คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #264 : Extra Log 260: การทดสอบของต้นไม้แห่งชีวิต
Extra Log 260: การทดสอบของต้นไม้แห่งชีวิต
ความกลัวคือระบบป้องกันตัวที่สิงมีชีวิตสร้างขึ้นเพื่อกันตัวเองออกไปจากอันตรายที่จะเกิดขึ้น
และโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์นั้นหวาดกลัวต่อความมืด
ไม่ใช่ว่าความมืดทำร้ายมนุษย์แต่เป็นเพราะความมืดทำให้การรับรู้ไม่ชัดเจน
ความไม่ชัดเจนเป็นอีกทอดหนึ่งของความกลัวมันกระตุ้นเร้าต่อ ‘จินตนาการ’ ให้สรรสร้างความกลัวอีกมากมายเกินความจำเป็น
ทั้งที่หวาดกลัวต่อความมืด
แต่เพียงแค่หลับตาลงความมืดมากมายก็จะแผ่กว้างอยู่ตรงหน้า
มนุษย์เราอยู่ร่วมกับความกลัวมาโดยตลอด
ความกลัวนั้นอยู่ภายในตัวของเราทุกคน
“
’จินตนาการ’ จะเป็นพลังให้นาย...”
นั่นคือคำพูดที่ตัวเขาอีกคนในโลกที่แตกต่างจากที่รู้จักเคยพูดเอาไว้
แล้วตอนนี้เขาก็กำลังจินตนาการอยู่เช่นกัน
จินตนาการว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ในขณะนี้
ทำไมถึงได้มาอยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่ไพศาลเช่นนี้
และแล้ว...
ความทรงจำก็พลันแล่นขึ้นมา
ถึงภาพสุดท้ายที่สะท้อนสู่สายตาก่อนที่จะหมดสติไป
เขาทุ่มสุดตัวเพื่อช่วยออร์ฟี่จากอดัมคัดมัน
“ออร์ฟี่!”
และแล้ว....
อิงศรก็ลืมตาขึ้น
เขากระเด้งตัวขึ้นมาบนเตียงนุ่มสีขาว
“…”
รอบข้างมืดทึม
ไม่สิ
ตอนนี้ตนเองอยู่ใต้หลังคาผ้าใบของกระโจมทรงกลม มีผ้าห่มทับอยู่บนตัวแต่ไหลลงไปที่ตักเพราะเขาลุกขึ้นนั่ง
ผ้าใบของกระโจมสั่นไหวเพราะลมทำให้แสงอาทิตย์ส่องแยงเข้ามาจากข้างนอก
แสงสว่างนั้นทำให้มองเห็นว่าออร์ฟี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงที่เขานอน
“ตื่นแล้วเหรอ”
ออร์ฟี่พูดมาแบบนั้น
อิงศรจึงถามว่า
“อดัมคัดมันล่ะ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ฉันหลับไป
ฉันนอนไปนานแค่ไหนกัน”
“พอตื่นมาก็รัวคำถามเป็นชุดเลยนะ”
ออร์ฟี่กล่าวพลางลุกจากเก้าอี้
“แต่ว่าไม่มีเวลามานั่งพูดคุยกันแล้วล่ะช่วยตามมาทีสิเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังระหว่างทางเองว่าพวกเราเตรียมพร้อมสำหรับศึกตัดสินไปขนาดไหนแล้ว”
ออร์ฟี่เดินไปยังจุดที่ผ้าใบกระโจมพลิ้วไหว
ตรงนั้นเป็นทางออกสินะ
เมื่อผ้าใบถูกแหวกทำให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามามากขึ้นจนตาพร่าไปชั่วขณะ
“มาสิ นอนไปตั้งสิบสองชั่วโมงแล้วคงลุกไหวสินะ”
อิงศรพยักหน้าแล้วออกจากกระโจม
ด้านนอกมีกระโจมผ้าใบตั้งรายล้อมกันอยู่อีกห้าหลังด้วยกัน
ดูเหมือนว่าช่วงที่เขาหลับไป จะมีการสร้างกระโจมสำหรับเป็นที่พักชั่วคราว
เพราะหอคอยที่จะใช้เป็นที่พักกันตอนที่มาถึงโดนอดัมคัดมันทำลายไปแล้ว
แต่ก็มีที่ไม่เข้าใจอยู่เรื่อง
“ทำไมถึงได้มีกระโจมเยอะขนาดนั้น”
อิงศรมองไปยังกลุ่มของกระโจมที่ตั้งห่างออกไปจากที่นี่สามเนินหญ้าด้วยกัน
ซึ่งมองเห็นกระโจมผ้าแบบเดียวกันตั้งเรียงรายกันเป็นสิบๆ หลัง
เขาเคยเห็นจำนวนของที่พักมากขนาดนี้ตอนที่ยังเป็นทหารในสังกัดของเมตไตรย
ถ้าหนึ่งหลังนอนเบียดกันหน่อยก็ได้ซักห้าคน ด้วยจำนวนขนาดนั้นคงมีคนอยู่เกือบหนึ่งกองพันเลยทีเดียว
ออร์ฟี่มองไปยังทิศที่ว่าพร้อมกับตอบคำถามให้เขา
“หลังจากเธอหมดสติไปแฟรนเซียมกับรูบิเดียมก็เสนอให้สร้างกองทัพน่ะผมเลยคืนชีพให้กับบุคลากรที่พวกเขาต้องการจากทั้งฝ่ายเมตไตรยแล้วก็ฝ่ายมนุษย์ต่างดาว”
“นั่งคัดเลือกกันเองทั้งหมดเลยเหรอทำไมไม่ชุบชีวิตให้หมดไปเลยล่ะ”
“สำหรับตอนนี้คุณภาพมีความสำคัญมากกว่าจำนวนแล้วเราก็ต้องมานั่งอธิบายสาเหตุที่มนุษย์กับมนุษย์ต่างดาวจะร่วมมือกันแล้วก็เรื่องของศัตรูที่มาจากมิติอื่นแค่คิดก็ยุ่งยากแล้วใช่ไหมล่ะเพราะงั้นก็เลยเลือกแต่คนที่ทำความเข้าใจได้ง่ายและพักดีมาก็พอแฟรนเซียมเขาบอกมาแบบนั้นน่ะ”
มันก็จริงอย่างที่ว่ามา
สถานการณ์ในตอนนี้จำเป็นต้องเพิ่มกำลังรบแล้วความยุ่งยากก็คือการควบคุมกำลังรบให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วย
“แล้วตอนนี้พวกนั้นทำอะไรกับทหารที่เลือกมาล่ะ”
พออิงศรถาม
ออร์ฟี่ก็ตอบ
“เห็นว่าไปฝึกระเบียบให้พร้อมสำหรับสงครามน่ะ”
“จำนวนขนาดนั้นเรื่องเสบียงล่ะ”
“ถ้าอยู่บนสวนแห่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกิน ดื่ม หรือ ขับถ่ายทั้งนั้นแหละเธอก็ไม่ได้รู้สึกหิวเลยไม่ใช่เหรอ”
พอ
ออร์ฟี่พูดมาเขาก็เพิ่งสังเกตว่าตัวเองไม่รู้สึกหิวหรือกระหายอะไรเลยทั้งที่นอนไปร่วมสิบสองชั่วโมงแล้วแถมก่อนหน้านั้นก็ผ่านการต่อสู้อย่างหนักหน่วงมา
ร่างกายน่าจะต้องการสารอาหารเพื่อสร้างพลังงานแท้ๆ
“งั้นก็ไม่ต้องขับถ่ายด้วยสินะ”
ออร์ฟี่หัวเราะ
“ที่นี่ไม่มีห้องน้ำหรอกนะ แต่ถ้าอยากอาบน้ำก็ไปแช่ตัวที่ทะเลสาบเถอะ”
พวกเขาพูดคุยไปด้วยเดินไปด้วยตามเส้นทางบนทุ่งหญ้ากว้างไพศาลของสวนศักดิ์สิทธิ์
เดินข้ามเนินหญ้ามาสามเนินด้วยกันแล้วแต่เรื่องให้พูดของออร์ฟี่ก็ยังไม่หมด
ออร์ฟี่พูด
“ลิเธียมกับโพแทสเซียมลงไปหาข่าวข้างล่าง”
“ที่รากอาคาชิกน่ะเหรอ”
“อื้ม เป็นงานสอดแนมเลยไปกันแค่สองคนน่ะ”
ที่นั่นตอนนี้น่าจะกลายเป็นแหล่งกบดานของศัตรูไปแล้ว
ถ้าคิดจากที่พวกเขายังไม่ถูกโจมตีเต็มรูปแบบหลังจากที่อดัมคัดมันบุกเข้ามาได้โดยง่ายจึงเป็นเรื่องที่มั่นใจได้เลยว่าสวนศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัย
การที่ยังไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นก็เพราะพวกมันยังกบดานอยู่ที่นั่นโดยที่รออะไรบางอย่างอยู่
อาจจะเกี่ยวกับการที่พวกเขากำลังเตรียมกำลังรบอย่างเต็มที่อยู่ในขณะนี้
“ทำไมพวกมันถึงยังไม่บุกโจมตีล่ะ”
“ก่อนที่อดัมคัดมันจะกลับไปเขาทิ้งนาฬิกาไว้ให้พวกเรา”
ออร์ฟี่เปิดหน้าจอระบบขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาแล้วส่งหน้าจอนั้นมาให้
เมื่ออิงศรรับไปดูก็มองเห็น ภาพที่ถูกถ่ายทอดจากอีกที่หนึ่ง ซึ่งดูแล้วน่าจะที่ไหนซักแห่งเป็นบนสวนศักดิ์สิทธิ์นี่เอง
ที่นั่นมีหน้าจอระบบขนาดใหญ่กับตัวเลขเวลานับถอยหลังที่เหลือเวลาอยู่อีก
59
ชั่วโมงกว่าๆ
“ถ้าเวลาบนนั้นหมดลงเมื่อไหร่พวกมันจะขึ้นมาโจมตีพวกเรา”
“ทำไมถึงต้องประวิงเวลาให้พวกเราด้วยล่ะ”
“เห็นบอกว่าเป็นเกมน่ะ ราหูอยากจะเล่นเกมกับพวกเราที่อดัมคัดมันมาที่นี่ก็มีจุดประสงค์ที่จะบอกเรื่องพวกนี้ให้เรารู้ตั้งแต่แรก”
อิงศรถามต่อ
“แล้วไง”
“หือ อะไรเหรอ”
“ก็นายยังไม่ได้บอกฉันเลยนี่ว่าตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ฉันสลบไป
นายจัดการกับอดัมคัดยังไงหรือมันกลับไปเอง”
“…”
น่าแปลกที่คราวนี้ออร์ฟี่ไม่ยอมตอบคำถามให้เขา
“เฮ้ ออร์ฟี่”
“เรามาถึงแล้วล่ะ”
เพราะออร์ฟี่หยุดเดิน
เขาจึงหยุดตาม
แล้วพบว่า
พวกพ้องของเขามารวมตัวกันอยู่ที่นี่ครบทุกคน
รวมถึงแฟรนเซียมที่น่าจะไปอยู่ฝึกพวกทหารด้วย
อิงศรพูด
“นายไม่ได้ไปฝึกทหารที่เลือกมารึไง”
“เรื่องนั้นให้ซีเซียมรับไปจัดการแทนแล้ว”
พอแฟรนเซียมตอบ
อิงศรก็มองหาอีกคนที่น่าจะอยู่ด้วยกันกับแฟรนเซียม ไม่สิกับสิงห์ธุวดารกะ
หมอนั่นตัวติดด้วยกันตลอด
“ข้าวหลามล่ะนายทิ้งให้หมอนั่นฝึกพวกทหารแทนเหมือนกัน...”
แต่ก็มีเสียงพูดขัดเข้ามา
“พันโทข้าวหลามไปเป็นที่ปรึกษาให้กับคุณซากิริค่ะ”
เจ้าของเสียงคือหญิงสาวผมสีฟ้า
มัดผมทรงหางม้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี
“วิเชียรมาศ...”
แล้วพอลองสังเกตดูดีๆ
ก็เห็นว่ามีอีกคนที่ไม่น่าจะอยู่ที่นี่เหมือนกับวิเชียรมาศยืนอยู่เคียงข้างแฟรนเซียมด้วย
“ไทเทเนียมด้วยเรอะ”
แฟรนเซียมพยักหน้า
“หล่อนเป็นกำลังรบที่พอใช้งานได้แล้วก็ไม่ต้องลำบากเรื่องอธิบายอะไรด้วย
เหมือนกับวิเชียรมาศนั่นแหละพูดแค่นี้คงเข้าใจนะ”
“มันก็ต้องไม่เข้าใจอยู่แล้วเซ่ ก็...”
แต่แล้วคนที่เขากำลังพูดเพราะเห็นแก่จิตใจของคนๆนั้น
กลับพูดขัดเขามาเสียเอง
กวินทร์ออกตัวพูดว่า
“ไม่เป็นไรครับพี่ศร”
“กวินทร์”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”
ถึงจะพูดแบบนั้นแล้วยิ้มให้เขาก็ตาม
แต่อิงศรเข้าใจดีว่ากวินทร์กำลังลำบากใจ การที่ต้องมาเห็นพี่สาวที่ตัวเองฆ่าเองกับมือ
กลับมายืนอยู่ตรงนี้อีกครั้งมันเจ็บปวดแล้วก็ไม่แน่ว่าไทเทเนียมเองจะคิดแบบนั้นด้วยหรือเปล่า
ตอนนั้นเอง
ออร์ฟี่ก็พูดทำลายความขัดแย้งนี้
“ตอนนี้เราไม่มีเวลาสำหรับเรื่องจุกจิกเล็กน้อยแล้วพวกเรามีศัตรูที่ต้องร่วมมือกันกำจัดหวังว่าเธอจะจำคำพูดตัวเองได้นะอิงศร”
อิงศรจ้องเขม็งไปที่แฟรนเซียม
แล้วก็นึกขึ้นมาว่าเขาเองก็พูดเหมือนกันว่าจะเชื่อแฟรนเซียม
“…”
จึงไม่ได้พูดอะไรอีก
ออร์ฟี่เดินแหวกกลุ่มของพวกเขาตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวบนทุ่งหญ้าแห่งนี้
กิ่งก้านสาขาของมันแผ่มาถึงตรงที่พวกเขายืนอยู่ซึ่งห่างจากลำต้นถึงสิบเมตรได้
อิงศรเดินตามออร์ฟี่ไป
คนอื่นๆ ก็ทำเหมือนกัน
ออร์ฟี่พูดระหว่างที่เดินไปด้วย
“นี่คือต้นไม้แห่งชีวิตเป็นต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่งแม้แต่เครื่องทำสวนก็ด้วย”
เมื่อเดินไปถึงหน้าลำต้น
วงแหวนแสงก็ปรากฏขึ้นห้อมล้อมออร์ฟี่
“ตอนนี้พวกเราจำเป็นต้องเพิ่มพลังให้กับตัวเองผมจะใช้พลังของต้นไม้แห่งชีวิตเพิ่มพลังให้กับทุกคนโดยการให้สืบทอดพลังของเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือทุกคนที่อยู่ตรงนี้จะได้กลายเป็นเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ของผมผู้เป็นแอดมินิสเทรเตอร์”
อิงศรถาม
“เดี๋ยวก่อนนะไอ้ที่ว่ากลายเป็นเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ให้นายเนี่ยอย่าบอกนะว่าจะกลายเป็นตัวแบบนั้นไปด้วยน่ะ”
“เปล่ารูปร่างไม่เปลี่ยนไปหรอกผมก็แค่พูดเปรียบเปรยไปงั้นเอง”
อิงศรแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเคืองๆ
กับความขี้เล่นของหมอนี่แม้แต่ในเวลาแบบนี้
“เฮอะ แค่เปรียบเปรยสินะ บอกว่าไม่มีเวลาแท้ๆ ยังจะเล่นได้อีกนะนาย”
ออร์ฟี่หัวเราะ
“แค่คลายเครียดน่า จากนี้ไปคงต้องเครียดกันหนักแน่เพราะการทดสอบจากต้นไม้แห่งชีวิตคือตัวตัดสินสงครามครั้งนี้ถ้าบททดสอบล้มเหลวขึ้นมาพวกเราจะเสียหนทางสุดท้ายในการต่อกรกับพวกมันไป”
“หมายความว่าเข้าทดสอบได้ครั้งเดียวเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก
ที่จริงจะเข้าทดสอบกี่ครั้งก็ได้จนกว่าจะผ่านแต่ว่าทดสอบครั้งหนึ่งกินเวลานานมากเราไม่มีเวลาขนาดนั้นต้องทำให้ผ่านให้ได้ในครั้งเดียวแล้วก็...”
ออร์ฟี่ชี้มาที่นี่
“มีได้แค่สิบสองคนเท่านั้นที่จะเข้ารับการทดสอบนี้และต้องเป็นสิบสองคนที่เคยผ่านลิฟต์ที่บาเบลมาก่อน”
เรื่องเงื่อนไขนี้ทำให้อิงศรหันไปมองพวกน้องเล็กอย่างเน็กส์กับนิวขึ้นมา
เขาถาม
“ทำไมถึงกำหนดแบบนั้นล่ะถ้าให้คนที่มีพลังและความเพียบพร้อมกว่าเข้ารับการทดสอบจะมีโอกาสสำเร็จมากกว่าไม่ใช่เหรอ”
“เพราะเป็นสิบสองคนที่ไปถึงจุดสุดท้ายของบททดสอบที่แอดมินิสเทรเตอร์คนก่อนมอบให้อย่างนั้นสินะ”
แฟรนเซียมพูด
ออร์ฟี่พยักหน้าให้คำพูดนั้น
“มันเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่าพวกเธอมีคุณสมบัติพร้อมที่จะฝ่าฟันการทดสอบนี้ได้ไม่ว่าจะใครจะอ่อนแอหรือแข็งแกร่งมันก็ไม่เกี่ยว
คนที่มีโอกาสผ่านการทดสอบมากที่สุดคือสิบสองคนที่ได้เผชิญหน้ากับแอดมินิสเทรเตอร์”
สรุปว่ามันเป็นอย่างนั้นสินะ
ถึงจะไม่ได้คาดหวังก็ตามแต่อิงศรนึกอยากจะให้พวกพ้องเข้ามาเสี่ยงกับการต่อสู้ครั้งนี้ให้น้อยที่สุด
แต่มันก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหมือนกันว่าเขาฝ่าฟันอุปสรรค์ร่วมกับพวกพ้องกลุ่มนี้มาแล้ว
ดังนั้นเขาจึงไม่พูดแย้งอีก
แต่แฟรนเซียมก็พูดขึ้นมา
“แต่ว่าฉันน่ะไม่ได้สู้กับทั้งลูนาริสแล้วก็โซลาริสเลยนะ
แค่ขึ้นลิฟต์ไปเท่านั้นเองแล้วนั่นก็เคยเป็นแผนของราหูด้วย”
ออร์ฟี่ตอบ
“พลังของนายเป็นที่ยอมรับได้”
“เหตุผลง่ายเกินไปรึเปล่า”
“อิงศรก็คิดเหมือนผมใช่ไหม”
ออร์ฟี่หันมาขอความเห็นกับเขาแทน
อิงศรใช้เวลาคิดอยู่ซักพักจึงตอบออกมา
“ถ้าให้มองนอกเหนือจากเงื่อนไขที่พวกฉันมีกันแล้วคงต้องเป็นนายนั่นแหละไม่ว่าจะพลังหรือความสามารถ
เฉพาะเรื่องนั้นที่ฉันยอมรับ”
“เหมือนกันสินะ”
แฟรนเซียมคงตั้งใจจะพูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่เขาบอกว่าจะเชื่อใจเฉพาะเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับราหูที่แฟรนเซียมมีเท่านั้น
คงจะไปเหมือนกันตรงนั้นสินะ
ออร์ฟี่กล่าว
“ถ้าตกลงกันได้แล้วก็เริ่มกันเลยเถอะเราไม่มีเวลามาโอ้เอ้แล้วล่ะ”
ทุกคนหันไปมองออร์ฟี่
ไม่มีใครพูดอะไรอีก การทดสอบจึงเริ่มขึ้นจากตรงนี้
ออร์ฟี่ชูมือขึ้นแล้วออกออกคำสั่งกับบัลลังค์สวรรค์
“ขอสั่งในนามของแอดมินิสเทรเตอร์ ต้นไม้แห่งชีวิตเอ๋ยจงมอบบททดสอบแก่ผู้ถูกเลือกทั้งสิบสองด้วย”
ต้นไม้แห่งชีวิต...
อิงศรแหงนหน้ามองขึ้นไปยังด้านบนของต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
ช่วงที่ศึกษาไบเบิลเพื่อหาความรู้ไว้คุยกับออร์ฟี่ให้เข้าใจ
จำได้ว่าเคยอ่านเจอชื่อนี้อยู่เหมือนกัน
มีตำนานที่เล่าขานว่าต้นไม้แห่งชีวิตออกผลวิเศษที่หากรับประทานเข้าไปจะเป็นอมตะ
พวกเขาจะกลายเป็นเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์
นั่นคือความอมตะที่ตรงกับตำนานนั่นด้วยรึเปล่านะ
ระหว่างที่กำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั่นเอง
วงแหวนแสง บัลลังค์สวรรค์ก็เปล่งแสงสว่างออกมา
แสงสว่างเจิดจ้าจนทำให้ตาพร่า
และแล้ว...
พวกเขาก็เข้าไปในต้นไม้แห่งชีวิต
ความคิดเห็น