องทั้งหมดนี้
แล้วก็…
ในตอนนั้นเอง
ที่
‘ความทรงจำตัวอักษร’ ความทรงจำซึ่งไม่มีเค้าที่มาและไม่มีความรู้สึกที่เกี่ยวข้อง
ก็ถูกสลักลงภายในสมอง
“…”
ราวกับความทรงจำที่ถูกปิดผนึกมายาวนานถูกสะเดาะกลอนออก
อิงศรตระหนักถึงความจริงของนิมิตนี้
ซูลวานพยายามทำให้เข้าใจ
เข้าใจว่าห้องเซิฟเวอร์ที่ถูกทิ้งร้างพวกนั้น…
เมอร์คาบาห์พูดขัดจังหวะมาว่า
“โปรเจค
อโพคาลิปส์ออนไลน์ (Apocalypse Online)
นั่นคือตัวตนที่แท้จริงของโลกใบนี้
คือข้อมูลบนเซิฟเวอร์ที่ยังออนไลน์อยู่ที่ไหนซักแห่ง
ซูลวานก็คือชื่อของระบบควบคุมเซิฟเวอร์นั่น”
“ว่าไงนะ”
อิงศรพูดสบถ
…และแล้ว
ก็เริ่มจะเข้าใจขึ้นมาเอง
เข้าใจและหวาดกลัวขึ้นมาพร้อมๆกัน
โลกทั้งใบ
โลกคู่ขนานทั้งหมด
ความเป็นไปได้ทั้งหมด
บรรจุอยู่ภายในเซิฟเวอร์พวกนั้น…
อิงศรตวาด
“จะบอกว่าพวกเราเป็นแค่ข้อมูลอย่างนั้นเรอะใครมันจะไปเชื่อ”
เมอร์คาบาห์ถามกลับมาทันที
“งั้นเธอก็จะปฏิเสธสิ่งที่เห็น?”
“อึก”
อิงศรปฏิเสธไม่ได้
ปฏิเสธไม่ได้
ปฏิเสธไม่ได้
ถึงแม้ว่ามันจะเหลือเชื่อจนอยากปฏิเสธขนาดไหนก็ตาม
ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็เพราะว่าเข้าใจเป็นอย่างดี
ในตอนที่
‘ความทรงจำตัวอักษร’ ผุดขึ้นมา ร่างกายก็เข้าใจได้เองว่าบางอย่างในตัวเองถูกปลดล็อกออก
มันไม่ใช่ทั้งการยัดเยียดหรือแทรกซึมเข้ามา
ตัวของเขารู้อยู่แต่แรกแล้วว่าความจริงเป็นอย่างไรแต่ถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจบางอย่างที่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ
…แล้วมูลเหตุความจริงมันก็มีอยู่
ก่อนหน้านี้พวกเขาสันนิษฐานกันเรื่องตัวตนที่แท้จริงของโลกที่พวกเขาอยู่กันนั้นไม่มีอดีตที่ผ่านมา
โลกที่แท้จริงคือส่วนที่นับจากสี่ปีก่อนซึ่งเกิดการล่มสลาย
“…”
แต่ก็ยังมีส่วนที่ขัดแย้งกันอีกมากอย่างความทรงจำในอดีตที่เก่ากว่านั้นไม่ได้เป็น
‘ความทรงจำตัวอักษร’
เขาจดจำภาพกับความอบอุ่นในความทรงจำที่มีร่วมกับมิ่งขวัญในวัยเด็ก
นั่นไม่ใช่เรื่องโกหก
ไม่ใช่ภาพลวงตา
ไม่มีทางเป็นเรื่องไม่จริง
“…”
แต่ราหูก็ยังเคยพูดเอาไว้
‘พวกเจ้าอยู่ในภาพลวงตา
ไม่สิโลกทั้งหมดก็เป็นแค่ภาพลวงตา ความจริงในเรื่องโกหก เรื่องโกหกกลายเป็นจริง
ก็เหมือนดั่งหมอกพวกนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นความจริงเลยซักอย่างเดียว’
คำพูดที่ว่านั่นมันหมายความแบบนี้เอง
พอนึกถึงคำพูดนั้นขึ้นมา
อิงศรก็รู้สึกว่าหัวใจของตนกำลังจะยอมรับมัน
ยอมรับในความจริงข้อนี้
ยอมรับว่าโลกใบนี้เป็นเพียงข้อมูล…
จะยอมรับไม่ได้!!!
“บัดซบเอ้ย!”
อิงศรสบถ
ถ้ายอมรับแล้วลาะก็
ถ้าอย่างนั้นความตั้งใจขอวพวกเขาล่ะ
ความตั้งใจในการเดินต่อไปข้างหน้าของข้อมูลอย่างพวกเขาล่ะมันคืออะไรกันแน่
คือสมการของตัวเลขที่ซับซ้อน
ที่เพียงแค่หมุนวนอยู่ในความจำของเครื่องจักรเองอย่างนั้นเหรอ
ถึงจะเพียงเล็กน้อย
แต่อิงศรก็คาดหวังอย่างน้อยนิดมาตั้งแต่แรก
ตั้งแต่ตอนที่เริ่มคิดว่าโลกใบนี้จริงๆ
แล้วอาจจะถูกสร้างขึ้นโดยราหู
แต่ก็ยังคาดหวังว่ามันจะไม่ใช่อะไรเข้าใจได้ง่ายขนาดนี้
อย่างน้อยที่สุดขอให้มันเป็นการสร้างขึ้นมาบนพื้นฐานของ
‘สิ่งที่เป็นจริง’ ขอเพียงแค่นั้นก็ยังดี
ทว่าโลกใบนี้กลับถูกสร้างขึ้นมาด้วยพื้นฐานอันเรียบง่าย
พื้นฐานที่เข้าใจได้ง่ายเกินไป
อย่าง ‘เป็นข้อมูลในระบบ’ เพียงเข้าใจขึ้นมาความสิ้นหวังก็พองตัว
ความสิ้นหวังขยายตัวจนแทบจะเบิดออกมา
อืงศรเริ่มสังเกตท่าทีของพวกพ้อง
ไม่มีใครที่แววตาจะไร้ซึ่งความสับสนและความสิ้นหวังเลย
ไม่เว้นแม้เแต่แฟรนเซียม
หมอนั่นกำลังแสดงให้ดูออกแบบง่ายๆ เลยว่ากำลังสับสนและต้องการจุดยืนที่แน่นอน
ทุกคนก็เหมือนกันหมด
พอได้รู้ความจริงอันหนักหน่วงนี้ก็แทบจะสูญสิ้นความหวังทั้งหมดไป
มีแต่คำถามผุดขึ้นมา
‘พวกตนสู้ไปเพื่ออะไร’
มีแต่คำถามแบบนั้นผุดขึ้นมาไม่หยุด
ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างตอนนี้ล่ะก็
ถ้าไม่รีบหาจุดยืนให้ทุกคนตอนนี้ล่ะก็…
อิงศรเงยหน้าขึ้นพูดกับทุกคนตรงนี้
“ทุกคน…เราจะเริ่มประชุมแผนครั้งสุดท้าย”
ด้วยใบหน้าเหมือนกับจะร้องไห้
@@@@@
บนดาดฟ้าของอาคารร้าง
สถานที่คือ
เมืองซึ่งถูกความว่างเปล่ากลืนเข้ามาอยู่ที่รากของอาคาชิกเรคคอร์ด
คือแหล่งกบดานของมหาเทพราหู
“โธ่เว้ย!”
เด็กหนุ่มชกใส่รั้วตาข่ายที่สูงกว่าสองเมตรครึ่งซึ่งล้อมกั้นทั้งดาดฟ้านี้ไว้
เส้นผมผมสั้นสีทอง
ชุดอวกาศรัดรูปสีดำอันเป็นเครื่องแบบของผู้รุกราน
เวิร์สแอกเกรซเซอร์เอดีเอเอ็มสตอรี่เบรกเกอร์ ได้รับคำสั่งจากราหูให้รอจนกว่าจะถึงเวลาที่จะบุกครั้งต่อไป
“นี่มันอะไรกัน
แกเป็นใครกันแน่”
แต่หัวใจของเด็กหนุ่มยังคงสับสนจากการไปทำภารกิจครั้งที่ผ่านมา
สับสนและสงสัยต่ออัตตาตัวตนของตัวเอง
ตนเองเป็นใครกันแน่
สปายของเทิร์นบริงเกอร์
ผู้รุกรานที่ไร้ความปราณี
ไม่สิ
ตัวตนอีกหนึ่งที่อยู่ภายในกายนี้ซึ่งขัดขวางภารกิจคราวก่อนต่างหากที่กำลังกลุ้มใจไม่ใช่เขา
ไม่ใช่สตอรี่เบรกเกอร์
แต่เป็นอดัมที่เป็นเพื่อนกับออร์ฟี่
ในตอนนั้นเอง…
“ห๊ะ”
มีเค้าไอของใครบางคนปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง
สตอรี่เบรกเกอร์ดึงไพ่อาคานาร์ออกจากช่องเก็บที่แขนแล้วหันกลับไป
“รูบิเดียม”
ผู้มาเยือนคือราชครูสาวผู้ดำรงตำแหน่งลำดับที่สามแห่งวงศ์วานต่างดาว
แต่ทำไมหล่อนถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ
พวกศัตรูบุกกันมาแล้วอย่างนั้นรึ?
“อึก”
จู่ๆ
ก็รู้สึกมึนหัวขึ้นมา
”…แกเป็นใครกัน…ไม่สิ”
เด็กหนุ่มกุมขมับด้วยสีหน้าทรมาน
“นี่คือ
อีฟ ผู้นำสารแห่งซูลวาน”
รูบิเดียมพูดอย่างนั้น
ดวงตาของหล่อนไร้ซึ่งแววตาราวกับเป็นหุ่นเชิดที่ไม่มีสติ
“อีฟ…เหรอ”
สตอรี่เบรกเกอร์กล่าวอย่างยากลำบากเพราะลมหายใจถี่ขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ
”มันถึงเวลาแล้วจงแสดงคำตอบออกมา”
อีฟกล่าว
แล้วตรงหน้าเขาก็มีหน้าจอระบบเปิดตัวขึ้นมา
หน้าจอนั้นเป็นหน้าจอคำถาม
หากการแยกจากคือหนทางเดียวที่จะกอบกู้ทุกสิ่งเธอจะเลือกมันไหม
[ใช่]
[ไม่]
“นี่มันอะไร”
สตอรี่เบรกเกอร์จ้องเขม็งไปยังหุ่นเชิดหญิงสาว
“…”
แต่สติก็หลัดลอยออกไปในตอนนั้น
ดวงตาสีแดงของผู้รุกรานปิดลง
แล้วปรือขึ้นมาด้วยดวงตาสีดำอย่างมนุษย์
อีฟกล่าวว่า
“จงแสดงคำตอบต่อซูลวาน”
“…”
อดัมก้าวถอยหลังจนไปชนกับรั้วที่กั้นแล้วไหลครูดจนลงไปนั่งกองกับพื้น
เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปที่หน้าจอด้วยสีหน้าอ่อนแอ
พออ่านคำถามนั่นแล้วความทรงจำที่เคยมีร่วมกับออร์ฟี่ก็ผุดขึ้นมา
“…”
ราหูสร้างเขาขึ้นมาเพื่อให้แทรกแซงกระบวนการฟื้นคืนชีพของซูลวาน
ดังนั้นจึงพยายามเข้าหาออร์ฟี่ เพราะออร์ฟี่จะกลายเป็นแอดมินิสเทรเตอร์ในท้ายที่สุด
แต่แล้วตัวเขาที่เป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ก็ดันมีความรู้สึกขึ้นมาในระหว่างที่แทรกซึม
เกิดความสงสัยต่อชีวิตของตัวเอง
จนเลือกที่จะทำตามความรู้สึกที่เกิดขึ้น
อดัมพูด
“ผมอยากจะปกป้องพวกเขาทั้งหมด”
คำพูดนี้ออร์ฟี่คงจะจดจำมันได้ในฐานะคำพูดของอดัมผู้ที่อยากจะปกป้องลูกหลานมนุษยชาติของตน
แต่
‘อดัม’ คนนี้คือผู้รุกรานแล้วก็ไม่ได้เป็นบรรพบุรุษของมนุษยชาติ
เรื่องนี้มีเบื้องหลังอยู่อีกมากที่ออร์ฟี่ยังไม่รู้
”ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม”
เด็กหนุ่มกล่าวแล้วหยัดยืนขึ้นมา
เขาเดินเข้าไปใกล้หน้าจอแล้วอ่านคำถามบนหน้าจอนั้น
เนื้อหาที่แฝงอยู่ในคำถามนั้นสามารถเข้าใจได้ทันที
นี่เป็นคำถามตรงตัวของมันเองเลย
“เพื่อ ออร์ฟี่จะยอมตายได้ไหมสินะ”
อดัมหลับตาลงแล้วคิด...
ตนเองนั้นเป็นใคร?
[เพื่อนของออร์ฟี่]
[ผู้รุกราน]
อดัมเปิดดวงตาขึ้น
เมื่อตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่แล้วจึงเลือกหนทางด้วยหัวใจของตนเอง
เขาเลือกเป็น [เพื่อนกับออร์ฟี่] นิ้วจึงวางลงบนตัวเลือก [ใช่]
เกิดเสียงดัง ปิ๊บ
แล้วหน้าจอก็ดับหายไป
อีฟก็เช่นกัน
หล่อนคาบคำตอบของเขาไปบอกซูลวาน
ไม่สิ...
สำหรับเขาซึ่งเป็นผู้รุกรานนั้นจะเรียกตัวตนนั้นด้วยอีกชื่อหนึ่ง...
“ดูเหมือนจะคงสภาพจิตใจของอดัมไว้ได้จากการเลือกตัวเลือกนั้นสินะ”
มีเสียงดังมาจากทางซ้าย
ตามมาด้วยเสียบปรบมือดังเปาะแปะ
ชายผิวเข้มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
ชายผมหยิกยาวกับผ้ากันเปื้อนสีเขียว
‘ราหู’ นั่นเอง
ราหูพูด
“มีแต่เจ้าคนเดียวที่กดตัวเลือกนั้นนะทำไมล่ะอดัม
ไม่อยากจะไขว่คว้าความหวังเหรอ”
“…”
อดัมจ้องมองราหู
ตนคือผู้ที่ทรยศต่อนายผู้สร้างหรือว่าการทรยศนั่นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ
‘บท’ กันล่ะ
ราหูพูดต่อ
“ทางเดินเปิดออกแล้วอดัมจงเลือกหนทางต่อไป จงเลือกทรยศให้กับข้าผู้นี้...”
แต่อดัมกล่าวขัดคำพูดนั้น
“ยังจะเล่น ‘บท’ ซูลวานต่อไปอีกหรือครับ”
ด้วยดวงตาของผู้รุกรานที่กลับเรืองแสงสีแดงฉาน
ความคิดเห็น