คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #214 : Login 211: ยมทูตกลับหัว 5
Login
211: ยมทูตกลับหัว 5
ขณะเดียวกัน
กวินทร์ เมษา ฟู มิกซ์
เด็กหนุ่มทั้งสี่รับหน้าที่ต้านการบุกโจมตีของกฤษณะเพื่อยื้อเวลาให้อิงศรกับคนอื่นไปดูอาการมิ่งขวัญ
แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรกฤษณะได้
การโจมตีทุกอย่างได้ผลก็จริงแต่กฤษณะมีพลังฟื้นตัวสูงขนาดเรียกได้ว่าเป็นอมตะ
ไม่นานนักพวกเขาทั้งสี่คนก็พ่ายแพ้อย่างหมดรูป
พี่เมษา ฟู กับ
มิกซ์ โดนซัดจนสลบเหมือดไปแล้ว
ตอนนี้เหลือแค่ตัวเองที่คนเดียวแล้วก็คงจะตามพวกนั้นไปในอีกไม่ช้า
กวินทร์คิดอย่างสิ้นหวัง
ร่างเขาสะบักสะบอมมีแต่รอยฟกช้ำไปทั้งตัว
กฤษณะแทบไม่ได้ใช้สกิลหรืออาวุธสู้แต่ใช้หมัดกับลูกถีบก็จัดการพวกเขาที่อาวุธครบมือได้อย่างง่ายดาย
พลังมันต่างกันขนาดนั้น ต่างกันมากจนแทบสิ้นหวัง
“อ้าวๆ
ทำหน้าแบบนั้นออกมาซะแล้วเหรอกวินทร์ปกติแล้วคนที่ถอดใจยากที่สุดน่ะมันเธอนะ”
กฤษณะพูดด้วยรูปแบบที่แปลกไปจากเดิม
เป็นคำพูดเหมือนคนสนิทเป็นกันเองหมอนั่นเริ่มใช้คำพูดแบบนั้นตอนที่ใบหน้าจริงถูกเปิดเผยใบหน้าเหมือนกับพี่นรินทร์ราวกับเป็นฝาแฝดแต่มีเส้นผมสีเงินจนคิดกันว่าน่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มีต้นแบบมาจากพี่นรินทร์
แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธเรื่องที่เป็นมนุษย์ต่างดาวมาแบบอ้อมๆ
บอกว่าพวกเขาคิดกันซับซ้อนเกินไปแบบนั้นน่าจะเป็นการปฏิเสธว่าตัวเองไมได้เป้นอย่างที่พวกเขากำลังคิด
ถ้าอย่างนั้นแล้ว...
“แกเป็นตัวอะไรกันแน่”
“หืม ถามข้าเหรอนั่นสินะเป็นตัวอะไรกันดีล่ะหน้าเหมือนนรินทร์สีผมเหมือนมนุษย์ต่างดาวงั้นก็คงเป็นมนุษย์ต่างดาวอย่างที่พวกเธอว่าล่ะมั้งแล้วไงต่อล่ะมนุษย์ต่างดาวคนนี้ไม่เหมือนงั้นเหรอ”
ตอนนั้นเอง
โพแทสเซียมซึ่งยืนดูเชิงโดยไม่เข้ามาช่วยก็พูดแทรก
“แหมๆ
ถ้ามีมนุษย์ต่างดาวเก่งระดับคุณแต่พวกผมไม่รู้จักเนี่ยมันคงเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้วล่ะ”
“ก็นั่นสิน้า~~งั้นเอาเป็นว่าข้าน่ะคือผู้รุกรานก็แล้วกัน...”
กฤษณะชะงักคำพูดไปตอนที่เห็นแสงสว่างส่องประกายมาจากที่พวกอิงศรมุงกันอยู่
“นั่นมันอะไรก็ไม่รู้หรอกนะแต่ว่าไม่ปล่อยให้ทำหรอก”
กฤษณะพูดแล้วสร้างกงจักรแสงขึ้นในมือ
ดูเหมือนว่าจะเป็นพลังของปีศาจเพราะไม่มีการร่ายชื่อสกิลออกมา
แล้วกงจักรก็เป็นเครื่องยืนยันว่าพลังส่วนนั้นน่าจะเป็นของปีศาจเพราะชายคนนี้อ้างตัวว่าเป็นดิวินิแดดด้วย
กฤษณะซัดกงจักรออกไปมุ่งหน้าตรงไปยังที่ๆ
แสงสว่างเจิดจ้าที่สุด ตรงนั้นมิ่งขวัญน่าจะอยู่ที่นั่น
“ขวัญ!!”
ไม่รู้ว่าทางนั้นเกิดอะไรขึ้นแต่กวินทร์ก็เป็นห่วงมิ่งขวัญยิ่งกว่าตัวเองจนเผลอหันหลังให้ศัตรู
หันไปมองมิ่งขวัญ
ทว่า
กงจักรกลับสะท้อนออกมาแล้วสลายไปในทันที
มองเห็นว่ากงจักรถูกสิ่งที่เหมือนกับหอกสีขาวบริสุทธิ์ปัดสะท้อนออกมา
เมื่อแสงสว่างดับลงมิ่งขวัญก็ปรากฏตัวขึ้นในชุดเกราะอัศวินทองคำ
โกลด์กาแลนต์ แต่ว่า
“ไม่ใช่โกลด์กาแลนต์นี่นาแล้วก็ขวัญดูโตขึ้นรึเปล่านะ”
ชุดสีแดงกับกางเกงสีดำที่สวมอยู่คล้ายกับชุดตอนที่แปลงร่างด้วยสกิล
เวพอนไนซ์โกลด์กาแลนต์ อยู่ก็จริงแต่มีรายละเอียดแตกต่างกันแล้วก็มิ่งขวัญที่สวมใส่มันอยู่มีใบหน้าที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
ความสูงก็เหมือนจะเพิ่มขึ้น กะอายุคร่าวๆ แล้วน่าจะประมาณพวกพี่ศร อายุอยู่ที่ 17 ปีเห็นจะได้
“เพื่อปลดปล่อยสรรพสิ่งที่ถูกพันธนาการจงจุติลงมายังที่นี่
ลำนำแห่งอนาคตผู้ปลุกการปฏิวัติโกลด์กาแลนต์เอ็กซ์!!”
มิ่งขวัญตวัดหอกสีขาวในมือจากนั้นเปลวไฟสีครามก็พวยพุ่งออกจากร่าง
เปลวไฟค่อยๆ ใสขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นแสง
กลายเป็นปีกแห่งแสงเหมือนรูปตัว
X
นั่นอาจจะมีควาหมายแฝงเกี่ยวกับอาคานาร์ของมิ่งขวัญ
จำได้ว่าอาคานาร์แห่งโชคชะตาของมิ่งขวัญคือ เดอะ ฟอร์จูน ซึ่งมีเลขลำดับที่สิบหรือ
X นั่นเอง
“นี่เจ้า!”
จู่ๆ
กฤษณะก็พูดเหมือนกับตกใจ แล้วมิ่งขวัญก็ตอบโต้ไปทันทีว่า
“เป็นอะไรไป”
น้ำเสียงสุขุมเกินกว่าจะบอกว่าเป็นขวัญ
ถึงตอนที่ได้เจอมิ่งขวัญจะค่อนข้างทำตัวเย็นชาแต่ก็พอจะรู้ว่าที่จริงแล้วแค่เป็นเด็กขี้อายกว่าที่เห็น
พอได้สนิทกันถึงรู้ว่าเสียงที่พูดอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ขวัญที่เขารู้จัก
“ตกใจที่เห็นฉันมาอยู่ที่รูทนี้หรือว่า...”
มิ่งขวัญชูหอกให้ดูแล้วพูดต่อ
“ตกใจที่เห็นหอกเมสสิยาห์ของพี่ชายที่สละชีวิตเพื่อปกป้องโลกในรูทที่แกจากมากันล่ะผู้รุกราน”
ปฏิกิริยาของกฤษณะเปลี่ยนไปอย่างมาก
ดูเหมือนจะคงท่าทีเย็นใจเอาไว้ไม่ได้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการปรากฏตัวของมิ่งขวัญในสภาพนี้ส่งผลให้เป็นแบบนั้นหรือเพราะอะไรก็ตาม
ขณะเดียวกันอิงศรที่อยู่อีกฟากก็เรียกน้องชาย
“ขวัญ...”
“คิดถึงจัง…เสียงของพี่ชายแต่ว่าร่างในรูทนี้กำลังถูกแทนที่ด้วยความนึกคิดของฉันอยู่”
มิ่งขวัญตอบโดยที่ไม่หันกลับไปสบตากับพี่ชาย
“แล้วก็ไม่ต้องห่วงนะ
อสูรในตัวมันสลายไปหมดแล้วล่ะสภพาร่างในตอนนี้ไม่กายเนื้อที่อสูรจะสิงสู่ได้ด้วยล่ะนะ”
“เดี๋ยวก่อนขวัญ
นี่นายพูดเรื่องอะไรของนายน่ะแล้วร่างแบบนั้นมันยังไงกันแน่”
“ก็เหมือนกับเจ้านั่นแหละ”
มิ่งขวัญชี้ปลายหอกไปยังกฤษณะ
“นี่เป็นร่างที่ก้าวข้ามมาจากอนาคต
มาจากอีกความเป็นไปได้หนึ่งจากความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน
ตัวฉันในรูทนี้ได้สร้างเส้นทางที่นำพลังของตัวตนในอนาคตมารวมกับร่างนี้เพราะแบบนั้นอสูรในตัวถึงโดนกฎของกาล-อวกาศบดขยี้ไปแล้ว”
ที่ขวัญพูดมานั้นอิงศรพอจะสรุปได้แบบนี้
อวาแทรนซ์ที่เกิดขึ้นมาเมื่อตอนนั้นคือ
พลังใหม่ของอาคานาร์ของมิ่งขวัญ ได้นำพาตัวตนในอนาคตของมิ่งขวัญมายังห้วงเวลานี้
แล้วการคงสภาพร่างกายให้เป็นแบบที่เห็นก็คงจะเป็นการฝืนธรรมชาติจนถึงกับทำให้สิ่งแปลกปลอมในร่างกายอย่างอสูรโดนผลสะท้อนการบิดเบือน
กาล-อวกาศ จนสูญสิ้นตัวตนไป
แต่แบบนั้นมัน… พลังที่บิดเบือนกาลเวลาถึงขั้นกลายเป็นตัวเองในอนาคตแบบนี้มันเกินกว่าสามัญนึกไปแล้ว
ยิ่งรวมกับที่บอกว่าร่างในตอนนี้เหมือนกับกฤษณะแล้วก็ท่าทีที่เหมือนกับรู้จักกันมาก่อนนั่นหรือว่ากฤษณะก็คือร่างในอนาคตของนรินทร์อย่างนั้นเหรอ
กฤษณะพูด
“พี่น้องพบหน้ากันอีกครั้งต่างวาระต่างสถานที่งั้นเรอะน่าประทับใจดีนี่น้ำตาไหลเลยล่ะ”
“ยังจะพูดแบบนั้นได้อีกก็แค่ตอนนี้แหละ”
“ไม่เอาน่าถึงจะอาละวาดที่นี่ต่อไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้หรอกมันไม่ใช่โลกของพวกเราแล้วรูทนี้ก็คงลงเอยเหมือนเดิมนั่นแหละความสิ้นหวังรออยู่ที่ปลายทาง
การช่วยเหลือเป็นแค่น้ำเลี้ยงที่มีให้หวานชุ่มคอได้แค่แปบเดียว”
“นี่ก็ไม่ใช่โลกของพวกเราเพราะงั้นแกไม่รู้หรอกว่าสุดทางแล้วจะลงเอยแบบไหน”
พอได้ฟังที่มิ่งขวัญตอบโต้
กฤษณะก็หัวเราะ
“พูดแบบนั้นทั้งที่ตอนนี้พวกเรายืนอยู่ที่นี่แล้วยังจะบอกว่าไม่แทรกแซงได้อีกเหรอ”
“…”
มิ่งขวัญหยุดการเจรจาเพียงแค่นั้นแล้วพุ่งตัวออกไป
รวดเร็วจนมองเห็นเหมือนกับหายตัวไปโผล่ตรงหน้ากฤษณะ
ถึงโกลด์กาแลนต์จะทำให้เร็วจนเคลื่อนที่เข้าใกล้แสงก็ตามแต่นี่มันเหนือไปกว่านั้นอีกขั้น
แต่กฤษณะก็โต้ตอบด้วยที่ทัดเทียม
หรือแค่ปัดป้องหอกด้วยขลุ่ยก็เต็มกลืน
จะว่าไปหอกของมิ่งขวัญไม่ใช่หอกแบบที่ใช้ในร่างโกลด์กาแลนต์
ไม่เหมือนหรือมีเค้าว่าเคยเป็นแบบนั้นมาก่อนถ้าอย่างนั้นคงไม่ใช่หอกเล่มเดียวกัน
‘หอกเมสสิยาห์ของพี่ชายที่สละชีวิตเพื่อปกป้องโลก’ มิ่งขวัญพูดเอาไว้แบบนั้น มิ่งขวัญจากอีกความเป็นไปได้ถ้าอย่างนั้นพี่ชายคนนั้นคงจะเป็นตัวเขาที่อยู่ในอีกความเป็นไปได้เช่นกันแล้วตัวเขาที่อยู่ในอีกความเป็นไปได้ก็เสียสละตัวเองเพื่อช่วยโลกอย่างนั้นรึเปล่า
ไม่ไหว
พอเป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างที่ว่านี่แล้วจะคิดอะไรมันก็เป้นไปได้ทั้งนั้น
คำว่าความเป้นไปได้มันกว้างเกินไป
อิงศรได้แต่ขบคิดอยู่เพียงลำพังขณะที่พวกพ้องคนอื่นๆ
ได้แต่มองตาค้างอ้าปากเหวอกับสิ่งที่เป็นอยู่
ถ้าจะยังมีคนที่ใช้หัวในสถานการณ์ที่คิดไปก็เท่านั้นอยู่คงมีแค่นรินทร์
หมอนั่นเริ่มใช้แอพพลิเคชั่นปีศาจวิเคราะห์มิ่งขวัญ
แต่ก็ทำท่าจิกปากทันทีคงจะแทบไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเลยไม่ต่างจากตอนที่วิเคราะห์กฤษณะ
ทั้งที่ เมลคีเซเด็ค
ถูกพัฒนาขึ้นมาจากลาพาสเดิมจนพอจะวิเคราะห์เครื่องทำสวนได้บ้างแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถวิเคราะห์ตัวตนที่บอกว่ามาจากอีกความเป็นไปได้ในนาคตอย่างนั้นสินะ
“เอ็กซ์แลนเซีย!! (X-Lancia)”
มิ่งขวัญต้อนกฤษณะจนถอยไปพิงหลังกับต้นไม้
ที่นั่นเป็นฝั่งที่ไม่มีพวกของเขายืนอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ถ้าอย่างนั้นสียงร่ายเมื่อครู่ก็คงเป็นสกิลสำหรับปิดฉากที่มีพลังทำลายวงกว้าง
ปีกแสงบนหลังไหลไปรวมกันที่ปลายหอกแล้วแผ่พุ่งออกไป
ลำแสงขยายขึ้นทุกครั้งที่รุดไปข้างหน้าจนกระทั่งมันกลืนแนวป่าได้ทั้งแนวรวมถึงกฤษณะก็จะถูกลำแสงกลืนหายไป
ถึงจะเป็นคนละท่ากับ
แทคีออนสไลเซอร์ แต่แน่ใจได้เลยว่ามันมีพลังในการยับยั้งความสามารถของสิ่งที่ถูกทำลายไปได้เหมือนกัน
ตั้งแต่ตอนที่เห็นพลังในการฟื้นตัวของกฤษณะกับความเป็นอมตะไม่รู้จักตายนั่นอิงศรก็คิดแล้วว่ามีแต่มิ่งขวัญที่สามารถจัดการอย่างเด็ดขาดได้
“เพราะแบบนั้นก็เลยเล็งเล่นงานขวัญเป็นหลักสินะ”
ทว่า ก่อนที่ลำแสงจะเข้าถึงตัวกฤษณะ
เจ้านั่นกลับ
“ช่วยไม่ได้แหะ”
ล้วงเอาของบางอย่างที่เหมือนกับกระดาษออกมา
“อาคานาร์ฟอร์ซ
วฤตระ! (Vritra)”
สิ้นคำกฤษณะก็โดนลำแสงกลืนหายไปพร้อมกับป่าด้านหลัง
ลำแสงกวาดต้นไม้ในบริเวณจนเกลี้ยงเห็นแนวโกร๋นไปถึงชายหาด
แต่กลับมีร่างคล้ายมนุษย์ยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าที่ลำแสงทำลายสรรสร้างราวกับเป็นตำหนิในชิ้นงานโบว์แดง
กฤษณะนั่นเอง ในมือถือกระดาษ...ไม่สิไพ่ต่างหาก
ไพ่อาคานาร์
“นั่นมันหรือว่า...อาคานาร์”
อิงศรคิดว่าตัวเองมองไม่ผิดแล้วก็ได้ยินในเสี้ยววินาทีก่อนที่กฤษณะจะโดนกลืนหายเข้าไปในลำแสง
ได้ยินเจ้านั่นพุดว่า
‘อาคานาร์ฟอร์ซ’ ดังนั้นจึงไม่ผิดแน่พลังที่ทำให้หมอนั่นรอดจากการโจมตีของมิ่งขวัญมาจาก
ไพ่อาคานาร์ ใบนั้น
อิงศรพยายามเพ่งสายตามองว่าเป็นไพ่อะไร
ถึงนิ้วของกฤษณะจะบังส่วนที่เป็นศีรษะของร่างคล้ายมนุษย์ที่ปรากฏบนไพ่ก็ตามแต่นั่นคือโคระกระดูกที่กำลังถือเคียวและหันหัวกลับทิศทางกับหัวไพ่
เป็น เดธ อาคานาร์ ที่กลับหัวแต่สีไม่ซีดเหมือนอันที่เคยเห็นมา
กฤษณะหมุนอาคานาร์ในมือไปมาแล้วพูด
“เกือบไปๆ นึกไม่ถึงเลยว่าต้องงัดไม้นี้มาใช้สมแล้วที่ท่านผู้นั้นเลือกจับตามองอยู่ขนาดข้ามมาที่โลกนี้ด้วยวิธีที่แตกต่างกันแต่ดันใช้พลังได้เต็มร้อยแบบนี้ยิ่งเข้าใกล้สภาพไฮพีเรียนเข้าไปทุกทีแล้วสิ”
ช่วงที่พล่ามอยู่นั่นเอง...
“เมอร์คาบาห์ใช้เมสไซอาร์บัสเตอร์ฟันใส่เจ้านั่นซะ!”
อิงศรก็สั่งให้ปีศาจจากอาคานาร์แงโชคชะตาขว้างใบมีดซึ่งมีพลังตัดให้ขาดได้ทุกอย่างพุง่ใส่กฤษณะ
เคร้ง
เสียงโลหะแหลสูงแบบที่ไม่ควรนจะได้ยิน แต่ใบมีดของเมอร์คาบาห์ก็สะท้อนออกไปแล้ว
กระทบโดนกำแพงใสที่มองไม่เห็นซึ่งช่วยป้องกันลำแสงของมิ่งขวัญก่อนหน้านี้แล้วกระดอนออก
“แม้แต่ดาบของเมอร์คาบาห์ก็ตัดไม่ขาดเรอะ”
อิงศรสบถ
กฤษณะแสดงใบหน้าเคลิบเคลิ้มแล้วตอบอย่างสนุกสนาน
“พลังของรีเวิร์สเดธอาคานาร์ใบนี้มันทัดเทียบกับเฟทอาคานาร์ของอิงศรเลยล่ะ แล้วก็...”
อีกฝ่ายจงใจหยุดคำพูดแล้วชี้นิ้วมาทางนี้
แต่เหมือนจะชี้นำให้มิ่งขวัญมากกว่า
“เอ้า ดูนั่นสิต้นตอที่ทำให้พี่ชายต้องเสียสละตัวเองในอนาคตอยู่ตรงนั้นแล้วเห็นแบบนี้จะไม่ทำอะไรหน่อยเหรอเพื่อตัวเองในรูทนี้ด้วย”
เข้าใจล่ะ
สิ่งที่กำลังชี้อยู่ในตอนนี้คือเมอร์คาบาห์นั่นเองแล้วก็จงใจพูดในเรื่องที่มีแต่ทางนั้นที่เข้าใจความหมายแต่พวกเขาไม่เข้าใจจะได้ขัดขวางหรือต่อต้านไม่ได้
จนถึงที่สุดแล้วก้ยังคิดจะให้มิง่ขวัญเป้นหุ่นเชิดสร้างความลำบากให้กับพวกเขาอย่างนั้นสินะ
แต่มิ่งขวัญก็ไม่ยอมตกหลุมพรางง่ายๆ
“ฉันไม่ฟังคำพูดของแกหรอก”
แล้วยกหอกเล็งใส่กฤษณะเหมือนจะโจมตีอีกครั้ง
“อย่าดีกว่าน่าถึงไม่ต้องทำอะไรอีกเดี๋ยวร่างนี้ก็จะหายไปแล้วเพราะดันทำนอกลู่นอกทางอย่างการใช้เจ้านี่ไป”
กฤษณะพูดแล้วหมุนไพ่อาคานาร์ในมืออีก
“เก็บแรงไว้คุยกับพี่ให้นานกว่านี้อีกหน่อยไม่ได้ดีกว่าเหรอ”
“แต่ฉันมีเรื่องจะคุยกับแกมากกว่า”
อิงศรกล่าวแล้วเดินตรงมา
พอเห็นแบบนั้นเข้ากฤษณะก็เบ้หน้า
“แต่ข้าไม่มีเรื่องจะคุยด้วยนี่อยากรู้อะไรก็ถามหมอนั่นเอาเองเถอะ”
แล้วชี้ไปที่ขวัญ
แต่อิงศรไม่สนใจแล้วถามคำถาม
“ได้ยินว่าองค์กรของแกคือฟาวเดชั่นอีสินะพวกแกตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
กฤษณะยักไหล่ให้คำพูดนั้น
“เห็นเดธอาคานาร์ใบนี้แล้วก็ยังไม่ฉุกใจอีกนายมักจะเป็นแบบนั้นเสมออิงศร”
อีกฝ่ายเปลี่ยนคำเรียกแทนตัวเขาจาก
‘เจ้า’ เป็น ‘นาย’ ดุเหมือนว่าก่อนหน้านี้ที่ใช้สรรพนามเหมือนพวกปีศาจจะเป็นแค่ละครตบตาเรื่องตัวจริงอย่างนั้นรึเปล่า
อีกฝ่ายคือนรินทร์จากอีกความเป็นไปได้หนึ่งจริงๆ
อย่างนั้นหรือ
“…”
จนถึงตอนนี้เขาเองก็ไม่แน่ใจกระทั่งความคิดของตัวเองแล้ว
ร่างกายของกฤษณะเริ่มสลายตัวเอง
ค่อยๆ หายไปไล่จากขาขึ้นมา
”เพื่อพวกพ้องของตัวเองแล้วก็จะทำได้ทุกอย่างเพราะช่วยผมไว้ไมได้ก็เลยกลายเป็นแบบนั้น...”
กฤษณะเบือนหน้าไปสบตากับมิ่งขวัญแล้วแสยะยิ้ม
เรื่องที่พูดมาทั้งหมดบ่ายเบี่ยงจากคำตอบที่เขาต้องการดูท่าอีกฝ่ายจงใจจะไม่บอกอะไรเลย
แล้วตอนนั้นเอง
กฤษณะชายตามองไปที่เมอร์คาบาร์
“เทิร์นบริงเกอร์”
“…”
“ถ้าพูดแค่นั้นแล้วยังไม่เข้าใจถึงคุยต่อไปก็ป่วยการเปล่า
ขนาดมิ่งขวัญในสภาพนั้นมายืนอยู่ตรงนี้แล้วก็ยังเข้าใจว่าเป็นแค่ผลจากอาคานาร์เลยเนี่ยเพราะแบบนั้นนายถึงได้...”
“ถึงได้อะไร
พูดมาซะ!”
แต่กฤษณะหัวเราะ
“เสียใจด้วยนะแต่หมดเวลาเล่นแล้วล่ะไว้ถึงเวลาเดี๋ยวก็รู้เองจนกว่าจะถึงตอนนั้นก็เล่นตามบทต่อไปเถอะ
คืนนี้สนุกมากจริงๆ“
จากนั้นก็หายตัวไป
ดังนั้นเบาะแสที่ยังหลงเหลืออยู่เกี่ยวกับการปรากฏตัวของกฤษณะก็เหลือแต่ขวัญที่มาจากอนาคตเท่านั้น
“ขวัญ”
แต่น้องชายในอนาคตส่ายหน้า
“ขอโทษแต่ว่าเล่าไม่ได้...ถ้าเล่าไปแล้วเกิดเส้นทางต่อจากนี้ผิดเพี้ยนไปกว่านี้จะเป็นอันตรายทั้งกับพี่แล้วก็ทุกคน”
มิ่งขวัญกล่าวอย่างจริงจัง
จนทำเอาเค้นต่อไม่ลง
ไม่หรอก
ไม่ใช่แบบนั้น ตอนนี้ถึงจะใช้กำลังบังคับก็ทำให้ขวัญเปิดปากไม่ได้ เขาคิดว่ามันเป็นแบบนั้นมากกว่าดังนั้นจึงไม่คิดจะเซ้าซี้ต่อ
อย่างไรเสียพวกเขาจะต้องได้เผชิญหน้ากับ
ฟาวเดชั่นอี อีกอย่างแน่นอนเขายืนยันในเรื่องนั้นได้เพราะฝ่ายนั้นไม่ใช่ตัวตนธรรมดาแต่เป็นองค์กรที่มีความเกี่ยวข้องกับอารย-สนธยาแล้วก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวพันกับแฟรนเซียมด้วย
ความคิดเห็น