คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #247 : Extra Log 243: เหล่าซินเดอเรล่าในวันที่ 1 พฤศจิกายน
Extra
Log 243: เหล่าซินเดอเรล่าในวันที่ 1 พฤศจิกายน
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น...
ภายในโลกวันที่
1 พฤศจิกายน ครั้งที่
1
“ตื่นได้แล้วขวัญ”
“…”
“เฮ้ย
ตื่นซีวะเดี๋ยวก็ตกรถหรอก!”
อิงศรตวาดแล้วกระชากผ้าห่มออกจากน้องชายที่นอนหลับอุตุจนไม่ได้ยินเสียงปลุกของเขา
รวมถึงเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังข้ามไปถึงห้องนอนของเขาก็ยังคงร้องไม่หยุด
พอดึงผ้าห่มออกลมจากเครื่องปรับอากาศก็ไหลลงสู่ผิวของมิ่งขวัญ
ทำให้เด็กหนุ่มตัวสั่นด้วยความหนาว
และตื่นขึ้น
“หนาวอ่า~~”
“รีบๆ
ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว”
“แต่นี่มันเพิ่งตีหน้าเองนะ”
น้องชายตอบด้วยเสียงงัวเงีย
เจ้าน้องชายที่อายุปาเข้าไป 15 ปีแล้ว อยู่ตั้ง
มัธยมต้นปีสามแล้วแต่ยังนอนตื่นสายโดยที่เขาต้องมาปลุกอยู่ทุกวัน
แล้ววันนี้ก็สายเป็นอย่างมากด้วย
เพราะว่ามิ่งขวัญจะต้องไปขึ้นรถที่โรงเรียนเพื่อไปทัศนศึกษา
ที่จริงควรจะตื่นเร็วกว่านี้
“เดี๋ยวก็ไปทัศนศึกษาสายหรอกกวินทร์มารอที่หน้าบ้านแล้วนะ”
พอพูดไปแบบนั้น
พูดชื่อของเพื่อนสนิทที่มารอไปโรงเรียนด้วยกันอย่าง กวินทร์ วชิระ
มิ่งขวัญก็ทำตาโตใส่
“เฮ้ย!
สายขนาดนี้แล้วเหรอ”
ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าตื่นสายเพราะกวินทร์
มารอ....
มิ่งขวัญดีดตัวลงจากเตียงแล้วเตลิดไปเปิดตู้เสื้อผ้า
“เมื่อคืนจัดของแล้วนี่เสื้อก็แขวนเป็นชุดอยู่ตรงนี้แล้วด้วย”
อิงศรพูดพร้อมกับชี้ไปที่ข้างห้องซึ่งมีชุดนักเรียนแขวนด้วยไม้แขวนเสื้อห้อยอยู่แล้วข้างใต้ก็มีกระเป๋านักเรียนที่จัดของเสร็จเอาไว้เรียบร้อย
ซึ่งทั้งหมดนั่นเมื่อคืนเขาเป็นคนเข้ามาบังคับมิ่งขวัญทำเอง
เพราะจนกระทั่งจะเข้านอนอยู่แล้ว มิ่งขวัญก็ยังนั่งเล่นเกมออนไลน์อยู่กับเขาจนดึก
จนต้องมาเตือนให้เข้านอนถึงห้องแล้วก็รู้ว่ายังไม่ได้เตรียมตัวไปทัศนศึกษาเลย
มิ่งขวัญที่เห็นเข้าก็ปิดประตูตู้เสื้อผ้าดัง
ปัง แล้วโผเข้ามากวาดของทุกอย่างตรงออกจากห้องเพื่อไปอาบน้ำที่ห้องน้ำ
อิงศรได้ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย
เพราะขวัญทำให้เขาต้องพลอยตื่นเช้ามาแบบไม่มีความหมายไปด้วย
ตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยมต้นมา
มิ่งขวัญก็สนิทกับเพื่อนชายที่ชื่อกวินทร์
เห็นว่าหมอนั่นเดินทางจากที่บ้านมาผ่านหน้าบ้านเราพอดีก็เลยมารอมิ่งขวัญเพื่อไปโรงเรียนด้วยกัน
แน่นอนว่าทุกทีผมเองก็ไปด้วย แต่วันนี้เป็นวันไปทัศนศึกษาของพวก ม. 3
ก็เลยต้องออกเช้าเป็นพิเศษ
ติ๊ดๆๆๆ
เสียงนาฬิกาปลุกของมิ่งขวัญยังคงดังอยู่
เจ้านั่นออกไปไม่ยอมจัดการอะไรในห้องตัวเองให้เรียบร้อยก่อนเลยซักอย่าง
ไหนยังจะเปิดแอร์ทิ้งเอาไว้อีก
อิงศรตีหน้ามุ่ย
แต่ก็ขี้เกียจจะตามไปต่อว่าแล้วเขาก็ยังง่วงอยู่นิดหน่อยจึงคิดจะกลับไปนอนต่อจนกว่าจะถึงหกโมงเช้า
จึงกดปิดเสียงนาฬิกาปลุก ปิดแอร์แล้วออกจากห้องของน้องชายเพื่อจะกลับไปนอนต่อ
เมื่อถึง 6 โมงเช้า
อิงศรตื่นขึ้นโดยที่ยังสลัดความงัวเงียออกไปได้เต็มที่เพราะการตื่นก่อนเวลาปกติ
หลังจากกลิ้งขลุกอยู่บนเตียงซักซักพักหนึ่งเขาก็ลุกจากเตียงออกไปกิจวัตรเช้า
นี่คือช่วงเวลาที่ได้กลับคืนมาหลังจากการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ในโลกที่ล่มสลายมาถึง
4 ปีเต็ม
แม้แต่ตอนนี้ก็ยังจดจำเรื่องราวในเกมโลกาวินาศได้ราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานทั้งที่พวกเขาได้ย้อนกลับไปแล้วใช้เวลาเติบโตขึ้นมาถึง
4
ปีเพื่อจะกลับมาอายุเท่าเดิมอีกครั้ง
ที่โลกแห่งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับปีศาจหรือพระเจ้าอีกแล้ว
ไม่มีหน่วยงานที่ชื่อว่าอารย-สนธยา
ไม่เมตไตรย
ไม่มีฟาวเดชั่นอี
มีแต่โลกที่สงบสุขซึ่งมนุษย์แสดงความตั้งใจในการก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
อิงศรเดินลงมาจากชั้นสองหลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนชุดนักเรียนแล้ว
พอลงจากบันไดก็จะเป็นห้องนั่งเล่น
พ่อนั่งเก้าอี้ดูโทรทัศน์ซึ่งเปิดช่องข่าวภาคเช้าไว้
ข่าวพูดถึงตัวแทนประเทศที่ไปแข่งขันเกมคอมพิวเตอร์ที่ต่างประเทศ
นักข่าวหญิงในโทรทัศน์กำลังสัมภาษณ์หนึ่งนักกีฬาในทีมที่เป็นผู้หญิง
‘คุณฟ้ากมลคะการแข่งขันในครั้งนี้ตั้งเป้าไว้อย่างไรบ้างคะ’
เธอคนนั้นคือ
ฟ้ากมล วชิระ เป็นลูกพี่ลูกน้องของกวินทร์ที่เป็นเพื่อนกับมิ่งขวัญ
ภายในโลกที่ล่มสลายนั้นหล่อนกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อว่า
ไทเทเนียม เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ
แล้วหล่อนก็ถูกพวกเขาฆ่าตายพร้อมกับลูกในท้อง
แต่ดูเหมือนว่าพอย้อนหลับมาแล้วเธอจะเลือกทางเดินใหม่ที่ถูกต้องกว่าเดิมได้แล้ว
ราวๆ
สี่ปีก่อนหรือตอนที่พวกเขาย้อนกลับมานั่นฟ้ากมลได้แสดงความตั้งใจในการก้าวไปข้างหน้าของตัวเอง
แสดงความตั้งใจจริงของหล่อนที่จะไม่ยอมตกเป็นเครื่องสร้างชื่อเสียงทางการเมืองให้พ่อของหล่อน
เธอประกาศออกมาว่าจะเป็นเกมเมอร์ต่อไปในงานประกาศวางมือนั่น
เธอพูดถึงความภาคภูมิใจของเกมเมอร์จนทำให้ทั้งประเทศยอมรับและพ่อของเธอก็มาเหนี่ยวรั้งไว้ไม่ได้อีกต่อไป
ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่พวกเขาแต่คนอื่นๆ
ก็จะยังจดจำประสบการณ์ในโลกที่ล่มสลายมาได้แล้วก็เข้าใจแล้วด้วยว่าตัวเองควรจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้ากันอย่างไร
อิงศรเลี้ยวขวาจากบันได
ผ่านออกจากห้องนั่งเข้าไปในห้องครัว
ที่หน้าเตาแม่ของเขากำลังทำอาหารอยู่
นั่นน่าจะเป็นส่วนของพ่อเพราะส่วนของเขาถูกจัดรออยู่บนโต๊ะแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอศรวันนี้ขวัญออกไปทันรึเปล่า”
“ทันครับแม่”
อิงศรตอบแล้วนั่งลงที่โต๊ะก่อนจะเริ่มรับประทานข้าวเช้า
ที่โลกนี้พ่อกับแม่ไม่ได้เป็นนักวิจัยของ
อารย-สนธยา ทั้งสองคนประกอบอาชีพทั่วไปเป็นเภสัชกร กับ
พยาบาลที่ทำงานให้โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
….
อิงศรออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปโรงเรียน
พอเดินออกไปถึงถนนใหญ่ตรงที่มีป้ายรถเมล์
ด้านหลังก็จะเป็นร้านตัดผมที่ยังไม่มีลูกค้าในตอนเช้า
อาแปะเจ้าของร้านมักจะนั่งกินปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหูพร้อมกับดูโทรทัศน์ในเวลานี้เสมอ
โทรทัศน์เปิดรายการข่าวอยู่
เป็นข่าวสั้นก่อนจะเข้ารายการหลัก
“แล้วก่อนจะเข้าสู่รายการกันก็มาพบกับข่าวสั้นทันเหตุการณ์
ไอดอลเยาวชนวัยสิบเจ็ด มีนาตัน กำลังจะออกซิงเกิลใหม่”
อิงศรยิ้มเผยอทันทีหลังจากได้ฟังข่าวนั้น
ยิ้มให้กับความสำเร็จของเพื่อน
ในโลกใหม่นี้มีนาไม่ต้องผจญกับโรคร้ายอีกแล้ว
เมื่อไม่มีทั้งปีศาจและพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง
มีนาก็ไม่ถูกทำการทดลองเพื่อสร้างฟันเฟืองหล่อนจึงได้ทำตามความฝันที่อยากจะเป็นไอดอล
รถเมล์มาถึงพอดีตอนที่ข่าวเกือบจะจบอยู่แล้ว...
เมื่อมาถึงโรงเรียน
อิงศรเดินผ่านรั้วประตูโรงเรียนมาโดยที่เหลือเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มเคารพธงชาติ
นักเรียนคนอื่นๆ
กำลังเดินกันไปที่สนามซึ่งจะเริ่มการเคารพธงชาติในตอนเช้า
อิงศรสังเกตเห็นนักเรียนสีผมผิดระเบียบไปจากคนอื่นกำลังยืนคุยอยู่กับอาจารย์พละ
นักเรียนผมสีแดงเข้ม
เมษานั่นเอง
ที่ไว้ผมสีนี้ได้นักเรียนส่วนใหญ่ในโรงเรียนเข้าใจว่าเป็นเส้นสายของ
ธุวดารกะหรือไม่ก็เพราะหมอนั่นเป็นกัปตันชมรมฟุตบอลซึ่งเป็นดาวเด่นอยู่ในขณะนี้เลยได้อภิสิทธิ์พิเศษ
จะมีอยู่ไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่าสีผมของหมอนั่นเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เกิด
“…”
เพราะอะไรกันนะ
จู่ๆ
ก็เกิดคำถามขึ้นมา
อิงศรหยุดเดินแล้วจ้องมองไปที่เมษา
ที่หมอนั่นกับมีนามีผมสีแดงตั้งแต่เกิดมันเพราะคุณสมบัติที่จะเป็นธุวดารกะซึ่งเทวทูตเลือกมาไม่ใช่เหรอแล้วทำไมถึง
ที่จริงแล้วฝาแฝดคู่นั้นมีเชื้อขอบชาวต่างชาติน่ะ
จู่ๆ
ก็ได้ข้อสรุปแบบนั้นมา พอจะคิดหาเหตุผลของคำตอบที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจนั่นเอง
เมษาเคยเล่าให้ฟังตอนที่พามิ่งขวัญไปสมัครเข้าชมรมฟุตบอลแล้วก็ได้เป็นเพื่อนกับหมอนั่นเอาตอนนั้น
มีเหตุผลลอยขึ้นมาอย่างนั้น
ใช่แล้ว
มันเป็นแบบนั้นแหละ อิงศรยอมรับเหตุผลนั่นอย่างง่ายดาย
“เฮ้ย ศร”
เมษาเรียกเขาขณะเดินตรงเข้ามา
หมอนั่นคล้องแขนพาดคอเข้ามาอย่างสนิทสนม
“ปะ เข้าแถวกันเหอะ”
“แต่นายอยู่แถวห้องอื่นนะ”
“เฮ้ย จะเป็นไรไปก็เดินคุยกันก่อนดิจะรีบไปเข้าแถวหาพระแสงอะไรฟะ”
“ก็ไม่อะไรฟะหรอกแค่วันนี้ฉันเป็นเวรนำสวดมนต์ ม. ห้านี่แหละ”
“เอ้า งั้นรีบไปเหอะค่อยคุยอีกทีตอนพักกลางวันก็แล้วกัน”
เมษาปล่อยแขนแล้วแยกกลับไปที่แถวของตัวเอง
เรื่องที่หมอนั่นจะคุยด้วยคือเรื่องอะไรกันนะ
อย่างไรก็ตาม…
อิงศรเริ่มนึกถึงตัวเองในตอนนี้แล้วเปรียบเทียบกับทุกคน
มีนากำลังทำตามความฝัน
เมษาก็เป็นตัวแทนนักฟุตบอลแล้วแถมมิ่งขวัญก็เห็นรุ่นน้องที่มีแววดีคงเดินทางสายนี้ร่วมกับหมอนั้นได้
กวินทร์เองก็ตั้งเป้าหมายว่าจะเข้ามหาลัย
มีแต่ตัวเองยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นอันเหมือนคนอื่นเลย
แค่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ
มีเรื่องน่าแปลกที่กัดกินหัวใจอยู่ในเวลานี้
เรื่องที่ว่า
ทั้งที่แค่จำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกที่ล่มสลาย
ทั้งที่ร่างกายซึ่งย้อนกลับมายังไม่ได้สัมผัสหรือเผชิญมันแต่กลับรู้สึกเหนื่อยล้าจนอยากพักจมอยู่กับช่วงเวลาอันสงบสุขนี่ต่อไปเรื่อยๆ
ช่างขี้เกียจน่าดูชมเลยทีเดียว
เขาตำหนิตัวเองเช่นนั้น
แล้วเดินไปเตรียมเข้าแถวเคารพธงชาติ
เมื่อเข้าห้องเรียนแล้ว
อิงศรก็นั่งลงที่โต๊ะของตัวเอง
ภายในห้องยังคงมีนักเรียนที่เดินไปเดินมา
พูดคุยส่งเสียงดังกัน เนื่องจากอาจารย์ยังขึ้นมาไม่ถึง
ยังพอมีเวลาก่อนจะเริ่มคาบโฮมรูม
อิงศรจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง
ตั้งใจว่าจะเล่นรอจนกว่าอาจารย์จะมา
ทันทีที่เปิดมือถือสมาร์ตโฟนขึ้นมาก็มีการแจ้งเตือนจากแอพเมล์ว่ามีข้อความใหม่เข้ามา
อิงศรเปิดดูข้อความนั้นด้วยความสงสัย
ปกติแล้วในกลุ่มเพื่อนมักจะส่งข้อความกันด้วยแอพไลน์มากกว่าดังนั้นคนที่ส่งเป็นเมล์มาคงไม่ใช่คนรู้จักอย่างแน่นอน
“หรือว่าพวกโฆษณาหลอกขายอีกล่ะเนี่ย”
เขาบ่นไปอย่างนั้นแต่ก็เปิดเมล์ขึ้นมาอ่าน
เนื้อความในเมล์เขียนเอาไว้แบบนี้
จะก้าวต่อไปข้างหน้าไหม?
[ใช่] [ไม่]
ในข้อความคำถามมีลิงก์ที่เขียนทับด้วยคำว่า
‘ใช่’ และ ‘ไม่’ ซึ่งดูแล้วแปลกประหลาดเกินกว่าจะเป็นเมล์ทั่วไป
ถ้าเป็นปกติแล้วเวลาอยากให้ใครเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของตัวเองก็น่าจะส่งลิงก์มาอันเดียวแล้วให้คนอ่านกดเข้าไปดูเอง
แต่นี่กลับทำลิงก์มาทั้งสองตัวเลือก
แล้วไหนจะคำถามนี่อีก
‘จะก้าวต่อไปข้างหน้าไหม’
นี่มันเหมือนกับคำถามที่เขาถูกถามอยู่บ่อยๆ
ในช่วงเวลาแห่งการล่มสลายเลยไม่ใช่หรือ
ทำไม และ อะไร
คือคำถามที่วนเวียนอยู่ในใจของอิงศร เขาชั่งใจอยู่นานว่าจะเพิกเฉยหรือทดลองดีแล้วสุดท้ายความอยากรู้อยากเห็นก็เอาชนะความกังวลกับสามัญสำนึก
เขากดลงไปที่ปุ่ม [ใช่]
หน้าจอถูกสลับไปยังแอพสำหรับท่องเว็บทันทีและกำลังนำเขาไปยังลิงก์ที่ว่า
ครู่ต่อมาเว็บไซต์นั่นก็ถูกโหลดจนเสร็จและแสดงรูปเปลือยของผู้หญิงมาเต็มหน้าจอ
“…”
โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดต่อไปอีก
อิงศรกดปิดแอพทันที
“พวกก่อกวนหรือไงฟระ”
เขาสบถเบาๆ
พลางเก็บมือถือเพราะได้ยินเสียงเพื่อนนักเรียนที่ออกไปดูต้นทางตะโกนมาว่าอาจารย์กำลังจะเดินมาแล้ว
เมื่ออาจารย์ประจำชั้นมาถึงและเขียนวันที่ประจำวันลงบนกระดาน
วันจันทร์ที่
1 พฤศจิกายน
จากนั้นคาบโฮมรูมก็เริ่มขึ้น
@@@
เวลา
11.30 น.
เป็นช่วงพักเที่ยงของพวก
ม.ปลาย
อิงศรนั่งกินข้าวอยู่ที่โรงอาหารโดยร่วมโต๊ะกับเมษาที่นัดไว้ว่าทีเรื่องจะคุยเมื่อตอนเช้า
”แล้วเรื่องที่จะคุยล่ะ”
อิงศรถาม
แล้วเมษาก็หยิบเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดไปที่แอพไลน์
“นรินทร์ไลน์มาว่าวันนี้มีงานวัดอารย-สนธยาเดินสายใกล้ๆ
นี่น่ะเลิกเรียกแล้วไปกันป่ะ”
สรุปก็เรื่องนี้เองหรอกหรือ
อิงศรหรี่ตาแคบลงจ้องมองเมษาเหมือนจะสื่อว่า
‘เรื่องแค่นี้อ่ะเหรอ’
แล้วเจ้าตัวก็เหมือนจะเข้าใจด้วย
“อะไรเล่าก็เห็นนายไม่ตอบมาในไลน์กลุ่มก็นึกว่ายังไม่รู้นี่”
“ฉันตอบไปที่ไลน์ของนรินทร์แล้ว”
อิงศรพูดตัดบทเพียงแค่นั้นแล้วตักข้าวใส่ปาก
ตอนนั้นเองมือถือของเขาก็ดังขึ้นจากเสียงเตือนที่ดังมานั้นน่าจะมีข้อความใหม่ส่งเข้ามาที่ไลน์
เมษาเปิดไลน์ที่ว่าจากโทรศัพท์ของตัวเองให้ดูเพราะมันส่งมาที่ไลน์กลุ่ม
เป็นข้อความจากมิ่งขวัญกับกวินทร์ที่ไปทัศนศึกษากันวันนี้
ทั้งสองคนส่งรูปถ่ายมาให้ ดูสนุกสนานกันมาก
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วเมษาก็ถามอีกครั้ง
“แล้วตกลงว่าจะไปใบ่มะเย็นนี้น่ะจะได้รอที่หน้าประตูโรงเรียน”
“งั้นก็รอพวกขวัญกลับมาที่โรงเรียนด้วยแล้วไปพร้อมกันเลยก็แล้วกัน”
“เออ
งั้นเอาตามนั้นแหละ”
จะได้เจอนรินทร์กับพวกเด็กกำพร้าในเย็นวันนี้
พอคิดขึ้นมาแล้วก็ทำให้ระลึกความทรงจำเก่าๆ วันเก่าๆ ในโลกที่ล่มสลายขึ้นมา
นรินทร์ที่เคยเป็นเจ้าชายนิทราในรอบก่อนตอนนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว
อารย-สนธยาในปัจจุบันไม่ใช่องค์กรแต่เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งเท่านั้นและมักจะมีจัดงานชุมนุมทางศาสนาในหลายๆ
ที่ทำให้มีงานวัดเดินสายไปออกด้วย
พวกฟูที่เคยเห็นเป็นร่างโคลนนิ่งในห้องทดลองของอารย-สนธยา
แต่ที่อยู่กับพวกเขาคงจะเป็นตัวจริงทั้งหมดพวกร่างโคลนแค่ทดลองทำขึ้นมาสำหรับการทดลองเท่านั้น
เพราะไม่งั้นแล้วทั้ง 5 คนนั้นคงจะจำพวกเขาไม่ได้
เพราะจะไม่มีความทรงจำในช่วงเวลาแห่งการล่มสลาย
ถึงจะย้อนเวลากลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งแต่พวกเขาก็ยังจดจำกันและกันได้และเฝ้ารอคอยให้ได้มาพบกันอีกครั้งจนกระทั่งเป็นกลุ่มก้อนที่ติดต่อกันแม้จะอยู่ห่างไกลกันก็ตาม
ถึงตรงนี้เองอิงศรก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีคนที่ยังไม่ได้ชวนอยู่อีกคน
“แล้วมีนาล่ะจะมาด้วยรึเปล่า”
“ยัยนั่นวันนี้มีออกไปให้สัมภาษณ์ข้างนอกด้วยสิลาหยุดที่โรงเรียนไปทั้งวันเลยเห็นว่าจะตามไปทีหลังน่ะ”
@@@
19.00 น. ของวันเดียวกัน
อิงศร มิ่งขวัญ
กวินทร์ และ เมษา เด็กหนุ่มทั้งสี่เดินทางมาถึงที่จัดงานโดยพร้อมเพรียง
ท้องฟ้ามืดไปแล้วก็จริงแต่แสงไฟจากภายในตัวงานทำให้บรรยากาศสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน
บริเวณสนามหญ้าขนาดใหญ่มีแต่ซุ้มร้านค้าตั้งเรียงรายวนเป็นวงกลมรอบสนาม
ถัดไปจากสนามที่จัดงานก็จะเป็นศาลาที่จัดการชุมนุมหลักของอารย-สนธยา
พวกเขารออยู่ที่ซุ้มทางเข้างานจนกระทั่งนรินทร์กับพวกเด็กกำพร้ามาถึง
ทุกคนยังคงดูเหมือนในความทรงจำเมื่อครั้งโลกล่มสลาย
แต่สีหน้าดูดีขึ้น
ได้ยินว่าทุกคนสนิทกับนรินทร์เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้วคงจะมีความเปลี่ยนแปลงในด้านการเลี้ยงดูเกิดขึ้น
จากการที่นรินทร์พยายามเปลี่ยนแปลงอารย-สนธยา
และการที่ไม่มีฟาวเดชั่นอีมาทำให้ไขว้เขว
โลกในตอนนี้สงบสุขและดีขึ้นมาก
ทุกคนต่างก้าวเดินไปในทางที่ถูกต้อง มนุษย์ก้าวต่อไปข้างหน้าแล้ว....
พวกเขาเดินเที่ยวงานกันจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงสามทุ่ม
พวกนรินทร์ก็ขอแยกตัวกลับก่อนงานจะปิดเพราะต้องไปช่วยทางบ้านเก็บสัมภาระสำหรับเดินทางกลับ
ลงท้ายแล้วคนที่ยังไม่มาก็เหลือแค่มีนาคนเดียว
ถึงจะโทรศัพท์ไปหาหล่อนก็ไม่ยอมรับ
ด้วยความเป็นห่วงเมษาเลยขอแยกกลับไปก่อนเผื่อว่ามีนาจะกลับบ้านไปแล้ว
มิ่งขวัญกับกวินทร์ก็รู้สึกเหนื่อยเพราะว่าวันนี้เพิ่งไปทัศนศึกษากันมา
อิงศรจึงให้กลับไปพร้อมกับเมษา
ส่วนตัวเขาจะอยู่ที่งานต่อเผื่อว่าจะเจอมีนาจะได้บอกเธอว่าพวกเขากลับกันแล้ว
หลังจากนั้นเวลาก็ล่วงเลยไปอีกครึ่งชั่วโมงได้
ซุ้มร้านค้าเริ่มทยอยปิดตัวลง แสงไฟอันสว่างไสวภายในงานดับลงทีละดวง
ทีละดวง
จนกระทั่งบริเวณรอบๆ
ไม่มีร้านค้าหลงเหลืออยู่อีก เมื่อเสียงรถกระบะคันสุดท้ายวิ่งออกไป
เวลา 22.00 น.
ที่จัดงานก็กลายเป็นเพียงสนามหญ้ามืดๆ
ที่แทบมองทางไม่เห็น มีแต่ต้องอาศัยแสงสว่างจากถนนที่ส่องเข้ามาช่วยคลำทางไป
อิงศรคิดว่าควรจะกลับบ้านได้แล้ว
มีนาคงไม่ได้มาที่นี่ แต่ในไลน์เมษาก็บอกว่าหล่อนยังไม่ถึงบ้านเลย
ถ้างั้นหล่อนไปไหนกัน ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์
มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่า เขาเริ่มจะเป็นห่วงขึ้นมา
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ที่นี่ไม่ใช่โลกที่ล่มสลายตัวเขาเองก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งไม่มีสกิลหรือพลังพิเศษที่จะช่วยให้รู้ว่ามีนาตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน
ตอนที่ตัดสินใจแล้วว่าจะกลับ
ตัวเขาก็เดินมาถึงซุ้มทางเข้างานที่โดนถอดไปจนเหลือแต่โคนฐาน
ที่นั่นก็มีเด็กสาวอยู่คนหนึ่งกำลังมองล่อกแล่กเหมือนกับหาอะไรบางอย่าง
พอเข้าไปใกล้จนถึงระยะสายตาอิงศรก็ทักชื่อของเด็กสาวคนนั้น
“มีนา”
เด็กสาวสะดุ้งตัวลอยพร้อมกับเงยหน้า
“คุณอิงศร”
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย”
เขาถาม
และแม้ว่าความมืดจะทำให้มองใบหน้าของเด็กสาวได้ไม่ชัดแต่มั่นใจว่าหล่อนกำลังเกร็งใบหน้าอยู่
กำลังเขินอายอยู่หรือ? เพราะว่ามาถึงงานแล้วหาพวกเขาไม่เจอจนกระทั่งงานเลิก
อิงศรถามหล่อน
“ทำไมถึงรับโทรศัพท์”
“เอะ...เออ มือถือแบตหมดน่ะค่ะก็เลยติดต่อใครไม่ได้เลย”
“แล้วมาถึงกี่โมงล่ะเธอรออยู่ที่นี่มาตลอดเลยเหรอ”
เด็กสาวพยักหน้าตอบเรื่องที่อยู่ตรงนี้มาตลอด
“ราวๆ สองทุ่มครึ่งน่ะค่ะ”
....ตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง
เท่ากับหล่อนรอพวกเขานานถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่งโดยที่ไมได้ไปไหนเลย
“ช่างเถอะ นี่ก็ดึกแล้วกลับบ้านกันเดี๋ยวฉันไปส่ง”
มีนาไม่ได้พูดอะไรนอกจากพยักหน้า
แล้วพวกเขาก็เดินออกจากสนามหญ้าไป
@@@
เวลา 23.50 น.
บนรถไฟฟ้า
ด้วยเวลาประมาณนี้ทำให้ไม่มีผู้โดยสารคนอื่นอยู่ในรถนอกจากพวกเขาสองคน
บรรยากาศเงียบขรึม
มีแต่เสียงโฆษณาจากทีวีเท่านั้น
ตอนนั้นเองมีนาก็เริ่มชวนคุย
“คือว่า...”
แต่อิงศรก็พูดขัดเสียก่อน
“ฉันดูข่าวเมื่อเช้าแล้วยินดีด้วยนะที่ได้เดบิวน่ะ”
“อะ...ขอบคุณค่ะ”
หล่อนก้มหน้าลง
ใบแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย
“แล้วคุณอิงศร...”
“หืม มีอะไรเหรอ”
พอเขาถามไปก็ไม่รู้ว่าทำไมแต่มีนาชะงักคำพูดเอาไว้เหมือนกำลังชั่งใจ
“....”
ดังนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเอง
เพราะว่าพอจะเดาได้ว่ามีนาอยากจะคุยเรื่องอะไร
“จะว่าไปเรื่องที่เธอพูดก่อนจะไปที่แชงกรีล่าน่ะ”
“เอ๋ อ่า...ค่ะ”
“มันก็นานมากแล้วไม่รู้จะยังจำได้รึเปล่า”
พอเริ่มพูดหัวข้อเรื่องมีนากลับยิ่งก้มหน้าลงไปอีกและใบแก้มก็แดงจัดขึ้นกว่าเดิม
สาเหตุก็เพราะหัวข้อที่กำลังพูดคุยในตอนนี้คือเรื่องที่หล่อนสารภาพรักกับเขา
แต่ว่านั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะย้อนกลับมา แล้วตอนนี้เวลาก็ผ่านไปอีก 4 ปี ด้วยเงื่อนไขที่แตกต่างกันไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากว่าความรู้สึกของมีนาที่มีต่อเขาจะเปลี่ยนไป
หล่อนคงอายที่ถูกถามถึงเรื่องนั้น
ถ้าอย่างนั้นแล้วก็ลืมมันไปดีกว่า เขาไม่อยากทำให้เธอลำบากใจ
“ไหนๆ แล้วก็ช่างมันเถอะนะ
เรื่องมันก็เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นด้วยฉันจะลืมมันให้หมดเพราะงั้นเธอก็ไม่ต้องกัง...”
ทว่า มีนาก็พูดขัดคำพูดของเขาขึ้นมา
“จำได้ค่ะ”
เด็กสาวตอบเสียงชัดถ้อยชัดคำ
แล้วหันใบหน้าที่แดงจัดด้วยความเขินอายมา
ใบหน้านั้นดูน่ารักเป็นอย่างมาก
ทำให้หัวใจของเขาพลอยเต้นระรัวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มีนาพูด
“แล้วก็ยังยืนยันเหมือนเดิมค่ะ”
“…”
“โธ่
ทำไมคุณอิงศรถึงได้บื้อแบบนี้ล่ะคะ ยังจะมาเกรงใจอะไรกันอีก”
เป็นครั้งแรกที่เห็นหล่อนทำท่าทางเหมือนเด็กขนาดนี้
“ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องพูดบ่ายเบี่ยงก็ได้ค่ะ ถ้าคุณอิงศรรำคาญฉันก็...”
“ฉันก็เหมือนกัน”
“เอ๋?!”
อิงศรขยับตัวเข้าไปใกล้กุมมือของเด็กสาวไว้แล้วพูดความในใจออกไป
“ฉัน...ที่จริงแล้วก็ชอบเธอเหมือนกัน”
แต่ว่า ตัวเขานั้นเหมาะสมกับเธอหรือเปล่า?
อิงศร
พร่ำถามถึงความมีเหตุมีผลของตัวเองว่าทำไมจึงปฏิเสธหล่อนมาโดยเสมอ
ทั้งที่หัวใจอยากจะตอบรับความรักจากหล่อน
เพราะว่าตัวเองนั้นด้อยกว่าอีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ?
ในโลกที่ล่มสลายนั้นเขาเป็นคนที่ไม่มีพื้นเพทางสังคมให้หล่อนได้ผลประโยชน์เลย
แม้กระทั่งตอนนี้
ถึงจะช่วยโลกเอาไว้แต่ด้วยสภาพในปัจจุบันแล้วตนเองก็เป็นแค่คนธรรมดา
เป็นสามัญชนที่ไม่มีทางคู่ควรกับคนจากตระกูลชั้นสูงอย่างธุวดารกะแล้วไหนตอนนี้ยังจะเป็นไอดอลที่มีชื่อเสียงอีก
การคบหากับเขาไม่ได้สร้างผลประโยชน์อะไรให้หล่อนเลย
ดีไม่ดีจะนำปัญหามาให้ด้วยซ้ำ
การที่เป็นคนของมวลชนแต่กลับมีความรักให้กับใครคนหนึ่งเป็นพิเศษ
แล้วคนแบบนั้นดันเป็นเขา คนที่แทบจะไม่มีอะไรเลยคนนี้ จะกลายเป็นจุดด่างพร้อยให้กับอาชีพของเธอไปรึเปล่า
ถ้าอย่างนั้นการตอบรับความรักจากมีนาก็เป็นการกระทำที่ขาดสติและสามัญสำนึกรึเปล่า
ตัวเขากำลังหลงมัวเมาอยู่ในความอยาก
จนสูญเสียความมีเหตุมีผลไป
ราวกับว่าถูกปีศาจชักจูงอยู่
“แต่ว่า เป็นฉันน่ะจะดีแล้วแน่เหรอ”
อิงศรพูดออกไป
คำพูดที่แม้จะไม่ต้องอธิบายอย่างมีนาก็น่าจะเข้าใจได้
เข้าใจว่าการคบหากับเขารังแต่จะสร้างปัญหาให้กับหล่อน
ทว่า...
“ถ้าเป็นฉันมันจะสร้างปัญหาให้คุณอิงศรมากมายขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“...”
“การจะรักใครซักคนมันจำเป็นต้องมีเหตุผลกับผลประโยชน์ด้วยเหรอ”
คำพูดของมีนากินใจเขา
หล่อนพูดด้วยท่าทางออดอ้อน
“...”
แล้วยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้
ความอยาก
ความต้องการ พองตัวขึ้นในอก และเอาชนะความมีเหตุมีผลไป
“นั่นสิ”
เด็กหนุ่มตอบแล้วยื่นใบหน้าเข้าไปหา
ไม่เข้าใจอีกแล้วว่าความมีเหตุมีผล
จะเป็นความถูกต้องหรือไม่
บางทีนี่อาจจะเป็นก้าวเดินที่ผิดพลาดก็ได้
และแล้ว
เสียงก็ดังขึ้น
เสียงเข็มวินาทีดัง
ติ๊กๆๆๆ
เวลาเข้าใกล้เที่ยงคืน
หนึ่งวันนี้กำลังจะหมดลง
เสียงแตรของทูตสวรรค์ดังกึกก้อง
เวทมนต์ของนางฟ้ากำลังจะเสื่อมลงในตอนเที่ยงคืน
ซินเดอเรล่าจะต้องแยกจากเจ้าชาย
เวลาบนจอโทรทัศน์ในรถไฟทุกตัวบอกเวลาเที่ยงคืนตรง
@@@
ติ๊ดๆๆๆ
เสียงนาฬิกาปลุก
ดึงให้อิงศรตื่นขึ้นจากนิทรา
“นี่เรา...ฝันไปเหรอ”
เด็กหนุ่มเหลือบมองจากเตียงไปยังนาฬิกาปลุกที่หัวเตียง
มันบอกเวลาตีห้าตรง
ยังไม่ถึงเวลาที่ตั้งปลุกเอาไว้
ดังนั้นเสียงนาฬิกานี้จึงมาจากที่อื่น
จากห้องของมิ่งขวัญที่อยู่ติดกัน
อิงศรชันตัวขึ้นจากเตียง
พยายามทบทวนความฝันของตัวเอง
เป็นฝันที่ยาวนานมากเสียเหลือเกิน
เขาฝันว่าตัวเองใช้เวลากับชีวิตประจำวันไปเต็มๆ วันหนึ่ง
แล้วก็ฝันว่าได้ดำเนินความสัมพันธ์กับมีนา...
ติ๊ดๆๆๆ
เสียงนาฬิกาปลุกของมิ่งขวัญที่ดังข้ามห้องมาทำให้อิงศรคิดว่าควรจะต้องไปปลุกน้องชาย
ทุกอย่างในช่วงเช้าของวันนั้นช่างดูคุ้นเคย
ละม้ายคล้ายกับความฝันเมื่อคืน
กระทั่งข่าวในโทรทัศน์ก็ยังเล่นซ้ำเหมือนกับในความฝัน
เมื่อมาถึงโรงเรียน
เดินไปเกือบจะถึงสนามรวมเคารพธงชาติ
เมษาก็โผล่มา
“เฮ้ย ศร”
“จะมาคุยเรื่องไปเที่ยวงานวัดเย็นนี้เหรอ”
พอถามไปแบบนั้นเมษาก็ทำหน้าเหลือเชื่อ
“อ้าวรู้อยู่แล้วเหรอ”
นั่นปะไร เป็นอย่างที่กำลังคิดเป็นกังวลเลย
อิงศรดำเนินการสนทนากับเมษาเหมือนที่เกิดขึ้นในความฝันแล้วแยกย้ายไปเข้าแถวที่ห้องของตัวเอง
เมื่อเคารพธงชาติเสร็จ อาจารย์ใหญ่ก็ขึ้นมากล่าวปราศรัยเหมือนที่ฝันเห็นเมื่อคืน
จนกระทั่งเข้าห้องเรียน
ทุกคนในชั้นเรียนต่างเคลื่อนไหวและพูดคุยเหมือนกับในความฝัน
อิงศรเริ่มจะคิดว่ามันแปลกประหลาดขึ้นทุกที
จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
อีกประเดี๋ยวจะต้องมีเมล์ก่อกวนส่งมา
“…”
แต่กลับไม่เป็นแบบนั้น
เขารอจนกระทั่งอาจารย์เข้ามาในห้องเรียนแล้วแต่ก็ยังไม่มีสัญญาณแจ้งว่ามีเมล์ถูกส่งมา
บางทีคงจะคิดมากเกินไป
แต่อิงศรก็คิดว่าควรจะเช็คให้มั่นใจเสียก่อน
เขาเปิดแอพเมล์ขึ้นมา
“อะไรกันน่ะ”
เด็กหนุ่มเบิกตาโผลง
ในกล่องข้อความขาเข้ามีเมล์ฉบับที่ว่าถูกส่งมาเรียบร้อยตั้งนานแล้ว
วันเวลาที่ส่งถูกเขียนเอาไว้ว่าส่งมาตั้งแต่เมื่อวาน
พอเป็นแบบนั้น
อิงศรก็รีบปิดแอพกลับมาดุเวลาที่หน้าจอโทรศัพท์และพบว่าวันที่บนโทรศัพท์บอกคือ
วันที่ 2 พฤศจิกายน
ขณะเดียวกันบนกระดานอาจารย์ก็เริ่มเขียนวันที่บนกระดาน
วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน
อิงศรมั่นใจเป็นที่เรียบร้อย
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ว่าเหตุการณ์ในฝันเมื่อคืนเป็นความจริง
พวกเขาย้อนกลับมา
กลับมายังวันที่ 1 พฤศจิกายน
โดยที่ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าเลย
โปรดติดตามตอนต่อไป
***
เมื่อวานพิมพ์เสร็จไปครึ่งเดียวว่าจะลงเลย แต่กลัวมันจะขาดตอนแล้วยืดเกินจำเป็นเลยเปลี่ยนใจเขียนจนเสร็จ
ตีสองจ้า เลยเลื่อนมาลงเอาวันนี้แทน TwT เพราะงั้นอาทิตย์นี้รับเป็น
2 ตอน ไปก่อนเน่อ วันพุธกับวันศุกร์จะพยายามลงให้ตรงเวลานะอุ๋งอิ๋ง
สำหรับตอนนี้อาจจะเนิบไปบ้างแต่อยากจะแจงไทม์ไลน์โดยละเอียดก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่
1 พฤศจิกายน
มั่งแล้วก็โปรยกิมมิคคำใบ้ลงไปด้วย แอ่วว
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทำไมจึงติดลูปมารอชมกันต่อไปเถอะ!!
โอเมก้า!!***
ความคิดเห็น