คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : Login 14 : I don't want to level up
อีกนิดเดียว...อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น
มิ่งขวัญพร่ำบอกกับตนเอง ขอบตาแห้งผากแต่กลับสั่นไหวเหมือนกำลังร่ำไห้ใบหน้าอันสง่างามแต่สีหน้าแข็งกระด้างนี้คงจะท่วมท้นไปด้วยน้ำตาถ้าหากว่าเขายังร้องไห้ได้ แต่มนุษย์ต่างดาวไม่สามารถร้องไห้ได้...
ถึงร่างกายนี้จะเติบโตขึ้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนจนเทียบไม่ติด แต่ภายในมิ่งขวัญก็ยังเป็นเด็กเจ้าน้ำตาไม่เคยเปลี่ยน เมื่อไม่สามารถร้องไห้ได้จึงทำได้แต่ตีสีหน้าเจ็บปวดเพื่อระบายความรู้สึกคับแค้นใจออกมา
ตอนนั้นเองก็มีเสียงดังข้ามมาจากฟากที่กลายสภาพเป็นทะเลเพลิง
"ช่วยด้วย!"
มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเด็กผู้หญิงดังขึ้นมาแบบนั้นความสนใจของทั้งสามเปลี่ยนไปยังที่ๆ เสียงดังมา
ที่นั่นเด็กสาวคนเดิมที่มิ่งขวัญช่วยเอาไว้เธอรอดชีวิตมาได้แต่ก็ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเปลวไฟอีกทั้งสัตว์เทวะก็มองเห็นเธอแล้วเช่นกัน
“อา...มนุษย์ผู้น่าเวทนาเราจะช่วยเจ้าเอง”
สัตว์เทวะที่กลับมาสงบอีกครั้งพูดและมุ่งหน้าไปหาเด็กสาว
"ใครก็ได้...ใครก็ได้ช่วยด้วย!"
แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือก็เป็นเหมือนลมปากที่ไม่มีใครตอบรับนอกจากสัตว์เทวะ
“เรามาช่วยเจ้าแล้วมนุษย์ไม่ต้องกลัว”
มือของสัตว์เทวะขยับเข้าใกล้เด็กสาว
ปัง! เสียงปืนที่ดังขึ้นจากการใช้สกิลของสัตว์เทวะหน้าผากของมันถุกทะลวงเป็นรูด้วยกระสุนแล้วเริ่มคลั่ง
“ทำไมถึงปฏิเสธเรา...มนุษย์!!”
สัตว์เทวะคำรามอย่างเกรี้ยวกราดพลางทุบอกระรัวจนเกิดเสียงตึงตังเหมือนเสียงกลอง
เธอจะตายทันที ...ร่างกายจะถูกบีบจนแหลกเละหรือจะถูกฉีกขาดเป็นสองเสี่ยงหรือจะถูกโยนลงไปในกองเพลิงแล้วมอดไหม้ทั้งเป็นก็สุดจะคาดเดาการกระทำของสัตว์เทวะ
" ช่วยด้วย...พี่คะ!"
เด็กสาวกรีดร้องอย่างสิ้นหวังแต่ทว่า...
ในตอนนั้นเอง ภาพของเด็กชายที่ร้องอย่างน่าสมเพชก็ซ้อนทับลงบนตัวเด็กสาว มิ่งขวัญจิกปากตัวเองพลางสบถไปว่า...
“เราในตอนนั้น....”
มโนภาพในวัยเด็กย้อนกลับคืนมามันเป็นความทรงจำในสันแรกที่โลกล่มสลายวันที่อิงศรเอาตัวเข้ามาปกป้องเขาที่กำลังหวาดกลัวสัตว์เทวะไก่ยักษ์จนบ้อท่า
มิ่งขวัญเก็บความทรงจำนั้นไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดเพราะไม่อยากจะนึกถึงตัวเองที่อ่อนแอแบบนั้นอีกแต่แล้วความทรงจำนี้ก็แล่นขึ้นมาราวกับว่าลึกๆ แล้วที่ไหนซักแห่งตัวตนเดิมของเขากำลังเรียกร้องให้ช่วยเหลือผู้อื่น หัวใจที่ปฏิเสธการเป็นผู้ถูกช่วยได้ตื่นขึ้นมาในจังหวะสุดท้าย
"ลูซิเฟอร์ ! (Lucifer)"
มิ่งขวัญประกาศชื่อของตัวตนที่สถิตอยู่ในโล่บนมือซ้าย ทันใดนั้นลวดลายดวงตาบนโล่ก็แผ่เงาดำออกมา เงาเคลื่อนที่จากแขนไหลกระจายไปทั่วร่างกายเส้นทางที่เงาวิ่งผ่านไปจะเกิดลวดลายขยุกขยิก ความรู้สึกน่าขยะแขยงกำลังแล่นผ่านไปทั่วทั้งร่างทุกอย่างแตกต่างจากแอพปีศาจอันก่อนหน้าลิบลับ
ราวกับจะถูกแอพปีศาจกลืนกินจิตวิญญาณไปแต่แค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวความรู้สึกขยะแขยงรวมถึงลวดลายขยุกขยิกก็จางหายไปเสมือนไม่เคยเกิดขึ้นแต่สิ่งที่หลงเหลือเอาไว้คือปีกสามคู่ที่งอกออกมาจากกลางหลังเป็นปีกสีดำสนิทรูปร่างคล้ายปีกค้างคาวเรียกได้ว่าเป็นปีกของปีศาจโดยแท้
หลังจากปีกงอกออกมาพลังกายของมิ่งขวัญก็เพิ่มขึ้นชั่วขณะหนึ่งเขาใช้พลังที่เพิ่มขึ้นนั้นเร่งความเร็วจนเคลื่อนที่ผ่านทุกอย่างไปในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ไปยืนอยู่บังตัวเด็กสาวเอาไว้แล้ว
ในจังหวะเดียวกันนั้นสัตว์เทวะง้างกำปั้นขึ้นแล้วซัดลงมาโดยมีเป้าหมายที่เด็กสาวแต่ตอนนี้มิ่งขวัญที่เข้ามาบังให้กำลังตกเป็นเป้าหมายแทน
เด็กหนุ่มยกโล่ขึ้นรับหมัดที่อัดมาด้วยแรงมหาศาลโดยไร้ซึ่งความเกรงกลัวแล้วประกาศใช้งานแอพปีศาจอีกครั้ง
“มิคาเอล...”
ตอนที่หมัดกระแทกเข้ากับโล่ก็เกิดเสียงดังตึงสนั่นหวั่นไหวแต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น มิ่งขวัญที่ยืนรับหมัดอยู่นั้นไม่ได้แสดงอาการหรือได้รับบาดเจ็บอะไร มันแค่เกิดเสียงดังตึงแล้วทุกอย่างก็เงียบลง เว้นเสียแต่เพียงอย่างเดียวที่ไม่เหมือนเดิมคือปีกที่งอกจากกลางหลัง มันยังคงมีแค่สามคู่แต่ทว่า ปีกในฝั่งซ้ายได้กลายเป็นปีกเทวทูตเหมือนตอนที่เขาใช้แอพปีศาจครั้งแรกในขณะที่ปีกฝั่งซ้ายยังคงเป็นปีกปีศาจ
มิ่งขวัญที่ประคับประคองปีกทั้งสองไปพร้อมกันราวกับเทวทูตตกสวรรค์ภาพนั้นสะท้อนอยู่ในแววตาที่กำลังเปล่งประกายด้วยความยินดีของโพแทสเซียม
แล้วโพแทสเซียมก็พูดเหมือนจะเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“แอพปีศาจ ‘ลูซิเฟอร์’ เพิ่มขีดความสามารถและปีกให้กับผู้ใช้แถมยังฟื้นฟูแอพปีศาจอันอื่นในทันทีด้วย ’มิคาเอล’ ที่เคยใช้ไปแล้วจึงนำกลับมาใช้ได้อีกเป็นพลังที่น่าสนใจจริงๆ นะนี่อะฮะ~”
โดยที่สวมแว่นตาพิเศษสำหรับอ่านข้อมูลของสัตว์เทวะที่บอกว่าชิงมาจากคนขององค์กรเมตไตรย แว่นตาก็สามารถวิเคราะห์ความสามารถของแอพปีศาจได้เช่นกัน
ในตอนนั้นมิ่งขวัญก็ประกาศใช้สกิล
"เอลิเชี่ยนฟินาเล่ ! (Elysion Finale)"
สกิลที่ทำให้โล่เปล่งประกายด้วยแสงสว่างเจิดจ้าและยังทวีความเจิดจ้ายิ่งขึ้นไปอีกราวกับจะอาบย้อมเปลวเพลิงรอบๆ ให้กลายเป็นสีขาวโพลน สายลมอันรุนแรงแผ่พุ่งออกจากโล่ไปทุกทิศทางความแรงอันน่าเหลือเชื่อนั่นปัดเป่ามหาเพลิงโดยรอบจนดับมอด
ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีกว่าที่สัตว์เทวะจะรู้สึกตัวแสงสว่างที่โล่เปล่งออกมาก็กลายเป็นลำแสงกลืนร่างของมันให้หายลับเข้าไป ตัวลำแสงยังคงวิ่งต่อ วิ่งไปหาโพแทสเซียม
ราชครูมนุษย์ต่างดาวเบี่ยงตัวหลบออกข้าง ลำแสงจึงวิ่งผ่านเขาไปและระเบิดออกเมื่อชนเข้ากับอาคารหลังหนึ่ง รัศมีของระเบิดไม่กว้างนักแต่ความรุนแรงของมันก็ทำให้อาคารหลังที่โดนปะทะถล่มลงมาเหลือแต่ซากในพริบตาเหมือนกัน
ร่างของสัตว์เทวะหายลับไปกับลำแสงนั่น ไม่เหลือสิ่งใดไว้ เครื่องยืนยันว่ามันตายแล้วมีแค่เลเวลของมิ่งขวัญที่เลื่อนระดับขึ้นเป็นเก้าสิบ
มิ่งขวัญ Lv. 90
[/////16000:16000/////]
ตัวเลขกับแถบบอกจำนวนค่าประสบการณ์บนหน้าจอที่เปิดทิ้งเอาไว้ก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน มันกลับไปเริ่มต้นนับใหม่อีกครั้งหนึ่ง
[/…. EXP: 1.20% …..]
“ชิ...” มิ่งขวัญสบถออกมาอย่างเจ็บใจ ท้ายของท้ายที่สุดเลเวลของเขาก็เลื่อนระดับ ไหนจะปล่อยให้ผู้คนมากมายต้องตายไปอีก ไม่สามารถทำสำเร็จได้ซักอย่างเดียวเขาล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
“อ...เอ่อ”
มีเสียงดังมาจากด้านหลังมิ่งขวัญหันกลับไปและพบกับเด็กสาวที่ตนช่วยเอาไว้ถึงสองครั้งสองครา
เด็กสาวพูดว่า...
“ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยเอาไว้ คุณเป็นผู้มีพระคุณต่อชีวิตของฉัน”
ด้วยใบหน้าที่เหมือนกับฝืนใจตัวเอง ลึกๆ แล้วเด็กสาวอาจจะรู้ว่าตัวเองไม่ได้ถูกปกป้องด้วยความสมัครใจหรือไม่ก็แค่สับสนว่าจะตอบโต้กับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร ด้วยเหตุนั้นมิ่งขวัญจึงเลือกที่จะเมินคำพูดของเด็กสาวแล้วเดินออกไปเพียงลำพัง
“เอ้าลืมของแน่ะ”
โพแทสเซียมพูดพร้อมกับโยนส่งดาบที่ทิ้งไปตอนถูกหักข้อมือมา มิ่งขวัญตั้งใจจะรับด้วยมือขวาแต่ความเจ็บปวดจากข้อมือก็แล่นขึ้นมาเสียก่อนจึงเปลี่ยนไปใช้มือซ้ายรับและเกือบพลาดปล่อยมันตกพื้นแต่เขาก็จับด้ามดาบไว้ได้ครึ่งมือก่อนจะเอามันเสียบกลับใส่ฝักที่เหน็บอยู่กับเอว
“ลงท้ายก็เลเวลอัพจนได้น้า~”
โพแทสเซียพูดออกมา มิ่งขวัญเมินแล้วเดินผ่านไปแต่ไทเทเนียมกลับพูดแทรก
“ที่เคลื่อนไหวแบบนั้นเพราะว่าไม่อยากเลเวลอัพอย่างนั้นเหรอ”
คำพูดนั้นทำให้มิ่งขวัญหยุดฟังโดยอัตโนมัติ
ไทเทเนียมพูดต่อไปว่า...
“เพราะอะไร เลเวลอัพแล้วมันไม่ดีตรงไหนนายจะแข็งแกร่งขึ้นทำอะไรได้มากขึ้นหรือว่ามั่นใจในพลังที่สามารถใช้แอพปีศาจนั่นมากซะจนคิดว่าเลเวลไม่ใช่สิ่งสำคัญกันล่ะ”
แล้วหล่อนก็ชี้ไปที่เลเวลของตัวเองที่แสดงอยู่บนหน้าจอแสดงชื่อและแถบพลังชีวิต
Titanium Lv. 100
[/////27000:27000/////]
เหมือนกับจะอวดกันให้เห็นหรือเธอต้องการจะบอกว่าตัวเองเก่งกว่าเพราะเลเวลมากกว่าต่อให้เขาจะมีแอพปีศาจก็ตามทีหรือว่าเพราะเหตุผลอื่น แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องใส่ใจ
ดังนั้นมิ่งขวัญจึงตอบไปว่า...
“เพราะว่าผมอยากเป็นมนุษย์ยังไงล่ะ”
ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาก่อนจะพูดต่อไปว่า
“งานวันนี้จบแล้วสินะงั้นผมกลับล่ะ”
แล้วเดินจากออกไปโดยไม่หันกลับมาแยแสความเป็นจริงเบื้องหลังอีก
สองวันต่อมามีข้อความเรียกตัวส่งมาจากรูบิเดียมซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะเกิดเรื่องที่เดอะเธียเตอร์ซะขนาดนั้นแล้วตัวตนที่ต้องจับตาดูก็อยู่ที่นั่นดังนั้นมิ่งขวัญจึงถูกเรียกตัวไป
ในวันนี้ที่ห้องทดลองซึ่งราชครูลำดับที่สามรูบิเดียมเป็นเจ้าของ ห้องซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์หรืออาจจะไม่ใช่วิทยาศาสตร์เพราะมันเป็นวิทยาการของต่างดาวอาจจะไม่ได้มีหลักการเหมือนกับโลกมนุษย์ก็ได้
มิ่งขวัญเดินผ่านโซนเครื่องมือทันสมัยเหล่านั้นไปจากนั้นก็ผ่านโซนที่มีแต่โต๊ะจัดวางหลอดทดลองที่เต็มไปด้วยน้ำยาเคมีมากมายเดินจนกระทั่งมาถึงด้านในสุดของห้องที่มีเก้าอี้บัลลังก์ตั้งบนบันไดที่ยกสูงจากพื้นประมาณสามขั้น บนบัลลังก์นั้นมีหญิงสาวท่าทางมาดมั่นนั่งอยู่
หญิงสาวผมสีทองยาวสลวยสวมแว่นกันแดดสีดำอันใหญ่นั่นคือรูบิเดียมราชครูมนุษย์ต่างดาวผู้ทำให้มิ่งขวัญต้องกลายเป็นมนุษย์ต่างดาว เธอเป็นผู้กุมชีวิตของเด็กหนุ่มเอาไว้ไม่ว่าเขาจะหนีไปที่ไหนรูบิเดียมก็จะรู้และสามารถตามไปพาตัวกลับมาได้หรือถ้าถึงที่สุดก็อาจจะปลิดชีวิตเขาโดยไม่สนใจอีกเพราะยังมีอิงศรอยู่อีกคนที่เธอให้ความสนใจซึ่งจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ จะปล่อยให้เธอลากอิงศรเข้ามาพัวพันด้วยไม่ได้เด็ดขาดมิ่งขวัญตั้งใจเอาไว้อย่างนั้นจึงยอมทำตามที่เธอสั่งไม่ว่าจะใช้ให้ไปจับตัวมนุษย์มาไว้ที่เดอะเธียเตอร์หรือไปต่อสู้กับสัตว์เทวะก็ตามที
ที่บริเวณใกล้กับบัลลังค์นั้นมีคนอีกสองคนยืนอยู่คนหนึ่งคือชายผมแดงเป็นราชครูเหมือนกับรูบิเดียมและเป็นคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเป็นที่สุดเพราะหมอนี่คือคนที่สังหารครอบครัวจากสถานเด็กกำพร้าต่อหน้าต่อตาเขาชายคนนี้คือลิเทียมเป็นราชครูลำดับที่หกซึ่งน่าจะเป็นลำดับสุดท้ายจากบรรดาราชครูทั้งหมด ในชั้นราชครูเองก็มีลำดับมีตำแหน่งเช่นเดียวกันคนที่ลำดับชั้นต่ำกว่าย่อมต้องเชื่อฟังคนที่ยศลำดับชั้นสูงกว่านั่นทำให้ลิเทียมมักจะโผล่มาที่นี่บ่อยๆ เพราะถูกรูบิเดียมเรียกใช้ แต่มิ่งขวัญไม่ได้สนเรื่องพวกนั้นตอนนี้เขาสนใจอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยกันมากกว่า
มิ่งขวัญมองไปยังหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายของบัลลังก์หันหน้าให้ลิเทียมที่ยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้ามเธอเป็นหญิงสาวทำผมสไตล์บ๊อบเส้นผมสีเงินแบบมนุษย์ต่างดาวทั่วไปสวมแว่นตาที่น่าจะเป็นแว่นสายตาเพราะเลนส์ของมันใสแจ๋ว แต่ก็อีกนั่นแหละมนุษย์ต่างดาวไม่น่าจะมีใครมีความบกพร่องทางสายตาแต่พวกชั้นราชครูมักจะมีเครื่องประดับเป็นแว่นตาประจำตัวคนละอันกันหมดนั่นคงเป็นอิมเมจอย่างหนึ่งและยังมีส่วนสูงพอประมาณ
ความสูงนั่นเทียบกับหัวไหล่ของลิเทียมที่ตัวสูงสองเมตรกว่าได้ เธอคงจะสูงราวๆ ร้อยเก้าสิบเซนติเมตรซึ่งเมื่อรวมเขาเข้าไปด้วย รูบิเดียมจะเป็นคนที่มีส่วนสูงน้อยที่สุดในห้องแต่ลำดับของเธอไม่ได้น้อยตามความสูงเลยซักนิด รูบิเดียมที่เป็นลำดับที่สามเป็นรองแค่อีกสองคนที่ได้ยินว่าเป็นผู้ชายทั้งคู่ดังนั้นเธอคนนี้จึงไม่น่าจะมีลำดับสูงกว่ารูบิเดียม ส่วนชื่อนั้นเขารู้มาแล้วจากการอ่านชื่อที่ลอยอยู่บนหน้าจอแสดงแถบพลังชีวิตเหนือศีรษะของเธอ
Sodium Lv. 144
[/////49500:49500/////]
หญิงสาวชื่อว่าโซเดียมกำลังจ้องมาทางเขาเช่นกันจากนั้นเธอก็เอ่ยปากว่า
“นี่มันอะไรกันอดีตชาวโลกอย่างนั้นรึ”
เธอคงจะอ่านชื่อของเขาและรู้ได้ในทันทีเพราะมันไม่ได้เขียนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษและไม่ได้เป็นชื่อของธาตุในตารางธาตุด้วยซึ่งเหตุผลที่เป็นแบบนั้นจนบัดนี้ก็ยังเป็นปริศนา
ดูเหมือนว่ารูบิเดียมจะไม่ค่อยพอใจที่โซเดียมถามถึงเขา หล่อนชักสีหน้าแล้วเริ่มพูด
“เขาเป็นหนูทดลองของฉัน”
แต่โซเดียมไม่เกรงกลัวต่อท่าทีเช่นนั้นกลับพูดสวนไปว่า
“ไม่ใช่ว่าเป็นเครื่องมือที่เธอสร้างเอาไว้ยึดอำนาจหรอกเหรอได้ยินมาว่าถึงขั้นมอบแอพปีศาจต้องห้ามที่ดูแลอยู่ให้เลยนี่”
แล้วหล่อนก็ใช้สายตาอันเย่อหยิ่งเบื้องหลังกรอบแว่นใสจ้องมาอย่างเหยียดหยาม เหยียดในชาติพันธุ์ของมิ่งขวัญที่เป็นมนุษย์ แต่เขาไม่สนใจหรอกว่าจะถูกมองอย่างไร ยังไงซะเขาก็เป็นมนุษย์นี่คือความจริงที่จะไม่เปลี่ยนแปลง
โซเดียมกล่าวต่อไปพลางส่งสายตาเหยียดหยามมิ่งขวัญ
“มนุษย์ต่างดาวใช้แอพปีศาจได้เนี่ยมันสัตว์ประหลาดดีๆ นี่เอง”
หล่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกดูแคลนซึ่ง รูบิเดียมก็กล่าวขัดคำพูดนั้น
“ไม่ใช่กงการอะไรของแก”
แต่ทว่ามิ่งขวัญได้สวนออกไป ไม่ใช่ความเกรี้ยวกราดแต่เป็นน้ำเสียงที่เย็นชาและดูถูกดูแคลนเช่นเดียวกับที่หล่อนทำ
“เชอะ...สัตว์ประหลาดเหรอนั่นมันพวกแกซะมากกว่าล่ะมั่งไอ้เอเลี่ยนเอ้ย”
พลางถุยน้ำลายลงพื้นแสดงการเหยียดหยามกลับไป
“ว่าไงนะแก!”
เป็นไปอย่างที่คิดโซเดียมขึ้นเสียงทันที มันทำให้อดยิ้มเสียมิได้ ที่พวกมนุษย์ต่างดาวจะถูกเขาปั่นหัวเล่นบ้าง แต่รูบิเดียมกลับไม่คิดแบบนั้นแทนที่เธอจะเห็นดีเห็นงามที่เขาจะช่วยไล่ตัวเกะกะออกไปเธอกลับต่อว่าเขา
“หุบปากซะมิ่งขวัญแล้วถุยน้ำลายในห้องทดลองของฉันได้ยังไง”
“...”
“มิ่งขวัญ!”
รูบิเดียมขึ้นเสียงเขาจึงไม่มีทางเลือก
“ขอโทษเดี๋ยวค่อยเช็ดให้”
มิ่งขวัญกล่าวไปส่งๆ พลางหันหน้าหนี
“ฮึ่ย ป่าเถื่อนไร้อารยะสิ้นดีพวกชาวโลกมันก็มีแต่เศษสวะแบบนี้กันทั้งนั้นน่าเผาทิ้งไปซะให้หมด”
โซเดียมกล่าวด้วยความขยะแขยงในสายตาของเธอคนนี้มนุษย์คงไม่ต่างอะไรกับหนอนแมลง แต่แล้วรูบิเดียมก็กล่าวขัดเธออีกเป็นหนที่สอง
“แกเองก็รีบออกไปได้แล้วโซเดียมฉันมีเรื่องจะคุยกับลิเทียม”
แต่โซเดียมก็ย้อนกลับไปเสียงสูงว่า
“อ้าว! เหรอ~ นึกว่าจะคุยกับหนูทดลองซะอีก”
คำพูดเช่นนั้นไม่เป็นผลดีต่อตัวเธอเลยหากว่ารูบิเดียมบันดาลโทสะขึ้นมาล่ะก็ไม่ว่าเธอจะเป็นใครมาจากไหนก็อาจถูกฆ่าตายได้ทันที
แล้วในตอนนั้นเอง ตอนที่สถานการณ์ทวีความตึงเครียดจนแทบระเบิดชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามากลางวงสนทนาชายผู้มีชื่อว่าโพแทสเซียม
“อ๊ะๆ ไม่ได้นะซุงโซเป็นถึงราชครูลำดับที่ห้าอย่าแสดงตัวอย่างที่ไม่ดีต่อหน้าลูกศิษย์ลูกหาอย่างนั้นซี่มิ่งขวัญเขาดูอยู่นะ”
โพแทสเซียมกล่าว แต่โซเดียมก็สวนกลับไปว่า
“ชาวโลกไม่นับเป็นศิษย์หรอกนะถึงจะเป็นชั้นครูก็เถอะ”
ชั่วพริบตาหนึ่งที่เหมือนกับว่าดวงตาที่หยีติดกันของโพแทสเซียมเบิกขึ้นมา เขาเดินเข้าไปใกล้โซเดียมพร้อมกับใช้สายตาคู่นั้นจ้องมองเธอก่อนจะพูดต่อไปว่า
“การมีวิสัยทัศน์กว้างไกลอยากรู้อยากเห็นน่ะเป็นสิ่งที่ดีแต่ก็ต้องมีขอบเขตกันบ้างไม่อย่างนั้นมือของท่านลำดับที่สามอาจจะแกว่งเองแบบไม่ทันตั้งใจก็ได้นะ”
คำพูดนั้นไม่ได้ใช้น้ำเสียงกดดันเป็นคำพูดแบบปกติที่ไร้ซึ่งน้ำหนักในการข่มขู่ จึงไม่น่าจะสร้างความเกรงกลัวใดๆ ให้อีกฝ่ายได้แต่ทว่า...
“ชิ...”
โซเดียมกลับทำเสียงจิกจักอยู่ในปากแล้วหล่อนก็ตบเท้าก้าวฉับๆ ออกจากห้องไปทันทีราวกับวิ่งหนีไปอย่างไรอย่างนั้น
“แล้วแกมาที่นี่ทำไม”
รูบิเดียมถาม
“แหมๆๆ ใจร้ายจังอุตส่าห์ช่วยไล่แมลงวันที่มาตอมให้ไปแท้ๆ คนมีบุญคุณกันเขาตอบแทนกันแบบนี้น่ะเหรอ”
“ก็ที่แมลงวันมันมาตอมไม่ใช่เพราะแกไปปากสว่างคายข้อมูลทิ้งที่ไหนหรอกรึไงอย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้”
“ไหงงั้นล่ะซุงลูลู่!”
โพแทสเซียมทำทีเป็นเลิ่กลั่กให้เห็นแต่ทุกคนในห้องนี้ต่างก็รู้ธาตุแท้ของชายคนนี้เป็นอย่างดีไม่มีวันที่ชายมากด้วยเล่ห์กลผู้นี้จะแสดงท่าทีแบบนั้นออกมาจริงๆ
โพแทสเซียมเหมือนจะรู้ตัวพอเห็นมือของรูบิเดียมกำแน่นเขาก็วิ่งอ้อมมาเกาะหลังมิ่งขวัญในทันที
“น่ากลัวจังเลยช่วยปกป้องผมทีสิซุงมิ่ง”
คำขอร้อง งี่เง่านั่นเขาปฏิเสธมันด้วยการเมินเฉย
“…”
โพแทสเซียมจึงหันไปทางรูบิเดียมแล้วพูดต่อไปในทันที
“ก็ผมกับซุงลี่และเธอเราสามคนลงเรือลำเดียวกันแล้วไม่ใช่เหรอ อ้อต้องสี่คนสิเนอะซุงมิ่ง”
แล้วก็เปลี่ยนท่าใหม่ทำเป็นตีซี้กอดคอมิ่งขวัญอย่างสนิทสนม
“แบบนี้ในภาษาของพวกเธอเขาเรียกว่าอะไรน้า~ อ้อใช่ๆ เป็นพวกพ้องกันยังไงล่า~”
แต่แล้วรูบิเดียมก็กล่าวขัดคำพูดพล่อยๆ พรรค์นั้นมาว่า
“เลิกปัญญาอ่อนซะทีแล้วก็มิ่งขวัญนายน่ะปล่อยชาวโลกตายบ่อยเกินไปแล้วเดี๋ยวก็ถูกจับตามองเอาหรอก”
จับตามอง...ก็ตอนนี้เขาถูกจับตามองอยู่แล้วโดยเฉพาะเธอที่ทำอย่างกับเขาเป็นสุนัขที่เลี้ยงไว้ มิ่งขวัญพูดความรู้สึกออกไปทั้งอย่างนั้น
“ก็ตอนนี้ถูกจับตามองอยู่แล้วนี่จะมีคนมามองเพิ่มอีกซักเท่าไหร่มันก็...”
ไม่ทันจะขาดคำนิ้วของโพแทสเซียมก็กระทุ้งเข้ามาที่แก้มจนลิ้นพันกันทำให้พูดไม่จบประโยค
“อย่าเถียงหม่าม้าคนสวยซี่ซุงมิ่งอะฮ่าฮ่าฮ่า”
เจ้าตัวตลกนั่นหัวเราะและยังคงจิ้มแก้มเล่นต่อไป ถึงจะน่ารำคาญแต่มิ่งขวัญในตอนนี้ไม่มีพลังพอจะต่อต้านจึงได้แต่ปล่อยตัวเป็นของเล่นให้
โฮ่ง! โฮ่ง! มีเสียงดังมา จากนั้นโพแทสเซียมก็ปล่อยมือออก
“หวา อย่าน้า~”
พลางส่งเสียงน่าสมเพชออกมาแล้ววิ่งไปทั่วห้องเพราะถูกสุนัขวิ่งไล่
สุนัขพันธุ์บางแก้วขนลำตัวสีขาวปลอดมีขนบริเวณใบหน้าสีดำคลุมเหมือนกับใส่หน้ากากอยู่เจ้านั่นเป็นตัวเดียวกับที่รูบิเดียมพามาวันที่เขาต้องแยกจากกับอิงศร
จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าสุนัขตัวนั้นเป็นตัวอะไรมาจากไหนนอกจากเรื่องที่ว่ารูบิเดียมเลี้ยงมันเอาไว้อยู่แต่ในห้องทดลองและไม่ได้เอาออกไปให้ใครข้างนอกเห็น
ภาพน่าตลกที่ราชครูผู้เก่งกาจผู้ชายครอบครองลำดับที่สี่ซึ่งเป็นรองแค่โพแทสเซียมกลับมาวิ่งหนีสุนัขธรรมดาแบบหมดท่าหรือบางทีพวกเขาอาจจะแค่เล่นกันสนุกๆ
“เอาเถอะครับท่านลำดับสามมิ่งขวัญเขาระดับเลเวลยังไม่ข้ามขีดจำกัดแต่ว่าพึ่งอัพเลเวลเก้าสิบมาได้อีกแค่เลเวลเดียวเองพยายามเข้าล่ะ”
ลิเทียมที่ยืนดูอยู่เหมือนจะช่วยพูดแก้ตัวให้มันไม่ใช่คำพูดหยอกเล่นสนุกเหมือนที่โพแทสเซียมพูดแต่ชายผมแดงนามลิเทียมคนนี้กล่าวออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เขาเป็นคนเดียวที่เหมือนจะคอยโอ๋มิ่งขวัญรวมถึงสอนการต่อสู้ให้ตลอดช่วงสามปีมานี้ทั้งที่มิ่งขวัญไม่ได้ชอบหน้าเลยแม้แต่น้อย
“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะซุงลี่”
โพแทสเซียมพูดทั้งที่ยังคงวิ่งหนีสุนัขอยู่
“ที่ซุงมิ่งไม่อยากอัพเลเวลน่ะเพราะไม่อยากจะสูญเสียความเป็นชาวโลกไปน่ะ”
แล้วรูบิเดียมก็พูดเสริมให้อีก
“ถ้าเลเวลเกินเก้าสิบเมื่อไหร่ร่างกายก็จะปลดขีดจำกัดออกทำให้มีสมรรถนะสูงขึ้นตามเลเวลเป็นเท่าตัวถ้าเป็นแบบนั้นก็จะใกล้เคียงความเป็นมนุษย์ต่างดาวมากขึ้นไปอีกก็เลยไม่ยอมให้ตัวเองเลวเลอัพน่ะสิ”
“ทำไมต้องยึดติดขนาดนั้นด้วยล่ะ”
ลิเทียมที่พอจะเข้าใจสาเหตุได้ถามออกมา
“…”
มิ่งขวัญไมได้ตอบคำถามในทันทีเขาคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบไปว่า
“ฉันไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวฉันเป็นมนุษย์ต่างหาก”
คำพูดนั่นทำให้รูบิเดียมหัวเราะ
"ทั้งที่ร่างกายเป็นมนุษย์ต่างดาวไปแล้วเนี่ยนะ"
"..."
มิ่งขวัญกัดฟันอดทนต่อคำพูดเสียดสีนั่นแล้วทำเป็นไม่ได้ยิน
รูบิเดียมยังคงพูดต่อไปว่า...
"นายน่ะได้รับดีเอ็นเอของชั้นไปเท่ากับรับสืบทอดสเตตัสไปจากฉันแค่ปกติตอนที่ยังไม่ข้ามขีดจำกัดนี่นายก็มีพลังเหนือมนุษย์ต่างดาวพื้นๆ แล้วยังคิดว่าจะเป็นชาวโลกได้อยู่อีกเหรอ โลกนี้น่ะมันทำได้แค่เดินไปข้างหน้าเท่านั้นถ้าถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียวก็เกมโอเวอร์"
ถ้าหากเป็นเกมทั่วไปเมื่อผู้เล่นตายลงก็จะถูกหักค่าประสบการณ์แล้วคืนชีพขึ้นมาอีกเพื่อเล่นต่อไปแต่เพราะว่าเกมโลกาวินาศไม่มีโอกาสรอบที่สองให้กับผู้เล่นที่เสียชีวิตดังนั้นค่าประสบการณ์ก็จะไม่มีทางลดลงได้ เท่ากับว่ามีแต่รอให้วันที่จะกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวเต็มตัวมาถึงเท่านั้นไม่ก็ต้องเลือกทางตาย คำพูดของรูบิเดียมหมายถึงอย่างนั้น
หลังจากถูกต่อว่าอีกเล็กน้อยก็ถูกปล่อยตัวกลับ...
มิ่งขวัญเดินออกจากห้องทดลองมาประตูอัตโนมัติเลื่อนตัวปิดเอง ตอนที่เขากำลังจะก้าวเท้าเดินต่อไปตามทางเดินยาวที่ขนาบด้วยผนังสองข้างที่มีหลอดฟูลออร์เรสเซนท์ติดเพดานส่งเสียงสั่นออกมาจู่ๆ ไฟก็ดับลง
"ไฟฟ้าขัดงั้นเหรอ"
มิ่งขวัญพึมพำก่อนจะเลิกสนใจแล้วก้าวเท้าเดินต่อแต่แล้วหน้าจอบอกค่าประสบการณ์กลับเปิดขึ้นเอง
"ทำไม..."
มิ่งขวัญตกใจดวงตาเบิกกว้างแล้วยิ่งตาโตขึ้นอีกเมื่อแถบค่าประสบการณ์กังเพิ่มขึ้นเองตัวเลขบอกจำนวนขึ้นไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์และยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
"เฮ้! หยุดนะ"
มิ่งขวัญทุบมือลงกับหน้าจอแต่มือของเขาก็ทะลุผ่านมันไปและชนเข้ากับผนังทางเดินแทนแล้วเสียหลักล้มลงจนเกิดเสียงโครมคราม
[///// 100% /////]
พอลุกขึ้นมาแล้วหันไปดูหน้าจออีกทีแถบค่าประสบการณ์ก็เพิ่มขึ้นจนเต็มร้อยเลเวลของเขากลายเป็นเก้าสิบเอ็ดไปแล้ว
"..."
มิ่งขวัญพูดไม่ออก ความสงสัยและความโกรธผุดท่วมเต็มห้องใจ ทำไมค่าประสบการณ์ถึงเพิ่มขึ้นมาเอง คือคำถามที่ต้องการคำตอบ แต่ทว่าสิ่งที่กำลังพุ่งพล่านออกมาตอนนี้ไม่ใช่ความรู้สึกเหล่านั้นแต่เป็น...ความกลัว
มิ่งขวัญหวาดกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเขา เมื่อข้ามขีดจำกัดไปแล้วเขาจะสูญเสียความเป็นตัวเองไปและแล้วมันก็เริ่มขึ้น เมื่อเล็บมือเริ่มยืดออกและมือขยายใหญ่ขึ้นมีขนสีดำผุดงอกขึ้นมาปกคลุมผิวหนังและร่างกายของเขาก็เริ่มขยายมใหญ่โตไปหมด
"อึก..."
ความรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงจู่โจมเข้ามา รู้สึกทรมานราวกับว่าศีรษะถูกอัดด้วยข้อมูลจนแทบจะระเบิดออก ในที่สุดเขากรีดร้องออกมาด้วยร่างที่กลายเป็นอสุรกายน่าขนลุก
"ม่ายยย!"
มิ่งขวัญตื่นขึ้นมา
เขาสะดุ้งตื่นหลังจากเผลอหลับไปขณะเข้าเวรเฝ้ายามเดอะเธียเตอร์อยู่บนม้านั่งใกล้กับป้ายรถเมล์
เด็กหนุ่มสำรวจร่างกายของตนและพบว่าทุกอย่างยังคงเป็นปกติรวมถึงเลเวลก็ยังอยู่ที่เก้าสิบ ก่อนตะเปิดหน้าจอตรวจสอบค่าประสบการณ์และพบว่ามันยังคงมีอยู่ไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม
"..."
มิ่งขวัญถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางทอดสายตามองท้องถนนที่ไร้ซึ่งวี่แววผู้คนมีแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากการต่อสู้กับสัตว์เทวะเมื่อวันก่อน เดอะเธียเตอร์คืนนี้ช่างเงียบเหงาเพราะมนุษย์ถูกฆ่าตายไปเกือบหมดในวันนั้นคนที่เหลือรอดก็ถูกพาไปไว้ที่อื่นจึงมีแต่เขาคนเดียวที่ถูกสั่งให้มาเฝ้าซากปรักหักพัง
เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งเขาทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วตอนที่ก้มตัวลงเท้าคางกับหน้าตักนั้นก็มีของหล่นลงมาจากกระเป๋าเสื้อหล่นลงกระทบพื้น
มิ่งขวัญเก็บสิ่งนั้นขึ้นมามันเป็นฮาร์โมนิก้าที่ได้เป็นของขวัญวันเกิดหลังจากโลกล่มสลายที่อิงศรเสี่ยงชีวิตไปหามาให้ตอนนี้มันเป็นเสมือนของดูต่างหน้าเพียงขิ้นเดียวที่ทำให้เขาไม่ลืมเลือนตัวตนในอดีต
"ศร..."
เขาเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัวและไม่รู้สึกถึงน้ำตาที่กำลังไหลคลอเบ้าของตน
มิ่งขวัญยกฮาร์โมนิก้าขึ้นมาเป่าหวังให้ทำนองของมันช่วยคลายความเศร้าและความเหงาลงบ้าง ท่วงทำนองหวนชวนให้ภาพอดีตกลั่นออกมา มันช่วยเยียวยาหัวใจทำให้รู้สึกว่าอิงศรยังอยู่ข้างๆ
ไม่มีเวลาเหลืออีกแล้วก่อนที่จะกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวเขาจะต้องหนีแล้วไปช่วยอิงศรออกมาจากนั้นก็หนีอีก หนีไปจนกว่าจะไปถึงสถานที่ที่จะอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ต้องต่อสู้อีกเพื่อที่จะได้กลับไปเป็นพี่น้องกันอีกครั้งกลับไปเป็นครอบครัวเหมือนในอดีต
แล้วมิ่งขวัญก็ปฏิญาณต่อหน้าท่วงทำนองของฮาร์โมนิก้า
"ศร...คราวนี้แหละจะปกป้องให้ได้เลย"
คำปฏิญาณต่อครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่
ความคิดเห็น