คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : Login 16 : ในความฝัน
Login 16 : ในความฝัน
ค่ำคืนหนึ่งก่อนที่รุ่งสางจะมาเยือน
เมื่อเวลานั้นมาถึงการเเดินทางเพื่อฝึกฝนเก็บเลเวลให้เป็นหกสิบ ก่อนที่เรดบอสระดับห้าสิบจะเริ่มขึ้นที่ค่ายแห่งนี้ในอีกสิบสองวันของอิงศรก็จะเริ่มขึ้น
ค่ำคืนนี้เขาถูกเชิญมายังห้องรับรองของผู้ถูกลืมเลือน
ภายในรูนรูม
ห้องพุงพังที่แสนคุ้นตาและภาพทิวทัศน์ยามค่ำคืนแบบเดิมๆ กับโซฟาเก่าๆ
ตัวเดิม
“ในที่สุดก็ยอมมาหาผมซักทีนะมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก”
จ้าของห้องหน้าเดิมๆ เด็กหนุ่มผมสีขาวที่ดูจากรูปร่างแล้วน่าจะอายุเท่ากัน มีเรือนผมสีขาวและดวงตาทอประกายคมกริบที่มาพร้อมกับรอยยิ้มน่าหมันไส้
การแต่งกายแบบเรียบๆ เสื้อวอร์มสีแดงกางเกงยีนส์และหูฟังแบบครอบฟองน้ำ
ทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนไป
“ดูเหมือนเธอจะเซ็งๆ อยู่นะ”
“…”
คุณไม่ได้พูดอะไร
“จะไม่พูดซักหน่อยเหรอ จริงสิ! เธอไม่สามารถจะพูดได้เมื่ออยู่ในที่แห่งนี้อยู่แล้วนี่นะ แต่ว่ากระทั่งความคิดก็จะไม่ยอมแสดงให้ผมรู้หน่อยเหรอ”
“...”
คุณเลือกที่จะตอบกลับไปว่า
ดูเหมือนถ้าชั้นหลอกตัวเองว่าไม่ได้คิดอะไรแกเองก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าชั้นคิดอะไรอยู่สินะ
ผู้ถูกลืมเลือนยิ้มให้แล้วตอบกลับไปว่า
“ก็ทำนองนั้นแหละ ว่าแต่ผมจำได้นะว่าไม่เคยบอกเรื่องที่ห้องนี้อ่านความคิดของแขกผู้มาเยือนได้กับเธอเลยนี่
หรือว่าวิเคราะห์ออกมาได้เองเหรอ”
“...”
คุณเลือกที่จะตอบกลับไปว่า เฮอะ!
ชั้นเนี่ยนะแขก...พึ่งจะรู้นะว่าคนเขาต้อนรับแขกกันด้วยการแฉความคิดแบบนี้น่ะ
“งั้นเองเหรอ มันคงเสียมารยาทกับเธอสินะ”
“...”
คุณเลือกที่จะตอบกลับไปว่า
เลิกเล่นตลกกันแค่นี้แหละ ถ้าอยากจะคุยก็หัดให้ความเท่าเทียบกับคู่สนทนาด้วยไอ้เด็กหงอก
“ใช้คำพูดรุนแรงจังเลยนะวันนี้แต่มันก็...”
ผู้ถูกลืมเลือนหยุดคำพูดแล้วดีดนิ้วมือจนเกิดเสียงดัง เปาะ!
“เป็นอย่างที่เธอพูดนั่นแหละ”
จากนั้นบรรยากาศของห้องก็เหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
แล้วเมื่ออิงศรดำเนินความคิดต่อไป
“เมื่อกี้..ห๊ะ!”
เด็กหนุ่มหยุดคำพูดด้วยความตกใจเพราะเสียงของตนดังออกมา
“ผมยกเลิกเงื่อนไขให้แล้วทีนี้โอเครึยังล่ะ”
ผู้ถูกลืมเลือนพูดแล้วยิ้มให้
“อ...เออ”
“แล้ว...มีเรื่องอะไรจะพูดกับผมงั้นเหรอ”
พอถูกถามขึ้นมากะทันหันอิงศรก็ทำหน้ามุ่ยเล็กน้อย
“แต่นายเป็นคนที่เรียกชั้นมาเองไม่ใช่รึไง! เอาเถอะทางนี้ก็มีเรื่องจะถามเหมือนกัน”
“เรื่องที่จะถามเหรอ”
“ใช่ เพราะงั้นถึงได้ยอมมาพบไงเล่า เกี่ยวกับเรื่องเมลจากจีเอ็ม...”
อิงศรกำลังหมายถึงเมลที่ส่งมาเตือนเรื่องความตายของเพื่อนสนิทที่ชื่อ
พิพัฒน์
ซึ่งกำลังสงสัยว่าผู้ที่ส่งมาจะเป็นผู้ถูกลืมเลือนเพราะในวันที่ได้พบกันเป็นครั้งแรกก็เป็นวันเดียวกับที่มีเมลตัวจับเวลาตายส่งมาให้
“ไอ้นั่นน่ะนายเป็นคนส่งมาอย่างงั้นสินะ”
“อืม- ใช่แล้วล่ะผมเป็นคนส่งไปเอง”
ผู้ถูกลืมเลือนตอบคำถามโดยไม่มีความหวั่นไหวในน้ำเสียงเลยแม้แต่น้อยจนน่ากลัว
... น่ากลัวว่าหากถามคำถามแบบตรงไปตรงมาต่อไปอย่างนี้เขาอาจจะตกหลุมพรางอีกฝ่ายเอาได้
หากลองใช้สมองคิดซักนิดก็จะได้ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งที่เข้าใกล้ความจริงที่สุด เป้าหมายของการส่งเมลตัวจับเวลาตายมาให้ หากว่านั่นไม่ใช่การข่มขู่หรือการเล่นสนุกแล้วล่ะก็ มันก็คือความหวังดีที่อยากจะช่วยเตือนถึงภัยที่กำลังจะมาถึงตัวคนรอบข้างนั่นเอง
แล้วนั่นก็อาจจะเป็นหลุมพรางที่จงใจให้เขาเหยียบมันลงไปก็เป็นได้
ดังนั้นสิ่งที่ควรทำในตอนนี้คือการหยั่งเชิงอีกฝ่ายก่อน
“แล้วส่งมาทำไม หรือว่านายกำลังหวังเอาชีวิตคนรอบตัวชั้นอยู่กันแน่”
เขาลองเสี่ยงถามคำถามที่อาจถูกจับโกหกได้ในทันที
“มันแปลกๆ อยู่นะ”
“…”
“มันน่าจะกลับกันไม่ใช่เหรออย่างเธอเองก็น่าจะรู้ได้ว่าผลลัพธ์ของการส่งเมลฉบับนั้นไปมันจะทำให้เธอระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม ถ้าหากว่าผมเล็งชีวิตเพื่อนของเธอเอาไว้จริงทำไมจะต้องส่งของแบบนั้นไปด้วยล่ะ ผมทำเรื่องยุ่งยากขนาดนั้นไม่ได้หรอกนะ”
ดูเหมือนอีกฝ่ายก็คิดแบบเดียวกันในระดับของสามัญสำนึก พูดแบบง่ายๆ ก็คือ
ไม่โง่พอจะหลงเชื่อคำโกหกที่ด้นขึ้นมาสดๆ อย่างที่พูดไปเมื่อกี้
“นี่คงไม่ใช่ว่านายกำลังแอบอ่านความคิดของชั้น…”
แต่ผู้ถูกลืมเลือนกลับพูดแทรกขึ้นมา
“ก็เปล่านี่แค่พูดในเรื่องของสามัญสำนึกก็แค่นั้นเอง
เธอน่ะคิดอะไรอยู่ผมไม่ได้รู้ด้วยหรอกก็ตอนนี้กติกามันกำหนดเอาไว้อย่างนั้นนี่นา”
ไม่อาจรู้ได้เลยว่าที่พูดออกมาคือความจริงหรือคำโกหกที่จะล่อให้เขาตายใจกันแน่ หรือบางทีเขาควรลดระดับการสนทนาของคนตรงหน้าลงจากระดับการสนทนาระดับเดียวกับสิงห์
การสนทนาชิงไหวชิงพริบที่หากพลาดท่าก็จะถูกอีกฝ่ายชิงกุมจุดอ่อนในทันที
แต่ว่าการพูดคุยกับผู้ถูกลืมเลือนมันไม่ใช่อะไรแบบนั้น
แทบจะจับสัมผัสหรือบรรยากาศกดดันไม่ได้เลย
“ถ้างั้นจะส่งของพรรค์นั้นมาทำไม”
“ก็เพื่อการทดสอบว่าเธอจะปฏิบัติอย่างไรถึงจะแก้ไขปัญหาได้ หากรู้ว่าปลายทางข้างหน้ามีความสิ้นหวังแบบไหนรออยู่”
“ทดสอบเหรอ แล้วจะทดสอบไปทำไมกัน”
“เพื่อดูให้รู้ว่าชะตาของมนุษย์ถูกลิขิตเอาไว้แล้วหรือไม่”
สรุปแล้วก็ได้คำตอบออกมาว่าควรใช้ระดับการสนทนาแบบใดกับคนๆ นี้
มันเป็นระดับที่ต่ำกว่าเอาไว้คุยกับกวินทร์ที่ซื่อจนเข้ามากระดิกหางใส่เขาเสียอีก
ระดับที่เรียกว่าตำนานของความบ้าบอเลยก็ว่าได้
ดังนั้นอิงศรจึงตอบโต้กลับแบบคนบ้าด้วย
“คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าหรือไงถึงได้ว่างมาเที่ยวทดสอบคนอื่นเขาน่ะ”
พอได้ยินแบบนั้นผู้ถูกลืมเลือนก็หุบยิ้มลงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนแปลงไป
“อยู่ที่ว่าเธอจะยอมรับมันยังไง”
พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเหมือนกับสายตาที่ใช้จ้องเขาในตอนนี้
ท่าทางว่าการยุยงจะได้ผลอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาแบบที่ไม่เข้าใจออกมา
“ตกลงว่านายโกรธที่ชั้นพูดแบบนั้นไปเหรอ
โกรธที่ทำเหมือนกับนายเป็นคนบ้างั้นสิ”
อิงศรยังคงยั่วยุอีกฝ่ายต่อ
แต่ดูเหมือนว่าผู้ถูกลืมเลือนจะไม่ได้ตอบสนองต่อการยั่วยุแล้ว
“เปล่า
ผมกำลังพูดถึงเธอต่างหากการถามตอบเรื่องเมลนั่นจบลงไปแล้วตอนนี้เรากำลังอยู่ที่ประเด็นของผลลัพธ์ว่าเธอจะทำยังไงกับความรู้สึกที่โทษใส่ตัวเองว่าปกป้องเพื่อนไม่ได้ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องพบกับชะตากรรมแบบใดต่างหาก”
“...”
“ถ้าเป็นเธอในตอนนี้อาจจะกำลังคิดอยู่สินะว่าผมเป็นศัตรูหรือว่ามิตร... ให้เดาก็กำลังคิดจนสมองแทบจะระเบิดออกมาแล้ว
ถ้าจะถามว่าทำไมถึงรู้ล่ะก็ขอบอกเอาไว้ก่อนนะว่าผมไม่ได้กำลังอ่านใจของเธอ
เพียงแต่ร่างกายของเธอมันกำลังบอกให้ผมรู้ ไม่ว่าจะเป็นรอบการเต้นของหัวใจ
เม็ดเหงื่อที่กำลังผุดขึ้นทั่วทั้งร่างรวมไปถึงรอบการวิ่งของคลื่นไฟฟ้าที่กำลังแล่นอยู่ในสมองของเธอด้วย
เห็นรึยังล่ะถึงไม่ต้องทำอะไรมนุษย์ก็จะบอกสิ่งที่คิดออกมาทั้งหมดอยู่ดี”
ผู้ถูกลืมเลือนร่ายยาวเหยียดจนเกือบจะฟังไม่ทันแถมยังเปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหันแล้วยังพูดไล่ต้อนจนไตอบโต้ไม่ถูก
เขาถูกอีกฝ่ายอ่านการเคลื่อนไหวออกหมดทะลุปรุโปร่งไปจนถึงขั้นของความนึกคิดเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้กลับไปอย่างไรดี...
ดังนั้นอิงศรจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรเลยเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ตามที่ว่าเอาไว้ ซึ่งความคิดนั้นก็คงจะโดนอ่านออกเช่นกัน
"..."
เมื่อไม่มีการตอบกลับจากเขาห้องก็เงียบสนิท เงียบจนน่าอึดอัด
ผู้ถูกลืมเลือนเริ่มพูด...
“คราวนี้เอาไว้เท่านี้ก่อนดีกว่าดูเหมือนว่าผมจะไล่ต้อนเธอมากเกินไปสินะลองไปคิดทบทวนดูซักหน่อยก็แล้วกันว่าเธอจะยอมรับมันยังไง”
สิ้นคำทั้งห้องก็ถูกหมอกปกคลุม
หมอกเริ่มซ้อนตัวหนาขึ้นทุกขณะจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใดในห้องอีก
“ฮ..เฮ้เดี๋ยวก่อน!”
อิงศรส่งเสียงออกไป แต่มันสายไปเสียแล้ว
สัมผัสของเขาบอกว่ารูนรูมกำลังไกลออกไป ท่ามกลางความมืดมิดของหมอก ทุกอย่างกำลังกลายเป็น ‘ว่างเปล่า’ รวมถึงสติรับรู้ก็เริ่มที่จะเลือนลาง
จนกระทั่งความฝันหยุดลงไปพร้อมกับสติที่หลุดลอย....
ความคิดเห็น