ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #162 : Login 159: [ROOT BREAK]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 256
      6
      17 ต.ค. 60

    Patch Continue Armageddon

    System Starting Up

    Akashic_Logger.exe is launching

    Elixir.exe is launching

    System start up is complete

    System run Akashic_Record_Final_Track.log

    เกมโกงวันโลกาวินาศ APOCALYPSE ONLINE [ROOT BREAK]

     

                เพื่อจะหยุดยั้งความปรารถนาอันทะเยอทะยานของสิงห์ที่จะการสร้างโลกแบบคุณธรรมนิยมโดยการควบคุมเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก่อกบฏต่อแอดมินิสเทรเตอร์แล้วเข้าควบคุมบังเหียนโลกและช่วยเหลือมีนาที่ถูกจับเป็นตัวประกัน อิงศรกับพวกพ้องจึงออกเดินทางมุ่งหน้าสู่สนามรบ

                และแล้วเรื่องราวก็ดำเนินมาถึงองค์สุดท้าย เรื่องราวที่จะตัดสินชะตากรรมของ มนุษย์ สัตว์เทวะ มนุษย์ต่างดาว ปีศาจ อสุรา และ พระเจ้า ก็ได้เบิกม…ม…ม่าน…ข…อึ้น

    Track bad sector has founded. File is error.

    Null pointer exception.

    Invader has founded.

    Code checking…

    {Turn Bringer}

     

     


    Login 159: [ROOT BREAK]

     

                พั่บๆๆๆ

                เสียงขยับใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ดังแว่วเข้ามาถึงข้างใน

                ทั้งที่มันควรเก็บเสียงแต่ก็ดูเหมือนจะมีรูเล็กๆ ตามที่ต่างๆ ในห้องเครื่องแสดงให้เห็นว่ามันเก่าขนาดไหน

                “…”

                อิงศรท้าวคางอยู่ข้างหน้าต่างตรงที่นั่งด้านนอกสุดติดกับประตูจึงได้ยินเสียงนั้นดังอย่างชัดเจน

                ทั้งที่ดังพั่บๆ จนน่ารำคาญแต่ก็แปลกที่เหมือนกับมันจะช่วยขับกล่อมเขาจนรู้สึกง่วงขึ้นมาเสียงของมันเป็นจังหวะที่ลงตัวอย่างบอกไม่ถูก

                เด็กหนุ่มทอดสายตามองภายในห้องโดยสารที่แบ่งเป็นสองฝั่งเก้าอี้วางเรียงรายกันแถวละหกตัวแต่ละตัวมีเข็มขัดนิรภัยเป็นของตัวเอง

                นรินทร์กับพวกเด็กกำพร้าจาก อารย-สนธยาอีกห้าคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม

                ถัดไปจากที่นั่งของเขาก็เป็น มิ่งขวัญ กวินทร์ แล้วก็เมษา เก้าอี้ตัวที่เหลือว่างอยู่

                คนอื่นๆ พอขึ้นมาบนเครื่องก็ผล็อยหลับกันหมด

                ทั้งที่ศัตรูกำลังขับฮ. ให้ยังหลับกันลงอีก…อิงศรคิดพลางชายตามองไปยังที่นั่งคนขับแล้วก็เริ่มคิดถึงเรื่องในอดีต

                สี่ปีก่อน

                เขากับมิ่งขวัญที่เป็นน้องชายเพิ่งจะอายุครบสิบสามกับสิบเอ็ดขวบก็ต้องเผชิญหน้ากับการล่มสลายของโลก

                โลกที่ถือกำเนิดขึ้นหลังจากผู้คนล้มตายไปมากมายคือโลกที่กลายเป็นเกมและมนุษย์ตกเป็นเหยื่อของสัตว์เทวะ สัตว์ธรรมดาที่มีอยู่บนโลกซึ่งกลายพันธ์ุเพราะไวรัสชื่อ ‘อมฤต’

                หลังจากฝ่าฟันวิกฤตร่วมกับน้องชายในโลกที่กลายเป็นแบบนั้นมาได้ปีหนึ่งก็ได้พบกับพวกพ้องที่มีสายสัมพันธ์เหนียวแน่น

                เหล่าเด็กกำพร้าจากสถานสงเคราะห์ที่รอดชีวิตมาเจอกันจนได้กลายเป็นครอบครัวฝ่าฟันความยากลำบากด้วยกัน

                ช่วงเวลาที่สงบสุขและเริ่มจะคงตัวแล้วแต่มนุษย์ต่างดาวผู้ทำให้โลกล่มสลายกลับปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าแล้วพรากทุกคนไปจากเขา

                พวกเด็กกำพร้าถูกฆ่าตาย มิ่งขวัญโดนสถานีรถไฟฟ้าถล่มทับเพราะช่วยให้เขาหนีรอดมาได้

                สามปีต่อจากนั้นคือความขมขื่น

                ถูกสิงห์ ธุวดารกะ เก็บไปเลี้ยง ถูกฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้เป็นทหารชั้นยอด

                แล้วตนก็เติบโตกลายเป็นทหารขององค์กรเมตไตรย

                “…”

                อิงศรหันไปทางซ้าย ทอดสายตามองดูพวกพ้อง กวินทร์ กับ เมษาแล้วก็มีนาที่ไม่ได้อยู่ที่นี่รวมถึงนรินทร์ที่นั่งอยู่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เขาได้เหล่าพวกพ้องที่เชื่อใจได้มามากมาย

                “โดนน้องชายนอนเอาหัวพิงไหล่แบบนั้นมันรู้สึกยังไงบ้างเหรอ”

                จู่ๆ เขาก็โดนถามแบบนั้น

                อิงศรหันหน้าตรงไปข้างหน้าทิศที่นรินทร์นั่งอยู่อีกฟากแต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นกลับมีคนขวางอยู่

                เด็กหนุ่มผมสีขาวสวมเฮดโฟนกับเสื้อวอร์มสีแดงกางเกงยีนส์อันเป็นเอกลักษณ์ที่เห็นอยู่บ่อยๆ แต่หมอนี่ไม่ใช่มนุษย์ ถึงจะแต่งตัวจนดูเหมือนมนุษย์ก็ตามแต่เพราะทำท่านั่งขัดสมาธิลอยอยู่บนอากาศแบบนั้นจึงไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน

                ‘ผู้ถูกลืมเลือน’ หมอนี่เรียกตัวเองว่าอย่างนั้นในตอนที่ได้พบกันครั้งแรก จนถึงตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าทำไมจึงเรียกตัวเองแบบนั้น เพราะตัวจริงของหมอนี่คือ ‘เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์’ เป็นตัวตนที่น่ากลัวซะยิ่งกว่าพวกมนุษย์ต่างดาว

                เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์มีพลังขนาดทำลายล้างโลกได้

                “และเพราะเธอเข้ามาพัวพันกับผมถึงได้พบกับน้องชายที่คิดว่าตายไปแล้วอีกครั้งแต่มิ่งขวัญคนนั้นก็กลับกลายเป็นมนุษย์ต่างดาว”

                ซีลอร์ดพูด

                “…”

                อิงศรจ้องหน้าอีกฝ่ายแล้วก็คิดในใจ

                ใช่หมอนี่อ่านในคนได้ตอนที่เจอกันช่วงแรกๆ ก็ทำทีเป็นโกหกว่าจะไม่อ่านใจแต่เป็นแท้จริงแล้วเป็นพวกสตอบอแหลที่เที่ยวล้วงความลับคนอื่นเขาไปทั่ว

                “นี่ๆ ใช่ว่าผมอยากจะอ่านซะเมื่อไหร่ล่ะก็ความในใจเธอมันลอยขึ้นมาบนหน้าเองนี่”

                “อ้าว อ่านไปแล้วเหรอโทษทีนะพอดีความคิดมันเป็นของที่หยุดกันไม่ได้น่ะ”

                “เธอเนี่ยนะรู้สึกจะคุ้นชินกับผมเกินไปแล้วนะ”

                “คุยด้วยกันบ่อยขึ้นมันก็ต้องจับทางได้กันอยู่แล้วล่ะน่า”

                อิงศรพูดตัดบทไปแบบนั้นแล้วยกมือซ้ายข้างเดียวกับไหล่ที่มิ่งขวัญเอาหัวหนุนพิงอยู่อ้อมหลังน้องชายโอบศีรษะเข้ามาแนบชิดให้มากขึ้นพร้อมกับลูบไล้เส้นผมอย่างทะนุถนอม พลางก็คิดไปว่าสามปีมาแล้วที่ไม่ได้ใกล้ชิดกันขนาดนี้

                จากนั้นก็ทอดสายตามองพวกพ้องทั้งหมดซึ่งอยู่ในเครื่องแบบใหม่โทนสีฟ้าขาวแล้วพึมพำออกมา

                “ตอนนี้พวกเราคือกองกำลังแซดสินะ”

                “จะบอกว่าเป็นกองกำลังที่สังกัดกับผมงั้นเหรอ”

                อิงศรหันไปตอบซีลอร์ด

                “ก็แล้วไม่ใช่รึไง”

                “ที่จริงมันควรจะเป็นกองกำลังของเธอนะ”

                “แต่เครื่องแบบนายเป็นคนทำเพราะงั้นฉันจะเอาชื่อย่อนายมาใช้”

                พอพูดไปแบบนั้นซีลอร์ดก็กลั้นขำเล็กน้อย

                “ขำอะไรของนายฟระ”

                ซีลอร์ดเงยหน้ามองมาที่เขาแล้วพูดว่า

                “เธอเนี่ยจะว่าเหมือนก็เหมือนนะแต่ก็ไม่ได้เหมือนกันหมดซะทีเดียวเลยกับสิงห์น่ะ”

                อิงศรทำหน้าไม่เข้าใจคำพูดนั้น

                “ชื่อกิลด์เซเวียร์ของสิงห์ที่เธอสังกัดอยู่น่ะขึ้นต้นด้วยตัวแซดเหมือนกับตอนนี้เลย”

                งั้นนี่ก็เป็นคำตอบเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับสิงห์ที่ได้รู้จากปากของหมอนี่

                ก่อนจะขึ้นมาบนเครื่องหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จแล้วก็ให้ทุกคนรวมถึงตัวเองถอนตัวออกจากกิลด์เพื่อไม่ให้ฝ่ายนั้นรู้ความเคลื่อนไหวจากระบบของเกมอีก

                คงจะทำให้ปั่นป่วนได้บ้าง

                อิงศรคิดว่ามันก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยยังไงซะเขาก็โดนสิงห์แซงหน้าไปมากเกินกว่าจะไล่ตามให้ทันได้ในทันที

                เพราะว่าสิงห์ ธุวดารกะคือ แฟรนเซียม ราชาของพวกมนุษย์ต่างดาวผู้บงการเรื่องทั้งหมด เบื้องหลังการล่มสลายของโลกเป็นที่ประจักษ์เมื่อซีลอร์ดเปิดเผยตัวเองว่าเป็นผู้เฝ้าจับตาดูมนุษย์และบอกเล่าถึงการคงอยู่ของตัวตนที่ราวกับเป็นพระเจ้า

                เหล่าแอดมินิสเทรเตอร์ผู้มอบบททดสอบของโลกแห่งเกมให้กับมนุษย์

                ไหนจะองค์กร อารย-สนธยา ซึ่งบริหารโดยเทพและมารที่ต้องการปลดแอกตัวเองจาการเป็นทาสแอพพลิเคชั่นของมนุษย์ที่บุกเข้าโจมตีเมตไตรยและจับตัวนรินทร์ไปก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในแผนของแฟรนเซียม

                นอกจากนี้เบื้องหลังอันน่าตกใจเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวก็ได้รับการบอกเล่าจากซีลอร์ดว่าพวกนั้นถูกเหล่าทูตสวรรค์ผู้ชักใยประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติสังหารไปหมดแล้ว ตัวตนของมนุษย์ต่างดาวในปัจจุบันจึงเป็นของทำเลียนแบบที่แฟรนเซียมสร้างขึ้นมา

                “เกี่ยวกับเรื่องนั้นน่ะเพราะพวกสาวกของ ยฮวฮ หนีรอดไปได้จึงคอยชักใยธุวดารกะอยู่เบื้องหลังและเคลื่อนไหวมาโดยตลอดสุดท้ายเรื่องก็เลยบานปลายจนแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วเรื่องรู้ไปถึงหูของแอดมินิสเทรเตอร์น่ะ

                ซีลอร์ดพูด หมอนี่อ่านความคิดของเขาที่กำลังวิเคราะห์เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดอยู่แล้วก็พูดข้อสรุปออกมา

                สรุปคือต้นเหตุของเรื่องเป็นเพราะความสัพเพร่าของเครื่องทำสวนที่หยุดยั้งพวกเทวทูตที่หลุดออกมาจากความผิดพลาดของพวกตัวเองไม่ได้

                “ก็ไม่ถูกซะทีเดียวหรอกนะมนุษย์เลือกทางเดินแบบนั้นด้วยตัวเองถึงต้องเจอบททดสอบแบบนี้ยังไงล่ะ

                พอได้ยินที่ซีลอร์ดพูดแย้ง อิงศรก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

                อีกฝ่ายไม่คิดจะโทษตัวเองอยู่แล้ว ถึงดึงดันเอาความไปก็เท่านั้น ยังไงซะซีลอร์ดก็ไม่มีอำนาจพอจะแก้ไขอะไรได้จนต้องมาขอให้มนุษย์ที่อ่อนแอช่วยเอาอย่างนี้

                แต่มนุษย์ที่อ่อนแอคนนั้นก็เอาชนะเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ได้ดูมันจะย้อนแย้งกันจังเลยนะ

                อิงศรไม่คิดจะโต้ตอบมากไปกว่านั้นแล้วทวงถามถึงสัญญา

                เลิกอ่านความคิดฉันซักทีเหอะแล้วทีนี้จะบอกมาได้รึยังเรื่องที่จะบอกฉันตอนที่ขึ้นเครื่องมาน่ะ

                ได้สิงั้นขอเริ่มจากตรงที่มันเกิดอะไรขึ้นกับสิงห์เมื่อสิบสองปีก่อนกับความเป็นมาของเดม่อนแอพพลิเคชั่นก็แล้วกัน

                เรื่องที่เขาขอให้เล่าก็คือรายละเอียดของเรื่องที่ว่ามนุษย์ต่างดาวทั้งหมดในตอนนี้เป็นของเทียมที่สิงห์สร้างขึ้นมาแต่กลับมีเรื่องของแอพพลิเคชั่นปีศาจเข้ามาเกี่ยวด้วยแถมยังต้องเล่าย้อนไปนานถึง 20 ปี เรื่องมันเริ่มมานานถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?

                “…”

                ซีลอร์ดไม่ได้ตอบโต้กลับมาคงไม่ได้อ่านใจหรือไม่ก็เริ่มอยากจะจริงจังขึ้นมาบ้างแล้ว

                แต่ทว่า... ตอนนั้นเองอีกคนที่นั่งร่วมวงสนทนากับพวกเขามาด้วยตั้งแต่เริ่ม แต่การคงอยู่ของตัวตนนั้นสัมผัสได้เบาบางมากก็พูดแทรกขึ้นมา

                ดูเหมือนเจ้าจะล่วงรู้เรื่องของมนุษย์มากมายเหลือเกินนะซีลอร์ด

                อิงศรเลื่อนสายตาไปยังเด็กชายที่นั่งขัดสมาธิกลางอากาศอยู่ข้างๆ ซีลอร์ด

                เด็กชายมีหูสุนัขงอกอยู่บนศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นผมสีดำหยิกหยักศกและสวมเครื่องแบบเหมือนกับที่พวกเขาสวม

                โดโกบาร์ ผู้พิสูจน์แห่งเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ หมอนี่ก็เหมือนกับซีลอร์ดเป็นหนึ่งในอาวุธสำหรับรักษากฎระเบียบของพระเจ้าที่เรียกว่าแอดมินิสเทรเตอร์ผู้ที่ทำให้เกิดบททดสอบที่เรียกว่าเกมโลกาวินาศนี่ขึ้นมา

                ซีลอร์ดตอบโดโกบาร์ไปว่า

                ก็ผมคอยเฝ้าจับตาดูพวกเขาอยู่นี่

                นั่นสินะ

                โดโกบาร์ตอบรับอย่างว่าง่าย แล้วซีลอร์ดก็หันมาทางนี้พลางพูดว่า

                สิบสองปีก่อนพวกสาวกของยฮวฮหรือที่เธอเรียกว่าเทวทูตหรือเหล่าทูตสวรรค์นั้นได้พยายามที่จะฟื้นคืนชีพให้กับยฮวฮผู้เป็นเหนือหัวของพวกมันจึงได้ริเริ่มการทดลองดาวน์โหลดปีศาจจากอาคาชิกเรคคอร์ดลงมาที่สวนแห่งนี้เพื่อการนั้นถึงกับปิดตายเมืองทั้งเมืองในตอนนั้นสิงห์ก็อยู่ที่นั่นด้วยอยู่ในเมืองที่ปิดตายและได้เห็นทุกอย่าง

                “…”

                อิงศรคิดอยู่เงียบๆ ขณะที่ฟังเรื่องราวจากซีลอร์ดพยายามเชื่อมเรื่องที่ตัวเองรู้มาเข้าด้วยกัน

                คีย์เวิร์ดที่จับขึ้นมาได้คือ สิบสองปีก่อนมีการปดตายเมืองเกิดขึ้น แต่ไม่เคยได้ยินข่าวแบบนั้นมาก่อนบางทีอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นที่ประเทศนี้เพราะการปิดตายเมืองทั้งเมืองถึงจะมีอำนาจมากมายแค่ไหนคงปิดข่าวใหญ่ขนาดนั้นไม่ได้หรือไม่ก็ต้องมีข่าวลวงที่ดูสมเหตุสมผลเกิดขึ้นมาบ้าง

                ซีลอร์ดยังเล่ามาอีกว่า

                สิงห์กับกุมภา ธุวดารกะแล้วก็พี่น้องอีกสิบคนซึ่งถูกรวบรวมมาได้เป็นหนูทดลองการดาวน์โหลดปีศาจในคราวนั้นผลก็คือสิงห์ตายลงในการต่อสู้เพื่อหนีออกมาจากการปิดตาย...

                ขอเดานะนายเป็นคนคืนชีพให้หมอนั่นล่ะสิ

                อิงศรพูดขัด ที่จริงเขาเองก็ตกใจนิดหน่อยที่รู้ว่าสิงห์ไปเจออะไรมาบ้างแล้วมันก็ทำให้เดาเหตุการณ์ต่อไปได้ทันทีเมื่อเทียบกับเรื่องที่เขาเพิ่งจะเผชิญมา

                นรินทร์ที่นอนอยู่ฟากตรงข้ามเองก็เป็นตัวอย่างที่อธิบายได้ชัดเจนที่สุดเรื่องที่ซีลอร์ดสามารถคืนชีพให้กับมนุษย์ได้

                อืม ก็ตามนั้นเลยแต่ผมเองก็มีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่เหมือนกัน

                เรื่องอะไร

                ทำไมสิงห์ถึงได้กลายเป็นบุตรแห่งแสงหรือที่เธอเรียกกันว่ามนุษย์ต่างดาวน่ะสิ

                ไม่ใช่ว่าเป็นฝีมือนายเองหรอกเรอะ

                แต่ซีลอร์ดส่ายหน้าปฏิเสธโดยสิ้นเชิง

                ผมแค่ทำเหมือนกับที่เคยทำให้เธอเห็นไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นบางทีก่อนที่ผมจะไปถึงที่นั่นอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนก็ได้เพราะเหล่าบุตรแห่งแสงเองก็ได้เข้าแทรกแซงการทดลองนั้นและถูกทำลายทั้งหมด

                ทั้งหมดเลยงั้นเรอะ พวกเอเลี่ยนเสร็จอะไรไปกันแน่

                ผมเองก็สงสัยมาจนถึงตอนนี้เหมือนกันถึงได้คืนชีพให้สิงห์เพื่อจะถามสาเหตุน่ะแต่ก็กลายเป็นว่าโดนลากให้เข้ามาพัวพันกับเรื่องยุ่งยากบางอย่าง

                นายจะบอกว่าเรื่องนี้ยังมีเบื้องหลังอยู่อีกงั้นเรอะ

                คิดว่าน่าจะใช่นะ

                ถ้าตีความตามที่ซีลอร์ดพูดก็หมายความว่ามีใครบางคนที่พวกเขายังไม่รู้จักกำลังควบคุมสถานการณ์ในตอนนี้อยู่

                แล้วโดโกบาร์ก็พูดขึ้นมา

                คิดว่าอาจจะเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าใช้พลังในการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้อยู่เหมือนกัน

                “…”

                อิงศรไม่เข้าใจคำศัพท์ที่อีกฝ่ายพูด ซีลอร์ดจึงกล่าวเสริม

                หมายถึงอาคานาร์สินะผมเองก็คิดอย่างนั้น อิงศรพอจะรู้อะไรบ้างรึเปล่า

                อิงศรส่ายหน้า

                ไม่ล่ะถ้าขนาดคนในอย่างพวกนายยังไม่รู้ฉันยิ่งไม่รู้กว่าเลยไม่ใช่รึไง

                “…”

                ไม่มีใครให้คำตอบได้บทสนทนาจึงหยุดชะงักอยู่เพียงเท่านั้น

                แต่มันยังมีหัวข้ออื่นอยู่อีกเรื่องที่อยากจะถาม...

                อิงศรพูด

                จะว่าไปก่อนหน้านี้นายเคยมองขวัญกับกวินทร์แล้วก็พูดใช่ไหมว่าคาอินกับอาเบลคืนดีกันแล้ว นั่นน่ะหมายถึงคาอินกับอาเบลที่เป็นบุตรของอดัมกับอีฟรึเปล่า

                ช่วงก่อนที่จะเริ่มการสนทนาเขาได้ลองหาข้อมูลจากแบบเรียนวิชาปีศาจวิทยาที่ใช้ในกองทัพซึ่งมีไบเบิลกับคัมภีร์เกี่ยวกับศาสนาคริตส์รวมอยู่ในนั้นด้วย คาอินกับอาเบลคือตำนานที่กล่าวถึงพี่ชายน้องชายคู่หนึ่งพี่เกิดริษยาน้องที่ได้รับความรักความเอ็นดูจากพระเจ้ามากกว่าจึงได้ฆาตกรรมน้องชาย แต่ว่าเรื่องนั้นมันเกี่ยวข้องอะไรกับมิ่งขวัญและกวินทร์กันล่ะ

                ไม่ใช่ว่านายกำลังมองพวกเราซ้อนทับกับอะไรอยู่หรอกนะ

                อิงศรลองเดาสุ่มดูแล้วก็เหมือนจะเดาถูก ซีลอร์ดเปลี่ยนสีหน้าไปแวบหนึ่งก่อนจะกล่าวปฏิเสธ

                ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะจะคาอิน อาเบล หรือ อดัม ทั้งหมดนั่นก็เป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว เหล่าพวกพ้องของเขาต่างก็ตายจากไปหมดแล้วพวกเธอก็แค่พ้องกันด้วยโชคชะตาเท่านั้นเอง ก็แค่คิดว่ามันบังเอิญจังเลยนะ ก่อนหน้านี้ก็เลยไปบอกสิงห์ว่ากวินทร์เป็นพี่ชายของมิ่งขวัญคิดว่าคงทำให้เขาสับสนพอดู

                สรุปก็คือหมอนี่กำลังกลุ้มใจอยู่จริงๆ นั่นแหละ แต่เพราะไม่ยอมเผยอะไรออกมาก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรเหมือนกันแล้วถ้าลองคาดเดาเอาก็คิดว่าเป็นเรื่องที่รู้ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี เจ้าตัวต้องก้าวข้ามปัญหานี้ไปด้วยตัวเองเท่านั้น

                อิงศรจึงตอบรับไปโดยทำทีเป็นฉุนเฉียวนิดหน่อยกะว่าจะเปลี่ยนบรรยากาศ

                ก็แหงสิฟะอยู่ๆ ก็ให้ฉันได้น้องชายเพิ่มมาอีกคนรึไง

                เพราะกวินทร์เป็นรุ่นน้องถ้าอย่างนั้นเขาเองก็ต้องเป็นพี่ของกวินทร์อีกคน อิงศรคิดแบบนั้น

                แต่ซีลอร์ดกลับแย้งว่า

                ให้ถูกกว่านั้นเธอเป็นพ่อของทุกคนนะ

                นั่นน่าจะเป็นคำใบ้ว่าหมอนี่กำลังเอาเขาไปเทียบกับอดัมอยู่รึเปล่า  คิดไปก็ป่วยการเปล่าอิงศรจึงตอบกลับบทสนทนาไปว่า

     

                “ยังไม่ได้แต่งงานเฟ้ย

                งั้นเธอก็มีคนที่ชอบอยู่แล้วงั้นสิ

                ดูเหมือนจะเริ่มออกนอกเรื่องนอกราวซะแล้วตกลงหมอนี่กำลังแก้เขินด้วยการโต้ตอบกับเขาอย่างนั้นเหรอ

                ตอนนั้นเองมิ่งขวัญที่พิงไหล่อยู่ก็ขยับตัวถึงแม้หันไปมองจะยังก้มหน้าก้มตาหลับอยู่ก็ตามแต่ว่า...

                ตื่นแล้วสินะ

                ดวงตาของน้องชายปรือขึ้นรับคำถามนั้น

                งั้นก็พอดีเลยนายน่ะมีคนที่ชอบอยู่แล้วงั้นสิ เจ้าหมอนั่นมันถามน่ะ

                อิงศรพูดพลางหันหลังมือชี้นิ้วโป้งไปที่ซีลอร์ด

                ทั้งที่คนโดนถามคือตัวเองแต่ก็คิดว่าโบ้ยไปให้ขวัญซะคงไม่เป็นไร

                “…”

                น่าแปลก ปกติแล้วน้องชายจอมโวยวายคนนี้น่าจะตอบกลับมาเสียงดังไปแล้วแต่นี่กลับนิ่งเงียบและทำหน้าจริงจังจนรู้สึกว่าบรรยากาศมันจะไม่ใช่การแซวกันไปมาแบบสบายๆ อย่างที่คิดเอาไว้

                มิ่งขวัญเม้มริมฝีปากแล้วถามเขามาอย่างจริงจัง

                คือว่าถ้าโดนบังคับจูบเนี่ยไม่นับใช่ไหม

                ไม่รู้ทำไมแต่พอโดนถามแบบนั้นมาแล้วก็รู้สึกเลยว่าตัวเองเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตมาน้อยเกินไปจริงๆ แต่ก็นะ...

                แล้วไปจูบกับใครมาล่ะนั่นหรือว่ารูบิ...

                ไทเทเนียมต่างหาก!”

                ที่จริงก็แค่จะพูดเดาสุ่มไปอย่างนั้นแต่มิ่งขวัญดูท่าจะจริงจังมาก ใบหน้าของน้องชายขึ้นสีแดงระเรื่อจนไม่รู้แล้วว่าที่จริงจังขนาดนี้เพราะว่ารู้สึกแบบไหน

                ถ้าขวัญคบกับพี่สาวก็คงดีเหมือนกันนะ

                จู่ๆ เสียงของกวินทร์ที่นั่งเก้าอี้ตัวถัดไปก็ดังแว่วมา

                กวินทร์ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้พูดเหมือนพึมพำอยู่คนเดียว

                อย่างน้อยขวัญก็แมนกว่าไอ้ขี้ขลาดที่ทิ้งพี่คนนั้นแหละนะ

                คงกำลังหมายถึงชายไม่ได้เรื่องที่มาหลอกเกาะพี่สาวของกวินทร์ แต่ว่า...

                เอาจริงเรอะกวินทร์ หมอนี่น่ะแค่สูตรคูณแม่สองยังท่องจำตั้งครึ่งปีเลยนะ

                อิงศรถามหน้าตาตื่นเล็กน้อย แล้วมิ่งขวัญก็โพล่งขึ้นมา

                เรื่องนั้นมันตั้งนานแล้วนะตอนนี้ท่องได้ถึงแม่หกแล้วล่ะน่า!!”

                กวินทร์ยิ้มเจื่อนๆ ขณะที่มองหันมาทางนี้

                ท่องสูตรคูณมันไม่น่ามาเกี่ยวกันได้นะครับ

                ระหว่างที่บทสนนาอันวุ่นวายกำลังดำเนินไป แผนเปลี่ยนบรรยากาศ

    ของอิงศรที่เพิ่งจะสำเร็จเป็นผลก็โดนทำลายด้วยเสียงประกาศจากลำโพง

                ‘ตุงตุ่งตุ้ง ผู้โดยสารทุกท่านโปรดรัดเข็มขัดที่นั่งให้แน่นด้วยนะคร้าบ

                เสียงของโพแทสเซียมที่ขับเฮลิคอปเตอร์ประกาศมาอย่างนั้น

                ถึงแล้วงั้นเรอะ

                เปล่าแค่จะจอดรับผู้โดยสารที่ป้ายน่ะ

                โพแทสเซียมที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับยื่นหน้าออกมาตอบ จนไม่เข้าใจว่าก่อนหน้านี้จะใช้ลำโพงประกาศทำไมและเพราะแบบนั้นทุกคนที่อยู่ในเครื่องเลยพากันตื่นหมด

                จอดป้ายรับผู้โดยสารเพิ่มเรอะนี่มันเฮลิคอปเตอร์นะเฟ้ยทำเป็นรถเมล์ไปได้!”

                อิงศรตะโกนสวนกลับไปแต่ก็ถูกอีกฝ่ายเล่นงานกลับมาด้วยการฝากทำงานให้

                “พอดีเลยซุงอิงนั่งอยู่ตรงประตูสินะช่วยเปิดประตูแล้วโยนบันไดเชือกที่กองอยู่แถวนั้นลงไปทีสิ

                “…”

                อิงศรจ้องหน้าโพแทสเซียมอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มที่บ่งบอกว่า ชิวขนาดไหน

                ไม่มีทางเลือกอื่น อิงศรปลดเข็มขัดที่นั่งตัวเองออกรอจนเครื่องบินนิ่งไม่โคลงเครงแล้วจึงลุกไปเปิดประตู คว้าบันไดเชือกที่กองอยู่ข้างๆ ขึ้นมาแล้วก้มหน้ามองลงไปข้างล่างเพื่อมองหาผู้โดยสารที่จะส่งบันไดไปให้

                สถานที่คือบนทางด่วน

                มีชายในชุดสีแดงคนหนึ่งยืนอยู่โดดเดียวที่นั่น

                ลิเธียมเรอะ
                ชายคนนั้นเป็นมนุษย์ต่างดาวแล้วก็แบกคนมาอีกคนน่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวเหมือนกัน เขาลองเพ่งสายตามองคนที่โดนแบกอยู่

                แต่ใบหน้าของตัวเองกลับไปสะท้อนอยู่บนร่างนั้น

                ซีเซียม..


    *** ก็เริ่มกันแล้วนะครับสำหรับตอนแรกของภาคสาม ภาคสุดท้าย ROOT BREAK จากอาทิตย์ก่อนๆ ที่ผมบอกว่าจะกลับไปลงตารางเดิมคิดว่าคงยังทำในทันทีไม่ได้เพราะกำหนดงานของตัวเองด้วยเลยต้องขอให้รับตามเดิมไปก่อนครับไว้พร้อมแล้วจะแจ้งอีกทีเน้อ จากโปสเตอร์ที่แปะมาด้วยกันสองใบทุกท่านคงจะได้ยลกันไปแล้วกับโฉมหน้าของเหล่าเครื่องทำสวน(มาแค่เงา ฮา) กับตัวอะไรก็ม่ายยู้วววในโปสเตอร์ที่ยกขบวนกันมาให้งง ถ้าอยากรู้ก็ต้องติดตามกันต่อไปแล้วล่ะครับ!! ***

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×