ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #196 : Login 193: พงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม (นิทาน)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 180
      8
      19 ม.ค. 61

    Login 193: พงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม (นิทาน)

     

                เมื่อเนิ่นนานมาแล้ว

                แสงสว่างกับความมืดได้เข้าปะทะกัน

                ต่างฝ่ายต่างสร้างอาวุธขึ้นมาแสงสว่างสร้างเทวะและความมืดสร้างอสุรา

                หลังจากต่อสู้กันมาอย่างยาวนานแสงสว่างก็ไล่ต้อนความมืด

                ความมืดที่จนมุมก็ได้สร้างอาวุธสุดท้ายขึ้นมา อาวุธซึ่งรวมเอาเทวะและอสุราเข้าด้วยกัน

                มังกรได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากตรงนั้น

                สัตว์ร้ายซึ่งมีพลังของเทวะและอสุรา ‘อสูรมังกรเทวะแห่งจุดจบ’

                เพื่อจะจัดการกับความมืดอย่างเด็ดขาดผู้นำฝ่ายเทวะทั้งสิบสองจึงเปลี่ยนตัวเองเป็น ‘เทวภัณฑ์’

                เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์จึงถือกำเนิดขึ้น

                มังกรถูกปราบลง อสุราถูกขับไล่ ความมืดจึงปราชัยและหลับใหลไปตลอดกาล

                แต่ซากของมังกรกลับกลายเป็นเมล็ดพันธุ์หลงเหลืออยู่ในสวน

                เมล็ดพันธุ์นั้นได้รับการดูแลเพื่อมิให้ความมืดหวนคืนกลับมา

                เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดจึงถูกสร้างขึ้น เพื่อดูแลเมล็ดพันธุ์ให้งอกเงยอย่างถูกต้องตามครรลอง

                เมล็ดพันธุ์นั้นได้รับชื่อเรียกว่า ‘มนุษย์’

                เรื่องราวหลังจากนั้นคือสรุปผลที่ว่ารากเหง้าของเมล็ดพันธุ์นั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ก็เป็นได้เพียงวัชพืชจึงถูกโยนลงไปจากสวนอันศักดิ์สิทธิ์

                สู่ดินแดนที่ความมืดได้ตกลงไป

                สู่แผ่นดินอันน่ารังเกียจ

               

                “แล้วนั่นก็คือพงศาวดารแห่งเทวาสุรสงคราม”

                เมื่อฟังซีเซียมเล่านิทานที่รับฝากจากซีลอร์ดมาแล้วอิงศรก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมซีเซียมจึงถอดความไม่ได้

                “หมอนั่นเข้าใจฝากข้อความดีนะ”

                อิงศรพูดประชด

                สาเหตุที่ซีเซียมถอดความไม่ได้เพราะนิทานเรื่องนี้เป็นใจความสำคัญทั้งดุ้นที่ส่งมาให้เขานั่นเอง

                ที่พอจะตีความได้ก็คือซีลอร์ดตั้งใจจะบอกถึงสาเหตุที่มนุษย์ถูกทดสอบ

                แต่ก็ยังมีส่วนอื่นๆ ในเรื่องที่ค่อนข้างจะตีความได้ยากอย่าง

                แสงสว่างกับความมืดคืออะไรทำไมถึงรบกัน?

                เทวะในเรื่องนั่นหรือจะหมายถึงสัตว์เทวะ?

                ถ้าอย่างนั้นอสุราก็คือพวกที่แฟรนเซียมเอาไปใส่อาวุธติดตั้งอสุราด้วยรึเปล่า?

                แต่ซีลอร์ดเคยพูดเอาไว้แบบนี้ตอนทดสอบเขาที่วัดอารย-สนธยา

                เมื่อมนุษย์ได้รับอมฤตและปรับตัวกับอมฤตจนถึงขีดสุดก็จะกลายเป็นเผ่าพันธุ์ดั้งเดิม กลายเป็นอสุรา เช่นเดียวกับ ‘อดัม’

                ถ้าอย่างนั้นก็จะสอดคล้องกับเรื่องที่กล่าวถึงเครื่องทำสวนทั้งสิบสองและเครื่องที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากนั้นเพื่อดูแลมนุษย์ซึ่งเกิดจาก ‘มังกร’ เครื่องทำสวนนั่นคงจะเป็นซีลอร์ด

                ถ้าอย่างนั้นมนุษย์ที่ถูกกล่าวถึงในนิทานก็คือ อดัม และเป็นอสุราเพราะเกิดจากมังกรที่ฝ่ายความมืด ฝ่ายอสุรา เป็นผู้สร้างขึ้น

                แล้วมังกรตัวนั้นก็บังเอิญมีชื่อเหมือนกับอาวุธที่แฟรนเซียมใช้

                “จะว่าไปมังกรในเรื่องนั่นน่ะหรือว่าจะหมายถึงดาบของแฟรนเซียมที่เปลี่ยนเป็นมังกรดำได้นั่น”

                แน่นอนว่าไม่มีใครรู้หรอกว่าความจริงมันเป็นอย่างไร ซีเซียมเองก็ส่ายหน้าบอกศาลาเหมือนกัน

                “จะไปรู้เรอะนายก็ทำความเข้าใจเอาเองก็แล้วกันถึงมันจะบังเอิญเหมือนกันเป๊ะก็เถอะแต่นิทานนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้”

                “ตัวนายในสมัยก่อนน่าจะเคยอยู่บนสวนแห่งที่หนึ่งนี่ ไม่มีข้อมูลอะไรบ้างเลยรึไง”

                “ไม่มี…แล้วก็จำอะไรไม่ได้เลยด้วยบอกตามตรงว่าความทรงจำฉันกระจัดกระจายเอามากๆ ตอนที่โดนเจ้าแฟรนเซียมทักเรื่องเป็นแค่โคลนนิ่ง”

                “…”

                อิงศรมองหน้าอีกฝ่ายแล้วก็เข้าใจว่าซีเซียมคงถึงขีดสุดแล้ว

                การที่มานั่งพูดเรื่องพวกนี้มีแต่จะทำให้นึกถึงจุดยืนแย่ๆ ของตัวเอง การเป็นเพียงแค่ร่างจำลองเลียนแบบนั้นแต่ก็ยังอยากจะทำหน้าที่ในส่วนของตัวจริงต่อไปมันจะรู้สึกแบบไหนกัน

                เขาจินตนาการไม่ออกเลย

                สรุปก็คือคงต้องพอแค่นี้ก่อน

                “งั้นเรื่องที่จะคุยก็มีแค่นี้แหละนายไปพักเถอะเดี๋ยวฉันมีเรื่องจะปรึกษากับยัยนี่ต่อ”

                อิงศรชี้ไปที่มีนา

                “เดี๋ยวยังมีอีกเรื่อง...สกิลท่าไม้ตายน่ะ”

                พอซีเซียมพูดขึ้นมาเขาก็เพิ่งนึกออกว่าตอนนี้พวกเขาไม่สามารถใช้สกิลท่าไม้ตายได้ สาเหตุนั้นก็คาดเดากันไปเองแล้วว่าน่าจะเป็นเพราะการปรากฏตัวของแอดมินิสเทรเตอร์เมื่อคราวก่อน

                “ฉันแก้ให้สกิลไม่พึ่งแหล่งพลังจากเครื่องทำสวนแล้วประสิทธิภาพมันจะลดลงไปหน่อยแต่ก็สามารถใช้งานได้ตามปกติแต่ว่าจะไม่หยุดเวลาแล้วนะ”

                “ทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอนายน่ะ”

                อิงศรทำหน้าไม่อยากเชื่อ

                “ก็ต้องได้สิคิดว่าใครเป็นคนสร้างรูปแบบของเกมนี้ขึ้นมากัน”

                “....”

                “งั้นไปล่ะอยาลืมไปลองทดสอบใช้กันก่อนก็แล้วกัน”

                จากนั้นซีเซียมก็ลุกออกไปจากโต๊ะ แต่ก่อนหน้านั้นอิงศรก็

                “ซีเซียม”

                “หืม อะไรอีกล่ะ”

                “ขอบใจมาก”

                ซีเซียมเลิกคิ้วขึ้นแต่ไม่ได้กล่าวอะไรแล้วเดินออกจากล็อบบี้ตรงไปที่บันได

                “เขาเขินแน่ะครับซุงอิง”

                โพแทสเซียมพูดเมื่อเห็นว่าซีเซียมไปพ้นบันไดแล้ว...

                “เดี๋ยวเหอะโพแทสเซียมฉันได้ยินนะ!”

                ทันใดนั้นเสียงตวาดของซีเซียมก็ดังแว่วมา

                โพแทสเซียมหัวเราะ

                “อะ ฮะฮะฮะ งั้นผมเองก็ขอตัวบ้างดีกว่าครับ”

                แล้วเดินออกไปจากล๊อบบี้

                ตอนนี้จึงเหลือเพียงเขากับมีนาแค่สองคน

                “แล้วเรื่องอะไรหรือคะที่ว่าจะปรึกษาน่ะ”

                มีนาเอ่ย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะตอบเจ้าหล่อนก็ชิงพูดซะก่อน

                “เอ๋ เอ๋ เอ๋ หรือว่าจะมาขอคำปรึกษาเรื่องนั้นกันล่ะคะก็นั่นสินะคะ ก็คุณอิงศรมีคุณพลอยเป็นน้องสาวที่ไม่ได้ร่วมสายเลือดกันอยู่แถมน่ารักซะด้วย เอ... แต่แบบนั้นก็เท่ากับว่าต้องแย่งชิงกับเมษาสินะคะ เอเอาไงดีน้าในฐานะพี่สาวฝาแฝดแล้วฉันก็อยากจะสนับสนุนน้องชายอยู่แต่แบบนั้นมันน่าเบื่องั้นจะช่วยต่อแต้มให้หน่อยก็ได้ค่ะ”

                หล่อนกลอกกลิ้งสายตาอย่างซุกซนไปกลับระหว่างเขากับพลอยที่นั่งอยู่อีกมุมไกลๆ

                อิงศรหรี่ตามองผู้หญิงตรงหน้า

                ...กี่วันมาแล้วกันนะที่ไม่ได้โดนล้อเล่นแบบนี้ คราวนี้เรื่องความรักระหว่างทีมกับกลุ่มของพวกเด็กกำพร้างั้นเหรอ ยังช่างเลือกหัวข้อได้ชวนปวดหัวอยู่เหมือนเดิมเลยนะแม่คนนี้...

                ระหว่างที่ประเมินมีนานั้นเขาก็เผลอยิ้มออกไปโดยไม่รู้ตัว

                “โบ้ยไปให้พลอยเหรอทำไมถึงไม่คิดว่าเป็นตัวเองล่ะ”

                “หะ...หา?”

                มีนาชะงักไปเพราะคำพูดของเขา คำพูดซึ่งตีความได้หลายอย่าง

                เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมซีลอร์ดถึงได้ชอบพูดวกวนไปมา พอได้ลองทำดูมันก็สนุกดีเหมือนกัน

                มีนาชี้หน้าตัวเองแล้วถามว่า

                “เอ๋ คุณอิงศรกับฉัน...อะ...ล้อเล่นกันใช่ไหมคะเนี่ย”

                ได้เห็นหน้าเหวอของยัยนี่ด้วย....มันสนุกแบบนี้เองสินะ

                “อืม ก็ล้อเล่นน่ะสิหรือว่าเธอคิดจริงจังกันล่ะ”

                พอตอบไปแบบนั้นเด็กสาวก็หยุดเหวอแล้วทำแก้มป่องพลางขมวดคิ้ว

                “โธ่ คุณอิงศรล่ะก็”

                รู้สึกว่าปฏิกิริยาตอบสนองมันแปลกๆ ไปจากทุกทีอยู่เหมือนกันปกติแล้วยัยนี่จะต้องโต้กลับมาได้ดีกว่านี้สิทำไมถึงได้ทำท่าเหมือนจะเสียดายกันล่ะ

                บางทีคงเป็นเพราะยังไม่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ล่ะมั้ง ก็ยัยนี่เพิ่งจะหายจากความจำเสื่อมมาเอง...

                นั่นเป็นเพียงเหตุผลข้างๆ คูๆ ที่ลองยกขึ้นมาความจริงเขาก็พอจะรู้ตัวอยู่ว่าเด็กสาวมีใจให้อยู่บ้างเหมือนกันแต่นั่นก็แค่การคิดเองเออเอง บางทีหล่อนอาจจะแค่รู้สึกสนิทสนมเพราะอยู่ทีมเดียวกันแล้วก็ถึงวัยที่มองหาความรักเลยอาจจะคิดว่าความสนิทสนมนี้เป็นตัวเลือกที่เข้าข่าย

                สรุปแล้วเขายังไม่คิดจะขยายความสัมพันธ์นั้นเอาตอนนี้ ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์ในฐานะทีมอาจจะต้องพลอยเสื่อมลงไปด้วยถ้าหากว่าเกิดผิดใจกันขึ้นมา

                อิงศรหุบยิ้มที่เบิกกว้างเพราะสีหน้าอันยุ่งเหยิงของมีนาแล้วพูดว่า

                “ช่างเถอะเข้าเรื่องเลยดีกว่า”

                “งั้นเรื่องที่จะปรึกษาล่ะคะ”

                “เมื่อคืนได้ยินเสียงหอนรึเปล่า”

                “เอ ไม่ได้ยินนะคะคงเพราะว่าฉันหลับสนิทแน่ๆ เลย”

                “แต่พวกกวินทร์บอกว่าได้ยิน คิดว่ามันจะเกี่ยวกับศาลที่เราไปเจอเมื่อคืนรึเปล่า”

                มีนาทำท่าคิดอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล

                “มีสิทธิ์เป็นไปได้ค่ะเสียงหอนที่ว่านั่นคือเสียงหมาหอนสินะคะแต่ว่าบนโลกนี้น่ะไม่มีสุนัขอยู่อีกแล้วแถมบริเวณเกาะก็ไม่มีสัตว์เทวะที่หอนแบบสุนัขด้วยเป็นไปได้ว่านั่นจะเป็นอาคมสะกดหรือไม่ก็ควบคุมด้วยเสียงค่ะ”

                “อาคมงั้นเหรอ แบบสกิลหรือไม่ก็พลังของปีศาจรึเปล่า”

                “ไม่เสมอไปค่ะ อาคมพวกนี้เป็นแบบระดับต่ำกว่าสกิลกับพลังของปีศาจในเดม่อนแอพเสียอีกเป็นอาคมแบบโบราณที่จะส่งเสียงควบคุมผู้ต้องมนต์สะกดหรือโดนคำสาปมีความยุ่งยากในการใช้งานแล้วก็มีความเสี่ยงสูงด้วยส่วนใหญ่ผู้ใช้อาคมนี้จะเป็นพวกจิตไม่ปกติหรือไม่ก็โดนหลอกให้ทำค่ะเพราะคงไม่มีใครโง่พอจะเอาตัวเข้าแลกกับอาคมระดับแค่นั้น”

                เมื่อได้ยินที่มีนาพูดอิงศรก็รู้สึกเป็นกังวล เขาตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้หล่อนฟังทั้งหมด

                ทั้งเรื่องที่มิ่งขวัญออกไปข้างนอกกลางดึก

                เรื่องที่ตัวเขาหนักเหมือนถูกกดทับจนลุกไม่ขึ้นขณะที่พยายามจะออกไปหยุดน้องชาย

                พอได้ฟังที่เขาเล่าไปมีนาก็แสดงสีหน้าไม่เป็นกังวล

                ขอฉันไปดูที่ห้องได้ไหมคะ

                แม้จะไม่สบายใจกับท่าทีของหล่อนแต่อิงศรก็เข้าใจดีว่าสถานการณ์มันไม่ปกติแล้ว

                เขาพยักหน้าตอบคำขอของหล่อน

                “เอาสิ

                แล้วพวกเขาก็ออกจากล็อบบี้ขึ้นบันไดไปที่ห้องด้วยกัน


    ***อาทิตย์นี้ลงช้าแถมน้อยอีกต้องขอโทษด้วยครับ ไรท์อยู่ในช่วงงานชุกมือพอสมควรเลยอาทิตย์หน้าจะพยายามขยับกลับไปมาตรฐานเดิมให้ได้ เริ่มากันวันจันทร์เลยครับ****

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×