คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #276 : Extra Log 272: The Origin Arcana
Extra
Log 272: The Origin Arcana
…ขณะเดียวกันที่อีกด้านหนึ่ง…
ดินแดนแห่งความตาย
ดูเหมือนสถานที่ในตอนนี้จะถูกเรียกว่าอย่างนั้น
แฟรนเซียมได้ยินชื่อนั้นจากเสียงของเครื่องทำสวนที่ทำการทดสอบตนก่อนหน้านี้
เสียงของแจนนูวาร์มมาร์บอกว่าเขาถูกส่งลงมายังดินแดนแห่งความตาย
สถานที่ที่รอบด้านมืดสนิท
ไร้ซึ่งท้องฟ้า
พื้นห้องที่เหยียดเท้าอยู่เป็นดินดานรวมถึงผนังกับเพดานก็เป็นหินทั้งหมด
สภาพแวดล้อมเหมือนกับอยู่ภายในถ้ำหรือไม่ก็อาจจะเป็นปล่องภูเขาไฟที่ไม่มีปล่อง
แฟรนเซียมทอดสายตามองข้ามพื้นที่ตัวเองเหยียบไปยังหลุมลึกตรงใจกลางห้อง
แสงแดงจากไฟร้อนระอุที่ลุกไหม้อยู่เบื้องล่างชวนให้คิดว่าที่นี่เป็นปล่องภูเขาไฟจริงๆ
นั่นแหละแต่ข้างล่างไม่ใช่หินหลอมเหลว มันเป็นคุ้งไฟขนาดใหญ่ที่ลุกโหมกระหน่ำอย่างพิสดารเพราะไม่มีแม้แต่เชื้อเพลิงหรือกระทั่งในที่ปิดเช่นนี้ก็ไม่น่าจะมีอากาศพอเลี้ยงไฟใหญ่ขนาดนั้นได้
รวมถึงไม่มีควันไฟลอยขึ้นมา
แต่ถึงอย่างนั้นอากาศภายในนี้ก็ยังร้อนอบอ้าวและหายใจได้ลำบากอยู่ดี
‘สรุปแล้วพวกเราถูกส่งมาที่ไหนกันแน่’
เสียงของเมษาดังขึ้น
มันเป็นเสียงจากหน้าจอสื่อสารที่แฟรนเซียมเปิดเอาไว้
ตั้งแต่มาถึงที่นี่พวกพ้องของอิงศรก็สื่อสารกันตลอดรวมถึงตัวเขาที่ได้รับอนุญาตให้เข้าใช้กลุ่มสื่อสารเดียวกับเจ้าพวกนั้นหลังจากได้รับความไว้วางใจในระดับหนึ่งแล้ว
ตอนนี้จึงได้รู้สถานการณ์หลายๆ ด้านที่คนอื่นกำลังเผชิญกันอยู่
จากบทสนทนาที่ฟังมาทุกคนอยู่ในสถานที่เหมือนถ้ำและอากาศร้อนระอุเหมือนๆ
กัน แต่ลักษณะแวดล้อมของสถานที่จะต่างกันไป
แล้วก็มีบางคนที่เผชิญหน้ากับฝูงสัตว์เทวะอยู่ด้วย
เจ้าพวกที่ว่านั่นกำลังอยู่ระหว่างหลบหนีเลยไม่มีเสียงขานตอบกลับมาแต่ยังมีเสียงแวดล้อมอื่น
ดังแทรกเข้ามาอยู่เรื่อยๆ
ทั้งเสียงร้องของสัตว์เทวะ
เสียงอากาศวูบไหว
เสียงต่อสู้
เสียงระเบิด
เสียงร่ายสกิล
ทั้งหมดผสมปนเปกันจนแทบจับใจความไม่ได้ว่ากำลังเจอกับสัตว์เทวะแบบไหน
ที่รู้เพียงอย่างเดียวคือทุกคนอยู่ในที่แบบเดียวกันแต่โดนจับแยกกันอยู่คนละที่
หรือ ไม่ก็อาจจะเป็นมิติที่ดูคล้ายกันแต่อยู่กันคนละมิติ
เพราะถึงจะใช้ระบบของเกมโลกาวินาศสื่อสารกันได้ตามปกติแต่กลับตรวจสอบที่อยู่ไม่ได้
สาเหตุที่คิดเป็นแบบนั้นมีได้สองอย่างคือ
ไม่ได้อยู่ในสถานที่ใกล้เคียงกัน หรือ ไม่ก็ถูกดักสัญญาณไม่ให้ตรวจพบกันเองได้
ตอนนั้นเองเสียงของมีนาก็ดังขึ้น
‘จะว่าไปทุกคนเลือกคำตอบไปกันรึยังคะ’
สิ่งที่มีนาพูดถึงก็คือหน้าจอระบบอีกอันที่ลอยอยู่ข้างๆ
หน้าจอสื่อสาร ดูเหมือนว่านอกจากเขาแล้วคนอื่นๆ
ก็ได้หน้าจอที่ไม่รู้ที่มานี่เหมือนๆ กัน
หากการแยกจากคือหนทางเดียวที่จะกอบกู้ทุกสิ่งเธอจะเลือกมันไหม
[ใช่]
[ไม่]
คำถามไม่รู้ที่มา
คำถามที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ด้วยตัวของมันเอง
มันคงเป็นคำถามที่ไร้สาระถ้าไม่ใช่ว่ามันถูกถามเอาในเวลาแบบนี้
แฟรนเซียมอ่านคำถามอย่างพินิจพิเคราะห์และเข้าใจจุดประสงค์ของคำถามแล้ว
แต่ก็ยังรอที่จะฟังความคิดเห็นจากคนอื่นอยู่
ไม่ใช่ว่ายอมรับในตัวพวกเศษเดนที่อิงศรรวบรวมมาแต่อย่างใด
เขาเพียงแค่นึกสนุกอยากพิสูจน์ดูว่าเจ้าพวกที่เกาะติดอิงศรเป็นปรสิตพวกนี้จะมีปัญญาทำอะไรกันเองในเวลาที่อิงศรมช่วยพวกมันไม่ได้อยู่บ้างหรือเปล่า
แฟรนเซียมมองหาผนังที่ดูปลอดภัยแล้วเอนหลังพิงมัน
ผนังถ้ำเย็นเฉียบต่างกับอุณหภูมิโดยรอบอย่างสิ้นเชิง
แฟรนเซียมปล่อยให้ความเย็นจากผนังถ้ำปรนนิบัติตัวเอง
ระหว่างนั้นความเห็นของมีนาก็ยังดำเนินต่อ
‘คำถามนี่น่าจะเกี่ยวกับการทดสอบเต็มๆ
เลยนะคะ’
หล่อนสันนิษฐานได้ถูก
แต่ยังไปไม่ถึงข้อเท็จจริงของคำถามนี้
ต่อมานรินทร์ก็พูดแสดงความคิดเห็น
‘แต่ว่าถึงจะรู้ว่าเกี่ยวกับการทดสอบก็เถอะแล้วเราควรจะเลือกตัวเลือกไหนดีล่ะ’
ทันใดนั้นเสียงของกวินทร์ก็ดังขึ้นโดยที่มีเสียงร้องของสัตว์เทวะดังลอดเข้ามาด้วย
‘บางทีพวกเราควรเลือกเหมือนๆ กันไว้นะครับมันอาจจะทำให้ผ่านก็ได้’
แต่นรินทร์แย้งเห็นนั้น
‘มันเป็นคำถามเดียวกันหมดถ้าเราเลือกคำตอบที่ถูกต้องได้ยังไงก็ต้องตอบเหมือนกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ’
‘จะว่าไปก็...เหวอ!!’
เสียงของกวินทร์ขาดหายไปตรงนั้น
วินาทีถัดมาเสียงระเบิดก้ดังก้องไปทั้งช่องสื่อสาร
นรินทร์พูด
‘กวินทร์!’
มีนาพูด
‘คุณกวินทร์คะ’
เมษาพูด
‘เฮ้ย ตายยังฟะกวินทร์
เอ้ย ไม่ใช่ ห้ามตายนะเฟ้ย!!’
แต่ไม่มีการตอบกลับจากกวินทร์
วชิระ มีแต่เสียงเหมือนมีวัตถุจำนวนมากไหลกลิ้งดัง กลุกๆ
บางทีคงเป็นเสียงหินถล่มลงมา น่าจะมีเพดานหรือผนังถูกทำลายในบริเวณนั้นล่ะมั้ง
สถานการณ์ของกวินทร์ทำให้ทั้งช่องสื่อสารพากันเงียบเสียงจนเหลือแต่เสียงแวดล้อมจากสถานการณ์ของคนอื่นๆ
หลังจากความเงียบผ่านไปไม่นานนักกวินทร์ก็ตอบกลับ
‘โทษทีครับ
เมื่อกี้เจ้าคิงคองยักษ์จู่ๆ
มันก็คลั่งอาละวาดซะเพดานถ้ำถล่มลงมาเล่นซะเกือบหนีไม่รอด’
‘คิงคองเหรอ’
นั่นเป็นเสียงของมิ่งขวัญ
น้องชายของอิงศร ตั้งแต่เริ่มสื่อสารกันหมอนี่พูดน้อยที่สุดทั้งที่ไม่ได้กำลังต่อสู้กับสัตว์เทวะเหมือนคนอื่นๆ
แฟรนเซียมนึกถึงความเกี่ยวข้องระหว่างตัวเองกับ
มิ่งขวัญ โรจจุฬาน์
มิ่งขวัญ
เป็นน้องชายของอิงศรแล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกฟันเฟืองขับเคลื่อนเครื่องทำสวนเลือก
ข้อมูลของมิ่งขวัญ
เขาเคยเห็นมันตอนที่รูบิเดียมส่งมาให้หลังจากเปลี่ยนหมอนั่นเป็นมนุษย์ต่างดาวแล้ว
ตัวเลขนั้นน่าสนใจมากพอๆ กับคนพี่เลยทีเดียว
ถึงจะได้ยินมาไม่มากแต่อิงศรก็เล่าให้ฟังบ้างเหมือนกันว่าน้องชายเป็นคนมีพรสวรรค์
มีพลังในการเรียนรู้ทักษะทางกายที่สูงกว่าปกติ ข้อพิสูจน์เรื่องนั้นได้เห็นจากการที่ลอกเลียนท่าวิชาที่ใช้หมัดคู่กับดาบของลิเธียมได้ในเวลาไม่กี่วัน
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่มีความสามารถขนาดนี้จะไปเกิดอยู่ในฝูงเศษเดนมนุษย์พวกนั้น
ดูเหมือนมิ่งขวัญจะรู้จักชนิดของสัตว์เทวะที่กวินทร์กำลังเผชิญหน้าอยู่
‘เจ้าคิงคองนั่นมีปีกใส่ชุดสีขาวด้วยใช่ไหม’
‘อ๊ะ ขวัญเหรอ
ทำไมถึงรู้ล่ะที่บอกมาตรงเผงเลย’
‘ฉันเคยสู้กับมันมาก่อนเจ้านั่นเป็นเรดบอสน่ะ
เวลาปกติมันจะสงบแต่ถ้ามีเสียงปืนดังขึ้นมามันจะเริ่มคลั่ง’
แฟรนเซียมเสริมข้อมูลที่เขาพอจะรู้ให้
“เจ้านั่นคือ
ฮารัมบาเอล
เป็นสัตว์เทวะที่พัฒนามาจากกอริล่าในสวนสัตว์ที่ต่างประเทศมันโดนยิงตายเพราะมีคนตกลงไปในบ่อที่เลี้ยงมันเพื่อช่วยชีวิตนักท่องเที่ยวจอมเลินเล่อนั่นก็เลยฆ่ามัน
วันนั้นเป้นวันเดียวกับที่โลกล่มสลายพอดีดูเหมือนความแค้นที่มันมีต่อมนุษย์จะทำให้กลายเป็นสัตว์เทวะในเรดบอสไป”
เสียงของมีนาถามเขามาว่า
‘ได้ข้อมูลนั่นมาจากไหนกันคะ’
“จากซีลอร์ด...นานมาแล้วเจ้านั่นเล่าให้ฟังว่าที่สัตว์เทวะทำร้ายมนุษย์ก็เพราะความแค้นที่พวกมันมีต่อมนุษย์ตั้งแต่ก่อนโลกจะล่มสลายกระตุ้นพวกมัน”
‘ดูเหมือนจะมีอารมณ์เล่านิทานสินะคะไหนๆ
ก็คุยกันเรื่องสัตว์เทวะแล้วมีเรื่องอยากถามค่ะ’
“อะไรล่ะ”
‘มังกรที่เคยเข้าสิงฉัน
ที่ตอนนี้เป็นเดม่อนแอพพี่สิงห์เอามันใส่ไว้ในดาบนั้นน่ะค่ะมีความแค้นอะไรกับธุวดารกะกันเหรอคะ’
แฟรนเซียมเดาะลิ้นเขาตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“ชิ นั่นเป็นเรื่องที่ธุวดารกะในโลกฝั่งนี้ทำเองมันเป็นฝีมือของมกร
หรือก็ราหูที่ปลอมตัวหลอกพวกเรามาตลอดนั่นไง”
‘เรื่องนั้นก็รู้อยู่แหละค่ะแต่ก็คิดว่าฟี่สิงห์จะรู้อะไรมากกว่านั้นซะอีกสรุปก็คืออยู่นอกวงสินะคะ’
น้ำเสียงของหล่อนถึงจะเปลี่ยนไปบ้างเพราะผ่านสัญญาณสื่อสารแต่ก็ชัดเจนว่าจงใจยั่วยุ
คำพูดที่ว่านอกวงนั่นหล่อนตั้งใจจะพูดว่า
เขาไม่เคยอยู่ในสายตาของราหูเลย
“อยากจะทำอะไรกันแน่มีนา”
เขาถามเด็กสาวกลับไป
มีนาเป็นคนทำอะไรมีเหตุผลเรื่องนั้นเขารู้ดี
ดังนั้นจะต้องมีสาเหตุที่เด็กสาวพยายามไล่ต้อนเขาในสถานการนี้
‘ก็แค่คิดว่าพี่สิงห์คงจะรู้คำตอบอยู่แล้วใช่ไหมล่ะคะ
ทำไมไม่บอกพวกเราเรื่องนั้นกันซักที’
ได้ยินแบบนั้นแฟรนเซียมก็แสยะยิ้ม
เป็นอย่างที่คาดคิดเอาไว้
เขาเดาความคิดน้องสาวตัวเองไม่ผิด
“ถ้างั้นไม่ลองเค้นสมองคิดกันดูซักหน่อยล่ะพวกแกติดตามอิงศรมาเพื่อแค่จะถ่วงแข้งถ่วงขาหมอนั่นรึไง”
คำพูดของเขาสะกิดใจใครต่อใครหลายคนในช่องการสื่อสารนี้
ได้ยินเสียงเดาะลิ้น เสียงไม่พอใจดังแว่วขึ้นมาไม่หยุด
‘หมอนี่มันเป็นอะไรมากป่ะเนี่ยนั่นปากคนเหรอฟระ’
เสียงนี้ไม่ค่อยคุ้นหูเขานักน่าจะเป็นพวกเด็กกำพร้าที่อารย-สนธยาทำการทดลองที่อิงศรเก็บมา
ในหมู่พวกนั้นมีเด็กท่าทางห้าวๆ
คล้ายกับเมษาอยู่ด้วยรู้สึกจะชื่อว่า....
‘ฟู อย่าไปเสียเวลากับคนพรรคนี้เลย’
น้ำเสียงที่แฝงความเฉลียวฉลาดดังแทรกคำพูดของฟู
แฟรนเซียมพยายามนึกว่านั่นเป็นเสียงของใคร
“คราวนี้คือมิกซ์งั้นเหรอ”
เขาลองเดาสุ่มดูจากในจำนวนเด็กที่เหลืออีกสี่คนซึ่งเสียงไม่คุ้นหู
เป็นเสียงเด็กผู้ชายที่เริ่มแตกหนุ่ม นอกจากฟูแล้วก็เหลืออยู่คนเดียวนั่นแหละ
มิกซ์ตอบเขามา
‘ถ้าใช่แล้วจะทำไม’
“คิดยังไงเรื่องคำถาม”
‘หา ทำไมมาถามฉันล่ะ’
“เพราะว่าพอจะมีหัวคิดมากกว่าคนอื่นที่อยู่ในนี้น่ะสิ”
แต่เสียงของฟูก็ดังแทรกเข้ามา
‘ไม่ต้องไปตอบมันหรอกมิกซ์นายพูดเองนะว่าอย่าไปเสียเวลากับหมอนี่น่ะ’
“ถ้าอยากติดอยู่ที่นี่ไปจนตายก็เชิญเลยแล้วก็อย่าลืมซะล่ะว่าตอนนี้เจ้าอิงศรมันอยู่ตัวคนเดียวข้างนอกนั่น”
แฟรนเซียมพูดข่มขู่
เขาอยากจะให้เด็กไร้มารยาทนั่นเลิกสอดการสนทนาเสียทีแล้วก็ดูเหมือนจะได้ผล
‘….’
ช่องสื่อสารเงียบลงในทันที
ดูเหมือนจะได้ผลมากไปหน่อย
‘ผมคิดว่าคำถามนี้อาจจะไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียวก็ได้นะฮะ’
มีเสียงของเด็กดังขึ้นมาในช่องสื่อสาร
เป็นเสียงของเด็กเล็กอายุราว 12 ขวบเห็นจะได้
ถึงเสียงจะยังไม่แตกหนุ่มแต่น้ำเสียงก็พอจะทำให้รู้ว่าเป็นเด็กผู้ชาย
มีเสียงของเด็กสาวดังแทรกขึ้น
‘เน็กส์....’
เป็นเสียงแสดงความเป็นห่วง
คนที่เหมือนกับค่อยดูแลพวกเด็กๆ ที่อิงศรพามาน่าจะเป็นเด็กสาวที่ชื่อพลอย
‘นี่จะไม่เป็นไรเหรอเน็กส์...’
มีอีกเสียงดังขึ้นมาด้วย
เป็นเสียงที่ไม่คุ้นหูอีกเช่นกัน เสียงของเด็กผู้หญิง คนที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็มีแค่
นิว เด็กที่อายุพอๆ กับ เน็กส์
น้ำเสียงของเด็กหญิงแสดงความเป็นห่วงมากกว่าเสียงของพลอย
ความสัมพันธ์ที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นจะเรียกว่าเป็น พี่น้องกัน หรือ คนรักกันแน่
เขาเองก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก
ถึงตัวเองจะมีทักษะในการอ่านความคิดจากการฟังน้ำเสียงของคนได้
แต่ความรู้สึกของเด็กนั้นเขาไม่ค่อยจะเข้าใจ อาจจะเพราะมันบริสุทธิ์เกินไป
ตื้นเขินเกินไป ก็เลยฟันธงไม่ได้
แฟรนเซียมถามเน็กส์กลับ
“ถามได้ดีนี่ไหนลองบอกหน่อยสิเน็กส์ว่านายคิดยังไง”
‘คำถามถามเราว่าการแยกจากคือทางที่จะกอบกู้ทุกสิ่ง
ถ้าอ่านตรงๆ มันคงหมายถึงให้เราออกห่างจากสิ่งที่เราอยากจะปกป้อง ผมคิดว่านั่นเป็นคำถามที่เกี่ยวกับหัวข้อการทดสอบของแต่ละคนครับ
ของผมกับนิวคือการทดสอบแห่งความรัก ในการทดสอบพวกคุณเครื่องทำสวนบอกมาว่าพวกเขามีหน้าที่คือการทำลาย
แต่เป็นการทำลายเพื่อปกป้องนั่นคือความรัก
ถ้าคิดรวมกับคำถามแล้วล่ะก็คำถามของผมกับนิวก็จะเป็น...’
แต่แฟรนเซียมพูดขัดคำพูดนั้น
“ ‘การแยกจาก’ จะถูกตีความเป็น ‘การทำลาย’
คือหนทางเดียวที่จะปกป้องทุกสิ่งได้สินะ แล้วนายจะเลือกอะไรล่ะ”
มีเสียงตอบกลับมาพร้อมกันสองเสียง
เน็กกับนิวตอบขึ้นพร้อมๆ
กัน
‘ไม่ฮะ’ ‘ไม่ค่ะ’
เน็กส์พูดต่อ
‘การทำลายเพียงอย่างเดียวไม่ใช่การปกป้อง
มันต้องมีความรักด้วยถึงจะเป็นการปกป้องที่แท้จริง พวกเรารักและเชื่อมั่นในสายสัมพันธ์ของพวกพ้องฮะ!’
“ตอบได้ดีแล้วนั่นก็สอดคล้องกับที่ฉันคิดด้วย
มันน่าจะเป็นคำตอบที่ถูก”
เมษาถามมา
‘ถ้างั้นพวกเราก็ต้องกดตอบไม่กันทุกคนเลยงั้นเหรอ’
แต่คำถามโงๆ ของคนหนุ่มอายุ
17 ที่ดูตรงกันข้ามกับคำถามอันชาญฉลาดของเด็กอายุ
12 นั่นก็ถูกมีนาตะคอกสวนไปว่า
‘ตะกี้เน็กส์เขาก็พูดไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าคำถามมันแตกต่างกันไปตามการทดสอบของใครของมันน่ะ’
‘อ้าวเหรอ เอ
ของฉันเจ้าโดโรธีมันพูดว่าไงบ้างหว่า’
‘ถ้านึกไม่ออกจะไม่ได้กลับไปนะ’
‘อย่าเร่งกันซี่
ขอเวลานึกหน่อยเหอะ’
ช่วงที่เมษากำลังนึกอยู่นี่
แฟรนเซียมก็พูดแทรกเข้าไปในช่องสื่อสาร
พูดสมมติฐานที่เขาได้จากการวิเคราะห์คำถามซึ่งอาจจะเป็นคำตอบของการทดสอบนี้
“รู้ไหมว่าทำไมที่นี่ถึงถูกเรียกว่าดินแดนแห่งความตาย
ทำไมคำถามถึงถามว่า หากการแยกจากคือหนทางเดียวที่จะกอบกู้ทุกสิ่ง
ถ้าคิดตามปกติแล้วมันก็เหมือนถามว่าพร้อมจะตายเพื่อให้ทุกอย่างมันดีขึ้นไหมพูดง่ายๆ
ก็อยากจะหนีรึเปล่านั่นแหละดังนั้นถ้าเอาการทดสอบของแต่ละคนมาถามในแนวของคำถามนั้น
แล้วยังไงคำตอบก็ออกมาเป็น ไม่ เหมือนกันทั้งหมดอยู่ดี”
หลังจากพูดไปแล้วคนอื่นๆ
ก็เริ่มพิสูจน์สมมติฐานของเขา
มีนาพูด
‘การทดสอบของฉันคือ ‘โชค’ เป็นการทดสอบว่าจะยอมแพ้ต่อโชคชะตารึเปล่าถ้าแทนที่ลงในคำถามล่ะก็...หากยอมแพ้ต่อโชคชะตาจะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นรึเปล่าสินะ
งั้นของฉันก็ตอบไม่ค่ะ’
เมษาพูด
‘อ๊ะ
ฉันนึกออกแล้วล่ะการทดสอบของฉันคือ ‘การเอาชนะความทะเยอทะยาน’ เอ้ยไม่ใช่สิ การรักษาสมดุลหรืออะไรนี่แหละต่างหาก
งั้นแปลว่าถ้าแทนลงในคำถามก็จะเป็น.... ’
แต่เมษาก็ทิ้งช่วงอยู่นานจนมีนาต้องตอบแทนให้
‘หากการเอาชนะความทะเยอทะยานคือหนทางที่จะรักษาสมดุล
มันจะเทียบเคียงได้ประมาณนั้นแหละมั้งถ้าเมษาจำมาไม่ผิดล่ะนะ’
‘งั้นก็ต้องตอบไม่สินะ’
‘แล้วฉันจะรู้เหรอว่าเมษาผ่านการทดสอบมาแบบไหนน่ะ’
‘เออ
รู้แล้วน่าเลิกตอกย้ำกันซะทีเหอะ คนต่อไปก็พูดๆ มาเลยจะได้ไม่เกือบผิดแบบฉันด้วย’
‘ก็ผิดไปเต็มๆ
เลยไม่ใช่เหรอไม่ใช่แค่เกือบผิดแล้วล่ะแบบนี้น่ะมันเกือบถูกด้วยซ้ำ’
‘ว้อยยยยย!!!!’
เมษาโวยวายลั่นช่องสื่อสาร
แต่นรินทร์ก็พูดท่ามกลางสถานการณ์อันวุ่นวายนั่น
‘ของผมคือการทดสอบความ
‘ยึดติด’ แต่ที่จริงแล้วคือความ ‘เชื่อมั่น’ ถ้าถามในแนวคำถามที่ว่าแล้วก็จะเป็น
หากการปล่อยวางคือหนทางเดียวที่จะเชื่อมั่นได้รึเปล่าสินะ งั้นก็ตอบไม่
เพราะมีความยึดติดอยู่ผมถึงสามารถอยู่ร่วมกับทุกคนได้
ผมเชื่อมั่นในสายสัมพันธ์ของพวกเรา’
กวินทร์พูดบ้าง
‘ของผมคือการสะบั้นเพื่อเชื่อมต่อ
ก็จะเป็น หากการสะบั้นจะเป็นทางเดียวที่จะเชื่อมต่อทุกสิ่งได้หรือเปล่าอย่างนั้นสินะ
จูลลับบิทตาร์สอนผมว่าการรักษาความเชื่อมต่อนั้นบางครั้งก็ต้องตัดส่วนเกินออกไป
แต่การสะบั้นนั้นก็ทำให้เกิดความเชื่อมต่อครั้งใหม่ขึ้นด้วย การสะบั้นไม่ได้ทำให้เชื่อมต่อทุกอย่างแต่ทำให้เกิดการเชื่อมต่อใหม่ๆ
และรักษาของเดิมด้วยคำตอบของผมก็คือ ‘ไม่’ เหมือนกัน’
ฟูพูด
“ของฉันคือ ‘ไหวพริบ’ การทดสอบนั่นผ่านเพราะฉันรู้จักประยุกต์เอาสิ่งแวดล้อมมาใช้
ถ้างั้นคำถามก็จะเป็น....เอ่อเป็นอะไรหว่า”
มิกซ์พูดสนับสนุนความงุนงงของฟูเพราะบททดสอบของตัวเองก็มาในแนวเดียวกัน
‘ไม่ใช่แค่ฟูที่คิดไม่ออกหรอกผมก็เหมือนกัน
การทดสอบปัญญา ปัญญาอันกว้างขาวจะช่วยแก้ปัญหาให้ทุกอย่างแทนที่ลงคำถามไม่ได้เลยแฮะ
เจ้าแกะที่ทดสอบผมก็เอาแต่สัปหงกด้วยสิ’
แต่พลอยก็พูดขึ้นมา
‘นี่การทดสอบของฟูกับมิกซ์น่ะตอนสุดท้ายมันมารวมกับฉันด้วยใช่ไหม
พวกเราสามคนอาจจะต้องคิดรวมกันก็ได้แบบของเน็กส์กับนิวไง’
‘ผมก็คิดแบบนั้นฮะ’
เน็กส์พูดเสริมอย่างเห็นด้วยความคิดนั้นของพลอย
ซึ่งแฟรนเซียมเองก็คิดว่ามันสมเหตุสมผลอยู่เหมือนกัน
พลอยพูดต่อ
‘ถ้างั้นคำถามของฟูกับมิกซ์ก็ต้องมควบรวมกับฉันไปด้วยพวกเราลงไปเล่นเกมตอบคำถามกันใช่ไหมล่ะคำว่า
กอบกู้ทุกสิ่งก็จะกลายเป็นการแก้ปัญหาถ้างั้นคำถามของพวกเราสามคนก็คือ ชื่อการทดสอบของเราแต่ละคนพียงอย่างเดียวคือหนทางที่จะแก้ปัญหาใช่รึเปล่า’
ฟูกับมิกซ์ตอบมาพร้อมกันในทันที
‘มันก็ต้อง...’
‘ไม่ใช่อยู่แล้วน่ะสิ’
พลอยพูดสรุปคำถามของพวกเธอ
‘เพราะว่าพวกเราสามคนร่วมด้วยช่วยกันต่างหากถึงจะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง’
ทีนี้ก็เหลือแค่เขาที่ยังไม่ได้บอกคำถามของตัวเองออกไป
แฟรนเซียมนึกถึงการทดสอบที่ไปเจอมา
เขาถูกแจนนูวาร์มมาร์ไล่ล่าเหมือนกับที่เขาเคยไล่ล่าเครื่องทำสวนมาเป็นเครื่องมือ
มันเป็นการเอาคืนคนบาปหนาอย่างเขาที่กระทำเรื่องเลวร้ายกับพวกเครื่องทำสวนเอาไว้
แต่ทั้งอย่างนั้นแล้วเขาก็มายืนอยู่ที่นี่ร่วมกับเหล่าผู้มีคุณสมบัติที่ได้รับการยอมรับจากพวกเครื่องทำสวน
ในการทดสอบนั้นแจนนูวาร์มาร์ได้ให้คำถามเขามาแล้ว
คำถามที่สอดคล้องกับคำถามในตอนนี้
“หากการตายจะชดใช้ความผิดบาปได้ทั้งหมดจะเลือกทางนั้นหรือไม่สินะ”
ในการทดสอบ
‘ล้างแค้น’ นั่นสิ่งที่ทำให้ผ่านการทดสอบมาได้คือการแสดง
‘ความรับผิดชอบ’
‘ความรับผิดชอบ’
ซึ่งมีแต่ผู้ที่หัวใจเท่านั้นถึงจะมีมันได้
ความรับผิดชอบจะเกิดขึ้นจากหัวใจที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่น
แจนนูวาร์มมาร์กล่าวเอาไว้แบบนั้น
แล้วตอนนี้เขาก็เข้าอกเข้าใจในตัวพวกพ้องของอิงศรขึ้นมาแล้ว
ความพยายามและความมุ่งมั่นที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ของเจ้าพวกนี้เป็นของจริง
นั่นคือแรงลักดันที่ทำให้ตัวเขาคนก่อนพ่ายแพ้ต่ออิงศรบนลิฟต์ที่มุ่งหน้าไปยังสวนศักดิ์สิทธิ์
ในการทดสอบนั้นเขาได้ตอบแจนนูวาร์มาร์ไปว่า
“แต่ฉันจะไม่ตาย
ไม่อย่างนั้นความรับผิดชอบนี้จะไม่ถูกสานต่อ”
ราวกับว่าการทดสอบเมื่อตอนนั้นปูทางมาสู่เวลาในตอนนี้
ทั้งคำถามที่คล้ายกัน และคำตอบที่คล้ายกัน
ราวกับย้ำถามถึงความรับผิดชอบที่เขาบอกว่าจะสู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับอิงศรเพื่อรับผิดชอบในสิ่งที่ก่อเอาไว้
ด้วยการรับผิดชอบต่อพวกพ้องของหมอนั่นด้วย
ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นสินะเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์
“ถ้างั้นก็ได้คำตอบกันหมดแล้วสินะพร้อมจะก้าวเดินก้าวต่อไปกันรึยังล่ะ”
เสียงขานรับอย่างพร้อมเพรียงเป้นเสียงเดียวกันดังกระหึ่มออกมาจากช่องสื่อสาร
‘อืม!’
จากนั้นแฟรนเซียมก็วางนิ้วลงบนตัวเลือก
[ไม่]
คนอื่นๆ
ก็ทำแบบเดียวกัน
ตอนนั้นเอง คำตอบของทั้งสิบเอ็ดคนก็ถูกส่งไปยัง....
.....ซูลวาน
พริบตาที่คำตอบนั้นได้รับการสนอง
หน้าจอคำถามของทั้งสิบเอ็ดคนก็กลายเป็นไพ่อาคานาร์
แต่เป็นอาคานาร์แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทั้งลักษณะและรูปแบบของไพ่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
รูปของแต่ละคนปรากฏขึ้นบนหน้าไพ่
เป็นรูปลักษณ์ในอีกความเป็นไปได้
ARTIFACT HYPEREALIZE !!!
***ในตอนนี้ก็ได้เอาส่วนยิบย่อยเกี่ยวกับบอสสัตว์เทวะบางตัวมาพูดถึงเป็นเกร็ดนิดหน่อย
อย่าง ฮารัมบาเอล ที่เคยออกมาให้มิ่งขวัญโชว์เทพร่างเอเลี่ยนในตอนแรกๆ นั่นก็มาจากข่าวยิงกอลิร่าเมื่อหลายปีก่อนนั่นเองครับ
นี่ถ้ายังมีพาร์ทตีกับสัตว์เทวะอีกว่าจะเอา เสือดำ กับ หมีมาลงด้วยนะเนี่ย โอเมก้า!!
การ์ดของอิงศรทำเสร็จแล้วแต่ไม่ได้แปะไปด้วยเพราะเจ้าตัวยังไม่ตอบคำถามเลยไปรอลุ้นเอาตอนหน้าเน่อ
****
ความคิดเห็น