คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #185 : Login 182: Armageddon Epilogue 4
Login 182: Armageddon Epilogue 4
เมษาล้มลงอีกครั้งหลังจากยืนขึ้นมาได้เพราะมองเห็นความหวัง
ความหวังที่อิงศรช่วยมีนาพี่สาวฝาแฝดของตนออกมาจากเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว
แต่เหมือนกับโชคชะตาเล่นตลก โชคชะตาอาจจะเป็นแฟนคลับของออร์ทิเกสซาร์
เข้าเครื่องทำสวนวิปริตที่ชอบผลักผู้คนให้จมดิ่งลงสู่ความสิ้นหวังโดยทำทีเป็นมอบความหวังให้ก่อน
หรือไม่ก็สถานการณ์ตอนนี้ก็อยู่ในการคาดเดาของเจ้านั่น
สถานการณ์ที่สิงห์ไปดักรออยู่ตรงนั้นแล้วสร้างอาณาเขตสีดำมืดด้วยดาบแปลกๆ
ที่พากันโผล่ออกมาจากโพรงมิติที่ไม่รู้จักโอบล้อมอิงศร มีนา มิ่งขวัญ
ทั้งสามคนหายเข้าไปในความมืดมิด
”มีนา…ทุกคน”
เมษาเปรยอย่างสิ้นหวัง
ทั้งสิ้นหวัง ทั้งอ่อนแรง
ตัวเองในตอนนี้รู้สึกเหมือนโลกมืดสนิทขึ้นมาทันใด
มีใครบางคนแตะที่ไหล่อย่างแผ่วเบา
“…”
ฟูนั่นเอง เด็กหนุ่มกลายร่างกลับจากร่างมนุษย์หมาป่าแล้ว
“พี่ศรกับเจ้าขวัญก็อยู่ด้วยต้องไม่เป็นไรแน่”
พูดออกมาอย่างมั่นใจทั้งที่ไม่มีหลักประกันอะไรในคำพูดนั่นเลย
“…”
เมษาพยักหน้าให้คำพูดที่ว่าอย่างไม่ลังเล
ถึงจะไม่มีหลักประกันในคำพูดของฟูแต่ว่าเขาเชื่อใจอิงศร
‘เชื่อมั่นในพวกพ้อง’ ถึงจะเป็นคำพูดที่หวานเลี่ยนเกินไปหน่อยแต่ตอนนี้จำเป็นต้องทำแบบนั้น
เมษาเรียกหน้าจอจัดการแอพพลิเคชั่นปีศาจขึ้นมา
ตอนแรกตั้งใจว่าจะเก็บพลังเอาไว้สำหรับปล่อยหมัดพิฆาตทีเดียวแต่จากสถานการณ์ตอนนี้แล้วฝืนกั๊กพลังต่อไปคบไม่ทันเอามาใช้ดังนั้นจึงให้แอพพลิเคชั่นของปีศาจทั้งสองตัว
มาหากาฬ กับ ซาโอก็อนเก็น ส่งพลังสนับสนุนพลังกายพื้นฐานมาให้
การฟื้นฟูก็ถูกเร่งให้เร็วขึ้นด้วยพลังของปีศาจเช่นกัน
เมษา Lv. 69
[/....3500:10030.....]
พลังชีวิตทยอยฟื้นฟูเรื่อยๆ พอกำลังเริ่มจะกลับคืนมาเมษาก็ยันตัวเองขึ้นจากพื้น
เนื้อตัวมีแต่ทรายกับเลือดผสมปนเปกันจนเละไปหมด
ในปากมีรรสทรายผสมอยู่นิดหน่อยด้วยจึงถ่มน้ำลายทิ้งไปขากหนึ่ง
น้ำลายเป็นสีแดงเพราะมีเลือดผสมจากปากที่แตกแล้วทอดสายตาไปยังตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาปากแตก
กรกฏ ที่น่าจะตายไปแล้วเพราะโดนลิเธียมผ่าร่างขาดครึ่งท่อนแต่กลับมายืนลอยชายในสภาพครบสามสิบสองแถมยังพลังชีวิตเต็มแถบทั้งที่เคยโดนหมัดของเขาชกจนลดลงไปบ้างแล้วแท้ๆ
เมษาพอจะเดาสาเหตุได้ว่าทำไมกรกฏถึงได้ไม่ตาย
ตอนนั้นเองรูบิเดียมก็พูดแทรกขึ้นมา
“เพราะมีนิสัยชอบดูถูกชาวโลกนั่นแหละนายถึงได้เสียท่าง่ายๆ แบบนี้ลิเธียม”
“หมายความว่ายังไง”
ลิเธียมที่โดนหล่อนเสียบดาบทะลุจากหลังถึงอกพูดโดยที่มีเลือดไหลจากปาก
“หมอนั่นน่ะที่จริงแล้วเป็นเดโมนอยด์ที่ทดสอบฝังซีรี่ย์ฮีโร่ลงไปในตัวโดยใช้ยีนส์ของเฮอคิวลิส
วีระบุรุษในตำนานเลยมีพลังต้านทานพิษของไฮดร้าที่เป็นเดม่อนแอพยังไงล่ะ”
พอได้ยินที่รูบิเดียมพูด เมษาก็เข้าใจทุกอย่าง
“ใช่ไฮดร้าจริงๆ ด้วย”
“รู้จักเหรอ?”
ฟูถาม
“เคยได้ยินมีนาพูดให้ฟังมาน่ะ
เรื่องที่ว่ามีเดม่อนแอพที่ทำให้คืนชีพได้เก้าครั้งเหมือนมีสต็อกชีวิตเพิ่มแต่เขาว่าของมันแรง
เพราะพิษจากตัวปีศาจทำให้คนใช้ตายครบเก้าชีวิตทันทีที่ใช้งานเลย”
แล้ววีระบุรุษเฮอร์คิวลิสก็คือวีระชนในตำนานกรีกที่เป็นผู้สังหารไฮดร้า
บางทีคงใช้หลักการแบบนั้นมาประยุกต์จนสามารถควบคุมเดม่อนแอพต้องสาปพรรค์นั้นได้
รูบิเดียมพูด
“สำหรับคนที่มีความสามารถหลากหลายอย่างกรกฏถึงจะได้เดม่อนแอพอะไรไปก็ทำให้ความสามารถเด่นขึ้นด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้นแต่ถ้าเป็นไฮดร้าที่ทำให้มีถึงเก้าชีวิตก็จะทำให้ดึงพลังทั้งหมดของเจ้าตัวออกมาสูงที่สุดยังไงล่ะ“
“นี่เราสู้กับสัตว์ประหลาดแบบนั้นมาตลอดเลยเหรอ”
เมษาเข้าใจขึ้นมาว่าที่สู้ไม่ได้เพราะทางนั้นเป็นครึ่งปีศาจมาตั้งแต่แรก
แต่ถึงจะรับรู้เรื่องแบบนั้นเพิ่มก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น
อย่างไรซะพวกเขาก็จนแต้มไปแล้ว
พวกราชครูฝ่ายเดียวกันเสร็จรูบิเดียมไปเรียบร้อย
พวกนรินทร์ก็โดนฝูงมนุษย์ต่างดาวล้อมอยู่อีกฟาก
เขากับฟูเทียบกรกฏที่เป็นเดโมนอยด์ไม่ติด
กำลังรบแพ้กันทุกทางมาตั้งแต่แรก
เพียงเพราะมีเครื่องทำสวนอย่างออร์ทิเกสซาร์อาละวาดอยู่ทำให้กำลังรบระหว่างสองฝ่ายไม่ได้เข้าปะทะกันตรงๆ
แต่พอกลายเป็นแบบนั้นเข้าพวกเขาก็หมดทางสู้
ความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็ดันโดนกลืนหายเข้าในพายุดาบสีดำที่สิงห์สร้างขึ้น
อิงศรที่อยู่ข้างในนั้นจะมีวิธีช่วยเหลือไหมนะ
เมษาเหม่อมองไปที่พายุสีดำที่พวกอิงศรหายเข้าไป จ้องมองด้วยความคาดหวัง
แล้วก็ได้รับการตอบสนอง
“…”
มีบางอย่างลอยอยู่เหนือพายุสีดำ
ปีศาจของอิงศร เมอร์คาบาห์นั่นเอง
เมอร์คาบาห์รวมพลังแล้วเหวี่ยงใบดาบทุ่มลงไปในพายุ
ดาบแหวกผ่านดาบดำที่ก่อตัวเป็นพายุเหล่านั้นเหมือนแสงแหวกผ่านความมืด
ทิวทัศน์ภายใต้ความมืดเปิดออก อิงศร มีนา มิ่งขวัญ
ทั้งสามคนยังมีชีวิตอยู่
แถมดาบของเมอร์คาบาห์ก็กำลังพุ่งตรงไปหาสิงห์
เป็นดาบตัดสินอย่างนั้นสินะ
@@@
“จบกันแค่นี้แหละ!”
อิงศรประกาศอย่างมั่นใจ
ในตอนที่ดาบของเมอร์คาบาห์เคลื่อนตัวเข้าใกล้แฟรนเซียมไปทุกขณะ
แฟรนเซียมแหงนหน้าเหม่อมองดาบที่จะเข้ามาปลิดชีพตัวเอง
“สูบเลือดไปให้มากกว่านี้แล้วตื่นขึ้นมาขั้นสุดท้ายของดาบเทวะ!”
เลือดของราชามนุษย์ต่างดาวไหลเข้าไปในดาบดำมากขึ้น
ดาบขยับตัวขึ้นลงเหมือนลำคอกำลังสูบเอาเลือดเข้าไป
พองตัวและปูดขยายเหมือนก้อนเนื้อกำลังเต้นตุบตับชวนสะอิดสะเอียน
ขณะเดียวกันอิงศรก็สังเกตเห็นว่าดวงตาของแฟรนเซียมเหมือนจะเปล่งแสงออกมาแวบหนึ่ง
เพียงแค่แวบเดียวจริงๆ ที่มองเห็นประกายแสงรูปดาบฉายอยู่ในแววตาอันเย็นชานั่น
“ซอร์ดไดรฟ์ อสูรมังกรเทวะแห่งจุดจบ อาซี-ดาฮากา-ดาเอวา !”
สิ้นคำดาบที่กลายเป็นก้อนเนื้อก็เปลี่ยนสภาพไปอย่างมาก
ก้อนเนื้อขยุกขยิกเปลี่ยนเป็นเกล็ดสีดำมันวาว กลายเป็นมังกรแล้วเลื้อยคลาน ชอนไช
ไปมาระหว่างโพรงมิติบนอากาศ
มังกรพวกนั้นเข้าไปกันเป็นโล่ให้แฟรนเซียม
ดูเหมือนเจ้าตัวจะมั่นใจในพลังป้องกันของมังกรจนไม่ยอมขยับเท้าหลบ
แต่ทว่า
“อะไร...”
เสียงอุทานของอีกฝ่ายดังขึ้นตอนที่ดาบสะบั้นหัวของมังกรที่เข้ามาขวางตัวแล้วตัวเล่า
เสียงตัดเนื้อดัง ‘ปึด’ ระรัว เกล็ดขาด
เนื้อเยื่อขาด สะบั้นเอ็นเนื้อขาด
คอของมังกรดำที่ขาดกระเด็นก็แตกตัวเป็นหยดเลือดสีดำแล้วโปรยปรายดั่งฝน
แฟรนเซียมจำใจต้องยอมกลืนศักดิ์ศรีแล้วกระโดดถอยหลังไป
ดาบของเมอร์คาบาห์จึงพลาดตกใส่พื้นแล้วทำให้เกิดระเบิดคว้านเอาฝุ่นทรายลอยคละคลุ้ง
ดาบลอยกลับไปหาเมอร์คาบาห์แล้วจึงลงมายืนขวางหน้าอิงศร กับมิ่งขวัญ
กับมีนา
เพราะการปะทะกันเมื่อครู่ทำให้จำนวนของมังกรที่ทับถมอากาศบริเวณรอบๆ
หายไปพอสมควร โพรงมิติของตัวที่โดนตัดคอเองก็หายไปด้วย
ดูเหมือนเมอร์คาบาห์จะเป็นตัวแก้ทางอาวุธของอีกฝ่าย
อิงศรยืนยันเรื่องนั้นกับสีหน้าของแฟรนเซียมที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากแช่อยู่แบบเดิมมานาน
แฟรนเซียมจ้องมองมาทางนี้ แต่มองไปที่เมอร์คาบาห์
คงกำลังประเมินผลอีกกระมัง
ตอนที่เป็นสิงห์ ธุวดารกะ
ก็เป็นคนที่เคลื่อนไหวด้วยเหตุหลและคุณค่าของการประเมินที่ตนเองคิดอยู่แล้ว
พอเห็นเมอร์คาบาห์ทำเรื่องเกินความคาดหมายก็เลยให้ความสนใจสินะ
แฟรนเซียมพูด
“นึกไม่ถึงเลยว่าเมอร์คาบาห์จะมีพลังขนาดตัด อาซี-ดาฮากา-ดาเอวา ได้
ไม่สิตอนนี้มันเป็นปีศาจที่นายพัฒนาขึ้นมาเมอร์คาบาห์ฮันเซลัชช่านี่นะ”
“…”
“แล้วมันมีขีดจำกัดขนาดไหนกัน”
ถูกถามมาแบบนั้น แต่อิงศรไม่คิดจะตอบอยู่แล้วอีกอย่างตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมอร์คาบาห์เก็บซ่อนพลังเอาไว้ขนาดไหน
อิงศรวางร่างของมีนาลงข้างๆ
มิ่งขวัญที่ตอนนี้นั่งทรุดเข่าอยู่กับพื้นเพราะอาการบาดเจ็บที่ได้รับตอนที่แฟรนเซียมโจมตีเข้ามาด้วยพายุดาบ
แล้วก้าวออกไปยืนข้างหน้าแทน
เปลี่ยนหน้าไม้กลับเป็นคันศรพร้อมกับชักดาบออกมาตั้งท่าเตรียมต่อสู้แบบประชิดตัว
แฟรนเซียมฉีกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาชักดาบออกมา
“คิดว่าจะชนะได้รึไง”
“เออสิ”
อิงศรตอบกลับไป
แต่ในใจรู้ดีว่าไม่มีทางชนะแน่เพราะคนที่สอนดาบให้เขาก็คือชายตรงหน้า
แต่จะให้หนีก็คงหนีไม่พ้นอยู่ดี ต้องแบกทั้งมีนา แถมมิ่งขวัญยังมาบาดเจ็บ
แล้วข้างหลังพวกเขาก็คือฝูงมนุษย์ต่างดาวที่ล้อมกลุ่มของนรินทร์อยู่รวมถึงมีข้าวหลามกับวิเชียรมาศในร่างปีศาจงูเตรียมพร้อมจะขย้ำพวกเขาทันที
ถัดไปอีกก็เป็นรูบิเดียมที่ดูเหมือนจะไล่ต้อนพวกราชครูจนมุมไปเรียบร้อย
หมดหนทางจะถอยโดยสมบูรณ์
แม้จะมีหนทางให้ยอมก้มหัวให้แฟรนเซียมแลกกับการไว้ชีวิตพวกเขาทุกคนเพราะอีกฝ่ายยังต้องการเมอร์คาบาห์ด้วย
...แต่ก็ไว้ใจแฟรนเซียมไม่ได้อยู่ดีแล้วตอนนี้ถึงเจรจาต่อรองไปก็ไม่เป็นผลแน่
‘งั้นก็มีแต่ต้องโค่นแฟรนเซียมลงให้ได้แล้วหาทางไปต่อ’ อิงศรสรุปทางเลือกเช่นนั้น
“…”
“…”
เวลาผ่านไปโดยที่ยังไม่มีใครขยับตัว
แม้แต่การสู้รบของคนอื่นก็ยังหยุดไปด้วย
ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขากับแฟรนเซียมราวกับเป็นการดวลตัดสิน
ทั้งที่ต่อให้เขาโค่นแหรนเซียมได้จริงก็คงไม่เหลือกำลังจะไปต่อสู้กับศัตรูทั้งหมดที่นี่ได้
“เขมือบมันซะอาซี-ดาฮากา-ดาเอวา กินแค่แขนกับขาก็พออย่าเพิ่งฆ่ามันซะล่ะ”
แฟรนเซียมพูดจบก็สะบัดดาบเหมือนสะบัดแส้ให้ม้าออกวิ่ง
แล้วก็เป็นม้าจำนวนหลายสิบหลายร้อยตัวซะด้วย...
มังกรดำเหล่านั้นพุ่งออกจากโพรงมิติราวกับม้าแข่งที่พุ่งออกจากจุดสตาร์ท
“โทษทีนะแต่ผมคงปล่อยให้เธอฆ่าอิงศรไม่ได้”
จู่ก็มีเสียงดังขึ้นมาแบบนั้น
พริบตาถัดมาก็มีแส้ใบมีดผุดทะยานขึ้นมาจากใต้พื้นทราย
แส้เรียงตัวเป็นแนวลูกกรงหยุดฝูงมังกรไว้เพียงแค่ตรงนั้น
“นี่แก”
แฟรนเซียมขบกรามพูด สายตาอันเกรี้ยวกราดจับจ้องยังสิ่งที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าซึ่งยืนขวางอิงศรอยู่อีกทอด
“ซีลอร์ด!”
อิงศรกล่าวด้วยความตกใจ
ซีลอร์ดที่แยกตัวไปก่อนจะมาที่นี่บัดนี้กลับมายืนหยัดเคียงข้าง
“มันกำลังจะเริ่มแล้วสินะ”
ซีลอร์ดกล่าวขณะทอดสายตามองสนามรบ
สนามรบอันยุ่งเหยิงที่มีมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาวเข้าห้ำหั่นกันจนเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์พังไปถึงสามเครื่องบางทีหมอนี่อาจจะมาเพราะเรื่องนั้นมากกว่าที่จะมาช่วยพวกตนก็ได้
ความรู้สึกบอกอิงศรเช่นนั้น
ความรู้สึกที่จับได้จากบรรยากาศที่ซ๊ลอร์ดปล่อยออกมา
ทันใดนั้นเอง...
“เอ้าๆ หลบหน่อยพระเอกมาแล้ว!!”
ก็มีเสียงโวยวายดังขึ้นตรงฟากที่พวกราชครูกระจุกกันอยู่
ซีเซียมนั่นเอง ราชครูที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับเขา
หมอนั่นก็ตามซีลอร์ดไปตอนที่พวกเราแยกกันมา
ไปทำอะไรซักอย่างที่ไม่ได้บอกพวกเขาแต่เป็นการเตรียมการเพื่อทางเลือกที่พวกเขาเลือกเดิน
ทางเลือกซึ่งอิงศรได้ให้คำตอบไป
เพราะซีเซียมเป็นราชครูลำดับที่สองซึ่งเป็นรองแค่แฟรนเซียมจึงขับไล่รูบิเดียมและปลดปล่อยราชครูทั้งสองออกมาอย่างง่ายดาย
จากตรงนั้นเองสถานการณ์พลิกกลับไปอย่างมาก
การปรากฏตัวของซีเซียมทำให้พวกมนุษย์ต่างดาวสับสนกันน่าดู
“เดี๋ยวก่อนสินั่นมันท่านซีเซียมไม่ใช่เหรอ”
“แต่ว่าท่านรูบิเดียมบอกว่าท่านตายไปแล้วนี่ แล้วทำไมถึง”
มีเสียงถกเถียงกันมากมายดังขึ้นในหมู่มนุษย์ต่างดาว
ท่าทางว่าสิทธิ์ในการชักเชิดมนุษย์ต่างดาวทั้งหมดอาจจะไม่ได้ขึ้นกับรูบิเดียมและแฟรนเซียมเท่านั้น
ซีเซียมเริ่มพูดกับพวกมนุษย์ต่างดาวที่สับสนกันอยู่
“ตาสว่างกันได้แล้วคนทรยศก็คือรูบิเดียมกับแฟรนเซียม
ถ้าพวกแกยังคิดอยากจะขึ้นตรงกับไฮโดรเจนอยู่ล่ะนะ”
พวกมนุษย์ต่างดาวมองหน้ากันเลิ่กลักแล้วก็หันไปมองรูบิเดียมบ้าง
ซีเซียมบ้าง เหมือนตัดสินใจกันไม่ถูก
แล้วรูบิเดียมเองก็พูดแก้ต่างขึ้นมา
“อย่าไปฟังนะนั่นมันตัวปลอม”
“เฮอะ
ตัวปลอมเรอะใช่ซี้ก็แกเป็นคนสร้างพวกเราขึ้นมาทั้งหมดเลยนี่รูบิเดียม!”
“...”
รูบิเดียมอ้าปากแล้วก็หุบลงเหมือนนึกคำพูดโต้แย้งไม่ออก
เกิดสับสนขึ้นมาว่าควรจะพูดอะไรในสถานการณ์เช่นนี้
“สร้างขึ้นมา หมายความว่ายังไงกันน่ะ”
“ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่หรือครับท่านลำดับที่สอง”
พวกมนุษย์ต่างดาวเริ่มตั้งคำถาม
“ฟังไว้ให้ดีล่ะพวกแก พวกเราทุกคนที่อยู่ที่นี่
มนุษย์ต่างดาวทั้งหมดเป็นโคลนนิ่งที่รูบิเดียมสร้างขึ้น”
คำพูดนั่นสร้างความตื่นตระหนกให้กับฝูงมนุษย์ต่างดาวไม่น้อย
มีชั้นครูตนหนึ่งถามขึ้นมา
“หมายความว่าเหมือนกับพวกชั้นศิษย์น่ะเหรอครับ”
ซีเซียมพยักหน้าให้คำถามของชั้นครูตนนั้น
“ใช่ ตัวต้นแบบของพวกเราน่าจะตายไปแล้วด้วยน้ำมือของเจ้านั่น”
แล้วชี้ไปทางที่แฟรนเซียมยืนอยู่
“ตัวจริงของแฟรนเซียมก็คือชาวโลกรูบิเดียมก็ด้วยเป็นชาวโลกที่ควบคุมองค์กรที่เรียกว่า
เมตไตรยที่พวกเรากำลังต่อสู้อยู่ไงล่ะ เรื่องนี้น่ะไฮโดรเจนยืนยันได้”
พวกมนุษย์ต่างดาวหันไปทางที่ซีเซียมชี้
พอเห็นซีลอร์ดที่ยืนประจันหน้ากับแฟรนเซียมก็เริ่มถกเถียงกันเองอีก
แล้วพวกนั้นก็มองไปที่รูบิเดียมจนแทบจะเป็นสายตาเดียวกัน
“เรื่องจริงหรือคะท่านลำดับที่สาม”
ดูเหมือนทุกตนจะให้น้ำหนักกับซีเซียมที่มาพร้อมกับซีลอร์ดมากกว่า
“…”
รูบิเดียมมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด หล่อนค่อยๆ
ก้าวถอยหลังไปสมทบกับข้าวหลามและวิเชียรมาศที่ล้อมหลังพวกอิงศรอยู่อีกที
รูบิเดียมเปิดหน้าจอสื่อสารขึ้นแต่แอบซุกไว้ในมือแล้วเอาไปไขว้หลังพลางพูดกึ่งกระซิบให้มีเสียงพอเข้าไปที่หน้าจอได้
“ชักไม่ดีแล้วนะแฟรนเซียมถ้าเกิดต่อต้านขึ้นมาล่ะก็พวกเรา...”
แต่ทว่า
“ฮะฮะฮะ”
แฟรนเซียมกลับลั่นหัวเราะเสียงดัง ดังก้องไปทั้งหาด
ทุกอย่างตกอยู่ในความสงบทันทีที่เสียงหัวเราะเงียบลง ทุกคนต่างก็สงสัยกับท่าทีของราชามนุษย์ต่างดาว
“เอาแบบนี้เลยสินะเจ้าสุนัขรับใช้พระเจ้า” แฟรนเซียมหยุดคำพูดแล้วเปลี่ยนน้ำเสียง
”งั้นก็ฟังให้ดีล่ะทุกคนที่อยู่ที่นี่!”
แล้วหันมาทางอิงศรเหมือนอยากจะให้เขาเป็นคนฟังมากที่สุด
“อิงศรฉันจะบอกความจริงที่เจ้านี่มันไม่ได้บอกแก”
“อย่านะสิงห์...แบบนั้นมัน”
พอได้ยินแบบนั้นซีลอร์ดก็ออกตัวคัดค้านขึ้นมาทันทีราวกับไม่อยากให้แฟรนเซียมพูดออกมา
เป็นเรื่องที่เขาไม่ควรจะรู้อย่างนั้นหรือ?
ที่พอจะรู้ตอนนี้ก็คือซีลอร์ดยังเก็บงำความลับอะไรไว้อีก
แล้วความลับนั่นก็อาจทำให้ซีลอร์ดเชื่อใจไม่ได้อย่างนั้นหรือเปล่า?
อิงศรคาดเดาได้แค่นั้น บอกตามตรงว่าตอนนี้แทบจะตามสถานการณ์ไม่ทัน
แล้วแฟรนเซียมที่ไม่ฟังคำทัดท้านของซีลอร์ดก็พูดออกมา
“อิงศรนายคิดสินะว่าฉันที่เป็นคนปกครองพวกมนุษย์ต่างดาวเป็นต้นเหตุของเรื่องทุกอย่างแต่มันกลับกันต่างหาก”
***อาทิตย์นี้ต้องขออภัยที่ลงข้ามวันมากๆ
ครับ
เนื่องจากงานของไรท์เร่งเข้ามามากเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาทำให้ไรท์ต้องโต้รุ่งทำงานจนไม่มีเวลาปลีกมาเขียนเลย
ดังนั้นอาทิตย์นี้จะขอเลื่อนวันลงเป็น อังคาร พฤหัส เสาร์ ไว้อาทิตย์หนึ่งนะครับ
อุ๋ง****
ความคิดเห็น