คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #155 : Login 152: ความเสียใจที่หลงลืมไป
Login
152: ความเสียใจที่หลงลืมไป
จู่ๆ
ก็นึกขึ้นมาได้
เรื่องราวในวันนั้น…
ไม่รู้ทำไม
แต่พอโดนทำร้ายเป็นครั้งแรก ถูกมนุษย์ต่อยเข้าที่ใบหน้าอย่างจังเป็นครั้งแรก
อดีตก็หวนกลับคืนมา
อดีตซึ่งเนิ่นนานจนเกือบจะหลงลืมไปหมดแล้ว
…ในวันหนึ่งของยุคสมัยที่สวนแห่งที่สองยังไม่ถือกำเนิด
สวนแห่งที่หนึ่งได้โอบอุ้มสรรพชีวิตไว้มากมาย
สวนเขียวขจีเต็มไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ
อุดมทั้งผลหมากรากไม้
การที่สามารถคงความสวยงามขนาดนี้ไว้ได้นั่นก็เพราะทุกสรรพสิ่งในสวนล้วนแล้วแต่มีหน้าที่
แจนนูวาร์มาร์
(Januawyrmar)
เอพบูรอาร์ (Apebruar)
เวโนมาร์ชาร์ (Venomarchar)
เอกาพริลุสซาร์
(Aegaprilusar)
เมยอกซาร์ (Mayoxar)
จูเนอร์มินาร์
(Junerminar)
จูลแลบบิทตาร์
(Julabbitar)
ออทิเกสซาร์ (Autigesar)
เซ็ปทรูสตาร์ (Septroostar)
โดโกบาร์ (Dogobar)
โนเวมโบอาร์ (Novemboar)
ดีเซมแมร์ (Decemare)
และ…
ออร์ฟิอูคูมันนาร์
(Orphiuchumanar)
เครื่องทำสวนทั้งสิบสามเครื่องต่างก็ทำหน้าที่ดูแลเหล่าผู้ศรัทธาของตัวเองอย่างเต็มที่
เหล่าผู้ศรัทธาซึ่งวันหนึ่งจะกลายเป็นเหล่าผู้อาศัยในสวนแห่งที่สองที่กำลังจะถือกำเนิดนับจากนี้ไปอีกหลายล้านปี
และแล้ว....
ในวันนี้เอง
บนสถานที่ซึ่งเป็นเนินทุ่งหญ้าสูงต่ำสลับกันไป
จากต้นไม้แห่งชีวิตซึ่งตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
ผลสุกงอมแรกของปีก็ได้หลุดร่วงจากกิ่ง
หล่นลงสู่พื้นโดยมีต้นหญ้ารองรับเอาไว้
ผลไม้สุกงอมลูกนั้นได้ให้กำเนิดชีวิตใหม่
เมื่อเปลือกผลปริแตกและแยกออกจากกัน ทารกมนุษย์ก็คลานออกมา
จากนั้นจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว
กลายเป็นอุดมคติของมนุษย์ตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลก
และนี่ก็คือวันที่ผมซึ่งเฝ้ารอมาอย่างยาวนานก็จะได้รับดูแลผู้ศรัทธาคนแรก
สิ่งมีชีวิตซึ่งเหมือนกับตัวผม
มนุษย์คนแรก…
“อดาเมียมในที่สุดเธอก็ลืมตาขึ้นแล้ว”
ซีลอร์ดยิ้มอย่างยินดีขณะที่จ้องมองอีกฝ่ายซึ่งมีรูปร่างคล้ายคลึงกับตน
เป็นสิ่งที่เรียกว่า
‘มนุษย์’ ยืนสองขาและยืดตัวตรงได้ต่างจากเหล่าผู้ศรัทธาของคนอื่น
อดาเมียมตัวเล็กกว่าเขานิดหน่อยและถึงไม่มีเปลือกหรือเกล็ดห่อหุ้มร่างกายเหมือนใครจนดูบอบบางแต่ก็ยังแฝงความแข็งแกร่งและความว่องไวเอาไว้
คล้ายกับผู้ศรัทธาของ เอกาพริลุสซาร์
จะต่างกันก็ตรงที่เนื้อตัวเกลี้ยงเกลาไม่ค่อยจะมีขนนุ่มฟูแต่ก็ยังดูน่ารักน่าเอ็นดูสำหรับเขาอยู่ดี
ผู้ศรัทธาคนแรกของเขา
จึงตัดสินใจแล้วว่าจะตั้งใจดูแลอย่างดีที่สุด
“ผมคือ
ออร์ฟิอูคูมันนาร์จะเรียก ออร์ฟี่ก็ได้ส่วนผมก็จะเรียกเธอว่า อดัมก็แล้วกัน”
พอพูดไปแบบนั้น
เด็กหนุ่มผู้เป็นอุดมคติซึ่งมีผมสีทองหยิกหยักศก
ผิวกายขาวผุดผ่องครึ่งหนึ่งและเป็นสีคล้ำอีกครึ่งหนึ่งก็เอ่ยปากพูดด้วยความสงสัยเป็นครั้งแรก
“อดัม”
อดาเมียมทำหน้าไม่เข้าใจคำพูดของเขา
แต่ซีลอร์ดพยักหน้าให้แล้วเริ่มอธิบาย
เริ่มการสอนครั้งแรกให้กับผู้ศรัทธาของตน
“อื้อ
มาจากชื่อของเธอแบบเต็ม อดาเมียมยังไงล่ะ”
หลังจากนั้นมาวันคืนก็ผันผ่านไป
อดัมที่ยังอ่อนหัดมักจะทำให้ตัวเองบาดเจ็บอยู่เรื่อย
ซีลอร์ดจึงคิดว่าควรจะต้องสอนหลายๆอย่างในฐานะที่ตนเป็นเครื่องทำสวนของมนุษย์
เป็นโชคชะตาที่ผูกมัดมนุษย์เอาไว้
ซีลอร์ดคอยสอนเรื่องต่างๆ
ให้ อดัมคอยอยู่เคียงข้างเสมอไม่ว่าจะตอนกินหรือตอนนอน
เขาก็คอยเฝ้าจับตาดูผู้ศรัทธาคนนี้อย่างเอ็นดู
จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง
อดัมก็…
“นี่ออร์ฟี่นายไม่เคยสงสัยบ้างเหรอ?”
ซีลอร์ดหลับตาลงแล้วจึงหันไปพูดด้วย
“เรื่องอะไรล่ะ
ถ้าอดัมไม่รู้ฉันยินดีจะช่วยคลายข้อสงสัยให้นะ”
ที่เลือกปิดตาตัวเองตอนที่คุยกับอดัมก็เพราะไม่อยากล่วงรู้ถึงจิตใจของสหายด้วยสายตาแต่อยากสัมผัสด้วยหัวใจมากกว่าจึงทำแบบนั้นมาตลอด
ฝ่ายอดัมเองก็ไม่อยากถูกอ่านใจเพราะรู้สึกเหมือนตัวเปลือยตลอดเวลาจึงยินยอมให้ซีลอร์ดทำแบบนั้น
พวกเขาพึงพอใจซึ่งกันและกันเสมอมา
ไม่ว่าจะอะไรก็ตามพวกเขาจะตกลงกันได้อย่างเต็มใจอยู่เสมอ
ซีลอร์ดดีใจมากที่ได้มี
อดัมอยู่เคียงข้าง เขามีความสุขกับการได้คอยชี้แนะและสั่งสอน อดัม
แต่แล้ว…
วันที่เขากับอดัมไม่อาจจะตอบสนองต่อกันได้ก็มาถึง
เมื่อ
อดัมคนนั้นเอ่ยคำพูดที่อาจจะทำให้ความสุขต้องจบลง
“ฉันสงสัยน่ะว่าทำไมพระเจ้าถึงผูกมัดทุกสิ่งเข้ากับโชคชะตา
กระทั่งตัวฉันเองก็ยังถูกกำหนดให้มาอยู่กับนายแบบนี้”
ด้วยคำพูดนั้นทำให้ซีลอร์ดเบิกตาขึ้น
ความรู้สึกของอดัมที่กำลังฉายเข้ามาในดวงตาบ่งบอกว่ากำลังรู้สึกเศร้า
“อดาเมียมไม่ชอบแบบนั้นเหรอ
หรือว่าไม่ชอบที่ผมทำเหมือนคอยสั่งสอนนายน่ะ”
เขาพูดไปอย่างใจเสียเพราะกลัวจะถูกอีกฝ่ายเกลียด
แต่อดัมก็พูดขัดคำพูดของเขา
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ
ฉันน่ะชอบที่ออฟี่คอยสอนเรื่องต่างๆให้ แต่ว่าที่ถามน่ะ…คือว่า”
อดัมทำหน้าเหมือนลังเลที่จะพูด
แต่ข้อความในใจนั่นก็ส่งมาที่ดวงตาของเขาแล้ว
“งั้นเองเหรอ
นายฝันเห็นบางอย่าง ความฝันนั้นทำให้นายสับสนสินะ”
“ออร์ฟี่อ่านใจฉันงั้นเหรอ”
“ขอโทษ”
ซีลอร์ทำหน้าเศร้าแล้วเบือนสายตาหนีจากอดัม
“แต่ว่าที่พูดมาเมื่อกี้น่ะอยากให้ลืมๆ
ไปจะดีกว่านะ การที่ไปนึกสงสัยในตัวท่านแอดมินิสเทรเตอร์น่ะมันจะทำให้นายต้องประสบกับความลำบากดังนั้นห้ามพูด
ห้ามคิดอีกเด็ดขาดเลย”
เขาเป็นห่วงเหลือเกินว่า
อดัมพูดออกมาด้วยความไม่รู้จักยั้งคิดและเป็นห่วงหนักเข้าไปอีกว่าอดัมจะไปหลุดคำพูดนี้ให้ใครได้ยินเข้า
การสงสัยคือบ่อเกิด
เริ่มต้นของการคิดต่อต้านดังนั้นจะให้อดัมตกลงไปในเส้นทางแบบนั้นไม่ได้เป็นอันขาด
แต่
อดัมก็ยังกล่าวออกมาอีก
“ห้ามพูดน่ะยังพอว่าแต่ห้ามคิดมันคงเป็นไปไม่ได้หรอก
ถ้าเป็นออร์ฟี่ก็น่าจะเข้าใจความรู้สึกของฉันดีนี่เพราะออร์ฟี่บอกว่าพวกเราเป็นมนุษย์เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
เพราะงั้นถึงรู้ยังไงล่ะว่านายคงจะอดทนเก็บงำความสงสัยไม่ได้แบบที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่
ครั้งหนึ่งที่เขาเคยหลุดปากพูดความสงสัยนั้นออกมาต่อหน้าแอดมินิสเทรเตอร์แล้วทำให้เกิดความโกลาหลแต่ก็ไม่ได้ถูกลงโทษอะไรนอกจากตักเตือนเอาไว้
เพราะเขาเป็นผู้ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความรักของเหล่าแอดมินิสเทรเตอร์
ก็ไม่รู้ทำไมถึงมีแต่เขาคนเดียวในหมู่เครื่องทำสวนที่นึกคิดสงสัยได้หรือบางทีคนอื่นๆ
ก็อาจจะสงสัยเหมือนกับที่เขาเป็นเพียงแต่เลือกจะไม่พูดออกมา
“…”
อดัมยังคงรอคอยคำตอบอยู่
ดังนัน้จึงต้องตอบกลับไป
จะยอมให้อดัมทำผิดซ้ำรอยเดียวกันกับที่เขาทำต่อหน้าแอดมินิสเทรเตอร์ไม่ได้
หากเป็น
อดัมแล้วพวกเขาคงไม่ยกโทษให้เหมือนตอนคราวตัวเองโดน
“เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกันหรอก
เอาเป็นว่าขอร้องล่ะอดัมฉันไม่อยากเสียนายไปเพราะความรู้สึกชั่ววูบที่เรียกว่าความสงสัยหรอกนะ”
เขาทำสายตาเว้าวอนให้เห็น
และถึงไม่ต้องอ่านใจได้เขาก็เข้าใจความรู้สึกของ อดัมเหมือนกัน เพราะว่าเป็นเหมือนกับตัวเอง
ความสงสัยไม่ได้รับการแก้ไข
คำถามที่ไม่มีคำตอบ
มันล้วนน่าอึดอัดและทำให้ไม่สบายใจ
ทั้งอย่างนั้นแล้วอดัมก็ยอมตกปากรัยคำอย่างว่าง่าย
“ถ้าออร์ฟี่ขอขนาดนั้นฉันจะไม่ทำอีกก็ได้”
“อื้อ
ถ้างั้นลองเล่าความฝันนั่นให้ฟังหน่อยสิ”
ความฝันของอดัมนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นสัญญาณที่บอกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
คงจะเป็นเพราะมีส่วนที่เหมือนกับตัวเขาซึ่งเป็นเครื่องทำสวนที่สามารถเข้าออกอาคาชิกเรคคอร์ดและเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลพยากรณ์ได้
อดัมเองก็อาจจะได้รับความสามารถแบบนั้นไปด้วย
ความฝันที่อดัมเล่าให้ฟังก็คือ
ฝันเห็นมนุษย์เหมือนกับตัวเองแต่มีผมยาวและหน้าอกที่นูนออกมา
แถมยังแรงน้อย แต่กลับรู้สึกว่าสิ่งๆ นั้นสวยงามแค่มองก็อดชื่นชมไม่ได้
อดัมยังไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นซักเท่าไหร่แต่เขานิยามมาว่าเธอคือความงดงามที่อยากจะครอบครอง
“แล้วก็…ตั้งแต่ตอนนั้นล่ะมั้งที่นายเริ่มออกห่างไปจากฉัน”
ซีลอร์ดพึมพำออกมาขณะที่ใบหน้าแนบพื้น
เขานอนกองอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับตัวและยังคงระลึกความทรงจำขึ้นมาเรื่อยๆ
เมื่อ
อดัมเล่าเกี่ยวกับความฝันให้ฟัง
ตอนนั้นคือลางบอกเหตุจริงๆ
นั่นแหละ
หลังจากนั้น
อดัมก็ได้รับพวกพ้องและกระทำความผิดพลาดอย่างที่เขาหวาดกลัวมาตลอดจนต้องระเห็จออกไปจากสวน
แล้วก็ทำให้จิตใจที่นึกสงสัยการกระทำของเหล่าแอดมินิสเทรเตอร์ของตนตื่นขึ้นมาด้วย
ทำไมแอดมินิสเทรเตอร์ถึงต้องควบคุมความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งให้อยู่บนหลักกฎระเบียบแห่งโชคชะตาด้วย
อะไรคือกฎระเบียบ
อะไรที่กำหนดกฎเช่นนั้นขึ้นมา
‘น่าแปลก’
ปากของเขาพึมพำแบบนั้นแต่กลับไม่มีเสียงออกมา
ที่ว่า
‘น่าแปลก’ ก็คือพอโดนหมัดของอิงศรกระแทกเข้า
ถูกทำให้เจ็บเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นเองก็ได้มองเห็นอดีตที่เหมือนจะลืมไปนานมากแล้ว
นึกถึงความรู้สึกที่ลืมไปเป็นเวลานาน
“นี่คงจะเป็นสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าความรักสินะ”
เมื่อมีความรักแต่กลับครอบครองมันไม่ได้ความเสียใจก็จะบังเกิดขึ้น
“อดัม…นายรักที่จะให้ลูกหลานของนายเกิดมาจนถึงกับยอมแยกจากผมไปอาคานาร์ฟอร์สของนายคือความเสียใจสินะ”
ซีลอร์ดพูดแล้วจึงดันพื้นยันร่างกายจนลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง
จ้องมองไปทางอิงศรที่กำลังจ้องมองกลับมาทางนี้เหมือนกัน
“นายตั้งใจจะบอกแบบนั้นถึงได้ฝากความรู้สึกไว้กับอิงศรผู้ที่มีความเศร้าเสียใจเหมือนกันสินะ
ตอนนี้ผมได้รับรู้ถึงความรู้สึกนั้นแล้วล่ะ”
ซีลอร์ดพยักหน้าให้ตัวเอง
พยักหน้าให้กับความโง่เขลาที่ไม่ยอมเข้าใจความรู้สึกเสียใจของตัวเอง
พยักหน้าให้กับความเมินเฉยที่คิดว่าตนเองนั้นไร้ซึ่งความรู้สึกเหมือนเครื่องทำสวน
…แต่
สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เลยซักนิด
ครึ่งหนึ่ง
ถึงจะแค่ครึ่งเดียวแต่เขาก็มีความเป็นมนุษย์อยู่
มนุษย์คืออะไรกันแน่นะ
ทำไมมนุษย์ถึงถูกทดสอบ
แม้แต่ตัวเขาเองก็ตอบคำถามนั้นไม่ได้เหมือนกัน
ดังนั้นอิงศรที่โดนถามแบบเดียวกันก็ย่อมให้คำตอบไม่ได้ไปด้วย
ตอนนั้นเอง
“เฮ้
สำเร็จแล้วใช่ไหม!!”
เมษาที่พังกรงเข้ามาตะโกนถามอิงศร
กรงซึ่งตอนนี้ไม่มีอีกแล้วเพราะถูกเอามาใช้เป็นโล่ป้องกันในตอนท้ายของการทดสอบ
และ
ยังเป็นที่น่ากังขาว่าทำไมกรงที่สร้างขึ้นจากแส้ใบมีดอันแข็งแกร่งของเครื่องทำสวนถึงถูกทำลายได้
จะว่าเป็นเพราะจุดบอดของกลไกที่จะต้องคอยแบ่งสมาธิไปเพ่งให้กรงในบางจุดมีความแข็งแรงพอจะต้านรับการโจมตีเหมือนตอนใช้โล่ลูกโลกนั่นซึ่งมีความแข็งระดับที่หากไม่มีพลังพอจะทำลายสวนแห่งที่สองในครั้งเดียวคงไม่มีทางเจาะผ่านเข้ามาได้
แต่ก็ยังโดนฝ่าเข้ามา
โดนชกหน้าจนต้องลงมานอนกองอยู่บนพื้นแบบนี้
ตอนที่กรงพังทลายลงเขายังจับสัมผัสได้ว่าตรงจุดที่ทุกคนเคยอยู่กันนั้นยังมีการโจมตีทุบกระแทกกรงในอัตราพลังทำลายเทียบเท่ากับคนทั้งกลุ่มจนถึงตอนที่กรงถูกพังเข้ามาเพราะไม่ได้เสริมพลังในส่วนอื่นไว้
แต่พวกพ้องคนอื่นๆ
ของอิงศรก็อยู่กับเมษาด้วยเว้นแต่กวินทร์คนเดียวที่ไม่รวมอยู่ในนั้น
ซีลอร์ดหันหลังกลับไปยังทิศที่จับสัมผัสพลังอันมหาศาลซึ่งทุบตีกรงอยู่ในจุดที่ว่า
พลังของเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์
แต่พลังนั้นถ้าบอกว่าเป็นของมิ่งขวัญที่อยู่ในสภาพเวพอนไนซ์อยู่แล้วก็น่าแปลก
เพราะมิ่งขวัญเองก็มาอยู่ทางนี้เหมือนกัน
แต่แล้ว…
กวินทร์ที่อยู่อีกฟากก็สวมชุดเกราะซามูไรที่ดูขัดตากับกางเกงเครื่องแบบอยู่
“เวพ่อนไนซ์เท็งกะโกะเคนงั้นเหรอ…”
จะบอกว่ากวินทร์โจมตีอยู่ตรงนั้นด้วยพลังเทียบเท่าคนทั้งกลุ่มเพื่อหลอกให้คิดว่าทุกคนยังอยู่ที่นั่นแล้วอ้อมไปเข้าจากอีกฝั่งของกรงที่โดนกำแพงเจดีย์บังเอาไว้อย่างนั้นเหรอ
แต่มันไม่น่าจะเป็นไปได้
ถ้าใช้ท่าไม้ตายที่ต้องเรียกเครื่องทำสวนออกมามอบพลังให้
ยังไงเขาก็ต้องรู้และจะยับยั้งมัน
“…”
ด้วยความสงสัยจึงลองสังเกตอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง
กวินทร์ที่โหมโจมตีอย่างหนักเพื่อหลอกล่อเลยหอบเหนื่อยจนตัวโยนขนาดนั้นเลย?
ใบหน้าของเด็กหนุ่มท่วมไปด้วยเม็ดเหงื่อราวกับเพิ่งไปวิ่งมา
“วิ่งงั้นเหรอ”
สมมติฐานอันเหลือเชื่อเล็กน้อยแล่นขึ้นมาในหัว
ถึงจะไม่น่าเชื่อแต่ก็มีความเป็นไปได้เดียวที่จะใช้พลังของเครื่องทำสวนได้โดยไม่ให้เขารู้ตัว
กวินทร์วิ่งออกไปให้พ้นจากรัศมีที่เขตแดนท่าไม้ตายจะเข้ามาถึงจุดที่เขาจะรับรู้
อาจจะต้องวิ่งไปไกลเกือบหนึ่งกิโลเมตรเพื่อไม่ให้มองเห็นขอบของเขตแดนท่าไม้ตายด้วยพอใช้เสร็จก็วิ่งกลับมาแล้วทำตามแผนการหลอกล่อเขาที่ยังพะวงกับพลังใหม่ของอิงศร
สรุปก็คือตัวเขา
เครื่องทำสวนที่แข็งแกร่งที่สุดแพ้ด้วยหลายๆ สาเหตุ
เพราะอิงศรมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตา
เพราะอิงศรมีความตั้งใจที่ก้าวเดินไปข้างหน้าเหนือกว่าที่คาด
และสุดท้าย
สาเหตุเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุด
เพราะอิงศรมีพวกพ้องอยู่…
ทั้งที่มั่นใจถึงที่สุดว่าพวกพ้องที่ไร้ความสามารถเหล่านั้นควสอดมือเข้ามายุ่งไม่ได้
พวกพ้องที่มีไว้ให้เลียแผลกันเองปลอบปะโลมกันเองแบบที่สิงห์เคยกล่าวเอาไว้ได้กลายเป็นพลังที่พลิกสถานการณ์อันน่าเหลือเชื่ออย่างนั้นหรือ?
“เขาไม่เหมือนนายเลยซักนิดนะสิงห์”
ซีลอร์ดพึมพำกับตัวเองแล้วจึงลุกขึ้นยืน
“สุดท้ายก็ล้มผมได้เพราะได้เพราะพลังมิตรภาพอย่างนั้นเหรอเหลือเชื่อจริงๆ
แหะขนาดว่าโดนกับตัวเองแล้วยังรู้สึกเหมือนฝันอยู่เลยนะ”
เขากล่าวลอยๆ
โดยไม่สนใจว่าใครจะฟัง
จากนั้นก็เจาะจงหันไปหาอิงศรแล้วพูดอีกว่า
“รู้ไหม ตอนที่สิงห์ชักจูงผมน่ะเขาตัวคนเดียวตามตื้อจนผมต้องยอมเลยล่ะ”
อิงศรก็เหม่อมองเขาด้วยเช่นกัน
ดูจากสภาพที่ยังกึ่งๆ
จะไม่ได้สติกับอ่านข้อความที่เที่ยวพูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวนั่นแล้วคงยังไม่รู้ตัวว่าได้เอาชนะบททดสอบไปเรียบร้อยแล้ว
ชนะแล้วเหรอ?
ไม่ต้องตายแล้วเหรอ?
เราเอาชนะเจ้านั่นได้แล้ว?
คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในสมองอิงศรแบบนั้นอยู่พักหนึ่งจึงได้สติ
พอได้สติก็เริ่มคิดมากความขึ้นมาอีก
คิดเรื่องไร้สาระอย่างเช่น
ไม่ได้ชนะด้วยตัวเอง
พวกพ้องสอดมือเข้ามาแบบนี้จะถูกใช้เป็นข้ออ้างรึเปล่า
“…”
ซีลอร์ดแค่นลมหายใจอย่างขบขันเล็กน้อย
ทั้งที่เอาชนะในการทดสอบที่ล้มเหลวร้อยเปอร์เซ็นต์ได้แต่ยังมัวพะวงเรื่องนั้นไม่ใช่แค่เรื่องพวกพ้องอย่างเดียวแต่ตรงนี้เองก็ไม่เหมือนกับสิงห์เลยซักนิดเดียว
ถ้าเป็นสิงห์
ธุวดารกะ
ถ้าเป็นแฟรนเซียมล่ะก็
ต่อให้ต้องทำทุกวิถีทางก็จะเอาชนะให้จงได้
มีความแตกต่างกันมากถึงขนาดนั้นเลย
“นี่เธอน่ะถูกสิงห์เขาเก็บมาเลี้ยงดูจริงๆ
เหรอ”
ซีลอร์ดถามออกไป
เขาไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ของมนุษย์ตอนที่มาอยู่ในสวนแห่งที่สองนักหรอก
แต่เคยได้ยินว่าลูกมนุษย์จะเลียนแบบพฤติกรรมเดียวกับคนที่คอยเลี้ยงดู
แต่อิงศรก็ตรงข้ามกับสิงห์โดยสิ้นเขิงถึงจะมีส่วนที่คล้ายกันอยู่บ้างก็ตาม
บางทีสิ่งนั้นอาจจะเรียกว่าอัตตาตัวตนของมนุษย์
อัตตาที่จะไม่หายไปไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าจะได้รับการบ่มเพาะหรือผ่านเวลาไปนานแค่ไหนก็ตาม
หากว่าอัตตานั้นคือวิญญาณล่ะก็
“บางทีเธอกับอดาเมียมอาจจะเป็นคนๆ
เดียวกัน”
เขาพึมพำออกมาด้วยความหวัง
ลมๆ แล้งๆ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวตนของอดาเมียมนั้นได้หายไปตั้งนานแล้ว
“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ”
อิงศรตั้งคำถามต่อคำพูดพึมพำเมื่อครู่
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
“แล้วเรื่องทดสอบล่ะ”
“อืม เธอชนะผมแล้วดังนั้นจะฟังคำตอบให้”
ทั้งที่บอกว่ายอมรับในชัยชนะของอิงศรแล้วแต่เจ้าตัวกลับทำหน้าลำบากใจ
“แต่ว่าฉันไม่ได้ชนะด้วยตัวเอง...”
ทว่า
ซีลอร์ดก็พูดขัดคำพูดนั่นเอาไว้
“แต่เธออ่อนแอกว่าผมนะ”
“ทีนายเองก็ยังไม่ยอมให้กรงพังเพื่อช่วยปกป้องเพื่อนของฉันไว้เลยนี่
ออมมือไว้ให้แบบนั้นทางนี้เองก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวหรอกนะ”
พออิงศรพูดออกมาแบบนั้นก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายดังเอื้อกมาจากพวกพ้องคนอื่น
คงกำลังคิดตำหนิตัวเองที่แส่เข้ามายุ่งหรือไม่ก็คิดต่อว่าความเรื่องมากของอิงศร
แต่คงจะเป็นอย่างแรกมากกว่า
อย่างน้อยที่สุดเมษาซึ่งน่าจะเป็นคนที่มีแนวโน้มเลือกข้อหลังยังเป็นข้อแรกเลย
คนอื่นๆ ก็คงไม่คิดจะโทษอิงศรกันหรอก
ถ้าเกิดเขาพูดออกไปว่า
นั่นสินะ เล่นรุมกันแบบนี้ขี้โกงนี่นา คิ้วของทุกคนคงจะห้อยตกกันหมด
ซีลอร์ดยิ้มออก
รู้สึกว่าควบคุมปากตัวเองไม่ได้เพราะความรู้สึกข้างในกำลังพองโตออกมา
“เอาเถอะ ตอนแรกผมก็เป็นคนบอกเองนี่นาว่าจะรุมเข้ามาก็ได้”
รู้สึกได้ว่าประกายความหวังเปล่งปลั่งขึ้นมาบนใบหน้าของพวกพ้องอิงศร
อนิจจา
เจ้าตัวยังคงมีสีหน้าไม่สบายใจอยู่เหมือนเดิม
ซีลอร์ดพูดต่อไปว่า
“คราวนี้ไม่เหมือนกับตอนของสิงห์ รายนั้นน่ะผมยอมให้แต่กับเธอตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะฆ่า”
การเอาจริงในคราวนี้ผิดกันคนละเรื่องกับคราวของสิงห์ถ้าจะถูกต่อว่าเรื่องความไม่ยุติธรรมหรือว่าเลือกปฏิบัติเขาก็จะยอมรับแต่โดยดี
เพราะหนนี้ตนได้ตัดใจไปแล้ว
ตัดสินใจคิดลงไปแล้วว่าการคาดหวังในตัวมนุษย์คงจะเป็นเรื่องผิดพลาด
จึงละทิ้งทุกอย่างแล้วเดิมพันกับการทดสอบที่ทำไปก็เท่านั้น
แต่แล้ว...
”แต่ก็ยังทำให้ผมหมดรูปได้ขนาดนี้ อุตส่าห์ลงทุนทำให้การทดสอบดำเนินไปแบบตัวต่อตัวๆ
แล้วแท้ๆ แต่พวกพ้องของเธอก็ยังดื้อด้านจนแหกกรงเข้ามาได้ผมเองก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวแล้วชนะก็คือชนะ…”
อิงศรกลับก้าวข้ามบททดสอบได้
ทำให้เขากลับมามีความหวังในตัวมนุษย์อีกครั้ง
แล้วก็...
“แล้วเธอก็ทำให้ผมนึกออกจนได้ว่าความเสียใจที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
ความเสียใจที่ผมลืมเลือนไปแล้ว ดังนั้นผมจึงเข้าใจในตัวเธอเหมือนกันแล้วล่ะ ว่าตอนที่เสียเพื่อนไปมันเจ็บปวดขนาดไหน
เพื่อตอบแทนตรงส่วนนั้น”
ซีลอร์ดพูดแล้วหันไปทางที่ๆ
ศพของนรินทร์นอนอย่างสงบอยู่ข้างหลังกวินทร์
“เพราะงั้นผมจะคืนชีพให้กับร่างทรงของวิศนุโดยไม่เกี่ยงเรื่องคำตอบของเธอ”
***สองตอนของอาทิตย์นี้ขอยืดเรื่องหน่อยนะครับ แล้วก็ตอนจะสั้นๆ เพราะว่าไรท์ติดธุระไปต่างจังหวัดตั้งวันศุกร์ถึงสามวันกว่าจะกลับมาก็วันอาทิตย์พอดีดังนั้นตอนของวันศุกร์จะอัพให้ตั้งแต่คืนวันพรุ่งนี้เลยแล้วก็อาทิตย์หน้าที่เป็นอาทิตย์สามตอนจะขอเปลี่ยนเป็นลงสองตอนโดยใช้ระบบวันแบบเดียวกับอาทิตย์นี้หรือก็คืออาทิตย์หน้าจะลงวันพุธกับวันศุกร์อีกรอบนะครับ ตอนแรกกะจะตัดวันอังคารเฉยแล้วลงตามปกพฤหัส เสาร์เลยแต่แบบนั้นท่าจะเว้นช่องว่างวันนานเกินไปหน่อย
สาเหตุที่ไรท์ต้องยืดเรื่องในอาทิตย์นี้นอกจากเรื่องธุระที่ทำให้ไม่มีเวลาเขียนอย่างเต็มที่ในอาทิตย์นี้แล้ว อีกส่วนคือเนื้อเรื่องจะจบภาคสองแล้วครับ ตอนแรกไรท์คิดว่าภาคสองจะยังเหลือสัดส่วนอยู่อีกประมาณ Act หนึ่งแต่คิดไป คิดมาแล้วเลยปัดไปอยู่ส่วนของภาคสามเลยดีกว่าเพื่อความสมดุลของภาคสามด้วย เนื่องจากในภาคสามเป็นภาคสุดท้ายและจำนวนตอนค่อนข้างน้อยน่ะครับ***
ความคิดเห็น