คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #234 : Login 231: คมหอกทะลวงแห่งคำสาบาน 1
Login
231: คมหอกทะลวงแห่งคำสาบาน 1
ครืน
ครืน
เสียงดังกึกก้องคล้ายฟ้าร้องดังแว่วลงมาจากเบื้องบน
จากจุดที่อยู่สูงขึ้นไปเหนือดวงจันทร์ของพระเจ้า
มิ่งขวัญจ้องเขม็งขึ้นไปด้วยสายตาที่ดีเยี่ยมกับสัมผัสเหนือมนุษย์ของเผ่าพันธุ์ต่างดาวเขารู้สึกถึงความกดดันอันแปลกประหลาดจากข้างบนนั้น
เป็นความกดดันที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดเทียบเท่ากับพลังของลูนาริสที่อยู่ตรงนี้เลยทีเดียว
แสงสว่าง
“นั่นมัน…แสงงั้นเหรอ”
แสงสว่างกำลังเคลื่อนตัวลงมาจากท้องฟ้า
ราวกับน้ำตกที่ไหลบ่าลงมา
เสียงหวีดหวิวเหมือนกับมีอะไรแหวกอากาศดัง
ฟ้าว แล้วพริบตาถัดมา
ตูมมมม!! เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับการสั่นสะเทือนของลิฟต์
“เหวอ”
กวินทร์ที่ช่วยพยุงตัวอิงศรอยู่อีกข้างส่งเสียงขณะเซถลาไปตามแรงสะเทือน
แต่มิ่งขวัญจิกเท้ากับพื้นรอตั้งแต่ก่อนที่แสงสว่างจะตกกระทบใส่ลิฟต์ไปแล้ว
แสงสว่างทะลวงผ่านพื้นที่ตรงกลางลิฟต์ลงไปด้านล่าง
แสงเจิดจ้าทำให้ดวงตาพร่ามัวไปชั่วขณะ
มิ่งขวัญยกโล่ขึ้นกำบังหลบสายตาจากแสงสว่างที่เจิดจ้าเกินไปนั่น
“...อึก นี่มัน”
มิ่งขวัญหวนนึกถึงเหตุการณ์ในสนามรบที่ชายหาดในความครอบครองของเมตไตรย
แสงสว่างที่ตกลงมาแผดเผาทุกสรรพสิ่งเป็นเถ้าถ่านในพริบตาหลังจากที่ลูนาริสกลับไป
มันคือแสงเดียวกัน…
กวินทร์พูด
“นี่มันเหมือนกับที่สนามรบตอนนั้นเลยนี่”
แล้วก็มีเสียงดังมาจากทางด้านหลัง
“ซุปเปอร์โนว่าน่ะ”
กวินทร์หันไปถามเจ้าของเสียงซึ่งก็คือซีลอร์ดนั่นเอง
“ซ...ซุปอะไรนะ”
“ซุปเปอร์โนว่าเป็นพลังของโซลาริสมันจะลบทุกอย่างให้หายไปได้อย่างหมดจดเลยล่ะที่พวกเธอเห็นกันตอนที่อยู่บนสวนน่ะมันเป็นส่วนปลายของพลังไปแล้วเลยแค่เผาทุกอย่างจนกลายเป็นขี้เถ้าแต่ถ้าโดนอันนี้ไปล่ะก็ไม่ต้องถามถึงเรื่องชุบชีวิตเลย
เป็นการลบทิ้งไปแบบที่ไม่ให้กู้ข้อมูลคืนมาได้เลยล่ะ”
เนื้อหาที่ซีลอร์ดพูดมานั้นมิ่งขวัญสนใจอยู่เพียงแค่
‘การชุบชีวิต’ ก่อนหน้านี้ก็เคยเห็นมาแล้วว่าหมอนี่คืนชีพให้คนตายได้จริงๆ
ถ้าอย่างนั้นเหล่าครอบครัวที่ตายไป พวกพ้องที่เสียสละไปก่อนหน้านี้ก็น่าจะ…
แต่ซีลอร์ดก็พูดขัดความคิดนั้นทันที
“เสียใจด้วยนะกรณีนั้นเป็นข้อยกเว้นน่ะแล้วถึงอยากทำผมก็ทำแบบนั้นบนระบบอาคาชิกไม่ได้ด้วยพวกเธอที่ผ่านเทอร์มินัลมาแล้วก็เหมือนถูกแปลงสภาพจากเลือดเนื้อภายในสวนเป็นข้อมูลชนิดเดียวกับตัวผมในตอนนี้ไปแล้ว”
เพราะอ่านใจมิ่งขวัญอยู่จึงรู้ว่าตอนนี้มีความขุ่นมัวของอารมณ์เกิดขึ้น
“ถ้าพวกเธอเอาชนะเกมนี้ได้แล้วย้อนกลับไปแค่นั้นปัญหาก็จบแล้วนี่”
สรุปก็คือไม่สามารถชุบชีวิตในระหว่างเกมได้นั่นเอง
บนเกมฆ่าฟันกับพระเจ้าการชุบชีวิตถือว่าเป็นการโกงสินะ
“ถึงโกงไปก็ไม่ชนะอยู่ดีนั่นแหละ”
มิ่งขวัญตัดพ้อแล้วพักเรื่องการชุบชีวิตคนที่ตายไปแล้วไว้เพียงแค่นั้นแล้วคิดถึงเรื่องที่ต้องทำ
ต้องช่วยที่ยังเหลืออยู่ที่นี่ให้ได้ก่อน
ต้องมีชีวิตรอดจึงจะจบเกมนี้ได้
ดวงจันทร์ที่อยู่ห่างออกไปเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เสาแห่งแสงที่ปักอยู่ตรงกลางลิฟต์
มันหมุนรอบตัวเองไปด้วยขณะที่มุดเข้าไปใต้ลำแสงแล้วผิวหินอันเงางามก็ทำให้เสาแสงสะท้อนออก
การหมุนของมันทำให้แสงกระจายไปทั่วทั้งท้องฟ้ารวมถึงสาดลงมาที่ลิฟต์
แสงแผดเผาพื้นลิฟต์
ตรงส่วนนั้นก็หายวับไปในพริบตา ที่ว่าถูกลบอย่างสมบูรณ์คือแบบนี้เอง
ถ้าโดนเข้าไปก็คือเกมโอเวอร์เลย
แม้แต่ศพของพวกพ้องที่เกมโอเวอร์ไปแล้วก็ถูกลบหายไปทันทีที่สัมผัสถูกแสงสว่าง
เพียงแค่หายวับไปเหมือนอากาศธาตุ
“รีบหนีก่อนเถอะ”
มิ่งขวัญพูดแล้วหุบปีกของชุดอัศวินทองคำรวมถึงสลายวงแหวนเพลิงบนหลังออก
เป็นเหมือนกับการดับเครื่องชั่วคราว แล้วหิ้วปีกอิงศรเดินมุ่งหน้าเข้าไปใกล้ใจกลางของลิฟต์
“รอแปบนะ”
กวินทร์พูดอย่างนั้นแล้ววิ่งไปอุ้มซีลอร์ดขึ้นมาจากพื้น
“เบากว่าที่คิดแหะ”
“รีบๆ เข้าเถอะน่าเดี๋ยวก็ตายหรอก”
มิ่งขวัญเร่งแล้วเดินนำไปก่อน
กวินทร์ไล่ตามมาทีหลัง
แสงค่อยๆ
กลืนเข้ามาจากวงนอก
แค่ไม่กี่วินาทีลิฟต์ที่กว้างเหมือนสนามฟุตบอลก็หดเล็กลงเหลือแค่หนึ่งในสาม
ยิ่งขยับหนีก็ยิ่งเข้าไปอยู่ใต้เงาของดวงจันทร์
พวกเขาเข้าไปเกือบถึงใจกลางของลิฟต์แต่ว่าตรงใจกลางนั่นก็ยังมีหลุมกลวงที่เกิดจากลำแสงที่ตกลงมากระทบตอนแรกอยู่ทำให้พื้นที่หลบมีจำกัด
และแล้ว…
แสงก็ขยับมาจนถึงจุดในสุดเท่าที่มันจะสะท้อนไปได้
ลิฟต์เหลือพื้นที่กว้างเท่าเงาของดวงจันทร์เท่านั้น เส้นผ่าศูนย์กลางราวๆ 20 เมตรได้
กวินทร์พูด
“เอาไงต่อดีล่ะเนี่ย”
“มาถามฉันแล้วจะไปถามใครกันเล่า”
มิ่งขวัญจ้องไปยังอิงศรที่ยังหมดสตินอนเกยคางอยู่บนไหล่ของเขาแล้วภาวนาภายในใจให้พี่ชายฟื้นเสียที
“…”
“ไม่ไหวแบบนี้จะเสร็จมันเมื่อไหร่ก็ขึ้นกับเวลาแล้ว”
เวลาที่ว่าก็คือจนกว่าลูนาริสจะหาวิธีเบี่ยงลำแสงลงมาใต้เงาตัวเองให้ได้หรือเร็วกว่านั้นก็คือ…
“มันมาแล้ว!”
กวินทร์โพล่งแล้วทิ้งตัวซีบอร์ดลงพื้นไปพร้อมกับชักดาบที่เหน็บหลังออกมา
พระจันทร์กำลังตกลงมา
ไม่สิมันแค่หยุดลอยขึ้น
แค่รอให้ลิฟต์พาพวกเขาขึ้นไปโดนบดซะเอง นั่นคือทางที่เร็วที่สุดในการกำจัดพวกเขา
คือบดขยี้ไปพร้อมกับลิฟต์ที่เหลือพื้นที่เท่าเงาของดวงจันทร์
ก่อนที่ลิฟต์จะดันพวกเขาขึ้นไปชนกับพระจันทร์
กวินทร์ก็ยกดาบขึ้นไปยันกับพื้นผิวของดวงจันทร์เอาไว้
โดยเปลี่ยนลูกแก้วพลังบนดาบเป็นสีทอง
“คมเขี้ยวทองคำตัดผ่านจันทรา มิคาสึกิ มุเนะจิกะ”
ออร่าพลังแผ่พุ่งออกมาจากร่างของกวินทร์
ออร่าสีทองคล้ายสุนัขป่าห่อหุ้มกวินทร์ไว้
ด้วยพลังของออร่านั่นช่วยให้กวินทร์มีพลังพอจะยืนค้ำลิฟต์กับดวงจันทร์ได้
“แบบนี้คงได้ซัก…พัก…อึ้ยยย”
ลิฟต์หยุดแล้วก็จริง
แต่ต่างกายของกวินทร์ที่เป็นเสาค้ำก็สั่นสะท้านไปหมด
ดูเหมือนว่าออร่าสีทองนั่นจะช่วยเสริมให้ร่างกายแข็งแกร่งเพียงพอจะยันลิฟต์เอาไว้ได้ไม่นานนัก
มิ่งขวัญหันไปทางซีลอร์ด
“เฮ้ นายน่ะรู้วิธีเอาเจ้านี่ลงไปข้างล่างไหม”
กล่าวคำถามพลางตบมือไปที่พื้นลิฟต์
แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเลย
“ทำไม่ได้หรอก
เทอร์มินัลถ้าทำงานแล้วจะต้องขึ้นไปถึงข้างบนสุดก่อนเท่านั้นถึงจะลง”
มิ่งขวัญสบถให้กับคำพูดนั่น
“บ้าจริง…”
จู่ๆ
ลิฟต์ก็สั่นแล้วเริ่มตกลงไป
“เหวอ”
ทิวทัศน์รอบๆ
ที่โดนอาบย้อมด้วยแสงกำลังไหลขึ้นไป พวกเขากำลังตกลงไปข้างล่าง
“เจ้านั่นมันดันลงมางั้นเรอะ”
กร๊อบ
เสียงกระดูกลั่นดังมาจากร่างของกวินทร์ที่เริ่มจะคานน้ำหนักของลิฟต์กับดวงจันทร์เอาไว้ไม่อยู่
“ชิ มาได้แค่นี้เอง…อั่ก”
เสียงกระดูกลั่นร้าวดังระรัว
กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ
ร่างกายของกวินทร์กำลังจะถูกบดขยี้
กระดูกซี่โครงน่าจะแหลกไปบ้างแล้วลำตัวของกวินทร์ถูกกดทับจนยู่ยี่
ที่ยังยืนค้ำได้อยู่นี่คงเป็นพลังยึดเหนี่ยวของสกิลล้วนๆ
ถึงจะเจ็บปวดทรมานขนาดไหนแต่กวินทร์ก็กัดฟันทนเอาไว้
จนใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวด
“เฮ้ย ทำใจดีๆ ไว้นะ!”
มิ่งขวัญวางอิงศรลงแล้วดันแขนขึ้นไปช่วยแบกพระจันทร์อีกแรง
แต่ก็แทบไม่ช่วยอะไรเลย
พระจันทร์กดทับลงมา
ความหนักนั้นต่อให้มนุษย์ต่างดาวจะแบกตึกได้ทั้งหลังก็ยังไม่พอ
แขนถูกดันลงมาเรื่อยๆ
กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ
“…อึก”
กระดูกของกวินทร์ลั่นเสียงราวกับกรีดร้อง
โดยที่เขาช่วยอะไรไม่ได้
ฟังจากเสียงนั่นกระดูกซี่โครงคงแหลกไปแล้ว
กวินทร์ทรุดเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้น
พยายามเหยียดแขนดันพระจันทร์ให้มีความสูงเทียบเท่าเดิม
แต่อวัยวะในร่างกายก็เสียหายไปมาก
”อั่ก…แค่ก แค่ก”
กวินทร์กระอักเลือดออกมา
มิ่งขวัญมองดวงตาที่ใกล้จะหมดสติของกวินทร์ด้วยความเป็นห่วง
“…”
แล้วสบถคำราม
“โธ่เว้ย จะทำยังไงดีเนี่ย!”
พยายามกวาดสายตามองหาสิ่งที่จะใช้ประโยชน์ได้
แต่ว่าที่นี่ไม่มี…
มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ
รอบด้านถูกโอบล้อมด้วยแสงมฤตยูกับความสูงที่ให้ขยับตัวมีพอแค่ให้นั่งยองๆ
เท่านั้น
มิ่งขวัญมองขึ้นไปที่ดวงจันทร์แล้วคิดว่าทางเดียวที่จะรอดก็คือทำลายมันทิ้ง
แต่จะทำยังไง?
ถ้าโจมตีด้วยท่าที่มีพลังงานสูงแล้วไม่ได้ผลขึ้นมา
แรงสะท้อนจะเป่าเขากับกวินทร์แล้วก็จะโดนพระจันทร์ทับตายกันหมด
ในเวลาแบบนี้ถ้าศรอยู่ด้วยล่ะก็…
มิ่งขวัญเหลือบสายตาไปยังพี่ชายที่ยังคงไม่ได้สติ
ถ้าเป็นศรจะทำยังไง
เวลาแบบนี้จะคิดหาทางออกได้รึเปล่านะ
คิดสิ คิดสิ คิดสิ
คิดเข้าไปเซ่!
มิ่งขวัญเร่งเร้าตัวเองแบบนั้น
แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
พลางก็นึกสมเพชตัวเองที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเอาแต่โยนหน้าที่นั้นให้พี่ชายอยู่เสมอ
แล้วไงล่ะ
ทีนี้พอต้องคิดเองก็เลยคิดอะไรไม่ออกเลย
“…”
มิ่งขวัญเหม่อมมองดวงจันทร์อย่างสิ้นหวัง
ภายในสมองมีแต่ความสิ้นหวังหมุนวนไปมา
จบแล้ว
จบแล้วล่ะ
มันจบสิ้นไปแล้ว
มีแต่ทางตัน
จะคิดหาทางออกอย่างไรก็มืดแปดด้านไปหมด
ทั้งที่รอบตัวตอนนี้สว่างไสวเสียยิ่งกว่ายืนอยู่กลางแดดในช่วงเที่ยงวันเสียอีก
พระจันทร์ยังคงหมุนไปหมุนมา
เสียงเสียดสีกับดาบของกวินทร์และเสียกระดูกลั่นบรรเลงคลอกันคลอกันมาราวกับจัดคอนเสิร์ต
ชื่อเพลงคงจะเป็น
‘ความตายสูงแค่เมตรครึ่ง’ ล่ะมั้ง ตอนนี้เหลือระยะทางก่อนโดนบดอยู่แค่นั้น
“…”
“…”
“…นั่นมัน”
ตอนนั้นเอง
มิ่งขวัญก็สังเกตเห็นเข้าจนได้
พระจันทร์ที่หมุนอยู่กำลังหันด้านของมันไปเรื่อยๆ
เพื่อให้แสงสว่างสะท้อนออกไปแล้วมันก็หันด้านๆ หนึ่งที่มีตำหนิมา
ตำหนิสีดำเล็กๆ
ปรากฏอยู่บนผิวสีขาวนวลของดวงจันทร์
รอยร้าว
รอยร้าว
ขนาดเท่ารูมดและยังแตกไม่ลึกนัก
รอยร้าวที่สายฟ้าของอิงศรทิ้งไว้นั่นเอง
“ถ้าใช้นั่นล่ะก็...”
บางทีอาจจะใช้ได้
ถ้าทะลวงให้มันขยายรูกว้างกว่านี้ได้ล่ะก็
ถ้าผิวสะท้อนที่ราบเรียบคือตัวทำให้แสงมฤตยูนี่ไม่สามารถลบดวงจันทร์ได้ล่ะก็
ถ้าเกิดว่าทำรอยตำหนิขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ล่ะก็
...ตอนที่มันหันด้านขึ้นไปโดนแสงสว่างก็จะโดนลำแสงทำลายเสียเอง
“….”
ดูเหมือนพระเจ้าจะยังไม่รู้ตัวว่าพี่ชายได้สลักรอยแผลที่จะนำพามันไปสู่ความตายลงไว้ที่ร่างแล้ว
แต่การจะทำแบบนั้นก็จำต้องเอาตัวเข้าแลกอยู่เหมือนกัน
โอกาสมีแค่เสี้ยววินาทีก่อนที่มันจะหันด้านที่มีรอยร้าวกลับขึ้นไป จะต้องทุ่มพลังทั้งหมดแหวกรูเท่ามดนั่นให้กว้างขึ้น
“….”
หากพลาดขึ้นมาก็จะตายเปล่าแล้วต่อให้ทำสำเร็จก็ยังเสี่ยงจะถูกแสงสว่างที่สูญเสียการควบคุมพุ่งเข้ามาเล่นงานเอาได้เหมือนกัน
ที่พระเจ้าว่าจะร่วมมือกันกำจัดพวกตนเป็นความจริง
การผสานอันสมบูรณ์แบบที่เกิดขึ้นนี้หากไม่สละชีวิตของใครซักคนก็เอาชนะไม่ได้หรือต่อให้สละไปแล้วก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้ด้วยซ้ำ
ถ้างั้น....
จะต้องตาย
ตัวเองจะต้องตายเพื่อต่อชีวิตให้ทุกคนที่นี่
“….”
แต่ถ้าไม่ทำก็จะตายกันหมดเหมือนกัน
“….”
มิ่งขวัญก้มหน้าลง จ้องมองใบหน้าของพี่ชายที่ยังไม่ได้สติด้วยสายตาเว้าวอน
อิงศรจะเป็นอย่างไรต่อถ้าหากว่าเขาตายขึ้นมา
จะถูกฆ่าตายเอาทีหลังหรือจะฟื้นขึ้นมาแล้วเศร้าเสียใจและโทษตัวเองอีก
จะอย่างไหนก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น
“ม...ไม่...ไม่ไหวแล้ว..”
กวินทร์ร้องครางอย่างสิ้นหวัง
แขนที่แบกดาบค้ำยันดวงจันทร์เอาไว้เริ่มหักงออย่างผิดรูปผิดร่าง
กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ
กระดูกกำลังกรีดร้องอย่างทรมาน
กรีดร้องว่ามันไม่อาจต้านทานน้ำหนักแห่งบาปที่พระเจ้าประทานให้ไหวต่อไปอีก
ผิวของดวงจันทร์บดขยี้ลงมา
ขณะเดียวกันด้านที่มีรอยตำหนิก็ใกล้จะหมุนวนขึ้นไปข้างบน
ถ้าหากยังมัวลังเลต่อไปนอกจากจะไม่เหลือช่องว่างความสูงพอให้ทุ่มพลังโจมตีใส่
แต่รอยร้าวนั่นยังจะหนีไปได้อีก
ต้องรีบตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้
“กวินทร์”
“อะไร”
“ฉันจะเชื่อใจนาย”
“มาพูดเรื่องแบบนั้นเอาป่านนี้…แค่ก”
”...เนี่ยนะ
แต่ก็ดีใจที่ได้ยินก่อนตายแหละได้เป็นเพื่อนกับขวัญเนี่ย อึก...ดีใจที่สุดเลย”
”เพราะงั้นฝากศรด้วย”
“เอ๋”
มิ่งขวัญจับหอกมั่นด้วยสองมือ
กวินทร์ยังคงเรียกถามเขาอยู่
“คิดจะทำอะไร...”
แต่มิ่งขวัญเมินเสียงนั้น
กางปีกที่หุบออก เรียกวงแหวนเพลิงสีฟ้าครามให้ออกมาอยู่ตรงหน้า
“...ขวัญ”
“อย่านะ...อย่าไปนะ”
“ขวัญญญ!!!”
ความคิดเห็น