คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #268 : Extra Log 264: ลางร้ายแห่งการทดสอบ 1
Extra Log 264: ลางร้ายแห่งการทดสอบ 1
ขณะเดียวกัน
อีกด้านหนึ่งนั่นเอง....
ภายในการดทดสอบของเน็กส์กับนิว
ทั้งสองที่ยังเด็กร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี
ถึงแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเป็นอย่างมากก็ตาม
ถูกสัตว์เทวะรูปร่างเหมือนนกล้อมตีเข้ามาจากทุกทิศทาง
ขณะที่ร่วงลงไปพร้อมกับกองหินจำนวนมาก
แต่เพราะเลเวลที่ได้รับการพัฒนาไปจนถึงขีดสุดที่
144 ทำให้สัตว์เทวะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
เน็กส์ Lv.144 [/////35000:35000/////]
นิว Lv.144 [/////28700:28700/////]
พวกเขาสามารถฆ่าพวกมันได้อย่างง่ายดาย
ที่เหลือก็คือหาทางหลบหลีกก้อนหินที่ตกลงมาพร้อมกับตัวเอง
และหาทางรอดก่อนที่ตกถึงพื้นจากความสูงขนาดนี้ให้ได้
“วาโยราโอ!!”
เน็กส์ยื่นแขนออกไปหลังจากตรวจสอบแล้วว่าไม่มีก้อนหินที่จะตกลงทับแขนระหว่างที่ใช้สกิล
สายลมแห่งเวทย์จำนวนมหาศาลถูกปลดปล่อยออกจากมือเล็กๆ
ข้างนั้นแล้วก่อตัวเป็นลำพุ่งทะลวงผ่านฝนก้อนหินที่ขวางทางไปหาสัตว์เทวะ
ลำแสงสายลมเป่าทั้งหินทั้งสัตว์เทวะให้ป่นเป็นผงไปพร้อมกัน
แล้วนั่นก็คือศัตรูกลุ่มสุดท้าย
ตอนนี้บนฝนก้อนหินมีแต่เขากับนิวเท่านั้น
นิวส่งเสียงมา
“เน็กส์จะถึงข้างล่างแล้วนะ”
เด็กชายก้มลงมองใต้เท้า
ที่เขาเหยียบอยู่คือก้อนหินที่มีขนาดครึ่งหนึ่งของตัวเองเท่านั้นซึ่งหากมันกระแทกพื้นคงไม่ช่วยป้องกันร่างกายของตนได้
ต้องหาทางชะลอความเร็ว
คิดได้ดังนั้นเน็กส์ก็ส่งมือไปให้นิว
“จับมือเน็กส์เร็ว!”
นิวจับมือที่ส่งไปให้
เน็กส์ดึงตัวเด็กสาวข้ามมายืนบนก้อนหินเดียวกัน
“นับถึงสามแล้วกระโดดขึ้นไปข้างบนเลยนะนิว”
“อื้อ”
เมื่อนิวตอบกลับแล้ว
เน็กส์ก็ควงไม้เท้าไปอยู่เหนือศีรษะ
“วาโย!”
ร่ายสกิลสร้างลมพัดก้อนหินที่ขว้างทางด้านบนออกไป
จากนั้นก้เริ่มนับทันที
“หนึ่ง สอง..”
ระยะทางก่อนจะถึงพื้นเหลืออีกไม่มากนักแต่พอจะกระโดดหนีจากความเร็วในการตกนี่ได้อยู่
ถ้ากะจังหวะให้ถีบตัวจากก้อนหินไปได้ทันพวกเขาจะหนีความเร็วโน้มถ่วงได้ในระดับหนึ่ง
“สาม!!”
เน็กส์ออกแรงมากเป็นพิเศษเพื่อดึงให้นิวรู้สึกตัว
ซึ่งต่อมาเธอก็ออกแรงกระโดด้วยตัวเองด้วย
ทำให้พวกเขาถีบตัวออกจากก้อนหินที่เหยียบลอยออกจากฝนก้อนหินมาได้
พวกเขาตกลงในจุดที่ห่างออกไปไม่มากและตกไม่แรงเหมือนกับที่ก้อนหินเหล่านั้นตกกระแทกพื้นแล้วแตกแทบจะป่นเป็นผง
เมื่อลุกจากพื้นแล้วเน็กส์ก็เริ่มสำรวจรอบตัว
พวกเขาที่เริ่มการทดสอบโดยที่ตกลงมาจากที่สูงพร้อมกับก้อนหินและสัตว์เทวะ
ได้ยินเสียงอธิบายการทดสอบแต่ไม่เห็นตัวผู้ควบคุม
นี่เป็นครั้งแรกที่เพิ่งจะเห็นว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่แบบไหนหลังจากเห็นแต่ท้องฟ้ามาตลอด
สถานที่นั้นปกคลุมไปด้วยหญ้าเขียวขจีดูคล้ายกับที่สวนศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก
“นี่คือการทดสอบแห่งความรัก”
“พวกเธอมีความรักให้กันรึเปล่า”
เสียงของผู้หญิงกับผู้ชายดังมาจากที่ไหนซักแห่ง
เสียงนั้นเหมือนกับเสียงที่ได้ยินตอนที่เริ่มการทดสอบรวมถึงเรื่องที่พูดมานั้นก็เป็นหัวข้อการทดสอบที่เขากับนิวได้รับ
การทดสอบแห่งความรัก...ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงทดสอบอะไรแบบนั้น
เน็กส์หันมองไปรอบๆ
จนกระทั่งเจอคนอื่นนอกจากพวกตัวเอง ผู้ใหญ่สองคนกำลังเดินตรงมาทางนี้
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งแต่งตัวดูมีฐานะใส่เสื้อโค้ทถือไม้เท้าเหมือนชาวยุโรป
เรือนผมสีดำ เส้นคิ้วหนา แต่กลับมีแววตาอ่อนโยน
มีเขาแหลมกงอกบนหัวคล้ายเขาวัวหรือกระทิง
เขาคือร่างจำแลงของ
เมยอกซาร์
ผู้เหยียบย่ำวัชพืช
เสียงของผู้ชายได้แนะนำตัวไว้แบบนั้นก่อนที่พวกเขาจะตกลงจากท้องฟ้า
“หลังจากผ่านพ้นวิกฤติมาได้แล้วพวกเธอได้คำตอบไหม”
เมยอกซาร์ได้ทวงถามถึงคำตอบแห่งการทดสอบซึ่งบอกกับทั้งสองไว้ตั้งแต่เริ่ม
จากนั้นอีกคนซึ่งเป็นหญิงสาววัยกลางคน
ใบหน้าเรียวสวยดูงดงาม
เส้นขนตางอนและมีสีสันเป็นเอกลักษณ์คล้ายกับสีขนของพวกนก
หล่อนแต่งตัวดูภูมิฐานด้วยชุดราตรีสีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดปลาย
ดูแล้วลึกลับน่ากลัวแต่เธอกลับมีเสน่ห์ที่ชวนให้มอง ใบหน้าของหล่อนคมคายและเป็นคนสวยราวเทพธิดา
รอยยิ้มอ่อนหวานแต่ลึกลับลอยอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา
จนยากที่จะเชื่อว่านี่คือ
เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ คือร่างจำแลงเป็นมนุษย์ของ เซ็ปทรูสตาร์
ผู้ยับยั้งวัชพืช
หล่อนเดินเข้ามาใกล้
ก้มตัวท้าวมือกับหัวเข่าให้ระดับสายตาเสมอกับพวกเขา
“พวกเธอเข้าใจอะไรขึ้นบ้างจากการทดสอบแห่งความรักนี้ล่ะ”
คำถามนั้นทำให้เน็กส์รู้สึกเขินอายขึ้นมา
เขามองไปยังนิวซึ่งเป็นเพศตรงข้ามที่อายุเท่ากันและอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่จำความได้
แต่พวกเขาไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกัน การถูกถามเรื่องความรักราวกับจะซักถามความสัมพันธ์แบบนี้มันทำให้เขารู้สึกลำบากใจ
ไม่ใช่เพราะว่าเขาคิดอะไรกับเด็กสาวที่สนิทตัวติดกันคนนี้ในด้านนั้นหรอก
เพียงแต่มันเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเองเมื่อถูกถามแบบนี้ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมบ่อยครั้งคนอื่นก็มักจะถามกันแบบนี้
กลับกัน นิวที่โดนถามด้วยคำถามเดียวกันเหมือนจะไม่เข้าใจเธอไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย
ที่จริงนั่นก็ไม่แปลกสำหรับเด็กอายุ
เน็กส์พูด
“พวกเรายังเด็กอยู่มาก
ยังไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับความรักซักเท่าไหร่...”
“เหรอ...”
ใบหน้างดงามของหญิงสาวปรากฏเต็มสายตา
“เหวอ ใกล้ไปแล้วครับ!!”
เน็กส์เขยิบตัวออกมาเพราะว่าเซ็ปทรูสตาร์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เป็นอย่างมาก
หล่อนเริ่มพูดเองเออเอง
“แต่เท่าที่เห็นเนี่ยก็น่าเข้าใจอยู่พอตัวเลยนี่นาว่า
ความรัก ‘แบบนั้น’ น่ะเป็นแบบไหน จะเรียกว่าแก่แดดหรือโตเร็วดีล่ะเนี่ย”
ตอนนั้นเอง เมยอกซาร์ก็หัวเราะ
“ฮะฮะฮะ
เอาน่าเด็กมันรู้เยอะก็ไม่เห็นจะไม่ดีนี่แต่ว่านะเจ้าหนูทั้งหลายความรักก็ไมได้มีแค่เรื่องแบบนั้นเท่านั้นหรอก”
“เรื่องแบบนั้นนี่มันเรื่องแบบไหนเหรอครับ”
เน็กส์ถามด้วยความฉงน
ตัวเขาเองก็เพิ่งจะอายุได้สิบสามขวบ ยังไม่ประสีประสาเรื่องพวกนี้จริงๆ
แต่กลับต้องรับการทดสอบเกี่ยวกับความรักเหมือนแกล้งกัน
เมื่อได้ยินที่เน็กส์ถาม
เมยอกซาร์ก็เบ้หน้า
“อ้าว อะไรกัน นี่ยังไม่ประสีประสาอีกเหรอทั้งที่รู้จักความรักแบบนั้นเนี่ยนะ
งั้นเดี๋ยวสอน..”
ทันใดนั้นเอง
มือของเซ็ปทรูสตาร์ก็หวดใส่หลังของชายหนุ่มอารมณ์ดี
โดยที่ไม่รู้ว่าย้ายจากที่นี่ไปอยู่ด้านหลังตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
“โอ้วว!!”
“นี่นายอย่าเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาสอนเด็กสิยะ”
“แรงไปแล้วนะเธอหลังฉันแทบหักแน่ะ”
เมยอกซาร์ครางด้วยความเจ็บปวดขณะที่ใช้มืดกดบริเวณที่โดนตี
เซ็ปทรูสตาร์เมินเมยอกซาร์ไปแล้วหันมาพูดกับเน็กส์
“ความรักเองก็มีหลายแบบ
ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นความรักชายกับหญิงเสมอไปหรอก ยกตัวอย่างก็ เธอมีคนที่อยากจะอยู่ด้วยไม่อยากจากไปไหนอยู่ไหม”
นิวตอบ
“อยากอยู่กับพวกพี่ๆ
ค่ะ”
เน็กส์ทึ่งนิดหน่อยที่นิวออกตัวเอง
ดังนั้นเขาเองก็คงจะนิ่งเงียบไม่ได้เหมือนกัน
“หมายถึงความรักแบบคนในครอบครัวใช่ไหมครับถ้าแบบนั้นล่ะก็พวกเรามีให้กันอยู่เสมอนั่นล่ะครับ”
“งั้นพี่สาวขอถามต่อนะ
ถ้าหากว่าคนที่พวกเธอรักเขาทำให้เธอต้องลำบากเธอจะเกลียดเขาไหม”
เด็กๆ
พากันส่ายหน้า
หล่อนจึงซักต่อไปว่า
“นั่นหมายถึงเขาคนนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายเธอสินะแล้วถ้ามันกลับกันล่ะ
ถ้าคนที่เธอรักเขาตั้งใจจะทำร้ายเธอหรืออยากจะฆ่าเธอพวกเธอจะยังรักเขาอยู่รึเปล่า”
เน็กส์กับนิวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“ตอบตามความรู้สึกมาได้เลย
การทดสอบของเธอทั้งสองคนผ่านไปแล้วเพราะว่าพวกเธอแสดงความรักที่จะปกป้องอีกฝ่ายให้เห็นในการต่อสู้ที่ผ่านมาแล้ว
ที่ถามไปนี่ก็แค่อยากได้ความเห็นเฉยๆ”
เด็กๆ
มองมาที่นี่อย่างชั่งใจอยู่พักหนึ่ง เน็กส์จึงเริ่มพูด
“คุณกำลังหมายถึงเรื่องของคุณซีลอร์ดกับเพื่อนของเขาเหรอครับ”
หล่อนยิ้มให้คำถามของเน็กส์
“เธอก็รู้เรื่องนั้นด้วยเหรอจ๊ะ”
เน็กส์พยักหน้า
“ครับพี่นรินทร์เขาเล่าให้ฟังมา”
“แล้วพวกเธอคิดว่ายังไงกันล่ะ”
“หมายถึงอะไรเหรอครับ”
“พวกเธอคิดว่าออร์ฟิอูคุมันนาร์...หมายถึงคนที่พวกเธอเรียกเขาว่าซีลอร์ดน่ะเพราะเขาอยากจะช่วยคนที่ทำร้ายเขาเลยทำให้เธอกับพวกพ้องต้องมาลำบากทดสอบแบบนี้พวกเธอเกลียดเขาไหม”
แน่นอนว่าคำตอบคือไม่
แต่หล่อนกลับพูดดักคอมาเสียก่อน
“ถ้าจะตอบก็ขอเหตุผลด้วยนะจ๊ะ”
“….“
เน็กส์ไม่รู้จะให้เหตุผลอย่างไรดี
ที่เขาเลือกจะสนับสนุนซีลอร์ดก็เพราะว่า อิงศรตัดสินใจ พวกพี่ๆ
คนอื่นตัดสินใจว่าจะทำอะไร เขาก็แค่ตามไปด้วยเพราะว่าอยากจะอยู่กับพี่ๆ ทุกคน ความปรารถนามันก็มีอยู่แค่นั้น
เพราะว่าเขายังเด็กยังไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี
ทว่า นิวก็พูดขึ้นมา
“หนูคิดว่าเหมือนกับพี่ศรกับพี่รินค่ะ”
เซ็ปทรูสตาร์เอียงคอเล็กน้อย
“หมายความว่ายังไงจ๊ะ”
นิวพูดต่อ
“ตอนที่หนูได้เจอพี่รินอีกครั้ง…”
ช่วงที่เรื่องเล่าของนิวกำลังดำเนินไปอยู่นั่นเอง
เน็กส์ก็คิดขึ้นมา
...ว่าสถานการณ์มันช่างคล้ายคลึงกับตอนที่พวกเขาพยายามจะช่วยนรินทร์ที่อารย-สนธยา
ตอนนั้นพวกตนได้รับการช่วยเหลือจากอิงศรทำให้รอดจากเงื้อมือของครึ่งปีศาจ
อวโลกิตะมาได้ จากนั้นก็ได้รู้ว่าอิงศรมาที่นี่เพื่อช่วยนรินทร์
แต่ปลายทางที่รออยู่นั้นกลับกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่เกือบจะจบลงด้วยความเศร้าและความสูญเสีย
นรินทร์ปรารถนาจากใจจริงที่เต็มไปด้วยความแค้นเลยตัดสินใจจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดรวมถึงมนุษย์ทุกคน
ลงท้ายแล้วนรินทร์ก็ตายด้วยน้ำมือของพวกเขาที่พยายามจะช่วย ถ้าไม่ใช่เพราะซีลอร์ดนำข้อเสนอที่จะชุบชีวิตนรินทร์มาให้
กับอิงศรที่เอาชีวิตเข้าแลกในการทดสอบคราวนั้น
บางทีพวกเขาคงไม่ได้มายืนอยู่ในการทดสอบนี้หรอก
เมื่อนิวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไปจนจบแล้ว
เน็กส์ก็พูดต่อจากนั้นทันที
“ผมคิดว่าผมเจอคำตอบของการทดสอบนี้แล้วครับ”
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
แต่คำพูดของเขาทำให้เครื่องทำสวนทั้งสองสะดุ้ง
เน็กส์พูดต่อ
“ที่พวกเรามายืนอยู่ที่นี่
ที่พวกเราทุกคนเข้ารับการทดสอบนี้ก็เพื่อช่วยเพื่อนที่กำลังลำบาก”
เซ็ปทรูสตาร์กล่าว
“ช่วยเพื่อนเหรอ”
เน็กส์พยักหน้า
“ครับ
คุณซีลอร์ดเคยช่วยพวกเราเอาไว้ถ้าไม่ได้เขาพวกเราคงไม่ได้มายืนอยู่ในการทดสอบนี้
คำตอบที่ถามว่าพวกเรามีความรักแบบไหน คำตอบก็คือพวกพ้องครับ
ที่ผมกับนิวเข้ารับการทดสอบไม่ใช่เพราะทำตามใครแต่เราอยากจะช่วยเพื่อนของเรา
ความรักที่เรามีคือ ‘พวกพ้อง’ ”
พอพูดไปแล้วรอยยิ้มของหญิงสาวก็เจือจางลงจนกระทั่งหายไป
หล่อนพูดแกมเสียดายด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“เสียดายจัง”
เมยอกซาร์เองก็พูดในทำนองเดียวกัน
น้ำเสียงสุภาพและดูใจดีก่อนหน้าหายไปหมด กลายเป้นน้ำเสียงที่ขึงขังและจริงจัง
“ดูเหมือนพวกเราจะประเมินต่ำไปสินะ”
“….”
เน็กส์ดึงนิวเข้ามาหลบที่หลังตัวเอง
ไม่รู้ว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้นหรือว่าเขาไปทำอะไรผิดเข้ารึเปล่าแต่สถานการณ์มันเริ่มไม่ชอบมาพากล
เซ็ปทรูสตาร์ยืนเท้าสะเอวแล้วพูด
“ที่จริงตอนที่หมดเวลาทดสอบแล้วกะจะบอกว่าพวกเธอสอบตกอยู่แล้วนะเนี่ยการต่อสู้นั่นน่ะยังไม่ทำให้ผ่านการทดสอบหรอกเพราะว่า
นี่คือการทดสอบความรัก มันไม่ใช่การทดสอบที่จะปล่อยใครผ่านไปได้ง่ายๆ”
เมยอกซาร์กล่าวต่อจากคำพูดนั้น
“ทั้งฉันและเซ็ปทรูสตาร์ต่างก็มีหน้าที่ในการยับยั้งและกำจัดวัชพืช
มันเป็นงานที่ต้องทำลายล้างใช่ไหมล่ะแต่ว่าถ้าเอาแต่ทำลายเพียงเพราะมันคือหน้าที่หรือสนุกกับมันแล้วล่ะก็พวกเราคงเป็นบ้าไปแล้วแน่”
“เราทำลายบางสิ่งก็เพื่อที่จะปกป้องอีกสิ่งหนึ่ง
เหมือนที่พวกเธอต่อสู้กับสัตว์เทวะเพื่อปกป้องกันและกัน การจะทำลายเพื่อปกป้องได้นั้นจำเป็นต้องมีความรักต่อสิ่งที่ปกป้อง
พวกเราอยากเห็นความรักนั้นซึ่งพวกเธอก็แสดงคำตอบออกมาแล้ว”
“พวกเจ้าผ่านการทดสอบ”
เมื่อเมยอกซาร์พูดคำนั้นออกมา
เน็กส์ก็ทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นทันที
เขารู้สึกเหมือนกับว่าเรี่ยวแรงตัวเองหายไปหมด
ตอนที่สองคนนั้นเปลี่ยนท่าทีไปแอบคิดไปแล้วว่าจบสิ้นกันแน่
คิดไปถึงว่าตัวเองทำผิดพลาดจนการทดสอบล่มหรือเปล่า แต่มันกลับกันโดยสิ้นเชิง
แล้วก็...
“สมกับเป็นการทดสอบจริงๆ
ด้วยยากสุดๆ ไปเลย”
ต้องขอบคุณดวงเสียแล้วที่ไม่เผลอปล่อยใจไปกับภาพลักษณ์ชวนเป็นมิตรของเครื่องทำสวน
นึกไม่ถึงว่าจะถูกหลอก
“เน็กส์ เราทำได้แล้วนะ”
นิวก้มหน้าลงมา
เน็กส์เงยหน้าขึ้นแล้วก็เห้นเด็กสาวกำลังยิ้มให้ รอยยิ้มอันไร้เดียงสาและอบอุ่น
เขาตอบเธอไปสั้นๆ
“อื้อ นั่นสิทำได้แล้วเนอะ”
ทว่า
ในตอนที่เน็กส์กับนิวพูดคุยกันเองอยู่นี้ เซ็ปทรูสตาร์ก็กระซิบกับเมยอกซาร์ด้วยท่าทีไม่สบายใจนัก
“ให้ตายสิทั้งที่เด็กพวกนี้พยายามกันถึงขนาดนี้จนเกิดปาฏิหาริย์แล้วเชียวนะ”
แววตาของหล่อนฉายประกายแห่งความเสียดายออกมา
แต่ไม่ใช่เพราะเน็กส์กับนิวหรอก
“น่าเสียดายจริงๆ
นั่นแหละถ้ารู้ว่าจะต้องมาล่มเพราะหัวหน้าของตัวเองสู้ไม่ผ่านการทดสอบไปเลยอาจจะรู้สึกดีกว่าก็ได้”
เมยอกซาร์กล่าว
พวกเขากำลังหมายถึงอิงศรที่ทำท่าจะไม่ผ่านการทดสอบในอีกที่หนึ่ง
“นี่ก็คงเป็นการทดสอบเหมือนกันว่าพวกเขาจะมีความรักต่ออิงศรผู้ที่พาพวกเขาไปสู่ความผิดพลาดมากแค่ไหน”
เซ็ปทรูสตาร์พูด
“นั่นสินะ
ถ้าเจ้าตัวยังฝืนทำเป็นพี่ชายอยู่แบบนั้นคงไม่มีใครผ่านไปได้หรอก”
เมยอกซาร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับหล่อน
@@@@@@@
อีกด้านหนึ่ง….
กวินทร์กับไทเทเนียมที่มุ่งหน้ามายังสวนสนุก
เพื่อทำให้ภารกิจที่ได้รับมาเสร็จสมบูรณ์ละผ่านการทดสอบอันยากลำบากไปได้
พวกเขาจึงเที่ยวเล่นในสวนสนุกกันตลอดบ่าย...
ถึงจะบอกว่าเป็นภารกิจ
เป็นการโอเรียนเทียริง ที่ฟังแล้วชื่อคล้ายๆ
หัวหอมทอดในร้านแฮมเบอร์เกอร์ก็ตามแต่ว่าเนื้อในของมันก็แค่ให้มาเล่นเครื่องเล่นด้วยกันโดยที่ไม่มีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดอะไรนอกจากต้องเล่นด้วยกันระหว่างเขากับพี่สาว
ม้าหมุน
ไวกิ้ง
ชิงช้าสวรรค์
ทุกที่ภายในสวนสนุกเป็นระบบให้บริการอัตโนมัติไม่มีคนอื่นอยู่ที่นี่เลยแม้แต่คนเดียว
กระทั่งตอนพักกินมื้อกลางวันในร้านแฮมเบอร์เกอร์พอเลือกเมนูที่จะสั่งจากหน้าจอสั่งอาหารที่เคาท์เตอร์แล้วสินค้าก็จะจัดใส่ถาดพร้อมเสิร์ฟก็จะไหลมาตามสายพานบนเคาท์เตอร์ทันที
มื้อเที่ยงเองก็เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจ
กำหนดไว้กระทั่งเมนูที่จะสั่งแถมต้องกินให้หมดทุกอย่างด้วย
แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจหรอก
หลังจากหาที่นั่งรับประทานกันได้แล้ว
กวินทร์ก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม หันหน้าเข้าหาพี่สาวลูกพี่ลูกน้อง
“….”
ไทเทเนียมเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินมันฝรั่งแท่งโดยไม่ยอมพูดยอมจาเหมือนเดิม
นี่คือปัญหาที่กวินทร์คิดไม่ตกอยู่ เขาไม่รู้จะชวนคุยอย่างไรดี
ยิ่งภารกิจในกระดาษมีหัวข้อที่หลังจากนี้จะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังอยู่ด้วย
ถ้าไม่พูดคุยกันเลยคงไม่ดีนัก
“….”
กวินทร์จ้องมองพี่สาวแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
ล้มเลิกความตั้งใจที่จะชวนคุยตอนนี้แล้วเริ่มลงมือกินแฮมเบอร์เกอร์ที่เป็นเมนูของตัวเอง
ขณะเดียวกันก็มีสายตาที่คอยจับจ้องทั้งสองคนอยู่ตลอดในอีกด้านหนึ่ง
ภาพของกวินทร์กับไทเทเนียมถูกถ่ายทอดมายังจอภาพของจูเนอร์มินาร์คนพี่ผู้ดำเนินการทดสอบที่จุดสตาร์ทของการทดสอบ
บนถนนโล่งที่นำไปสู่สวนสนุกกับงานเทศกาล
รวมถึงผู้ที่ร่วมดำเนินการทดสอบร่วมกันอีกเครื่องหนึ่งด้วย
จูลลับบิทตาร์
ผู้สะบั้นวัชพืชแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์ ร่างจำแลงมนุษย์ของเขาเป็น เด็กชายที่มีผมชี้เหมือนกับขนของตัวเม่น
เรือนผมสีขาว
ส่วนสูงพอๆ กับจูเนอร์มินาร์ เป็นร่างกายของเด็กอายุ 11 ขวบ สวมชุดนักเรียนประถมกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน
มีใบหูยาวและมีขนสีขาวฟูปกคลุมเหมือนกระต่าย
มือซ้ายสวมถุงมือที่ทำเป็นรูปก้ามปู
เด็กชายมักจะยกมันขึ้นมาหนีบเล่นเวลาที่ทำหน้าไม่สบายใจ
แล้วตอนนี้เขาก็ไม่สบายใจอยู่ด้วย
“นี่จูเนอร์มินาร์”
“อะไรเหรอ”
“ไอ้ นี่น่ะไม่ใช่ว่ามันคือเดทหรอกเหรอ”
“เห~~ จูลลับบิทตาร์มองเห็นเป็นแบบนั้นหรอกเหรอ”
เด็กสาวกล่าวพลางอมยิ้มอย่างมีเลศนัย
จนเขามองออกได้ง่ายๆ
“เดี๋ยวเหอะ การทดสอบของหมอนั่นคือ ‘สายสัมพันธ์ที่สะบั้นเพื่อเชื่อมต่อ’
นะถ้าภารกิจเบี่ยงเบนความนึกคิดของทั้งคู่จนเกินเลยจากที่กำหนดเอาไว้ก็ได้สอบตกกันพอดี”
แต่จูเนอร์มินาร์กลับทำหน้าเบื่อใส่เขาเสียอย่างนั้น
“จูลลับบิทตาร์นี่ยังชอบทำตัวแข็งทื่ออยู่เหมือนเดิมเลยน้า~~”
“เธอเองก็หย่อยยานเกินไปแล้วเหมือนกันนั่นล่ะน่า”
เขาขึ้นเสียงตอบหล่อนที่ทำเป็นทุกข์ไม่ร้อน
“แล้วไงล่ะ สองคนนั้นเป็นพี่น้องกันนะ
ถ้านายเข้าใจคำว่าพี่น้องแบบที่ฉันเข้าใจคงรู้เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอกใช่ไหมล่า”
“แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพศตรงข้ามกันแล้วบางทีมันก็มีเรื่องแบบนั้นอยู่ไม่ใช่เหรอ
วัชพืชน่ะเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เพราะไร้ซึ่งความสมบูรณ์แบบอย่างไรล่ะเรื่องนี้เธอเองน่าจะรู้อยู่แก่ใจนี่”
“….”
จูเนอร์มินาร์ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาแต่กลับจ้องเขม็งมาที่นี่
“อะไรเล่า ฉันพูดอะไรผิดหรือไง”
เด็กสาวหรี่ตาลง
พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ตำหนิเรื่องแผนการของฉันทั้งที่พูดว่าไม่เชื่อใจมนุษย์เนี่ยนะ
เอาเถอะจูลลับบิทตาร์เป็นพวกปากไม่ตรงกับใจนี่เนอะช่างมันละกัน”
“อะ เดี๋ยวสิเธอช่างมันนี่หมายความว่าไงน่ะห๊า!!”
“นี่ๆ
มาเล่นกันเหอะพี่จูล”
จูเนอร์มินาร์คนน้องแทรกวงสนทนาเข้ามาเกาะหลังเขาเล่น
โดยที่ไม่ทันตั้งตัว
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะจูเนอมินาร์...มันหนักนะเว้ย!”
“แล้วมาบอกให้ฉันปล่อยทำล่ะยะ ไม่ได้ไปจับอะไรนายซะหน่อย”
“หมายถึงคนน้องเว้ย!!”
“งั้นก็หันไปบอกเจ้านั่นเองสิจะมาตะโกนใส่หน้าฉันทำไมเล่า”
“มาเล่นกัน มาเล่นกัน”
“ว้อย!! เลิกแกล้งตูซะทีเถ้ออออ!!”
@@@@@@@@@
ภารกิจของกวินทร์ยังคงดำเนินต่อไป
หลังจากพักทานมื้อเที่ยงจบลงโดยที่ไม่มีการพูดคุยกันเกิดขึ้น
พวกเขาก้ออกทำภารกิจต่อทั้งแบบนั้น
ภารกิจที่ระบุมาในกระดาษเหลืออีกเพียงสองภารกิจ
และที่นี่คือภารกิจรองสุดท้าย เครื่องเล่นจานหมุน เป็นเครื่องที่คนสองคนขึ้นไปนั่งบนเครื่องเล่นที่เหมือนกับถ้วยน้ำชาตั้งอยู่บนจานที่จะหมุนรอบตัวเองและหมุนโคจรรอบพื้นที่เครื่องไปด้วยตลอดเวลาที่เล่นจะต้องนั่งมองหน้ากันจนจบ
นี่อาจจะเป็นโอกาสก็ได้ กวินทร์คิด
โอกาสเหลือเพียงแค่ที่นี่เท่านั้น
ถ้าจะพูดคุยกับพี่สาวแล้วตัวเขาเองก็อยากจะคืนดีกับเธอด้วย
เมื่อพวกเขาขึ้นไปนั่งบนถ้วยแล้ว
ประตูทางขึ้นก็ปิดโดยอัตโนมัต
เสียงเครื่องยนต์เริ่มทำงานเอง
ถ้วยหมุนตัวเหวี่ยงไปมา จากนั้นพื้นเครื่องเล่นก็เริ่มหมุน เสียงเพลงทำนองสนุกสนานชวนฝันบรรเลงขึ้น
แต่บรรยากาศกลับไม่แตกต่างจากเดิมเลย
สวนสนุกที่ร้างไร้ซึ่งผู้คนนั้นเงียบสงัดเกินไป
มีแต่เสียงเพลงกับเสียงเครื่องเล่นที่พวกเขานั่งอยู่เท่านั้นที่ดังอยู่ในสวนสนุกอันเงียบเชียบนี้
เอาล่ะจะเริ่มจากอะไรก่อนดีล่ะ
กวินทร์ทวงถามตัวเองถึงเรื่องที่ต้องทำ
เขาเอาแต่จ้องหน้าพี่สาว
“….”
แต่พี่สาวกลับมองไปทางอื่น
หล่อนยังโกรธอยู่เหรอ เรื่องที่เคยถูกเขาฆ่าในตอนนั้น
..นั่นสิ
เป็นใครจะไม่โกรธคนที่ฆ่าตัวเองกันเล่า
กวินทร์รู้สึกสับสนเขาไม่รู้ว่าควรจะโต้ตอบกับพี่สาวที่อยู่ตรงหน้านี้อย่างไรดี
ภายในโลกที่ย้อนกลับไปแต่เป็นกับดักของราหูนั้น
เขาถูกแต่งเติมความทรงจำว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่สาวกลับไปเป็นก่อนที่โลกจะล่มสลาย
และพี่ฟ้ากมลก็ไม่ถูกคุณพ่อของเธอบังคับอีกแล้ว
มิหนำซ้ำยังมีความสัมพันธ์กับมิ่งขวัญอย่างลึกซึ้งด้วย
ความสัมพันธ์ของเขากับมิ่งขวัญกลายเป็นเพื่อนของแฟนพี่สาวลูกพี่ลูกน้องไป
ถูกแต่งเติมความทรงจำเข้าไปถึงขนาดนั้น
ทำให้ตอนนี้พอคิดว่าจะเริ่มสื่อสารกับพี่สาวที่ไม่ได้เป็นไปตามความทรงจำนั้นอย่างไรดีแล้วมันก็ชวนให้รู้สึกลำบากอยู่ไม่น้อย
ทว่า
ในตอนนั้นเอง
“แล้วไง”
จู่ๆ
ไทเทเนียมก็พูดมาโดยที่ไม่ได้แม้แต่จะหันมาสบตาด้วย
“หา”
“มีอะไรอยากจะพูดไม่ใช่รึไง”
หน้าเรามันแสดงออกขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย
กวินทร์คิด แต่ว่าพี่สาวไม่ได้หันมามองหน้าเขาเลยถ้าอย่างนั้นแล้วก็ไม่ใช่ว่าเธอสังเกตเห็นสีหน้าของเขาน่ะสิ
หรือว่าไทเทเนียมเองก็ตั้งใจจะพูดคุยกับเขาเหมือนกัน...กวินทร์เริ่มจะมีความหวังแบบนั้นผุดขึ้นมา
แต่ไทเทเนียมก็พูดขึ้นมาว่า
“ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องแต่ฉันรำคาญที่ต้องมานั่งจ้องหน้าคนที่เอาแต่อมพะนำ”
สรุปก็คือหล่อนเห็นสีหน้าเขาแล้วเดาได้ตั้งแต่ก่อนจะมานั่งเครื่องเล่นนี่แล้วสินะ
กวินทร์รู้สึกเหมือนกับว่าหนทางที่เคยเปิดอยู่ตรงหน้ามันปิดลงทันที
เขาคงหวังมากเกินไป
แต่ว่าก็ต้องพูดสินะ
ต้องหาเรื่องคุย แล้วก็ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับไทเทนียม
ไม่ใช่พี่สาวในความทรงจำจอมปลอมนั่นด้วย
กวินทร์พูด
“ท้องเป็นยังไงบ้าง”
“….”
กวินทร์ตบปากตัวเองทันที
พลางนึกตำหนิตัวเขาที่หาเรื่องชวนคุยได้เหมือนชวนทะเลาะมากกว่า
ไทเทเนียมค่อยๆ
หันหน้ามา สีหน้าที่เรียบนิ่งอยู่จนถึงเมื่อกี้เพิ่งจะกระตุกจนหน้าเบี้ยวอย่างแรง
เธอต้องไม่สบอารมณ์กับคำถามนั้นแน่
“เอ่อ...เอ้อ
อ้า...ไม่สิ ไม่ใช่อันนั้น คือว่า”
“ก็ยังอยู่...แต่ว่าไม่มีผลกับการต่อสู้หรอก”
หล่อนตอบด้วยท่าทางเรียบนิ่งทั้งที่มันขัดกับความเป็นจริงที่พูดมา
กวินทร์พูดตอบ
“จะไม่เป็นไรได้ยังไงกันเล่า
ให้คนท้องไปสู้เนี่ยนะ”
มันต้องเป็นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง
ที่เธอถูกชุบชีวิตกลับมาก็เพราะจะถูกใช้ในการต่อสู้ครั้งสำคัญกับราหู
แต่ว่าต้องแบกท้องที่มีเด็กไปสู้ไปด้วยแบบนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้อยู่แล้วนี่
สำหรับกวินทร์ที่คิดเช่นนั้นก็ต้องพบกับคำตอบที่บ่งบอกว่าพี่สาวของเขายังคงเป็นพี่สาวที่ไม่ได้เลือกหนทางในการก้าวไปข้างหน้า
“ฉันไม่ใช่มนุษย์แล้วนะ”
รู้อยู่แล้วล่ะ
รู้อยู่แล้วล่ะ
“อึก”
กวินทร์ไม่สามารถพูดแย้งอะไรได้เลย
จะให้บอกว่าผู้หญิงมีครรภ์ไม่ควรไปต่อสู้ทั้งที่ตัวเองเป็นคนลงมือฆ่าหล่อนกับลูกในท้องมาก่อน
เขาไม่มีสิทธิ์จะพูดแบบนั้นเลยซักนิดเดียว
ไทเทเนียมพูดต่อ
“แล้วมันก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย
เจ้าคนที่ชุบชีวิตให้ฉันบอกว่าตอนแรกตั้งใจจะคืนชีพแค่ฉันแต่ว่าลูกก็ติดมาด้วยแล้วก็พูดว่ามันคงเป็นเรื่องที่กำหนดไว้ตาม
‘บท’ แล้วอะไรก็ไม่รู้
ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะเอาออกมันซะเลยอยู่หรอก”
หล่อนทำหน้าเหมือนกับรำคาญ
ซึ่งตรงนั้นมัน...
ปึงงงง!!!
จานหมุนสั่นไปทั้งคันเพราะกวินทร์ที่ลุกจากที่นั่งตบพวงมาลัยด้วยท่าทีฉุนเฉียว
ตรงนั้นเท่านั้นที่เขายอมรับไม่ได้
ยอมรับคติที่คิดดูถูกมนุษย์ของพี่สาวไม่ได้รวมถึงการที่เธอดูถูกตัวเองแบบนี้ด้วย
“เลิกทำแบบนี้ซะทีเถอะพี่!”
เขาพูดตะคอก
ไม่รู้ว่าทำไม
ทั้งที่กำลังโมโหพี่อยู่แต่ตัวเขาเองกลับทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้
“….”
ไทเทเนียมจ้องมาด้วยสายตางุนงง
หล่อนไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องโกรธอย่างนั้นสินะ
กวินทร์พยายามกลั้นใจจนสงบสติอารมณ์ของตัวเองลงได้แล้วล้มตัวนั่งที่ซึ่งในตอนนั้นจานก็หยุดหมุนและเสียงเพลงก็ดับลงไปแล้ว
“พี่”
“ว่ามาสิ”
กวินทร์หลับตาลง
เขาเรียบเรียงคำพูดในหัวแล้วแต่มันก็ยังยากที่จะสบสายตาคุยกันตรงๆ
ดังนั้นเขาจึงทำทีเป็นว่าเหนื่อยแล้วพิงหลังกับยกแขนพาดไปหลังพนักที่นั่ง
พลางแหงนหน้ามองเพดานแล้วค่อยพูด
“อยากทำอะไรกันแน่”
“ไม่เข้าใจเลย
นายพูดถึงเรื่องอะไร”
“ผมถามว่าอนาคตพี่อยากจะเป็นอะไร”
ไม่รู้ว่าตอนนี้ไทเทเนียมทำหน้าแบบไหนอยู่เพราะเขายังไม่กล้าก้มลงไปสบตากับเธอ
“ทำไมถึงถามเรื่องนี้ล่ะฉันนึกว่านายอยากจะถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้น”
เธอคงหมายถึงเหตุผลที่ทำไมเราถึงสู้กัน
คำตอบในตอนนั้นมันชัดเจนไปแล้วว่า เขาเป็นมนุษย์ ส่วนเธอไม่ใช่
เราเป็นศัตรูกันเลยปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
“แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วพี่”
ในที่สุดกวินทร์ก็ทำใจก้มลงมาสบตาหล่อน
“ตอนนี้พวกเราไม่ได้แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอีกแล้วไม่มีแล้วทั้งมนุษย์
หรือ มนุษย์ต่างดาวพวกเราต่างก็ถูกหลอกให้ทำร้ายกันไม่ใช่เหรอ”
หล่อนทำหน้างุนงน
เหมือนไม่เข้าใจที่เขาจะสื่อ
“จะบอกว่าทั้งหมดเป็นเพราะท่านแฟรนเซียมงั้นสิเพราะเขาก็หลอกใช้พวกนายให้ทำสงครามเพื่อตัวเขาเองเหมือนกัน”
คำตอบที่เหมือนกับเป็นคำถามนั่น
กวินทร์ส่ายหน้าปฏิเสธให้คำพูดนั้น
แม้ว่าตัวเขาจะเห็นด้วยก็ตาม
สิงห์ ธุวดารกะ
หรือ แฟรนเซียม ต้องรับผิดชอบต่อความผิดที่ก่อเอาไว้กับการลากเอาโลกทั้งใบลงมาสู่ความล่มสลาย
เข่นฆ่าคนไปมากมายเพื่ออุดมการณ์ของตัวเอง
แต่ว่านั่นเป็นสิ่งที่ถูกเขียนขึ้นมาเท่านั้น
จากการประชุมกันคราวก่อนที่อิงศรบอกสมมติฐานมาเป็นไปได้ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่ใครจะชักนำหรือพาไปได้
แต่มันเป็น ‘บท’ ที่กำหนดเอาไว้แล้วว่าพวกเขาจะต้องเดินทางสู่การล่มสลาย
แล้วทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะ มหาเทพราหู กับพวกผู้รุกรานที่ไม่รู้ว่าพยายามจะทำอะไรกับโลกใบนี้กันแน่
กวินทร์พูด
“ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละศัตรูที่เราควรหันดาบเข้าใส่ตอนนี้ไม่ใช่ใครทั้งนั้นนอกจากราหู”
พอพูดไปแล้วไทเทเนียมก็เลิกคิ้วขึ้น
“ราหู
คืออะไรน่ะ”
ดวงตาของกวินทร์เบิกกว้างเมื่อได้ยินว่าหล่อนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับราหูเลย
“เดี๋ยวก่อนนะไม่ใช่ว่ารูบิเดียมเล่าให้พี่ฟังแล้วเหรอ”
ไทเทเนียมส่ายหน้า
“ไม่
ฉันเพิ่งจะคืนชีพมาไม่ถึงวันด้วยซ้ำได้รับคำสั่งแค่ให้ร่วมมือกับพวกนาย
แล้วตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ฉันตายไปแล้วกันล่ะ”
ได้ยินดังนั้นกวินทร์ก็กุมขมับเข้าให้
เขาคิดว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดีแล้วก็เลยนึกสงสัยไปด้วยว่าไม่ใช่ว่าทุกคนที่ซีลอร์ดคืนชีพให้ได้รับความทรงจำเกี่ยวกับการต่อสู้กับราหูไปด้วยหรือว่าอธิบายอะไรก่อนเลยอย่างนั้นเลยรึเปล่า
ซึ่งถ้าดูจากกรณีของพี่สาวแล้วมีสิทธิ์เป็นไปได้ว่ากองทัพที่แฟรนเซียมกับรูบิเดียมชุบชีวิตมาจะแค่ทำตามคำสั่งโดยไม่สนใจเหตุผล
แค่คิดว่ามันจะวุ่นวายขนาดไหนถ้าคนพวกนั้นเกิดตั้งคำถามขึ้นมาหรือว่าพวกที่ชุบชีวิตมามีแต่พวกไม่ถามเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งอย่างที่บอกมาจริงๆ
“….”
น่ากลัวว่าจะเป็นอย่างหลัง
เมตไตรยฝึกคนได้โหดเกินกว่าที่เขาจะนึกภาพออกจริงๆ ทั้งที่เคยอยู่ในองค์กรมาก่อน
ส่วนพวกมนุษย์ต่างดาวที่อยู่กับรูบิเดียมคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะก็ไม่เคยเห็นมนุษย์ต่างดาวชั้นครูลงไปแตกคอกันมาก่อนด้วย
“ถ้างั้นคงต้องเล่ากันยาวหน่อยล่ะ
คืองี้นะพี่...”
กวินทร์เล่าทุกอย่างให้เธอฟัง
ทุกเรื่องที่เขารู้ถูกถ่ายทอดให้อย่างไหลลื่น
พี่สาวมีความสามารถในการทำความเข้าใจได้อย่างน่าประหลาดทั้งที่เรื่องส่วนใหญ่มีแต่เรื่องน่าเหลือเชื่อราวกับเป็นเรื่องโกหก
อย่างพวกเขาโค่นพระเจ้าลงแล้วย้อนกลับไปในวันก่อนที่โลกจะล่มสลายเพื่อเริ่มต้นใหม่
แต่ทุกอย่างดันกลายเป็นกับดักของตัวตนที่ชักใยเบื้องหลังทั้งหมดอย่าง ‘ผู้รุกราน’ มหาเทพราหู
“พี่เชื่อทั้งหมดที่ผมเล่าไปเลยเหรอ”
กวินทร์ถามเพราะหล่อนไม่ถามอะไรเขาเลยตลอดที่ฟังเรื่องที่เล่าไป
แต่หล่อนส่ายหน้า
“เปล่าฉันก็แค่รับรู้เฉพาะเรื่องที่ทำความเข้าใจได้แล้วก็จำเป็นต่อสถานการณ์ปัจจุบันแค่นั้นก็พอแล้ว”
นั่นจะบอกว่าเธอไม่ฟังก็คงไม่ได้เพราะจากการพูดคุยระหว่างที่เล่าเรื่องไปนั้นหล่อนเข้าใจสถานการทั้งหมดดีแล้วว่าสงครามระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาวมันจบลงไปแล้ว
ตอนนี้เป็นสงครามระหว่างทุกชีวิตกับ’ผู้รุกราน’ แทน
กวินทร์พูด
“จะว่าไปพอมาพูดเอาตอนนี้ก็รู้สึกแปลกๆ
อยู่หรอกแต่ว่าหน่วยที่ผมเคยอยู่ก็เรียกว่าหน่วยขับไล่ผู้รุกรานมาก่อนนี่นาแต่ว่านั่นน่าจะหมายถึงพวกเอเลี่ยนสินะ”
“ก็ไม่แน่หรอก”
ไทเทเนียมแสดคงวามเห็นแย้งเป็นครั้งแรก
จนเขาต้องหันมาถาม
“หา?”
“บางทีท่านแฟรนเซียมอาจจะรู้อยู่แล้วว่าสักวันอาจจะต้องสู้กับตัวตนที่ชักใยท่านอยู่ก็ได้”
“นี่พี่
เลิกเรียกว่าท่านแฟรนเซียมซักทีเหอะ พี่ก็รู้ความจริงหมดแล้วทำไมยังต้องไปยกยอหมอนั่นด้วย”
“ทำไมล่ะก็เขาเป็นคนมีความสามารถที่ฉันนับถือนี่”
“แต่เขาหลอกใช้พี่นะ”
“นายเองก็ฆ่าฉันตายกับมือเหมือนกันนั่นแหละ
ถ้างั้นฉันควรเรียกนายว่าฆาตกรด้วยหรือเปล่าล่ะ”
“อึก”
กวินทร์กลืนน้ำลาย
พอมาถึงคำถามนี้เขาก็ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไรดี
ไทเทเนียมถาม
“หรือว่านายยังแค้นที่ถูกท่านแฟรนเซียมฆ่าตายไปตอนอยู่บนลิฟต์อะไรนั่นล่ะ”
“เปล่าซะหน่อยก็สุดท้ายแล้วคนที่ชนะหมอนั่นก็ครือพี่ศรนี่”
“เห็นไหมล่ะ”
ไทเทเนียมยิ้ม
กวินทร์จึงถามกลับ
“อะไร”
“นายเองก็ยังยกย่องหมอนั่นทั้งที่เขาเห็นนายเป็นแค่ตัวแทนน้องชายที่แยกจากกันเท่านั้นเองก็แค่ของแก้เหงาไม่ใช่เหรอ”
“พี่ศรไม่ทำแบบนั้นหรอก”
“ก็อาจจะนะ
แต่ตอนแรกที่นายไปเข้าหาหมอนั่นเขาจะคิดแบบนั้นด้วยหรือเปล่าล่ะ”
“เฮอะ
ทีพี่ยังขโมยจูบขวัญไปเลยไม่ใช่เหรอไปจีบน้องชายเขาแล้วยังพูดแบบนั้นอีก”
“อะ....เดี๋ยวก่อนนี่นาย
ทำไมถึงรู้เรื่องนั้นล่ะมิ่งขวัญปากโป้งงั้นเรอะ”
ไม่รู้ว่าทำไมแต่ตอนนี้ใบหน้าของพี่สาวเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำไปทั้งหน้าแล้ว
เพราะจูบเหรอ?
จูบเนี่ยนะ....
แต่ทำไมกันล่ะ
ที่เขาได้ยินจากมิ่งขวัญมาคือการจูบนั่นเป็นการกระทำที่ไร้หัวใจ
หล่อนเพียงแค่อยากทำลายความหวังในหัวใจของมิ่งขวัญเพื่อให้เลิกยึดติดกับความเป็นมนุษย์เหมือนกับที่เธอเป็น
ถ้าอย่างนั้นอากัปกิริยาตอนนี้มันยังไงกันแน่
ถึงตรงนี้กวินทร์ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เขาลองถามดูอีกครั้ง
“นี่พี่หรือว่า...จะชอบขวัญจริงๆ
น่ะ”
“ไม่ใช่ซักหน่อยฉันแค่ไม่อยากให้นายรู้ต่างหาก
โธ่ ทำไมนะทั้งที่คิดว่ามิ่งขวัญไม่ใช่พวกปากพล่อยแท้ๆ”
เห็นไทเทเนียมทำหน้ากังวลแล้ว
กวินทร์ก็พลันหลุดยิ้มออกมา
ตอนนี้คงชัดเจนแล้วล่ะมั้ง...
“งั้นสรุปว่าชอบสินะครับ”
“ชะ ชอบอะไร”
“ขวัญไง”
“ไม่ได้ชอบ”
“เหรอๆ
พี่หลงใหลอะไรในตัวหมอนั่นล่ะเดี๋ยวผมคุยให้ก็ได้นา เพราะตอนนี้เราเป็นเพื่อนซี้ปึ้กกันเลยแหละ”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงเล่า!!”
หล่อนกระแทกตัวจากเก้าอี้ด้วยแรงมหาศาลของมนุษย์ต่างดาว
ทำเอาฐานจานหมุนจมลงไปใต้พื้นเครื่องเล่น ดูเหมือนว่าจะต้องหยุดการล้อกันเล่นแค่นี้ก่อนไม่อย่างนั้นบททดสอบอาจจะล้มเหลวก็ได้ถ้าพวกเขาสู้กันเอง
เพราะนี่คือการทดสอบเรื่องของสายสัมพันธ์พี่น้อง
“โอเค โอเค
พี่ใจเย็นก่อนผมไม่ล้อแล้วก็ได้แต่ว่าช่วยตอบมาทีสิคำถามก่อนหน้านี้น่ะ”
“เรื่องอะไร”
“ก็พี่อยากจะทำอะไรต่อในอนาคตน่ะ
มีอาชีพที่อยากทำรึเปล่าอย่างเป็นนักเล่นเกมมืออาชีหรืออะไรเทือกนั้น
ในความทรงจำปลอมๆ นั่นผมเห็นพี่ได้ไปแข่งที่เกาหลีเลยนะ”
แต่แล้วใบหน้าของไทเทเนียมกลับดูเศร้าหมองขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ดูเหมือนจะทำได้ผลตรงกันข้ามแทน
“มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก”
“ทำไมล่ะ”
“นายก็รู้นี่พ่อของฉันน่ะ”
จริงด้วย...
เขาลืมไปเลยว่านี่คือไทเทเนียม
คือพี่ฟ้ากมลที่ยังไม่ได้
‘ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า’ มันไม่เหมือนกับในความทรงจำที่ราหูใส่ให้ตอนที่ติดอยู่ในกับดักนั่น
พี่สาวยังไม่ได้เลือกทางเดินเลยเพราะเธอตายไปตั้งแต่ที่อารย-สนธยา
“….”
กวินทร์คิดว่าเขาควรต้องทำอะไรซักอย่าง
“พี่เราไปกันต่อเถอะ”
เขาเอื้อมมือไปจับมือพี่สาวแล้วจูงเธอลงจากเครื่องเล่น
“จะไปไหนน่ะ”
หล่อนถาม
“ภารกิจสุดท้ายไง
ที่ฮอลหลักของ ‘สงครามอวกาศ’ น่ะ
ไว้เล่นไอ้นั่นจบแล้วพี่ค่อยให้คำตอบผมก็ได้”
ความคิดเห็น