คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #273 : Extra Log 269: ออร์ฟี่กับอดัม
Extra
Log 269: ออร์ฟี่กับอดัม
หลังจากตอนนั้นเวลาก็ผ่านมาแปดชั่วโมงแล้ว
พวกเขาที่กลับออกมาจากต้นไม้แห่งชีวิตไม่มีอะไรให้ทำจึงพากันกลับไปพัก
อิงศรที่แยกตัวออกจากทุกคนเพิ่งตื่นหลังจากงีบหลับไปแปดชั่วโมง
รู้สึกไม่ได้นอนนานขนาดนี้มานานมากแล้ว ได้หลับเต็มอิ่มจนไม่รู้สึกง่วงอีกเลย
เขาไม่ได้กลับไปที่พักของตัวเองแต่นอนกลางดินตลอดทั้งคืน
ที่สวนศักดิ์สิทธิ์นี่ไม่หนาวแล้วก็ไม่ร้อนแถมท้องฟ้าก็เป็นช่วงรุ่งสางตลอดเวลา
จึงไม่รู้ว่าตอนไหนเป็นกลางวันกลางคืน
แต่ก็ยังนอนหลับได้ขนาดนั้นก็เพราะเหนื่อยสะสมจากการทดสอบล้วนๆ
อิงศรเดินไปโดยไม่มีจุดหมายอยู่ในหัว
ตอนนี้เขาคิดถึงเรื่องการทดสอบที่จะเริ่มในอีก 4 ชั่วโมงให้หลัง
ถึงจะถูกพวกเครื่องทำสวนปรับตกมาเพราะเกือบทำการทดสอบล่มแต่ดูจากท่าทีของเจ้าพวกนั้นยังไงก็จงใจพูดอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นเรื่องที่ปรับเขาตกก็อาจจะเป็นการทดสอบด้วยนั้น อิงศรรู้อยู่แต่แรกแล้ว
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดถึงบททดสอบอยู่นั่นเอง
รู้สึกตัวอีกครั้งก็มาโผล่อยู่แถวๆ ต้นไม้ต้องห้ามแล้ว
ต้นไม้ใหญ่สูงพอๆ
กับต้นไม่แห่งชีวิตและมีผลสีทองออกอยู่เต็มต้น
เขาจำที่นี่ได้จากตอนที่อดัมคัดมันบุกมาคราวก่อน
แล้วเมื่อทอดสายตามองไปยังใต้ต้นไม้นั่นก็เจอเงาของคนๆ
หนึ่ง
อิงศรเพ่งสายตามองไปที่นั่น
“ออร์ฟี่”
พูดแล้วเดินไปที่ใต้ต้นไม้
หมอนั่นกำลังเหม่อมองต้นไม้ต้องห้ามอยู่
ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าเขากำลังเข้าไปใกล้
จนกระทั่งเดินมาอยู่ห่างจากออร์ฟี่แค่สองก้าว
เด็กหนุ่มผมขาวก็พูดทักทายโดยไม่หันมอง
“อรุณสวัสดิ์อิงศร”
“นี่เป็นตอนเช้าเหรอ”
“มันก็เป็นตอนเช้าอยู่ตลอดนั่นแหละบนสวนแห่งนี้น่ะ”
เป็นตอนเช้าตลอด…ถ้าพูดแบบนั้นมาก็พอเดาได้ว่าถูกอีกฝ่ายชิงอ่านใจไปก่อนจะเข้ามาถึงตัวแล้ว
อิงศรจ้องมองใบหน้าของออร์ฟี่สายตาที่เหม่อมองของหมอนั่นจดจ้องไปที่โคนต้นไม้ที่รากไม้ขนาดเท่าท่อนซุงโผล่พ้นดิน
ไม่รู้กำลังมองอะไร
แต่เมื่อเจอตัวออร์ฟี่แล้วเขาก็มีเรื่องที่อยากจะพูดด้วย
อิงศรพูดอย่างเศร้าสร้อย
“ฉัน…ขอโทษ”
“เรื่องที่ตกการทดสอบน่ะช่างมันเถอะ”
คำตอบของออร์ฟี่ทำให้อิงศรเอียงคอด้วยความเป็นงง
“ฉันก็ไม่ได้จะขอโทษเรื่องนั้นซักหน่อย”
ออร์ฟี่ย้ายสายตามา
สีหน้าแปลกใจของออร์ฟี่ช่วยยืนยันว่าหมอนั่นไม่ได้อ่านใจเขาไปแล้วทั้งหมด
ออร์ฟี่เคยเปรียบเปรยว่าความคิดของมนุษย์ลอยเคว้งอยู่บนใบหน้า
ออร์ฟี่อ่านความนึกคิดผ่านทางนั้น
ดังนั้นก่อนที่หมอนั่นจะอ่านข้อความบนหน้าเขา
อิงศรจึงชิงพูดเสียก่อน
“ฉันได้ยินมาแล้วล่ะตอนที่ทดสอบอยู่ในต้นไม้แห่งชีวิตนายได้อดัมช่วยเอาไว้ตอนที่สู้กับอดัมคัดมันสินะ”
“แล้วไง”
“พวกฉันถูกทดสอบเพราะความปรารถนาของนายที่ส่งเข้าไปในต้นไม้แห่งชีวิต”
”มันเป็นแบบนั้นงั้นเหรอ”
ออร์ฟี่ทำหน้าเหมือนเพิ่งรู้ความจริง
ถึงแม้จะเป็นคนส่งพวกเขาไปรับการทดสอบแต่ก็ไม่ได้รู้ว่าข้างในนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างสินะ
อิงศรพูด
“ที่ฉันจะขอโทษก็คือเรื่องของอดัมน่ะ
พวกเราอาจจะไม่มีพลังพอจะทำอย่างนั้นแค่สู้กับราหูก็เต็มกลืนแล้ว”
ความหมายของเขาคือการบอกให้ออร์ฟี่ตัดใจจากความเพ้อฝันที่เป็นไปไม่ได้นั่นซะ
แต่ว่าเขาไม่คิดจะห้ามออร์ฟี่หรอก
นี่เป็นเพียงการถามเท่านั้น เขาอยากจะยืนยันถึงความจริงจังของออร์ฟี่
ถ้าหากหมอนี่อยากจะช่วยอดัม อยากจะช่วยเพื่อนถึงขนาดนั้น
อิงศรก็ตัดสินใจว่าจะช่วยออร์ฟี่อย่างเต็มที่ด้วยเหมือนกัน
แต่ออร์ฟี่ก็ยังไม่พูดอะไร
“….”
ถ้าอย่างนั้นคงต้องถามแบบเลียบเคียงเอา
อิงศรคิดอย่างนั้นแล้วพูด
“นายมั่นใจว่าพลังของเครื่องทำสวนจะช่วยเราได้ขนาดไหน”
ออร์ฟี่หลบหน้าเขา
หันเหสายตาไปยังต้นไมต้องห้ามอีกแล้วจึงพูดมา
“ก็คงไม่ทำให้แพ้หลุดลุ่ยทันทีแบบคราวก่อนล่ะมั้ง”
“...”
“มันไม่ใช่เรื่องที่อิงศรต้องกังวลหรอก
นี่เป็นการตัดสินใจของผมเองเพราะงั้นคนที่จะช่วยอดัมขอให้เป็นผมคนเดียวก็พอ”
“ฉันช่วยอะไรนายไม่ได้เลยงั้นเหรอ”
“แค่น้ำใจนี่ก็มากเกินพอแล้วล่ะ”
อิงศรทำหน้าเศร้า
ดูเหมือนเขาจะถูกกีดกันออกจากเรื่องนี้
ในตอนนั้นเองออร์ฟี่ก็พูดขึ้นมาว่า
“ครั้งหนึ่ง...”
“หืม?”
สายตาของออร์ฟี่เลื่อนขึ้นไปด้านบน
สายตานั่นจ้องมองไปยังผลสีทองของต้นไม้ต้องห้าม
“ที่ใต้ต้นไม้ต้องห้ามนี่
อดัมเคยถามผมว่าอยากจะทำอะไร ตอนนั้นผมยังเป็นเครื่องทำสวนก็เลยไม่ได้คิดอะไรกับคำถามนั่น
ตัวผมในตอนนั้นคิดแค่ว่าอยากอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ
แต่ว่ามันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น”
เรื่องที่ว่านั่นเกี่ยวกับอดัม
ออร์ฟี่มาอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้องห้ามเพราะคิดถึงอดัมจริงๆ นั่นแหละ
ออร์ฟี่พูด
“ทำไมมนุษย์ถึงต้อง
‘สงสัย’ ด้วยนะขนาดมาเป็นมนุษย์เองแล้วผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
จะว่าไปผมเองก็กำลังสงสัยอยู่ด้วยนี่เนอะ”
แล้วหัวเราะให้คำพูดของตัวเอง
“เพราะว่ามีชีวิตน่ะสิ”
จู่ๆ
ก็มีเสียงคนอื่นพูดขึ้นมา พวกเขาหันกลับไปแล้วพบว่าเจ้าของเสียงคือ นรินทร์นั่นเอง
กำลังเดินมาทางนี้
“นรินทร์”
อิงศรพูด
“มีชีวิต?”
ออร์ฟี่ทวนถามถึงความหมายของคำพูดเมื่อครู่
นรินทร์จึงตอบว่า
“เพราะว่ามีชีวิตอยู่คนเราถึงได้รู้จักกับความตายเพราะรู้ว่าเวลานั้นมีอยู่อย่างจำกัดถึงได้รู้จักความกลัว
กลัวตาย กลัวเจ็บ กลัวป่วย พอมีความกลัวแล้วความปรารถนาก็จะเกิดขึ้นตามมา
ไม่อยากตายหรือไม่ก็อยากจะทำในสิ่งที่ปรารถนาก่อนที่จะตาย ผมคิดว่ามันเป็นแบบนั้นแหละนะ”
ออร์ฟี่ยิ้มให้คำพูดนั้น
“เจ้าของเดธอาคานาร์พูดเองผมคงไม่ต้องสงสัยในคำพูดของเธอเลยสินะ”
“โทษทีนะไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังหรอก
ว่าจะมาหาอิงศรก็เลยเผลอได้ยินเข้าน่ะ”
“มีเรื่องอะไรเหรอ”
อิงศรพูด
นรินทร์จ้องมาที่เขา
สีหน้าดูเหมือนลำบากใจนั้นค่อยๆ คลายออก
“ดูเหมือนจะไม่เป็นไรแล้วสินะ”
อิงศรไม่เข้าใจที่พูดจึงถามกลับ
“เรื่องอะไร”
นรินทร์สะดุ้งตัวเล็กน้อยหลังจากฟังคำถามของเขา
ดูเหมือนจะปิดบังสาเหตุที่แท้จริงที่มาหา
แต่....
ดูจากสีหน้าเป็นห่วงแบบนั้นแล้วก็เดาได้ทันทีว่าเป็นห่วงความรู้สึกของตนจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับการทดสอบ
นรินทร์พูด
“ก็พี่สาวของกวินทร์เขาน่ะสิ”
“ไทเทเนียมน่ะเหรอ
แล้วมีอะไรล่ะ”
คงเดาถูกสินะ ไม่อย่างนั้นคงไม่เปลี่ยนเรื่องคุยเป็นอย่างอื่นหรือไม่ก็นี่เป็นเหตุผลรองที่มาหาเขากระมัง
นรินทร์พูด
“เขาอยากจะเอ่อ...เรียกว่าขอคำปรึกษาดีไหมนะ
เรื่องชุดสกิลของกวินทร์น่ะไทเทเนียมอยากจะถกเรื่องนี้กับนาย”
ได้ฟังดังนั้นอิงศรก็หรี่ตาลง
พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“เข้าใจละเดี๋ยวตามไป”
“โอเค”
พอนรินทร์เดินกึ่งวิ่งออกไปจากใต้ต้นไม้แล้ว
เขาก็หันไปพูดกับออร์ฟี่
“เพราะมีชีวิตก็เลยมีความปรารถนาเพราะแบบนั้นเลยต้องเป็นต้นไม้แห่งชีวิตสินะ”
“เธอพูดถึงเรื่องอะไรเหรอ”
“ก็การทดสอบวันนี้น่ะสิฉันสงสัยอยู่ว่าทำไมถึงต้องเป็นที่ต้นไม้แห่งชีวิตด้วย
ที่แท้พลังที่นายจะมอบให้พวกฉันก็คือความปรารถนาสินะ”
ออร์ฟี่ใช้เวลาคิดอยู่พักหนึ่งจึงให้คำตอบที่เห็นด้วยออกมา
“ก็นะ
อาจจะเป็นอย่างที่เธอพูดก็ได้”
ซึ่งนั่นมันออกจะแปลกไปหน่อยละ
“อะไรล่ะเนี่ย
ปกติมันต้องเป็นนายไม่ใช่เรอะ ที่ต้องพูดคำพูดฟุ่มเฟือย อย่างนี่อาจจะเป็นโชคชะตาหรืออะไรทำนองนั้นออกมาน่ะ”
ออร์ฟี่หัวเราะ
“ก็อิงศรแย่งผมพูดไปหมดแล้วนี่”
“อ่ะนะ”
“อื้อ”
พอถูกตอบกลับมาง่ายๆ
แบบนั้นก็ทำเอาไม่มีเรื่องจะคุยต่อ คงถึงเวลาต้องไปแล้ว
ที่นี่ไม่มีอะไรให้เขาทำได้อีกแล้ว
“งั้นฉันไปนะ”
อิงศรเตรียมจะออกเดินไปแล้ว
แต่ออร์ฟี่กลับเรียกไว้
“นี่ อิงศร”
“หือ?”
“มนุษย์เนี่ยต้องกลัวตายกันทุกคนเลยสินะ
แต่ว่าทำไมพวกเธอถึงยอมตายแทนกันได้ล่ะ”
“…”
อิงศรหันกลับไปแต่ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะตอบออร์ฟี่อย่างไร
มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่จะยอมเอาชีวิตเข้าแลกปกป้องพวกพ้อง
เพราะว่าโลกมันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว
ไม่สามารถคงอยู่ต่อไปได้หรือเจ็บปวดมากเกินจะทนหากต้องสูญเสียใครไปซักคน
มันกลายเป็นโลกที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันอย่างถึงที่สุด
โลกที่ล่มสลายกลายเป็นเกมมันผลักดันมนุษย์ให้ก้าวเดินไปเช่นนั้น
ออร์ฟี่พูด
“เรื่องความกลัวต่อความตายที่นรินทร์พูดมาผมคิดว่าพอจะเข้าใจมาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเครื่องทำสวนแล้วล่ะ
แต่ว่าถ้ามันเป็นอย่างที่ว่าจริง
ถ้าหากความกลัวต่อความตายคือตัวขับเคลื่อนมนุษย์จริงๆ ล่ะก็การที่พวกพ้องของเธอทุ่มเทแม้แต่ชีวิตเพื่อปกป้องกันและกันแบบนั้นมันก็ไม่สมเหตุสมผลน่ะสิ”
“….”
อิงศรคิดอยู่ในใจ
คิดว่าเขาจะตอบคำถามให้ออร์ฟี่อย่างไรดี
ตัวเขานั้นเข้าใจในสิ่งที่ออร์ฟี่ถามมา แล้วก็รู้คำตอบอยู่แล้วแต่ว่า
จะพูดเรื่องแบบนั้นให้เข้าใจได้อย่างไรนี่สิ
อิงศรสูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนออก
พอทำแบบนั้นแล้วสมองก็เหมือนจะแล่นขึ้นมาเล็กน้อย เริ่มจะเรียบเรียงความคิดได้
“ฉันคิดว่านายให้น้ำหนักกับคำพูดของนรินทร์มากเกินไปหน่อยนะ
หมอนั่นน่ะยังไม่ได้พูดถึงใจความทั้งหมดออกมาเพราะคิดว่านายน่าจะเข้าใจ
แต่ก็นะไม่เข้าใจก็ไม่แปลกหรอก”
อิงศรชี้ขึ้นไปข้างบน
ชี้ไปที่ผลของต้นไม้ต้องห้ามซึ่งเห็นออร์ฟี่จับจ้องมันมาได้ซักพักหนึ่งตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเข้ามาคุยด้วย
“เจ้าผลนี่คือสิ่งที่ทำให้อดัมถูกขับไล่จากสวนสินะ
เพราะสำหรับแอดมินคนเก่าแล้วมันคงเป็นสิ่งที่อันตรายเกินไปหรือไม่ก็พวกนั้นคงกลัวที่จะให้มันเกิดขึ้น”
“อิงศรจะบอกว่าปัญญาคือสิ่งที่ขับเคลื่อนมนุษย์อย่างนั้นเหรอ”
แต่อิงศรส่ายหน้า
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเจ้าขวัญคงเป็นมนุษย์เต่าคลานเลยล่ะมั้ง
ที่อยากจะบอกน่ะมันอยู่ตรงนี้ต่างหาก”
อิงศรวางมือทับลงไปบนอกซ้ายของตัวเอง
“หัวใจไงล่ะ
เพราะมีหัวใจมนุษย์ถึงได้รู้จักดีชั่ว
เพราะเรามีหัวใจถึงได้มีชีวิตและผลิตความปรารถนาขึ้นมา
เพราะเรามีหัวใจที่คิดและเลือกทำหรือไม่ทำอะไร”
“หัวใจที่ว่าน่ะหมายถึงเชิงนามธรรมสินะ”
อิงศรได้ยินที่ออร์ฟี่พูดก็เบนสายตาลงมาก็เห็นออร์ฟี่กำลังมองหน้าจอระบบที่เปิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
คิดว่ากำลังค้นหาความหมายของคำว่า ‘หัวใจ’ ที่เขาพูดไป
ออร์ฟี่พูด
“แทนที่จะบอกว่าใช้หัวใจคิดน่าจะต้องเป็นสมองมากกว่านะอิงศร
หัวใจของคนเราทำหน้าที่สูบฉีดเลือดเพื่อให้ระบบต่างๆ คงอยู่ได้ไม่ใช่เหรอ”
ได้ฟังดังนั้นอิงศรก็อดกลั้นขำเสียมิได้
“พรืดดด
อะไรของนายล่ะเนี่ย”
ออร์ฟี่เองก็หัวเราะเหมือนกันแล้วปิดหน้าต่างค้นหาไป
“ขอบคุณนะผมเข้าใจอะไรขึ้นมากเลยล่ะ”
“ออร์ฟี่”
“หืม?”
“การที่นายยังเชื่อมั่นในอดัมได้นั่นก็เพราะนายมีมันอยู่
นายมีหัวใจมาตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าเรื่องของอดัมเป็นอย่างที่นายบอก ฉันเองก็คิดว่าเขายังมีตัวตนอยู่เหมือนกัน
ฉันก็จะช่วยนายด้วยเพราะฉันเข้าใจความรู้สึกของนายดี
ความรู้สึกที่อยากจะช่วยเพื่อนนั่นน่ะ”
สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นฝ่ายพูดออกไปเองว่าจะช่วยสนับสนุนออร์ฟี่ในการช่วยเหลือ
อดัม
ได้ยินที่เขาพูดไปออร์ฟี่ก็ทำสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
แต่รอยยิ้มคลี่ออกมาก่อนจะพูดว่า
”งั้น
ถ้าถึงตอนนั้นแล้วอิงศรจะช่วยอยู่เคียงข้างผมได้รึเปล่า”
คำถามนั้น....อิงศรตีความอยู่พักหนึ่งถึงเข้าใจ
แม้แต่ตัวออร์ฟี่ที่ออกปากเองว่าจะช่วยอดัมก็ยังไม่มั่นใจว่าจะทำสำเร็จ
ออร์ฟี่ต้องการคนที่จะคอยอยู่ข้างเดียวกันในตอนที่ตัดสินใจในตอนท้ายว่าจะสามารถช่วยเหลือ
อดัมได้ไหมหรือว่าต้องล้มเลิก
ถ้าออร์ฟี่ต้องการแบบนั้นแล้ว
แน่นอนว่า...
“มันก็ต้องได้อยู่แล้วสิ”
***ตอนของเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาไม่ได้ลงเพราะต้องไปทำรูปประกอบสำหรับตอนถัดๆ
ไปตามที่ได้แจ้งไว้ก่อน แต่งานเข้าซะจนไรท์ลืมมาเขียนแจ้งเลย แอ่ววว
อาทิตย์รอดูวันเสาร์อีกตอนเน่อ(จะพยายามไม่สายจนถึงวันจันทร์ = =’ จะทำได้ไหมเนี่ย)****
ความคิดเห็น