ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #273 : Extra Log 269: ออร์ฟี่กับอดัม

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 105
      5
      11 ต.ค. 61

    Extra Log 269: ออร์ฟี่กับอดัม

     

                หลังจากตอนนั้นเวลาก็ผ่านมาแปดชั่วโมงแล้ว

                พวกเขาที่กลับออกมาจากต้นไม้แห่งชีวิตไม่มีอะไรให้ทำจึงพากันกลับไปพัก

                อิงศรที่แยกตัวออกจากทุกคนเพิ่งตื่นหลังจากงีบหลับไปแปดชั่วโมง รู้สึกไม่ได้นอนนานขนาดนี้มานานมากแล้ว ได้หลับเต็มอิ่มจนไม่รู้สึกง่วงอีกเลย

                เขาไม่ได้กลับไปที่พักของตัวเองแต่นอนกลางดินตลอดทั้งคืน ที่สวนศักดิ์สิทธิ์นี่ไม่หนาวแล้วก็ไม่ร้อนแถมท้องฟ้าก็เป็นช่วงรุ่งสางตลอดเวลา จึงไม่รู้ว่าตอนไหนเป็นกลางวันกลางคืน แต่ก็ยังนอนหลับได้ขนาดนั้นก็เพราะเหนื่อยสะสมจากการทดสอบล้วนๆ

     

                อิงศรเดินไปโดยไม่มีจุดหมายอยู่ในหัว ตอนนี้เขาคิดถึงเรื่องการทดสอบที่จะเริ่มในอีก 4 ชั่วโมงให้หลัง

                ถึงจะถูกพวกเครื่องทำสวนปรับตกมาเพราะเกือบทำการทดสอบล่มแต่ดูจากท่าทีของเจ้าพวกนั้นยังไงก็จงใจพูดอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเรื่องที่ปรับเขาตกก็อาจจะเป็นการทดสอบด้วยนั้น อิงศรรู้อยู่แต่แรกแล้ว

     

                ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดถึงบททดสอบอยู่นั่นเอง รู้สึกตัวอีกครั้งก็มาโผล่อยู่แถวๆ ต้นไม้ต้องห้ามแล้ว

                ต้นไม้ใหญ่สูงพอๆ กับต้นไม่แห่งชีวิตและมีผลสีทองออกอยู่เต็มต้น

                เขาจำที่นี่ได้จากตอนที่อดัมคัดมันบุกมาคราวก่อน

                แล้วเมื่อทอดสายตามองไปยังใต้ต้นไม้นั่นก็เจอเงาของคนๆ หนึ่ง

                อิงศรเพ่งสายตามองไปที่นั่น

                ออร์ฟี่

                พูดแล้วเดินไปที่ใต้ต้นไม้

                หมอนั่นกำลังเหม่อมองต้นไม้ต้องห้ามอยู่ ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าเขากำลังเข้าไปใกล้

                จนกระทั่งเดินมาอยู่ห่างจากออร์ฟี่แค่สองก้าว เด็กหนุ่มผมขาวก็พูดทักทายโดยไม่หันมอง

                อรุณสวัสดิ์อิงศร

                นี่เป็นตอนเช้าเหรอ

                มันก็เป็นตอนเช้าอยู่ตลอดนั่นแหละบนสวนแห่งนี้น่ะ

                เป็นตอนเช้าตลอดถ้าพูดแบบนั้นมาก็พอเดาได้ว่าถูกอีกฝ่ายชิงอ่านใจไปก่อนจะเข้ามาถึงตัวแล้ว

                อิงศรจ้องมองใบหน้าของออร์ฟี่สายตาที่เหม่อมองของหมอนั่นจดจ้องไปที่โคนต้นไม้ที่รากไม้ขนาดเท่าท่อนซุงโผล่พ้นดิน ไม่รู้กำลังมองอะไร

                แต่เมื่อเจอตัวออร์ฟี่แล้วเขาก็มีเรื่องที่อยากจะพูดด้วย

                อิงศรพูดอย่างเศร้าสร้อย

                ฉันขอโทษ

                เรื่องที่ตกการทดสอบน่ะช่างมันเถอะ

                คำตอบของออร์ฟี่ทำให้อิงศรเอียงคอด้วยความเป็นงง

                ฉันก็ไม่ได้จะขอโทษเรื่องนั้นซักหน่อย

                ออร์ฟี่ย้ายสายตามา สีหน้าแปลกใจของออร์ฟี่ช่วยยืนยันว่าหมอนั่นไม่ได้อ่านใจเขาไปแล้วทั้งหมด ออร์ฟี่เคยเปรียบเปรยว่าความคิดของมนุษย์ลอยเคว้งอยู่บนใบหน้า ออร์ฟี่อ่านความนึกคิดผ่านทางนั้น

                ดังนั้นก่อนที่หมอนั่นจะอ่านข้อความบนหน้าเขา อิงศรจึงชิงพูดเสียก่อน

                ฉันได้ยินมาแล้วล่ะตอนที่ทดสอบอยู่ในต้นไม้แห่งชีวิตนายได้อดัมช่วยเอาไว้ตอนที่สู้กับอดัมคัดมันสินะ

                แล้วไง

                พวกฉันถูกทดสอบเพราะความปรารถนาของนายที่ส่งเข้าไปในต้นไม้แห่งชีวิต

                มันเป็นแบบนั้นงั้นเหรอ

                ออร์ฟี่ทำหน้าเหมือนเพิ่งรู้ความจริง ถึงแม้จะเป็นคนส่งพวกเขาไปรับการทดสอบแต่ก็ไม่ได้รู้ว่าข้างในนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างสินะ

                อิงศรพูด

                ที่ฉันจะขอโทษก็คือเรื่องของอดัมน่ะ พวกเราอาจจะไม่มีพลังพอจะทำอย่างนั้นแค่สู้กับราหูก็เต็มกลืนแล้ว

                ความหมายของเขาคือการบอกให้ออร์ฟี่ตัดใจจากความเพ้อฝันที่เป็นไปไม่ได้นั่นซะ

                แต่ว่าเขาไม่คิดจะห้ามออร์ฟี่หรอก นี่เป็นเพียงการถามเท่านั้น เขาอยากจะยืนยันถึงความจริงจังของออร์ฟี่ ถ้าหากหมอนี่อยากจะช่วยอดัม อยากจะช่วยเพื่อนถึงขนาดนั้น อิงศรก็ตัดสินใจว่าจะช่วยออร์ฟี่อย่างเต็มที่ด้วยเหมือนกัน

                แต่ออร์ฟี่ก็ยังไม่พูดอะไร

                “….”

                ถ้าอย่างนั้นคงต้องถามแบบเลียบเคียงเอา อิงศรคิดอย่างนั้นแล้วพูด

                นายมั่นใจว่าพลังของเครื่องทำสวนจะช่วยเราได้ขนาดไหน

                ออร์ฟี่หลบหน้าเขา หันเหสายตาไปยังต้นไมต้องห้ามอีกแล้วจึงพูดมา

                ก็คงไม่ทำให้แพ้หลุดลุ่ยทันทีแบบคราวก่อนล่ะมั้ง

                “...”

                มันไม่ใช่เรื่องที่อิงศรต้องกังวลหรอก นี่เป็นการตัดสินใจของผมเองเพราะงั้นคนที่จะช่วยอดัมขอให้เป็นผมคนเดียวก็พอ

                ฉันช่วยอะไรนายไม่ได้เลยงั้นเหรอ

                แค่น้ำใจนี่ก็มากเกินพอแล้วล่ะ

                อิงศรทำหน้าเศร้า ดูเหมือนเขาจะถูกกีดกันออกจากเรื่องนี้

                ในตอนนั้นเองออร์ฟี่ก็พูดขึ้นมาว่า

                ครั้งหนึ่ง...

                หืม?”

                สายตาของออร์ฟี่เลื่อนขึ้นไปด้านบน สายตานั่นจ้องมองไปยังผลสีทองของต้นไม้ต้องห้าม

                ที่ใต้ต้นไม้ต้องห้ามนี่ อดัมเคยถามผมว่าอยากจะทำอะไร ตอนนั้นผมยังเป็นเครื่องทำสวนก็เลยไม่ได้คิดอะไรกับคำถามนั่น ตัวผมในตอนนั้นคิดแค่ว่าอยากอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่ว่ามันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น

                เรื่องที่ว่านั่นเกี่ยวกับอดัม ออร์ฟี่มาอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้องห้ามเพราะคิดถึงอดัมจริงๆ นั่นแหละ

                ออร์ฟี่พูด

                ทำไมมนุษย์ถึงต้อง สงสัยด้วยนะขนาดมาเป็นมนุษย์เองแล้วผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี จะว่าไปผมเองก็กำลังสงสัยอยู่ด้วยนี่เนอะ

                แล้วหัวเราะให้คำพูดของตัวเอง

                เพราะว่ามีชีวิตน่ะสิ

                จู่ๆ ก็มีเสียงคนอื่นพูดขึ้นมา พวกเขาหันกลับไปแล้วพบว่าเจ้าของเสียงคือ นรินทร์นั่นเอง กำลังเดินมาทางนี้

                นรินทร์

                อิงศรพูด

                มีชีวิต?”

                ออร์ฟี่ทวนถามถึงความหมายของคำพูดเมื่อครู่

                นรินทร์จึงตอบว่า

                เพราะว่ามีชีวิตอยู่คนเราถึงได้รู้จักกับความตายเพราะรู้ว่าเวลานั้นมีอยู่อย่างจำกัดถึงได้รู้จักความกลัว กลัวตาย กลัวเจ็บ กลัวป่วย พอมีความกลัวแล้วความปรารถนาก็จะเกิดขึ้นตามมา ไม่อยากตายหรือไม่ก็อยากจะทำในสิ่งที่ปรารถนาก่อนที่จะตาย ผมคิดว่ามันเป็นแบบนั้นแหละนะ

                ออร์ฟี่ยิ้มให้คำพูดนั้น

                เจ้าของเดธอาคานาร์พูดเองผมคงไม่ต้องสงสัยในคำพูดของเธอเลยสินะ

                โทษทีนะไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังหรอก ว่าจะมาหาอิงศรก็เลยเผลอได้ยินเข้าน่ะ

                มีเรื่องอะไรเหรอ

                อิงศรพูด

                นรินทร์จ้องมาที่เขา สีหน้าดูเหมือนลำบากใจนั้นค่อยๆ คลายออก

                ดูเหมือนจะไม่เป็นไรแล้วสินะ

                อิงศรไม่เข้าใจที่พูดจึงถามกลับ

                เรื่องอะไร

                นรินทร์สะดุ้งตัวเล็กน้อยหลังจากฟังคำถามของเขา ดูเหมือนจะปิดบังสาเหตุที่แท้จริงที่มาหา

                แต่.... ดูจากสีหน้าเป็นห่วงแบบนั้นแล้วก็เดาได้ทันทีว่าเป็นห่วงความรู้สึกของตนจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับการทดสอบ

                นรินทร์พูด

                ก็พี่สาวของกวินทร์เขาน่ะสิ

                ไทเทเนียมน่ะเหรอ แล้วมีอะไรล่ะ

                คงเดาถูกสินะ ไม่อย่างนั้นคงไม่เปลี่ยนเรื่องคุยเป็นอย่างอื่นหรือไม่ก็นี่เป็นเหตุผลรองที่มาหาเขากระมัง

                นรินทร์พูด

                เขาอยากจะเอ่อ...เรียกว่าขอคำปรึกษาดีไหมนะ เรื่องชุดสกิลของกวินทร์น่ะไทเทเนียมอยากจะถกเรื่องนี้กับนาย

                ได้ฟังดังนั้นอิงศรก็หรี่ตาลง พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

                เข้าใจละเดี๋ยวตามไป

                โอเค

                พอนรินทร์เดินกึ่งวิ่งออกไปจากใต้ต้นไม้แล้ว เขาก็หันไปพูดกับออร์ฟี่

                เพราะมีชีวิตก็เลยมีความปรารถนาเพราะแบบนั้นเลยต้องเป็นต้นไม้แห่งชีวิตสินะ

                เธอพูดถึงเรื่องอะไรเหรอ

                ก็การทดสอบวันนี้น่ะสิฉันสงสัยอยู่ว่าทำไมถึงต้องเป็นที่ต้นไม้แห่งชีวิตด้วย ที่แท้พลังที่นายจะมอบให้พวกฉันก็คือความปรารถนาสินะ

                ออร์ฟี่ใช้เวลาคิดอยู่พักหนึ่งจึงให้คำตอบที่เห็นด้วยออกมา

                ก็นะ อาจจะเป็นอย่างที่เธอพูดก็ได้

                ซึ่งนั่นมันออกจะแปลกไปหน่อยละ

                อะไรล่ะเนี่ย ปกติมันต้องเป็นนายไม่ใช่เรอะ ที่ต้องพูดคำพูดฟุ่มเฟือย อย่างนี่อาจจะเป็นโชคชะตาหรืออะไรทำนองนั้นออกมาน่ะ

                ออร์ฟี่หัวเราะ

                ก็อิงศรแย่งผมพูดไปหมดแล้วนี่

                อ่ะนะ

                อื้อ

                พอถูกตอบกลับมาง่ายๆ แบบนั้นก็ทำเอาไม่มีเรื่องจะคุยต่อ คงถึงเวลาต้องไปแล้ว ที่นี่ไม่มีอะไรให้เขาทำได้อีกแล้ว

                งั้นฉันไปนะ

                อิงศรเตรียมจะออกเดินไปแล้ว แต่ออร์ฟี่กลับเรียกไว้

                นี่ อิงศร

                หือ?”

                มนุษย์เนี่ยต้องกลัวตายกันทุกคนเลยสินะ แต่ว่าทำไมพวกเธอถึงยอมตายแทนกันได้ล่ะ

                “…”

                อิงศรหันกลับไปแต่ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะตอบออร์ฟี่อย่างไร มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่จะยอมเอาชีวิตเข้าแลกปกป้องพวกพ้อง เพราะว่าโลกมันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ไม่สามารถคงอยู่ต่อไปได้หรือเจ็บปวดมากเกินจะทนหากต้องสูญเสียใครไปซักคน

                มันกลายเป็นโลกที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันอย่างถึงที่สุด โลกที่ล่มสลายกลายเป็นเกมมันผลักดันมนุษย์ให้ก้าวเดินไปเช่นนั้น

                ออร์ฟี่พูด

                เรื่องความกลัวต่อความตายที่นรินทร์พูดมาผมคิดว่าพอจะเข้าใจมาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเครื่องทำสวนแล้วล่ะ แต่ว่าถ้ามันเป็นอย่างที่ว่าจริง ถ้าหากความกลัวต่อความตายคือตัวขับเคลื่อนมนุษย์จริงๆ ล่ะก็การที่พวกพ้องของเธอทุ่มเทแม้แต่ชีวิตเพื่อปกป้องกันและกันแบบนั้นมันก็ไม่สมเหตุสมผลน่ะสิ

                “….”

                อิงศรคิดอยู่ในใจ

                คิดว่าเขาจะตอบคำถามให้ออร์ฟี่อย่างไรดี ตัวเขานั้นเข้าใจในสิ่งที่ออร์ฟี่ถามมา แล้วก็รู้คำตอบอยู่แล้วแต่ว่า จะพูดเรื่องแบบนั้นให้เข้าใจได้อย่างไรนี่สิ

                อิงศรสูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนออก พอทำแบบนั้นแล้วสมองก็เหมือนจะแล่นขึ้นมาเล็กน้อย เริ่มจะเรียบเรียงความคิดได้

                ฉันคิดว่านายให้น้ำหนักกับคำพูดของนรินทร์มากเกินไปหน่อยนะ หมอนั่นน่ะยังไม่ได้พูดถึงใจความทั้งหมดออกมาเพราะคิดว่านายน่าจะเข้าใจ แต่ก็นะไม่เข้าใจก็ไม่แปลกหรอก

                อิงศรชี้ขึ้นไปข้างบน ชี้ไปที่ผลของต้นไม้ต้องห้ามซึ่งเห็นออร์ฟี่จับจ้องมันมาได้ซักพักหนึ่งตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเข้ามาคุยด้วย

                เจ้าผลนี่คือสิ่งที่ทำให้อดัมถูกขับไล่จากสวนสินะ เพราะสำหรับแอดมินคนเก่าแล้วมันคงเป็นสิ่งที่อันตรายเกินไปหรือไม่ก็พวกนั้นคงกลัวที่จะให้มันเกิดขึ้น

                อิงศรจะบอกว่าปัญญาคือสิ่งที่ขับเคลื่อนมนุษย์อย่างนั้นเหรอ

                แต่อิงศรส่ายหน้า

                ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเจ้าขวัญคงเป็นมนุษย์เต่าคลานเลยล่ะมั้ง ที่อยากจะบอกน่ะมันอยู่ตรงนี้ต่างหาก

                อิงศรวางมือทับลงไปบนอกซ้ายของตัวเอง

                หัวใจไงล่ะ เพราะมีหัวใจมนุษย์ถึงได้รู้จักดีชั่ว เพราะเรามีหัวใจถึงได้มีชีวิตและผลิตความปรารถนาขึ้นมา เพราะเรามีหัวใจที่คิดและเลือกทำหรือไม่ทำอะไร

                หัวใจที่ว่าน่ะหมายถึงเชิงนามธรรมสินะ

                อิงศรได้ยินที่ออร์ฟี่พูดก็เบนสายตาลงมาก็เห็นออร์ฟี่กำลังมองหน้าจอระบบที่เปิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คิดว่ากำลังค้นหาความหมายของคำว่า หัวใจที่เขาพูดไป

                ออร์ฟี่พูด

                แทนที่จะบอกว่าใช้หัวใจคิดน่าจะต้องเป็นสมองมากกว่านะอิงศร หัวใจของคนเราทำหน้าที่สูบฉีดเลือดเพื่อให้ระบบต่างๆ คงอยู่ได้ไม่ใช่เหรอ

                ได้ฟังดังนั้นอิงศรก็อดกลั้นขำเสียมิได้

                พรืดดด อะไรของนายล่ะเนี่ย

                ออร์ฟี่เองก็หัวเราะเหมือนกันแล้วปิดหน้าต่างค้นหาไป

                ขอบคุณนะผมเข้าใจอะไรขึ้นมากเลยล่ะ

                ออร์ฟี่

                หืม?”

                การที่นายยังเชื่อมั่นในอดัมได้นั่นก็เพราะนายมีมันอยู่ นายมีหัวใจมาตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าเรื่องของอดัมเป็นอย่างที่นายบอก ฉันเองก็คิดว่าเขายังมีตัวตนอยู่เหมือนกัน ฉันก็จะช่วยนายด้วยเพราะฉันเข้าใจความรู้สึกของนายดี ความรู้สึกที่อยากจะช่วยเพื่อนนั่นน่ะ

                สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นฝ่ายพูดออกไปเองว่าจะช่วยสนับสนุนออร์ฟี่ในการช่วยเหลือ อดัม

                ได้ยินที่เขาพูดไปออร์ฟี่ก็ทำสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

                แต่รอยยิ้มคลี่ออกมาก่อนจะพูดว่า

                งั้น ถ้าถึงตอนนั้นแล้วอิงศรจะช่วยอยู่เคียงข้างผมได้รึเปล่า

                คำถามนั้น....อิงศรตีความอยู่พักหนึ่งถึงเข้าใจ

                แม้แต่ตัวออร์ฟี่ที่ออกปากเองว่าจะช่วยอดัมก็ยังไม่มั่นใจว่าจะทำสำเร็จ ออร์ฟี่ต้องการคนที่จะคอยอยู่ข้างเดียวกันในตอนที่ตัดสินใจในตอนท้ายว่าจะสามารถช่วยเหลือ อดัมได้ไหมหรือว่าต้องล้มเลิก

                ถ้าออร์ฟี่ต้องการแบบนั้นแล้ว แน่นอนว่า...

                มันก็ต้องได้อยู่แล้วสิ

     

    ***ตอนของเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาไม่ได้ลงเพราะต้องไปทำรูปประกอบสำหรับตอนถัดๆ ไปตามที่ได้แจ้งไว้ก่อน แต่งานเข้าซะจนไรท์ลืมมาเขียนแจ้งเลย แอ่ววว อาทิตย์รอดูวันเสาร์อีกตอนเน่อ(จะพยายามไม่สายจนถึงวันจันทร์ = =’ จะทำได้ไหมเนี่ย)****

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×