คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #196 : Login 193: พงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม (นิทาน)
Login
193: พงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม (นิทาน)
เมื่อเนิ่นนานมาแล้ว
แสงสว่างกับความมืดได้เข้าปะทะกัน
ต่างฝ่ายต่างสร้างอาวุธขึ้นมาแสงสว่างสร้างเทวะและความมืดสร้างอสุรา
หลังจากต่อสู้กันมาอย่างยาวนานแสงสว่างก็ไล่ต้อนความมืด
ความมืดที่จนมุมก็ได้สร้างอาวุธสุดท้ายขึ้นมา
อาวุธซึ่งรวมเอาเทวะและอสุราเข้าด้วยกัน
มังกรได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากตรงนั้น
สัตว์ร้ายซึ่งมีพลังของเทวะและอสุรา
‘อสูรมังกรเทวะแห่งจุดจบ’
เพื่อจะจัดการกับความมืดอย่างเด็ดขาดผู้นำฝ่ายเทวะทั้งสิบสองจึงเปลี่ยนตัวเองเป็น
‘เทวภัณฑ์’
เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์จึงถือกำเนิดขึ้น
มังกรถูกปราบลง
อสุราถูกขับไล่ ความมืดจึงปราชัยและหลับใหลไปตลอดกาล
แต่ซากของมังกรกลับกลายเป็นเมล็ดพันธุ์หลงเหลืออยู่ในสวน
เมล็ดพันธุ์นั้นได้รับการดูแลเพื่อมิให้ความมืดหวนคืนกลับมา
เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดจึงถูกสร้างขึ้น
เพื่อดูแลเมล็ดพันธุ์ให้งอกเงยอย่างถูกต้องตามครรลอง
เมล็ดพันธุ์นั้นได้รับชื่อเรียกว่า
‘มนุษย์’
เรื่องราวหลังจากนั้นคือสรุปผลที่ว่ารากเหง้าของเมล็ดพันธุ์นั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ก็เป็นได้เพียงวัชพืชจึงถูกโยนลงไปจากสวนอันศักดิ์สิทธิ์
สู่ดินแดนที่ความมืดได้ตกลงไป
สู่แผ่นดินอันน่ารังเกียจ
“แล้วนั่นก็คือพงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม”
เมื่อฟังซีเซียมเล่านิทานที่รับฝากจากซีลอร์ดมาแล้วอิงศรก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมซีเซียมจึงถอดความไม่ได้
“หมอนั่นเข้าใจฝากข้อความดีนะ”
อิงศรพูดประชด
สาเหตุที่ซีเซียมถอดความไม่ได้เพราะนิทานเรื่องนี้เป็นใจความสำคัญทั้งดุ้นที่ส่งมาให้เขานั่นเอง
ที่พอจะตีความได้ก็คือซีลอร์ดตั้งใจจะบอกถึงสาเหตุที่มนุษย์ถูกทดสอบ
แต่ก็ยังมีส่วนอื่นๆ
ในเรื่องที่ค่อนข้างจะตีความได้ยากอย่าง
แสงสว่างกับความมืดคืออะไรทำไมถึงรบกัน?
เทวะในเรื่องนั่นหรือจะหมายถึงสัตว์เทวะ?
ถ้าอย่างนั้นอสุราก็คือพวกที่แฟรนเซียมเอาไปใส่อาวุธติดตั้งอสุราด้วยรึเปล่า?
แต่ซีลอร์ดเคยพูดเอาไว้แบบนี้ตอนทดสอบเขาที่วัดอารย-สนธยา
เมื่อมนุษย์ได้รับอมฤตและปรับตัวกับอมฤตจนถึงขีดสุดก็จะกลายเป็นเผ่าพันธุ์ดั้งเดิม
กลายเป็นอสุรา เช่นเดียวกับ ‘อดัม’
ถ้าอย่างนั้นก็จะสอดคล้องกับเรื่องที่กล่าวถึงเครื่องทำสวนทั้งสิบสองและเครื่องที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากนั้นเพื่อดูแลมนุษย์ซึ่งเกิดจาก
‘มังกร’ เครื่องทำสวนนั่นคงจะเป็นซีลอร์ด
ถ้าอย่างนั้นมนุษย์ที่ถูกกล่าวถึงในนิทานก็คือ
อดัม และเป็นอสุราเพราะเกิดจากมังกรที่ฝ่ายความมืด ฝ่ายอสุรา เป็นผู้สร้างขึ้น
แล้วมังกรตัวนั้นก็บังเอิญมีชื่อเหมือนกับอาวุธที่แฟรนเซียมใช้
“จะว่าไปมังกรในเรื่องนั่นน่ะหรือว่าจะหมายถึงดาบของแฟรนเซียมที่เปลี่ยนเป็นมังกรดำได้นั่น”
แน่นอนว่าไม่มีใครรู้หรอกว่าความจริงมันเป็นอย่างไร
ซีเซียมเองก็ส่ายหน้าบอกศาลาเหมือนกัน
“จะไปรู้เรอะนายก็ทำความเข้าใจเอาเองก็แล้วกันถึงมันจะบังเอิญเหมือนกันเป๊ะก็เถอะแต่นิทานนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้”
“ตัวนายในสมัยก่อนน่าจะเคยอยู่บนสวนแห่งที่หนึ่งนี่
ไม่มีข้อมูลอะไรบ้างเลยรึไง”
“ไม่มี…แล้วก็จำอะไรไม่ได้เลยด้วยบอกตามตรงว่าความทรงจำฉันกระจัดกระจายเอามากๆ
ตอนที่โดนเจ้าแฟรนเซียมทักเรื่องเป็นแค่โคลนนิ่ง”
“…”
อิงศรมองหน้าอีกฝ่ายแล้วก็เข้าใจว่าซีเซียมคงถึงขีดสุดแล้ว
การที่มานั่งพูดเรื่องพวกนี้มีแต่จะทำให้นึกถึงจุดยืนแย่ๆ
ของตัวเอง การเป็นเพียงแค่ร่างจำลองเลียนแบบนั้นแต่ก็ยังอยากจะทำหน้าที่ในส่วนของตัวจริงต่อไปมันจะรู้สึกแบบไหนกัน
เขาจินตนาการไม่ออกเลย
สรุปก็คือคงต้องพอแค่นี้ก่อน
“งั้นเรื่องที่จะคุยก็มีแค่นี้แหละนายไปพักเถอะเดี๋ยวฉันมีเรื่องจะปรึกษากับยัยนี่ต่อ”
อิงศรชี้ไปที่มีนา
“เดี๋ยวยังมีอีกเรื่อง...สกิลท่าไม้ตายน่ะ”
พอซีเซียมพูดขึ้นมาเขาก็เพิ่งนึกออกว่าตอนนี้พวกเขาไม่สามารถใช้สกิลท่าไม้ตายได้
สาเหตุนั้นก็คาดเดากันไปเองแล้วว่าน่าจะเป็นเพราะการปรากฏตัวของแอดมินิสเทรเตอร์เมื่อคราวก่อน
“ฉันแก้ให้สกิลไม่พึ่งแหล่งพลังจากเครื่องทำสวนแล้วประสิทธิภาพมันจะลดลงไปหน่อยแต่ก็สามารถใช้งานได้ตามปกติแต่ว่าจะไม่หยุดเวลาแล้วนะ”
“ทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอนายน่ะ”
อิงศรทำหน้าไม่อยากเชื่อ
“ก็ต้องได้สิคิดว่าใครเป็นคนสร้างรูปแบบของเกมนี้ขึ้นมากัน”
“....”
“งั้นไปล่ะอยาลืมไปลองทดสอบใช้กันก่อนก็แล้วกัน”
จากนั้นซีเซียมก็ลุกออกไปจากโต๊ะ
แต่ก่อนหน้านั้นอิงศรก็
“ซีเซียม”
“หืม
อะไรอีกล่ะ”
“ขอบใจมาก”
ซีเซียมเลิกคิ้วขึ้นแต่ไม่ได้กล่าวอะไรแล้วเดินออกจากล็อบบี้ตรงไปที่บันได
“เขาเขินแน่ะครับซุงอิง”
โพแทสเซียมพูดเมื่อเห็นว่าซีเซียมไปพ้นบันไดแล้ว...
“เดี๋ยวเหอะโพแทสเซียมฉันได้ยินนะ!”
ทันใดนั้นเสียงตวาดของซีเซียมก็ดังแว่วมา
โพแทสเซียมหัวเราะ
“อะ ฮะฮะฮะ
งั้นผมเองก็ขอตัวบ้างดีกว่าครับ”
แล้วเดินออกไปจากล๊อบบี้
ตอนนี้จึงเหลือเพียงเขากับมีนาแค่สองคน
“แล้วเรื่องอะไรหรือคะที่ว่าจะปรึกษาน่ะ”
มีนาเอ่ย
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะตอบเจ้าหล่อนก็ชิงพูดซะก่อน
“เอ๋ เอ๋ เอ๋
หรือว่าจะมาขอคำปรึกษาเรื่องนั้นกันล่ะคะก็นั่นสินะคะ
ก็คุณอิงศรมีคุณพลอยเป็นน้องสาวที่ไม่ได้ร่วมสายเลือดกันอยู่แถมน่ารักซะด้วย เอ...
แต่แบบนั้นก็เท่ากับว่าต้องแย่งชิงกับเมษาสินะคะ
เอเอาไงดีน้าในฐานะพี่สาวฝาแฝดแล้วฉันก็อยากจะสนับสนุนน้องชายอยู่แต่แบบนั้นมันน่าเบื่องั้นจะช่วยต่อแต้มให้หน่อยก็ได้ค่ะ”
หล่อนกลอกกลิ้งสายตาอย่างซุกซนไปกลับระหว่างเขากับพลอยที่นั่งอยู่อีกมุมไกลๆ
อิงศรหรี่ตามองผู้หญิงตรงหน้า
...กี่วันมาแล้วกันนะที่ไม่ได้โดนล้อเล่นแบบนี้
คราวนี้เรื่องความรักระหว่างทีมกับกลุ่มของพวกเด็กกำพร้างั้นเหรอ
ยังช่างเลือกหัวข้อได้ชวนปวดหัวอยู่เหมือนเดิมเลยนะแม่คนนี้...
ระหว่างที่ประเมินมีนานั้นเขาก็เผลอยิ้มออกไปโดยไม่รู้ตัว
“โบ้ยไปให้พลอยเหรอทำไมถึงไม่คิดว่าเป็นตัวเองล่ะ”
“หะ...หา?”
มีนาชะงักไปเพราะคำพูดของเขา
คำพูดซึ่งตีความได้หลายอย่าง
เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมซีลอร์ดถึงได้ชอบพูดวกวนไปมา
พอได้ลองทำดูมันก็สนุกดีเหมือนกัน
มีนาชี้หน้าตัวเองแล้วถามว่า
“เอ๋
คุณอิงศรกับฉัน...อะ...ล้อเล่นกันใช่ไหมคะเนี่ย”
ได้เห็นหน้าเหวอของยัยนี่ด้วย....มันสนุกแบบนี้เองสินะ
“อืม
ก็ล้อเล่นน่ะสิหรือว่าเธอคิดจริงจังกันล่ะ”
พอตอบไปแบบนั้นเด็กสาวก็หยุดเหวอแล้วทำแก้มป่องพลางขมวดคิ้ว
“โธ่
คุณอิงศรล่ะก็”
รู้สึกว่าปฏิกิริยาตอบสนองมันแปลกๆ
ไปจากทุกทีอยู่เหมือนกันปกติแล้วยัยนี่จะต้องโต้กลับมาได้ดีกว่านี้สิทำไมถึงได้ทำท่าเหมือนจะเสียดายกันล่ะ
บางทีคงเป็นเพราะยังไม่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ล่ะมั้ง
ก็ยัยนี่เพิ่งจะหายจากความจำเสื่อมมาเอง...
นั่นเป็นเพียงเหตุผลข้างๆ
คูๆ
ที่ลองยกขึ้นมาความจริงเขาก็พอจะรู้ตัวอยู่ว่าเด็กสาวมีใจให้อยู่บ้างเหมือนกันแต่นั่นก็แค่การคิดเองเออเอง
บางทีหล่อนอาจจะแค่รู้สึกสนิทสนมเพราะอยู่ทีมเดียวกันแล้วก็ถึงวัยที่มองหาความรักเลยอาจจะคิดว่าความสนิทสนมนี้เป็นตัวเลือกที่เข้าข่าย
สรุปแล้วเขายังไม่คิดจะขยายความสัมพันธ์นั้นเอาตอนนี้
ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์ในฐานะทีมอาจจะต้องพลอยเสื่อมลงไปด้วยถ้าหากว่าเกิดผิดใจกันขึ้นมา
อิงศรหุบยิ้มที่เบิกกว้างเพราะสีหน้าอันยุ่งเหยิงของมีนาแล้วพูดว่า
“ช่างเถอะเข้าเรื่องเลยดีกว่า”
“งั้นเรื่องที่จะปรึกษาล่ะคะ”
“เมื่อคืนได้ยินเสียงหอนรึเปล่า”
“เอ
ไม่ได้ยินนะคะคงเพราะว่าฉันหลับสนิทแน่ๆ เลย”
“แต่พวกกวินทร์บอกว่าได้ยิน
คิดว่ามันจะเกี่ยวกับศาลที่เราไปเจอเมื่อคืนรึเปล่า”
มีนาทำท่าคิดอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“มีสิทธิ์เป็นไปได้ค่ะเสียงหอนที่ว่านั่นคือเสียงหมาหอนสินะคะแต่ว่าบนโลกนี้น่ะไม่มีสุนัขอยู่อีกแล้วแถมบริเวณเกาะก็ไม่มีสัตว์เทวะที่หอนแบบสุนัขด้วยเป็นไปได้ว่านั่นจะเป็นอาคมสะกดหรือไม่ก็ควบคุมด้วยเสียงค่ะ”
“อาคมงั้นเหรอ แบบสกิลหรือไม่ก็พลังของปีศาจรึเปล่า”
“ไม่เสมอไปค่ะ
อาคมพวกนี้เป็นแบบระดับต่ำกว่าสกิลกับพลังของปีศาจในเดม่อนแอพเสียอีกเป็นอาคมแบบโบราณที่จะส่งเสียงควบคุมผู้ต้องมนต์สะกดหรือโดนคำสาปมีความยุ่งยากในการใช้งานแล้วก็มีความเสี่ยงสูงด้วยส่วนใหญ่ผู้ใช้อาคมนี้จะเป็นพวกจิตไม่ปกติหรือไม่ก็โดนหลอกให้ทำค่ะเพราะคงไม่มีใครโง่พอจะเอาตัวเข้าแลกกับอาคมระดับแค่นั้น”
เมื่อได้ยินที่มีนาพูดอิงศรก็รู้สึกเป็นกังวล
เขาตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้หล่อนฟังทั้งหมด
ทั้งเรื่องที่มิ่งขวัญออกไปข้างนอกกลางดึก
เรื่องที่ตัวเขาหนักเหมือนถูกกดทับจนลุกไม่ขึ้นขณะที่พยายามจะออกไปหยุดน้องชาย
พอได้ฟังที่เขาเล่าไปมีนาก็แสดงสีหน้าไม่เป็นกังวล
“ขอฉันไปดูที่ห้องได้ไหมคะ”
แม้จะไม่สบายใจกับท่าทีของหล่อนแต่อิงศรก็เข้าใจดีว่าสถานการณ์มันไม่ปกติแล้ว
เขาพยักหน้าตอบคำขอของหล่อน
“เอาสิ”
แล้วพวกเขาก็ออกจากล็อบบี้ขึ้นบันไดไปที่ห้องด้วยกัน
***อาทิตย์นี้ลงช้าแถมน้อยอีกต้องขอโทษด้วยครับ
ไรท์อยู่ในช่วงงานชุกมือพอสมควรเลยอาทิตย์หน้าจะพยายามขยับกลับไปมาตรฐานเดิมให้ได้
เริ่มากันวันจันทร์เลยครับ****
ความคิดเห็น