คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #250 : Extra Log 246: The Foundation E (1)
Extra
Log 246: The Foundation E (1)
อิงศรพูด
“เมษา”
เมษาอยู่ในสภาพไร้สติและบาดแผลสาหัสทั่วทั้งตัว
มีบาดถูกยิงที่ท้องกับแขนรวมสามจุดด้วยกัน
เลือดไหลท่วมตัวจนชุดนักเรียนกลายเป็นสีแดง
ต้องรีบรักษา
แต่ว่าเขาไม่มีพลังจะทำอย่างนั้น
สิ่งที่พอทำได้มีแต่ต้องให้เมษารับเอาพลังขิงเกมโลกาวินาศคืนมาแล้วอาศัยพลังในการฟื้นฟูของเกมช่วย
มือถือของเมษาดาวน์โหลดแอพเสร็จแล้ว
เขายัดมันใส่มือเมษาแล้วบังคับนิ้วให้กดลงไปที่ปุ่ม [ไม่]
ตอบปฏิเสธการย้อนกลับไป
เลือกก้าวต่อไปข้างหน้าเหมือนอย่างที่ทำมาเสมอ
การเลือกเช่นนั้นทำให้ได้พลังของเกมกลับคืนมา
โทรศัพท์ของเมษาสลายไปชุดของเมษาถูกเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบสีฟ้าที่เคยใช้ในเกม
เมษาได้พลังกลับคืนมา
ร่างกายเริ่มการฟื้นฟู แถบพลังชีวิตปรากฏขึ้น
เมษา Lv.
144 [/////35000:77000…..]
พลังชีวิตค่อยๆ
เพิ่มขึ้น เมษาได้สติขึ้นมาตอนนั้น
“อึก…”
ส่งเสียงครางด้วยความเจ็บปวดแล้วประคับประคองร่างกายให้ยืนโดยไม่ต้องให้เขาช่วยพยุง
อิงศรพูด
“รอดไปทีนะนาย”
เมษามองหน้าเขาก่อนแล้วจึงสำรวจตัวเอง
“นี่พวกเราได้พลังของเกมกลับมาแล้วเหรอ”
แต่คำถามของเมษายังไม่ทันได้คำตอบก็มีลูกกระสุนพุ่งมาเสียก่อน
เปรี้ยง
พวกเขาเอี้ยวตัวหลบอย่างสบายๆ
ด้วยพลังเหนือมนุษย์ประมาณหกเท่าจากเลเวล 144 ของพวกเขาทำให้กระสุนจากปืนธรรมดาเชื่องช้ามากจนเหมือนกับลูกโป่ง
เมษาพูด
“ดูเหมือนยังไม่ใช่เวลาคุยสินะ”
แล้วชนกำปั้นเข้ากับมืออีกข้าง
“เออ สิ”
อิงศรหันตามเมษาไป
เผชิญหน้ากับตำรวจอาวุธครบมือ
เฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธบินลงมาส่งเสียงดังน่าหนวกหู
รถตำรวจแห่กันมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มีตำรวจออกมามากขึ้น
แต่มันก็เท่านั้น
อิงศรจ้องมองพลังอำนาจที่พยายามจะมาฆ่าเขากับเมษาด้วยความรู้สึกนิ่งเฉย
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้มันคงเป็นสถานการณ์น่าสิ้นหวังขนาดโลกล่มสลายเลยทีเดียว
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
สำหรับพวกเขาในตอนนี้
พลังอำนาจที่อยู่ต่อหน้าไม่ได้น่ากลัวเลยซักนิดเดียว พวกเขาสามารถจัดการตำรวจกับเฮลิคอปเตอร์ได้ง่ายๆ
เลยด้วยซ้ำ
เว้นแต่ว่า…
“แหม แหม
แบบนี้ก็แย่สิ ระดับไม่เท่ากันซะแล้ว”
มีชายคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนไม่ใช่ตำรวจเดินแหวกออกมาจากกลุ่มตำรวจที่ปิดล้อมพวกเขา
ชายคนนั้นสวมชุดสูทสีดำ
สวมหมวกทรงเค้ก
อิงศรจำชายคนนั้นได้เป็นอย่างดี
“กฤษณะ!”
พอได้ยินที่เขาพูดออกไปชายคนนั้นก็ดันหมวกที่บดบังใบหน้าขึ้นแล้วฉีกยิ้มหวานให้เห็นเขี้ยวคมกริบอย่างอมนุษย์
“ดีใจจังยังอุตส่าห์จำกันได้ด้วย”
ใบหน้าคล้ายนรินทร์ฉายอยู่บนหน้าของหมอนั่น
นรินทร์จากโลกคู่ขนานผู้ทำงานให้กับฟาวเดชั่นอี ดิวินิแดดที่อ้างตัวว่าเป็น กฤษนะ
เทพจากตำนานมหาภารตะนั่น
อิงศรพูด
“งั้นเหรอ
ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้เพราะฝีมือของพวกแกฟาวเดชั่นอีด้วยสินะ”
อีกฝ่ายทำหน้าเจ้าเล่ห์แตะนิ้วที่ริมฝีปากแล้วพูดทั้งอย่างนั้น
“เอ~~ ก็ไม่รู้เหมือนกันสิ
เพราะว่าท่านผู้นั้นเก็นคนดำเนินการน่ะส่วนผมเองก็แค่ถูกเรียกมาเหมือนคราวก่อนๆ
นั่นแหละ”
ท่านผู้นั้นอีกแล้ว
คราวก่อนกฤษณะก็พูดว่า ‘ท่านผู้นั้น’ นั่นคงจะเป็นนายเหนือกัวของฟาวเดชั่นอี
อิงศรพูด
“ไปบอกนายแกให้โผล่หัวออกมาซะ!”
“เรื่องสิ
ถ้าทำแบบนั้นผมก็อดสนุกน่ะซี่”
“สนุกงั้นเรอะ”
“ช่ายยย”
พอพูดมาแบบนั้นอีกฝ่ายก็กางไม้กางมือราวกับเป็นบ้า
“แล้วก็จะบอกอะไรให้รู้อีกอย่างนะ”
กฤษณะพูดพร้อมกับดีดนิ้วดังเปาะ
เหมือนกับส่งสัญญาณ
”ตำรวจพวกนี้น่ะที่จริงแล้วเป็นเทวทูตที่บงการเมตไตรยล่ะ”
เมื่อคำพูดของกฤษนะหยุดลง
พวกตำรวจก็แสดงท่าทางทรมาน ทุกคนทำปืนหลุดจากมือแล้วพากันกุมขมับ
ปากแผดเสียงร้องอย่างทุกข์ทรมาน
ไม่นานนักก็มีปีกแบบเทวดาทะลวงออกมาจากข้างในแผ่นหลังของตำรวจพวกนั้น
สิ่งมีชีวิตคล้ายกับทูตสวรรค์แหวกร่างกายตำรวจออกมาจากทางแผ่นหลังราวกับลอกคราบ
ทูตสวรรค์กายสีขาวเนียนทั้งตัวไม่มีผิวหนัง
ร่างกายของมันเป็นเหมือนกับพลาสติกหรืออะไรที่คล้ายกันและไม่มีใบหน้า
กลับกันใบหน้าของพวกมันไปอยู่บนอาวุธในมือแทน
บ้างก็อยู่บนโล่
บนคันธนู บนไม้เท้า แต่ละตัวถืออาวุธแตกต่างกันไปและมีใบหน้าอยู่บนอาวุธทั้งสิ้น
กฤษนะพูดต่อ
“แล้วก็ผมเองนี่แหละที่เป็นคนบัญชาการทูตสวรรค์มาตั้งแต่พันปีก่อนของโลกนี้”
แต่นั่นมันไม่ตรงกับที่รู้มา
พวกทูตสวรรค์น่าจะทำทุกอย่างเพื่อคืนชีพให้กับ ยฮวฮ
แล้วทำไมถึงไปเข้าพวกกับฟาวเดชั่นอีได้กันล่ะ
ตอนที่กำลังสับสนอยู่นั่นเอง
กฤษณะก็ยิ้ม ยิ้มราวกับจะรับรู้ถึงความสับสนของอิงศร
กฤษณะพูด
“เพราะว่านอกจากนารายณ์แล้วผมเองก็ยังเป็น
เอลชัดได* ได้ด้วยไงล่ะ”
แล้วชูสิ่งที่เหมือนกับไพ่ขึ้นมา
[*เอลชัดได El Shaddai หนึ่งในพระนามของพระเจ้า]
อิงศรจ้องเขม็งไปยังสิ่งนั้น
“อาคานาร์เรอะ”
ไพ่ที่อยู่ในมือของกฤษณะคือไพ่อาคานาร์อย่างแน่นอน
ด้านที่หันมานั้นเป็นหลังไพ่ที่เหมือนกับของเขา
กฤษณะพูด
“ไฮพีเรียลไรซ์”
คำพูดนั่นทำให้อาคานาร์เปล่งแสง
แสงสว่างห้อมล้อมกฤษณะแล้วคลายออกในเวลาไม่นาน
เจ้านั่นทำสิ่งที่เหมือนกับแปลงร่าง
พอเห็นกฤษณะอีกที
เจ้านั่นก็ไปอยู่บนหลังม้าแล้ว อาชาสีขาวล้วนยากจะหาได้จากม้าใดๆ บนโลก
ในมือถือตะบองและดาบอย่างละอัน
สวมชุดพิธีการสีขาวบริสุทธิ์ตกแต่งอย่างหรูหรา
บนศีรษะสวมมงกุฎที่ดูอลังการเป็นอย่างมาก
รูปลักษณ์ราวกับเป็นพระสันตะปาปา
กฤษณะป่าวประกาศนามของตัวเองในร่างนั้น
“รูนเซเวียร์
เดอะ ทรูเอ็กซิสเทนท์ (Ruin
Savior, The True Existent) กัลกีบุรุษผู้ขี่ม้าขาวและนำธรรมมะกลับคืนมาสู่มวลมนุษย์กับเยซูที่ถูกยอร์นกล่าวเอาไว้ในบทวิวรณ์
การควบรวมความเป็นไปได้ก้าวข้ามการเวลาและตำนานนี่ก็คือไฮพีเรียลไรซ์อย่างไงล่ะ”
อิงศรทวนคำพูดของกฤษณะที่เขาเกิดติดใจสงสัยขึ้นมา
“ไฮพีเรียลไรซ์”
หรือจะเกี่ยวข้องอะไรกับ
ไฮพีเรี่ยน ที่พวกเขารู้จักกันหรือเปล่า
อิงศรถาม
“พวกแกเป็นตัวอะไรกันแน่”
สำหรับตอนนี้เขาไม่สามารถบอกกับตัวเองได้ว่า
ฟาวเดชั่นอี นั้นแท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่...
ปีศาจ
มนุษย์ต่างดาว
เทพเจ้า
สัตว์เทวะ
แอดมินิสเทรเตอร์
จะอย่างไหนก็ไม่เข้าพวกกับสิ่งที่กฤษณะสำแดงให้เห็นเลยซักอย่างเดียว
ทว่า...
อีกฝ่ายก็ตอบมาห้วนๆ
“ไม่ลองคิดเอาเองดูล่ะ”
เพียงแค่นั้นแล้วยกมือให้สัญญาณพวกทูตสวรรค์ตั้งท่า
เบื้องหน้าพวกเขา
ทูตสวรรค์จำนวนห้าสิบตนพร้อมอาวุธครบมือพร้อมจะบุกเข้ามาทุกเมื่อ
ถ้าเป็นตำรวจแบบเมื่อกี้ก็ว่าไปอย่างแต่ตอนนี้ฝ่ายนั้นก็ดันกลายเป็นปีศาจทำให้ความต่างชั้นกันของพลังร่นเข้ามา
ถึงจะสัมผัสได้ว่าทูตสวรรค์พวกนั้นเป็นของด้อยคุณภาพที่พลังน่าจะยังเทียบปีศาจในแอพฯ
ที่พวกเขามีไม่ได้ก็ตาม
อิงศรเดาะลิ้น
“ชิ
จำนวนมันเยอะเกินไป”
แล้วส่งสายตาให้เมษา
หมอนั่นพยักหน้ารับอย่างมั่นใจ ในสถานการณ์แบบนี้ถึงไม่ต้องพูดก็มีอยู่คำตอบเดียว
เมษาพูด
“ก็ทางนั้นเขาวอนท์จัดเลยนี่นะ”
แล้วหักนิ้วตัวเองดัง
กร๊อบๆ เตรียมจะมีเรื่องเต็มที่ ดูเหมือนว่าเมษาจะรู้ใจเขา
อิงศรตวัดคันธนูขึ้นไปพาดบนบ่า
พลางอีกมือก็เปิดหน้าจอคลังแล้วล้วงเข้าไปเพื่อหยิบอะไรบางอย่าง
“ก็นะเขาขอมาก็จัดไป
ให้คิดเองสินะงั้นก็เอาตามนั้นแหละ”
กฤษณะจ้องเขม็งมายังพวกเขาที่ทำท่าไม่ระคายต่อจำนวนคนที่แตกต่างกัน
“อะไรกันน่ะท่าทางแบบนั้นดูท่าการไปเผชิญหน้ากับแอดมินิสเทรเตอร์จะทำให้ได้อะไรดีๆ
ติดมือมาสินะงั้นก็น่าสนุกขอดูหน่อยเถอะอิงศรของลูปนี้จะมีพลังขนาดไหนกัน”
พูดจบ
กฤษณะก็ตวัดมือที่ยกขึ้นไปก่อนหน้านี้ลง
“จัดการ!!”
พวกทูตสวรรค์พุ่งออกมาแทบจะพร้อมกัน
หากเป็นกองทหารของมนุษย์แล้วก็คงจะได้ยินเสียงโห่ร้องอย่างฮึกเหิมคอยข่มขวัญศัตรูแต่เพราะพวกมันไม่มีปากจะส่งเสียงแล้วใบหน้าบนศาสตราวุธของพวกมันก็แทบจะไม่ขยับจึงมีเพียงเสียงกระพือปีกดังพึ่บพั่บ
ราวกับฝูงนกออกล่าเหยื่อเสียมากกว่า
แล้วเขากับเมษาก็จะสอยพวกมันลงมาให้เหมือนกับล่านก
อิงศรเหยียดยิ้มแล้วตะโกนสวนพวกมันไปว่า
“ซะเมื่อไหร่เล่า!”
พร้อมกับชักมือที่ล้วงหน้าจอคลังออกมาโดยมีกระป๋องติดมือมาด้วย
เมื่อขว้างกระป๋องนั่นลงไปบนพื้นก็เกิดระเบิดแล้วทำให้ควันพวยพุ่งขึ้นมาจนตลบอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ
กฤษณะที่มองดูเหตุการณ์อยู่ด้านหลังพวกทูตสวรรค์กล่าวด้วยความตกใจ
“อ้าว เฮ้ย!”
แต่กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว
เมื่อกลุ่มควันจางลงอิงศรกับเมษาก้อันตรธานหายไปในโดยไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย
กฤษณะสบถด้วยความเสียดาย
“ให้ตายสิ
อิงศรเนี่ยประมาทไม่ได้เลยสินะ”
@@@
“ดูเหมือนพวกมันจะไม่ตามเรามานะ”
เมษาพูด
“แต่ยังวางใจไม่ได้หรอกตอนนี้ต้องหาทางไปรวมตัวกับพวกขวัญแล้วก็ติดต่อยัยมีนาด้วย”
อิงศรกล่าว
ตอนนี้พวกเขานั่งยองๆ
โดยอาศัยขอบระเบียงดาดฟ้าช่วยกำบัง
บนดาดฟ้าอาคารหลังหนึ่งที่อยู่ห่างไปจากสี่แยกที่หนีมาไม่ไกลนัก
ด้วยเวลาเพียงแค่นั้นวิ่งสุดฝีเท้าก็มาได้แค่นี้
แต่ศัตรูกลับไม่ไล่ตามมานั่นตีความได้เพียงอย่างเดียว
“ตราบใดที่ยังอยู่ในโลกวันที่หนึ่งนี่พวกเราก็เหมือนอยู่ในกำมือพวกมัน”
เมษาหันมาถาม
“แล้วนี่จะเอายังไงต่อ”
“อย่างที่บอกไปนั่นแหละต้องไปรวมตัวกับทุกคน
ตอนนี้เรารู้แล้วว่าตัวการที่ทำให้พวกเราติดอยู่ที่นี่คือฟาวเดชั่นอี”
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นี่อิงศรก็คิดขึ้นมา
คิดว่าป่านนี้ทุกคนจะเจอแบบที่พวกเขาเจอกันไหมนะ
“แล้วทำไมถึงไม่ติดต่อไปเล่า”
ก็นั่นแหละที่เขากำลังคิดหาทางอยู่
อิงศรพูด
“งั้นนายมีโทรศัพท์อีกเครื่องไหมเล่า”
“…”
เมษาทำท่าอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่ง
“จะว่าไปโทรศัพท์พวกเรามันสลายหายไปแล้วนี่นะ”
ความคิดเห็น