คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #154 : Login 151: โหมกระหน่ำ!! สายลมแห่งยุคใหม่
Login
151: โหมกระหน่ำ!! สายลมแห่งยุคใหม่
ลำแสงทำลายกระดอนจากโล่อาคมองอิงศรย้อนกลับไปหาซีลอร์ด
“ทำให้โล่พลังของโอโรจิแห่งยามาตะได้รับคุณสมบัติสะท้อนเหมือนกับคันฉ่องแห่งยาตะของเทวีสุริยาอามาทเทราสึได้งั้นเหรอ”
ผู้ถูกลืมเลือนหุบยิ้มอย่างยินดีขณะที่กล่าวเช่นนั้นแล้วตวัดมือเป็นท่าทางคำสั่ง
แส้ใบมีดหลายสิบเส้นพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินที่อยู่ใกล้ๆ
เรียงกันเป็นกำแพงป้องกันลำแสงเอาไว้แล้ว จึงคลายออกจากกัน
ซีลอร์ดซึ่งโผล่หน้าออกมาหลังจากที่กำแพงแส้คลายตัวก็พูดว่า
“อวาแทรนส์ของเธอมันทำได้ถึงขนาดไหนกันนะ
แต่ผมคงไม่เสี่ยงโจมตีเข้าไปด้วยลำแสงให้เธอสะท้อนเล่นอีกแน่”
“แล้วไงเล่า
ถ้าไม่ใช้ลำแสงแกก็เหลือแค่แส้เท่านั้นแหละน่า”
อิงศรพูดข้อเท็จจริงออกไป
จากที่สังเกตมาซีลอร์ดไม่มีการโจมตีรูปแบบอื่นใดนอกจากแส้ใบมีดกับลำแสงทำลายสีแดงแล้วก็ศิวะที่เอาแต่ร่ายปศุปตะเพียงอย่างเดียวก็สามารถใช้โล่ของโอโรจิสะท้อนกลับไปได้เหมือนกัน
แต่จู่ๆ
ซีลอร์ดก็เริ่มพูด
“พญางูใหญ่แปดเศียรนั้นจะต้องมอมเหล้าให้หลับเสียก่อนจากนั้นจึงตัดเศียรทั้งแปดแล้วเจ้าหญิงก็จะปรากฏออกมา”
เรื่องเล่าที่เหมือนจะเกี่ยวกับยามาตะโนะโอโรจิออกมา
แล้วก็ปุบปับเปลี่ยนเป็นพูดเรื่องอื่นเสียอย่างนั้น
“เครื่องทำสวนแต่ละเครื่องน่ะจะมีจุดเด่นแตกต่างกันไปตามรูปแบบพลังของอมฤตที่ใช้งานได้แล้วผมซึ่งมีร่างแท้จริงที่ถือว่าตัวเล็กที่สุดเมื่อเทียบกับพวกเขาจึงได้ประยุกต์ลำแสงอมฤตให้เป็นอาวุธได้เพราะว่าสำหรับมนุษย์แล้วอาวุธก็คือเขี้ยวเล็บเฉกเช่นสัตว์เทวะ
ถ้าคิดว่าผมสู้ประชิดตัวไม่ได้ล่ะก็ผิดถนัดเลยล่ะ”
ซีลอร์ดกล่าวแล้วทำท่าลูบมือขวาที่ยืดจนตรง
ลูบจนเลยออกจากมือไปและก่อให้เกิดแสงสีแดงห่อหุ้มมือนั้นแผ่ยาวเหมือนกับดาบ
“โซเดียซาเบล (Zodia
Sabre) แล้วก็โซเดียไซท์ (Zodia Scythe)”
จากนั้นจึงชูมือขวาขึ้น
แล้วปลดปล่อยลำแสงสีแดงออกมาให้คงรูปเป็นเคียวเล่มใหญ่
“โซเดียก็คืออมฤต...คือชะตากรรมยังไงล่ะ”
เมื่อเห็นแบบนั้นเข้าอิงศรก็เดาะลิ้น
“ชิ”
โล่ของยามาตะโนะโอโรจิที่เสริมพลังด้วยอวาแทรนส์แล้วก็ยังไม่สามารถสะท้อนการโจมตีที่ควบคุมทิศทางได้เองแบบนั้น
ก็เหมือนกับที่มันป้องกันแส้ใบมีดได้แต่ไม่สามารถสะท้อนให้กระเด็นออกไปเหมือนอย่างลำแสงได้
“จะบุกล่ะนะ”
ซีลอร์ดพูดขณะที่แบกเคียวลำแสงไว้บนบ่าแล้วจึงพุ่งเข้ามาโดยเหยียดมือดาบออกมาข้างหน้า
ความเร็วในการเคลื่อนที่เหมือนจะเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้
“นี่แกยังจะเร็วได้มากกว่านี้อีกเรอะ”
“ก็เพราะว่าผมเอาจริงยิ่งกว่าก่อนแล้วยังไงล่ะเธอควรจะดีใจนะที่เครื่องทำสวนทุ่มฝีมือทั้งหมดกับวัชพืชอย่างเธอน่ะ”
แล้วตอนนั้นดาบของซีลอร์ดก็เสียบทะลุโล่อาคม
เกิดรอยแตกร้าวไปทั้งแผ่นโล่
จากนั้นก็ตวัดดาบเฉือนสะบั้นโล่ไปทั้งอย่างนั้นก่อนจะเงื้อเคียวเหวี่ยงกวาดเอาโล่อาคมอีกสี่แผ่นที่ลอยอยู่ข้างๆ
ขาดเป็นสองท่อนในทีเดียว
เหลือโล่อาคมอีกสามแผ่นหากถูกทำลายหมด
อาคานาร์ เดอะ เดธ ก็จะต้องกลับไปรอเวลาฟื้นฟูพลัง ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็จะไม่มีอะไรใช้ป้องกันลำแสงทำลายล้างนั่นอีก
“กลับมาก่อนโอโรจิ”
อิงศรคิดจะเก็บโล่เอาไว้สำหรับการป้องกันหลังจากนี้หรืออย่างน้อยที่สุดมันก็ช่วยขู่ไม่ให้อีกฝ่ายใช้ลำแสงกวาดทั้งกรงได้
“ช้าเกินไปนะความคิดความอ่านของเธอถึงไม่ต้องอ่านใจก็คาดเดาล่วงหน้าได้”
ซีลอร์ดกลับพูดมาแบบนั้น
รู้สึกตัวอีกที โล่ที่เหลือก็ถูกทำลายลง
“จบแล้วล่ะมนุษย์น่ะอ่อนหัดเกินไปขนาดผมช่วยมอบทางเลือกให้ก็ยังทำอะไรไม่ได้”
เจ้านั่นเที่ยวพ่นคำยุแหย่ที่เหมือนกับจะปลุกเร้าให้ขาดสติโมโหราวกับรออะไรบางอย่าง
“…”
หมอนี่ต้องการอะไรกันแน่
ระหว่างที่อิงศรครุ่นคิดถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของซีลอร์ด
ฝ่ามือดาบของอีกฝ่ายกลับหวดขึ้นมาจากทางด้านล่าง
เขาใช้ดาบรับเอาไว้
ทั้งที่ไม่รู้ว่าดาบที่เป็นวัตถุแบบนี้จะหยุดดาบลำแสงได้หรือเปล่า
แสงถือเป็นคลื่นชนิดหนึ่งถ้าอย่างนั้นวัตถุธาตุแท้อย่างดาบของเขาก็คงทะลุผ่านหรือไม่ก็โดนตัดละลายเหมือนเนยเลยล่ะมั้ง
แต่ถ้าโดนดาบนี้เข้าไปหัวได้แยกเป็นสองแฉกแน่
เป็นหรือตายก็ขึ้นกับอีกหนึ่งวินาทีหลังจากนี้
เคร้ง
เสียงโลหะแหลมสูงดังก้อง
ดาบของเขากับดาบของซีลอร์ดกำลังดันกันอยู่
“ดีจังนะที่ดาบนั่นเป้นของในเกมน่ะทำให้มันสร้างขึ้นจากอมฤตเหมือนๆ
กันถ้าเป็นของทีม่นุษย์สร้างขึ้นมาคงได้ละลายเป็นเนยไปพร้อมกับเธอแล้วล่ะ”
อีกฝ่ายคงอ่านใจเขาถึงพูดกึ่งจะอธิบายมา
จากนั้นก็โดนดันดาบกลับ
โดนแรงผลักมหาศาลจนไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากร่างที่เล็กกว่าตัวได้
เขาตัวสูงกว่าซีลอร์ดอยู่นิดหน่อยแล้วอีกฝ่ายก็ยังมีร่างกายบอบบางราวกับผู้หญิงทั้งที่เป็นแบบนั้นตัวเขากลับเป็นฝ่ายถูกดันจนตัวลอยกระเด็นไปกระแทกลูกกรง
“อัก”
ซีลอร์ดส่งแส้ใบมีดตามมาด้วยกันอีกห้าเส้น
แต่เมอร์คาบาห์ที่บินขึ้นไปจัดการกับโดรนก็ลงมาพอดีแล้วตัดแส้พวกนั้นก่อนจะเข้าถึงตัว
ทว่า...
“มนุษย์น่ะจะถูกกอบกู้โดยมนุษย์เท่านั้น”
ซีลอร์ดพูด
กำลังใช้คำพูดของเขาขณะที่รวบรวมอมฤตไว้ที่ปลายนิ้วจนเห็นเป็นมวลแสงสีแดงกำลังลุกแววออกมาจากปลายนิ้วนั้น
“เธอเคยพูดแบบนั้นไว้นี่
แต่ก็ไม่เห็นจะช่วยใครไว้ได้เลยแล้วตอนนี้ก็ไม่มีใครมาช่วยเธอได้ด้วย”
“ฉันอยากจะปกป้องพวกเขาทั้งหมด”
อิงศรโต้ตอบกลับไป
แต่นั่นไม่ได้ทำด้วยความต้องการของตนเองเพียงแต่...
‘ฉันอยากจะปกป้องพวกเขาทั้งหมดไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม’
เสียงในหัวใจที่ประสานรวมกับเมอร์คาบาห์ไปแล้วก็ยังคงดังก้องอยู่แบบนั้น
แต่น่าแปลกที่ซีลอร์ดไม่ได้ตอบโต้เหมือนกำลังอ่านใจเขากลับตอบโต้แบบปกติมา
“ก็ไม่เห็นจะทำอะไรไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”
จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาในหัวอีก
เป็นเสียงสุดท้ายที่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินอะไรอีก
ราวกับว่ามันเป็นข้อความที่ฝากส่งถึงใครซักคน
แล้วใครคนนั้นก็คือซีลอร์ด
“เมื่อถึงตอนนั้นก็ฝากนายด้วย!”
อิงศรตะโกนคำพูดออกไป
คำพูดที่เขาเองก็ไม่เข้าใจความหมายนักแต่ซีลอร์ดที่ได้ยินมันกลับตีหน้าอึ้ง
“อดัม...ไม่สิ
ถึงจะไม่รู้ว่าเธอไปเอาคำพูดของอดัมมาจากไหนก็เถอะแต่ว่า
ต่อให้จะเป็นความปรารถนาของนายฉันก็คงตอบรับไม่ได้มนุษย์ในตอนนี้น่ะยังอ่อนหัดเกินไป”
แต่อิงศรก็พูดสวนคำพูดนั้นไปว่า
“มนุษย์น่ะยังอ่อนหัดก็จริงแต่เพราะแบบนั้นถึงเปลี่ยนแปลงาได้
ถ้ามีโอกาสอีกซักครั้งมนุษย์ก็จะเปลี่ยนแปลงได้แน่”
ซีลอร์ดเบ้หน้าเล็กน้อยแล้วยกปลายนิ้วที่สะสมพลังงานจนเสร็จเล้งมาที่นี่
“แล้วเธอก็จะร้องขอโอกาสไปไม่สิ้นสุดอยู่ดีน่ะเหรอ”
“ไม่ใช่ โอกาสน่ะไม่ใช่ร้องขอแล้วถึงได้มาแต่ต้องสร้างโอกาสขึ้นมาเองมนุษย์น่ะมีพลังนั้นอยู่มีความเป็นไปได้ที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเองนั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่าทางเลือกยังไงล่ะ
มนุษย์น่ะสามารถจะสร้างทางเลือกให้ตัวเองได้”
เขาเข้าใจเรื่องนั้นอย่างถ่องแท้
เข้าใจว่าอะไรคือการแสดงความตั้งใจที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าแล้ว
มันคือการสร้างโอกาส
คือการเลือกทางเดินที่จะมุ่งหน้าต่อไป
ถึงจะผิดพลาด
ถึงจะต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไป
การตัดสินใจนั้นหาใช่บาปไม่
หากแต่เป็นพลังที่พร้อมจะทำให้ก้าวไปสู่ทางเลือกที่ดีกว่า
“…”
ซีลอร์ดตอบกลับคำโต้แย้งมาว่า
“แต่แบบนั้นก็ต้องรอให้ผิดพลาดก่อนไม่ใช่เหรอ
แบบนั้นน่ะมันจะสายเกินไป...”
“ก็เพราะแบบนั้นไงถึงได้เป็นมนุษย์น่ะ
การพยายามมีชีวิตเพื่อเลือกทางเดินแล้วก้าวต่อไป หยุดพักบ้าง ท้อแท้บ้าง
แต่ก็พยายามเลือกหนทางต่อไป”
ไม่รู้ทำไม
แต่พอพูดไปแบบนั้นซีลอร์ดก็ปรายยิ้มขึ้นมา
“แต่ก็ไม่เห็นว่าพวกเธอจะยอมเลือกเลยนี่ทั้งที่มีทางเลือกอย่างการอยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์ต่างดาวอยู่แล้วตั้งทางหนึ่ง
หากทำแบบนั้นโลกใบนี้ก็อาจจะพบกับสันติ
มนุษย์จะถูกควบคุมให้เป็นไปตามที่เหล่าแอดมินต้องการ แต่พวกเธอก็ไม่เลือกมัน”
“แบบนั้นมันไร้อิสรภาพเกินไปถึงได้สันติมาแต่ก็ไม่ใช่โลกที่มนุษย์จะอยู่ได้หรอกนะ”
“งั้นเธอก็เลือกทางเดียวกับสิงห์งั้นเหรอ”
“สิงห์? หมายถึงธุวดารกะน่ะเหรอ ถ้านั่นหมายถึงให้พวกเทวทูตปกครองมันก็ไม่ต่างอะไรกับทางเลือกแรกนี่”
“ไม่เกี่ยวกับธุวดารกะหรอกนะ
สิงห์น่ะเลือกทางเดินด้วยตัวเอง เขาใฝ่ฝันโลกที่ถูกต้องตามอุดมคติผู้ที่มีความสามารถก็ควรจะได้ปกครองผู้ที่ไร้ความสามารถเป็นโลกที่ตรงไปตรงมาไม่มีการย้อนแย้งใดๆ
ผู้แข็งแกร่งคือผู้ชนะ.
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินอะไรอย่างนี้
สิงห์มีความคิดแบบนั้นเองหรอกเหรอ?
“หมายความว่าจะทำให้เป็นโลกของปลาใหญ่กินปลาเล็กอย่างนั้นเหรอ”
“ถ้าจะพูดแบบนั้นมันก็ใช่แหละนะเพราะมันเป็นโลกดั้งเดิมตามแบบธรรมชาติของมันแต่เหล่าแอดมินคงไม่ยอมแน่
ดังนั้นผมถึงมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อยับยั้งความปรารถนาของสิงห์เอาไว้”
แต่ตอนนี้หมอนั่นตายไปแล้ว
อิงศรเพียงแค่คิดอยู่ในใจแต่ความคิดนั้นคงกลายเป้นคำพูดลอยผ่านหน้าของตนไปยังสายตาของซีลอร์ด
“นั่นสิ...”
อีกฝ่ายตอบรับห้วนๆ
โดยที่ยังเล็งปลายนิ้วที่มีลำแสงรอการปลดปล่อยมาที่เขา
”จนถึงตอนนี้เธอก็ยังเทียบกับคนที่ตายไปแล้วไม่ได้เลยล่ะ
ทั้งเหตุผลและความพยายามของเธอนั้นเบาหวิวจนเหมือนเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ
กลับกันสิงห์ทำให้ผมรู้สึกสนใจและอยากร่วมทางเลือกเดียวกับเขามาก่อน สวนแห่งนี้ถึงได้พบกับความพินาศถึงขนาดนี้ยังไงล่ะ”
คำพูดของซีลอร์ดแข็งทื่อและไม่มีอารมณ์เจือปนอยู่ในนั้น
อิงศรคงจะเมินมันไปแล้วโต้ตอบตามปกติถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะใบหน้าของซีลอร์ดมีน้ำตาไหลออกมา
“งั้นนายก็เสียใจที่เลือกทางเดินผิดงั้นสิ”
เขาลองถามออกไป
แต่ในใจก็คิดว่าคงได้รับคำตอบแบบขอไปทีมาอีกนั่นแหละ
“ก็คงใช่ล่ะมั้งไม่อย่างนั้นการทดสอบนี่ก็คงไม่เกิดขึ้นหรอกผมเองก็อยากจะทดสอบทางเลือกของตัวเองดูเหมือนกัน”
“โดยการมาผูกติดกับทางเลือกของฉันสินะ
ถ้างั้นมันก็ไม่ใช่ทางเลือกของฉันเหมือนกันนายไม่มีวันเดินทางเดียวกับฉันได้แน่นอนเพราะมันไม่ใช่ทางเลือกของนายเอง”
ซีลอร์ดชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินที่เขาพูดก่อนจะหัวเราะออกมา
“ฮะ ฮะ ฮะ
เอาจนได้สินะเธอเกือบจะทำให้ผมถามออกไปแล้วเชียวว่างั้นทางเลือกของเธอคืออะไร
การชักจูงเครื่องทำสวนเนี่ยก็เป็นพลังของมนุษย์อย่างนั้นเหรอ”
อิงศรเบ้หน้าให้คำพูดนั้น
“ก็ขนาดนายเองก็ยังทำเหมือนกับมนุษย์เลยไม่ใช่รึไงถึงได้พยายามหาความเป็นไปได้ในตัวมนุษย์ก็เพราะเชื่อมั่นใช่ไหมล่ะ”
“เชื่อมั่นเนี่ยหมายถึงเชื่อในตัวมนุษย์น่ะเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิไม่อย่างนั้นนายคงไม่มอบทางเลือกให้พวกเราด้วยการเล่นเกมโลกาวินาศนี่หรอก
ตัวนายนั่นแหละที่พิสูจน์คำตอบของฉันแล้ว เพราะนายมอบโอกาสให้ถึงได้มีฉันไง”
“สำหรับเธอแล้วทางเลือกก็คือโอกาสงั้นเหรอ
ตอบได้ดีนี่ผมเองก็ยังอยากจะเชื่อแบบนั้นเลยแต่ว่าคำพูดของคนอ่อนแอ่น่ะ...”
“เป็นได้แค่เรื่องเพ้อเจ้อสินะถ้างั้น
เออ ถ้างั้นฉันจะทำให้นายยอมรับคำตอบอันนี้ให้ได้เลย!”
“ถ้างั้นก็ช่วยทำให้ผมเห็นทีเถอะพลังของเธอความสามารถในการก้าวต่อไปข้างหน้า
เจ้าโอกาสที่มีชื่อว่าทางเลือกนั่นน่ะแต่ว่าต้องหลบไม้นี้ให้ได้ก่อนนะ”
สิ้นคำ ซีลอร์ดก็ปล่อยลำแสงที่ชาร์จระหว่างคุยออกมา
ที่จริงจะหลบตอนที่คุยกันก็ได้แต่เกิดอีกฝ่ายยิงมาทนัทีเขาคงไม่รอด
แต่ถ้าเป็นตอนนี้ก็หลบได้สบายเพราะกะระยะกับวิถีเอาไว้แล้ว
“ฮึบ”
อิงศรเบี่ยงตัวหลบไม่ให้ลำแสงโดนตรงๆ ลำแสงจึงกระทบเข้ากับลูกกรงแล้วระเบิด
แรงจากการระเบิดส่งให้ร่างกายพุ่งออกไปข้างหน้า
อิงศรเปลีย่นหน้าไม้กลับเป็นคันธนูแล้วเงื้อขึ้นตอนที่แรงผลักส่งเข้าไปประชิดตัวซีลอร์ดที่ไร้การป้องกันอยู่
เพราะใช้มือข้างที่เป็นดาบยิงลำแสงทำให้อีกมือที่ใช้เคียวเป็นอาวุธซึ่งปล่อยการโจมตีออกมาได้ช้ากว่าไม่เป็นอุปสรรค์
“ทำให้มีความหวังลมๆแล้งๆ
เพิ่มอีกแล้วสินะตัวผม”
ซีลอร์ดกล่าวแล้วจากเคียวในมือซ้ายก็กลายเป็นสนับมือแสง
“นั่นมัน...อั่ก”
อิงศรผงะให้กับสิ่งที่เกิดขึ้น
ทว่าพอรู้สึกตัวอีกทีสนับแสงนั่นก็กระแทกถูกลิ้นปี่เข้าอย่างจัง แล้วร่างของเขาลอยกระเด็นไปกระแทกลูกกรงแล้วหล่นลงมากองกับพื้น
อิงศรพยายามลุกขึ้นทันทีแต่ก็จุกจนหายใจไม่ออกจนต้องเอามือกดบริเวณท้องที่โดนต่อยและสำลักอย่างเอาเป็นเอาตาย
“อ่อก...แค่ก...แค่ก”
เสียงของเมษาที่อยู่ด้านนอกดังมา
“เฮ้ย! นั่นมัน มัคพั้นช์ (Mach Punch)
ของอาชีพฉันนี่หว่าเจ้านั่นเป็นอาชีพโคลสเซอร์หรอกเรอะ”
คงหมายถึงหมัดที่ปล่อยออกมาได้อย่างรวดเร็วของซีลอร์ดนั่น
ความจริงก็รู้สึกคุ้นเคยว่าหมัดนั่นมันเป็นท่าเหมือนกับสกิลอาชีพที่พวกเขาใช้จริงๆ
นั่นแหละหรืออาจจะแค่บังเอิญว่าหมอนั่นชกด้วยความเร็วสูงจนเห็นเป็นเหมือนใช้สกิลก็ได้
“ผมยังไม่ได้บอกสินะว่าถ้าใช้อาวุธอันไหนผมก็สามารถเรียกใช้สกิลที่ตรงกับอาวุธนั้นๆ
ได้ด้วยนะก็ตัวผมเป็นถือว่าเป็นมนุษย์เหมือนกันทำไมจะใช้ทักษะกับความสามารถแบบพวกเธอไม่ได้กันล่ะจริงไหม”
ระหว่างที่พูดอยู่ซีลอร์ดก็เปลี่ยนจากสนับมือเป็นคันธนู
ก็หมายความว่าอีกฝ่ายจะใช้สกิลได้เหมือนกับอาชีพของเขาด้วย
“เมอร์คาบาห์!”
อิงศรตะโกนเพราะเห็นว่าซีลอร์ดจับคันธนูแสงด้วยท่าทางแปลกๆ
จึงคิดว่าแผนให้เมอร์คาบาห์ลอบโจมตีตอนที่ตนคอยดึงความสนใจอยู่นี่ก็อาจจะแตกไปแล้ว
ความจริงเนื้อหาของคำสั่งที่แลกเปลี่ยนกับปีศาจผ่านทางจิตนั้นไม่ได้ละเอียดขนาดว่าจะให้โจมตีตอนไหนแต่ให้เมอร์คาบาห์ที่ไม่น่าจะถูกอ่านใจได้เป็นคนตัดสินใจเอาเองแล้วมันก็คือตอนนี้
ใบดาบของเมอร์คาบาห์ที่ดิ่งลงมาจากด้านบนเกือบจะถึงคอของซีลอร์ดแล้วแต่หมอนั่นกลับจับคันธนูเหวี่ยงด้วยมือเดียวพร้อมกับทำให้ดาบแสงปรากฏขึ้นที่อีกมือแล้วตวัดพร้อมกัน
“ครอสวูฟล์”
ใช่อย่างที่คิดจริงๆ
ซีลอร์ดรู้ตัวแต่แรกแล้วไม่อย่างนั้นท่าครอสวูฟล์ที่ต้องกะจังหวะฟันทั้งดาบและธนูโดยพร้อมเพรียงนั้นคงจะตอบโต้การโจมตีทีเผลอไม่ได้
เมอร์คาบาห์ยกแขนใบมีดขึ้นป้องกันแต่ก็ถูกแรงปะทะกระแทกจนปลิวไปชนลูกกรงอยู่ดี
“…”
พลังยังแตกต่างกันมาก
ทั้งที่พยายามจนได้พลังมาแล้วแต่กลับมีพลังที่เหนือกว่าโผล่ออกมาทันทีแบบนี้...
“โธ่เว้ย
จะทำยังไงดีเนี่ย”
ระหว่างที่สบถอยู่นั้นซีลอร์ดก็ง้างคันธนูแสงยิงลูกศรขึ้นไปข้างบน
“โซเดียดราโคเม็ท”
“สกิลนั่นมัน...”
สถานการณ์มีแต่จะแย่ลง
@@@
ถ้าอยากจะช่วยพี่สาวฝาแฝดก็ต้องเอาหัวอิงศรไปแลก
เมษาที่ได้รับเงื่อนไขแบบนั้นก็ตรงมาที่อารย-สนธยาแล้วเข้าร่วมการต่อสู้กับอิงศรในฐานะพวกพ้องที่มาเป็นกำลังเสริม
หลอกให้ตายใจแล้วฉวยโอกาสจัดการในทีเดียว
ตัวเขาได้รับเอาเดม่อนแอพอันใหม่ที่มีพลังเหนือกว่าของที่เคยๆ
มาก็เพื่อการนี้
เป็นเดม่อนแอพที่โจมตีปิดบัญชีในครั้งเดียวได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ถึงหลังจากนั้นเขาอาจจะโดนพวกพ้องคนอื่นกำจัดฐานทรยศก็ตาม
แต่เมื่ออิงศรจบชีวิตลงศูนย์บัญชาการก็จะรู้เรื่องนั้นและปล่อยมีนาให้ตามสัญญาที่กุมภาให้เอาไว้
ดังนั้นการทดสอบที่อิงศรกำลังเข้ารับกับซีลอร์ดนี้ใจเขาอยากจะอิงศรทดสอบไม่ผ่านและถูกฆ่าตายเท่านี้ก็ไม่ต้องใช้มือของตัวเองให้เปื้อนเลือด
มีนาก็จะปลอดภัย และยังรักษาความเป็นเพื่อนกันไว้ได้...
แต่แบบนั้นยังจะมีหน้าเรียกตัวเองว่าเพื่อนหรือพวกพ้องได้อีกเหรอ?
ถ้าอิงศรแพ้ขึ้นมาถึงจะช่วยมีนาได้แต่โลกก็จะถูกทำลายทุกคนจะถูกฆ่าเพราะพระเจ้าตัดสินให้พิพากษา
ไม่รู้แล้วว่าตัวเขาควรจะทำอย่างไรดี
ได้แต่กำลูกกรงเหล็กมองดูเพื่อนต่อสู้เสี่ยงชีวิตอยู่ข้างในนั้นไปพลางขบฟันกล้ำกลืนไปพลาง
ตอนนั้นเองลูกศรของซีลอร์ดก็ลอยขึ้นไปแล้วแตกกระจายเป็นสายธารเพลิง
หนนี้อิงศรไม่เหลืออะไรให้ใช้ป้องกันแล้ว
“หมอนั่นจะ...ตายงั้นเรอะ”
เมษาพึมพำให้ตัวเองได้ยินแค่คนเดียว
ส่วนคนอื่นๆ
ต่างก็จับลูกกรงแนบหน้าติดชนิดไม่ยอมให้คลาดสายตาแล้วยังส่งเสียงปรึกษากันอยู่ตลอดว่าจะทำอะไรเพื่ออิงศรที่อยู่ข้างในนั้นได้บ้าง
ทั้งที่กรงเหล็กนี่แข็งแกร่งไร้เทียมทานจนแทบทำลายไม่ได้
ไม่สามารถเล็งเป้าสกิลผ่านลูกกรงนั่นได้ด้วยซ้ำ
แล้วยังจะมีอะไรที่พวกเขาทำได้อีก
“โธ่เว้ย
นี่ทำอะไรไม่ได้เลยเหรอเนี่ย”
เมษาค่อนข้างตกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่พูดออกไปว่าอยากจะช่วยอิงศรทั้งที่ในใจก็กำลังหวังให้การโจมตีนี้ดับลมหายใจอิงศรด้วยเช่นกัน
“เวพ่อนไนซ์!”
กวินทร์ส่งเสียงดังขึ้นมาพอหันไปดูก็เห็นกำลังให้ดาบดูดซับยูนิทสี่สีที่สร้างไว้ตั้งแต่ตอนที่สู้กับนารยณ์แล้วยังตกค้างมาจนถึงตอนนี้เนื่องจากใช้สกิล
ดราโกเบลฟทำให้จำนวนยูนิทออกมามากถึงแปดลูกและเพิ่งจะใช้ไปกับท่าไม้ตายแรคน่าบัสเตอร์แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
”เท็งกะโกะเคน!!”
หลังจากร่ายสกิลเสร็จ
เท็งกิมารุ หรือ ป้ายไม้แกะสลักรูปพยัคฆ์ก็โผล่ออกมา
“เท็งกิมารุมาแว้วเรียกข้าเหรอกวินทร์”
รุ่นน้องไม่สนใจคำถามของป้ายไม้แล้วออกคำสั่งทันที
“เท็งกิมารุกินการโจมตีนั่นให้ทีทำได้ใช่ไหม”
“อ๋อ ของอร่อยเลย”
ป้ายไม้พูดแบบนั้นแล้วตาของมันก็เรืองแสง
เกิดเสียงดัง ฟุ่บ
สายธารเพลิงที่ไหลเทกระจาดลงมาอันตรธานหายไปในพริบตา
“หักล้างท่าระดับนั้นได้จริงๆ
เหรอเนี่ย”
เมษามองรุ่นน้องด้วยสายตาทึ่ง
รู้สึกว่าไม่เจอกันแค่แปบเดียวกวินทร์ก็เหมือนจะเก่งนำหน้าเขาไปแล้ว
ความสามารถที่แทรกเข้าไปในการทดสอบได้นั่นขนาดซีลอร์ดที่อยู่ในกรงยังต้องพูดออกมา
“ให้ตายสิอุตส่าห์กันไม่ให้เข้ามายุ่งด้วยแล้วแท้ๆ
ก็เท็งกิมารุยังไม่ใช่ ออทิเกสซาร์ (Autigesar)
นี่นะเลยไม่มีสัญญาณเตือนให้รู้ว่าจะมา”
เจ้าป้ายไม้ประหลาดนั่นมีปฏิกิริยากับเสียงของซีลอร์ดมันหันไปทางที่ว่าทันทีแล้วส่งเสียงร้อง
“อ๋า~~ ออฟิอูคูมันนาร์นี่มันสถานการณ์แบบไหนกันเนี่ยกวินทร์”
“เอ่อ
เรื่องมันยาวน่ะแต่ว่า...”
กวินทร์พักเรื่องของเท็งกิมารุไว้แล้วหันไปที่กรงพลางตะโกน
“พี่ศร
เท็งกิมารุเหลืออีกสี่กิริยา ป้องกัน หลบหลีก ฟื้นฟู แล้วก็เสริมพลังครับ!”
อิงศรผงกหัวให้เห็นโดยไม่หันหน้ามา
คงจะมีแผนการในใจแล้ว
เมษาใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อจะตามสถานการณ์ให้ทัน
เจ้าป้ายไม้ที่ชื่อเท็งกิมารุนั่นอาจจะสามารถหักล้างกิริยาที่เกิดขึ้นได้เหมือนจะได้ยินแบบนั้นมา
เมื่อกี้ที่ทำให้ท่าของซีลอร์ดหายไปก็คือ
กิริยาโจมตีถ้าอย่างนั้นที่บอกว่าเหลืออีกสี่อย่างในนั้นก็จะมีการหลบหลีกกับการป้องซึ่งนั่นก็หมายความว่า
“จริงสินะถ้าใช้ไอ้หลักการที่ว่านี่การโจมตีต่อไปของเจ้าศรหมอนั่นก็หลบไม่ได้ป้องกันไม่ได้งั้นสิ”
เมษาทุบมือดังปึกยามที่นึกออก...
“ชาร์คชู้ต!!”
อิงศรก็ปลดปล่อยการโจมตีไปแล้ว
มวลน้ำฉลามพุ่งออกไปจากคันธนู แต่แส้ใบมีดก็เรียงกันเข้ามาเป็นเกราะให้ซีลอร์ด
แล้วในตอนนั้นเอง
“กินการป้องกัน”
ตาของเท็งกิมารุเรืองแสงแล้วแส้ใบมีดก็พากันกระจัดกระจายเหมือนกับสูญเสียการควบคุม
ฉลามจึงเข้าไปเกือบจะถึงตัวซีลอร์ด
“ต่อไปถ้าผมหลบก็คงจะโดนอยู่ดีสินะงั้นการป้องกันนั่นผมยกให้ส่วนการหลบหลีกเนี่ยผมขอรับไว้ก็แล้วกัน”
แล้วแส้ใบมีดที่กระจัดกระจายเหล่านั้นก็พุ่งเข้าไปหาอิงศร
ส่วนฉลามก็ถูกมือดาบแสงฟันทิ้งจนระเหยเป็นไอ
“แย่ล่ะ! เจ้าศรมันโดนย้อนศรซะแล้ว!”
เมษาตะโกน
ถึงจะเผลอพูดเหมือนกับเล่นคำอยู่ก็เถอะแต่ไม่มีใครมานั่งขำเอาในเวลาแบบนี้หรอกแล้วอิงศรก็ไม่ยอมหลบหลีกแส้พวกนั้นด้วย
“ฟูกัดฟันไว้แล้วหลบหมัดผมไปทางซ้ายนะ!”
จู่ๆ
เจ้าเด็กลูกครึ่งที่ชื่อมิกซ์ก็พูดขึ้นมาแบบนั้นแล้วเหวี่ยงกำปั้นใส่หน้าเพื่อน
คนเพื่อนก็เหมือนจะเข้าใจในทันที ดูจากสายตาที่ไม่มีความลังเลแถมยังตั้งการ์ดแขนเอาไว้แล้วโยกตัวหลบหมัด
ทันใดนั้นเองตัวของฟูที่เอี้ยวหลบไปแล้วก็เหมือนถูกดีดกลับมารับหมัดของมิกซ์
เสียงกระแทกดังปึก
กวินทร์ตะโกน
“หลบได้แล้วครับ!”
อิงศรวิ่งหนีแส้พวกนั้นหลบออกไปได้แบบฉิวเฉียดถึงแส้จะไล่ตามไปหลังจากนั้นก็ยังถูกเมอร์คาบาห์ฟันทิ้งได้
จากนั้นการต่อสู้ภายในกรงก็ยังดำเนินต่อไปโดยที่อิงศรเป็นฝ่ายไล่ตามและโดนทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ
ไม่ช้าคงได้ถึงขีดจำกัด หากแรงวิ่งหนีหมดเมื่อไหร่เกมก็จบ
พวกเด็กๆ
ที่อิงศรพามาเริ่มปรึกษากันเองแล้วว่าจะลองทำลายลูกกรงดูแล้วเริ่มระดมโจมตีไปที่จุดๆ
เดียวหวังจะให้มันกร่อนไปเอง
มันเป็นไปไม่ได้หรอก...เมษาคิดได้ตั้งแต่ตอนที่กำปั้นตัวเองสัมผัสกับกรงนี้ไปหนหนึ่งแล้วถึงตัวเองจะมีเลวเลน้อยที่สุดในกลุ่มนี้ก็ตามแต่ก็มีพลังของ
ซาโอก็อนเก็ง ที่เป็นเดม่อนแอพคอยเสริมพลังอยู่แต่ลูกกรงนั่นไม่มีแรงสะท้อนกลับออกมาเลยซักนิดเดียว
ราวกับว่ามันดูดซับแรงกระแทกเอาไว้ทั้งหมดรวมถึงความร้อนและความเย็นก็ทำอะไรไม่ได้เป็นปราการสมบูรณ์แบบไร้เทียมทานถ้าหากว่าจะมีอะไรทำลายมันได้ก็คงจะเป็นดาบของเมอร์คาบาห์ที่อิงศรเป็นผู้ครอบครองซึ่งใช้ตัดแส้ใบมีดที่เป็นวัตถุดิบสร้างกรงนี่ขึ้นมาได้
ทั้งที่น่าจะทำได้แต่ก็ไม่ทำ
อิงศรไม่เคยคิดจะตัดกรงแล้วหนีออกมาเลยซักครั้งเดียวมันต้องมีสาเหตุแน่คนหัวดีกว่าเขาอย่างอิงศรมีหรือจะไม่รู้เรื่องนี้
แล้วตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงเด็กที่ชื่อฟูพูดตะโกน
“พวกนายแบ่งให้ฉันตีบ้างเซ่ฉันก็อยากช่วยพี่ศรเหมือนกันนะ!”
เด็กคนนั้นแบกค้อนไปก็โวยวายไปด้วยแต่ไม่เข้าไปทุบกรงเพราะคนอื่นๆ
ที่มุงอยู่รอบบริวเณนั้นก็ปิดทางจนมิดไปแล้วหากเบียดกันกว่านี้จะทำให้โดนอาวุธของพวกเดียวกันได้
“ช่างแล้วเดี๋ยวฉันไปทางอื่นก็ได้”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็วิ่งอ้อมกรงไปอีกทางแล้วเริ่มทุบโดยที่ไม่มีใครห้าม
“สาเหตุคือเจ้าพวกนี้เองสินะ”
เมษาลองคาดเดาคำตอบเอาเอง
หากว่าเขาเป็นอิงศรแล้วล่ะก็การกันไม่ให้เจ้าพวกวู่วามเสียยิ่งกว่าตัวเขาเองอย่างเจ้าพวกนี้เข้าไปยุ่งในการต่อสู้ที่ทำให้คนคล่องแคล่วว่องไวอย่างอิงศรตายเอาๆ
เป็นว่าเล่นได้นั้นถือว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว
“ไม่ใช่ว่าทำลายไม่ได้แต่ไม่ยอมทำต่างหากสินะ”
กรงนั่นไม่ใช่แค่สิ่งที่มีไว้จองจำอิงศรแต่มีไว้ปกป้องพวกพ้องด้วยแม้แต่ในเวลานี้หมอนั่นก็ยังเอาแต่คิดถึงเรื่องของคนอื่น
“จะใจดีก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยเถอะ”
เมษาพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายถึงจะไม่ได้เกลียดการเลือกของอิงศรแต่ก็ยังรู้สึกว่ามันสุดโต่งเกินไปเหมือนกับจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใครเลยทั้งที่พลังของเมอร์คาบาห์ในตอนนี้
รวมไปถึงที่กวินทร์ช่วยเอาไว้เมื่อครู่
ก็เป็นผลมาจากความช่วยเหลือของพวกพ้องทั้งนั้น
เมษาเดาะลิ้น
“เชอะ
แบบนี้ก็เหมือนกันเลยสิฟระ”
เหมือนกับเขาที่จ้องจะฆ่าเพื่อนแต่กลับทำตรงกันข้ามถึงเจตนาจะต่างกันจนเหมือนฟ้ากับเหวก็ตามทีแต่เนื้อในแทบไม่ต่างกันจนน่าสะอิดสะเอียน
ตอนนั้นเองสายตาก็เหลือบไปเห็นการเคลื่อนไหวของซีลอร์ดชะงักไปครู่หนึ่ง
ทั้งที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วระดับที่เขาเองก็ตามไม่ทันแต่กลับมองเห้นช่วงหยุดชะงักนั่นจะๆ
กับตาได้มันจะต้องมีสาเหตุบางอย่าง
เมษาทอดสายตามองหาว่ามันเกิดอะไรขึ้นโดยจับตามองกลุ่มของพวกเด็กๆ
แต่ก็ไม่พบอะไรที่ผิดแปลก
“…”
เขาพยายามนึกว่าตอนที่เห็นซีลอร์ดชะงักไปนั้นกำลังหันหน้าไปทางไหนพอลองหันตามก็เห็นว่าฟูที่แยกไปกำลังทุบกรงเหล็กอยู่อีกฟาก
จะบอกว่าการทุบของเจ้าเด็กที่อ่อนกว่าเขาสองปีนั่นมีผลกับกรงที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานอย่างนั้นเหรอ?
ไม่สิ
น่าจะมีความเป้นไปได้อื่นมากกว่า
“หรือว่ากรงนั่นที่จริงแล้วไม่ได้แกร่งไปหมดทุกส่วน”
เป็นไปได้ว่าที่จริงก็แค่ทำให้กรงส่วนหนึ่งแข็งเป็นพิเศษเฉพาะตรงที่พวกเขากระจุกกันอยู่พอฟูย้ายไปทางอื่นเลยชะงักไปเพราะต้องเสริมพลังกรงเพิ่ม
ถึงจะแค่สันนิษฐานลอยๆ
แต่ก้คุ้มค่าที่จะลองเสี่ยง
บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่อิงศรจะชนะได้ก็ได้แต่ว่า...
“จะทำยังไงถึงจะบอกให้เจ้าศรมันรู้ได้ล่ะ”
แต่พอเมษาลองคิดต่อจากนั้นอีกก็ส่ายหน้า
ไม่ จะให้เจ้าศรรู้เรื่องนี้ไม่ได้ถ้ารู้ก็จะถูกอ่านใจ
“ชิ
ลองแบบนี้ก็ต้องหวังพึ่งเชาว์ปัญญาของหมอนั่นเองซะแล้วล่ะมั้ง”
พวกเขาร่วมต่อสู้กันมาก็มากเรื่องแค่นี้คงส่งไปถึงต้องลองเชื่อใจดู
‘ต้องเอาหัวอิงศรมาแลกกับมีนา’
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ลืมเรื่องนั้นไป
แล้วเขาซึ่งหมายหัวเพื่อนอยู่กลับบอกว่าจะเชื่อใจ
“ขัดแย้งกันชัดๆ”
เมษาสบถก่อนจะสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วผ่อนมันออกมา
จากนั้นก็ตะโกนเรียกพวกเด็กๆ
“ทุกคนฟังฉันหน่อย!”
@@@
“แฮก...แฮก...ชิ
นี่ก็ไม่ได้ผลเหรอ”
อิงศรคำรามออกมาหลังจากทุกอย่างที่มีออกไปซึ่งถูกปัดป้องเอาไว้ได้หมดทุกกระบวนท่า
ที่ยังเหลืออยู่ก็มีสกิลของเมอร์คาบาห์ที่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อใช้ออกไป
‘เมสไซอาบัสเตอร์’ ต้องใช้ยูนิทหนึ่งหน่วยเป็นค่าใช้งาน เป็นสกิลปีศาจที่แตกต่างจากที่ผ่านๆ
มาเพราะมีการระบุว่าต้องการยูนิทพลังงานด้วย
ที่ผ่านมาซีลอร์ดคอยจับตาดูเขามาตลอดดังนั้นจึงรู้ไส้รู้พุงเขาไปหมดแล้วว่ามีการโจมตีอะไรบ้างต่อสู้แบบไหนแถมยังถูกอ่านความคิดอีกจะมีก็แต่สกิลของเมอร์คาบาห์อันนี้ที่ทั้งเขากับซีลอร์ดยังไม่รู้จัก
“คิดจะใช้ไอ้นั่นเป็นไม้ตายสินะแต่ว่าเดิมพันกับของไม่รู้หัวรู้ก้อยแบบนั้นตั้งใจจะบอกผมว่ามันคือการก้าวเดินไปข้างหน้าเพราะเราไม่มีทางรู้หรอกว่าทางเดินนั้นมันผิดหรือถูกจนกว่าจะได้ลองอย่างนั้นสินะหรือว่านี่ก็คือความเป็นมนุษย์อย่างที่เธอบอกเหรอ”
“…”
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
ซีลอร์ดพูดแบบนั้นแล้วส่งแส้ใบมีดเข้ามา
“…”
ควรจะใช้เมอร์คาบาห์บุกเข้าไปเลยดีไหมนะ
ใช้เมสไซอาร์บัสเตอร์ตอนนี้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปเลย
“เมอร์คาบาห์!”
วินาทีที่คิดจะสั่งให้เมอร์คาบาหืใช้สกิลกรงที่อยู่ด้านหลังซีลอร์ดซึ่งอยู่ติดกับผนังก็เกิดระเบิดขึ้นมา
เศษซากปลิวกระจัดกระจาย
ฝุ่นควันลอยโขมงจนมองข้างในไม่เห็น
อย่างไรก็ตามซีลอร์ดชะงักไปแวบหนึ่ง
เพียงแค่แวบเดียวจริงๆ แส้เองก็พลอยชะงักตามไปด้วย
มีเสียงของเมษาดังออกมาจากกลุ่มควันนั่น
“ตอนนี้แหละ!”
อิงศรพยักหน้ารับคำพูดนั้นแล้วยื่นคันธนูที่มียูนิทลอยอยู่ลูกหนึ่งส่งให้เมอร์คาบาห์
“ใช้เมสไซอาร์บัสเตอร์”
ลูกไฟยูนิทลอยเข้าไปที่หน้าอกของเมอร์คาบาห์
เทวทูตลืมตาซึ่งปิดไว้มาตลอด ดวงตาสีทองเปล่งประกายราวกับแสงตะวัน
เมอร์คาบาห์จับใบมีดที่แขนชนกันแล้วผลักออกไป
ใบมีดที่กลายเป็นเหมือนเสี้ยวพระจันทร์พุ่งเข้าหาซีลอร์ด
ด้วยความเร็วกับระยะทางตอนนี้ไม่มีทางหลบได้
ดังนั้นแส้ใบมีดจึงพุ่งขึ้นมาจากใต้พื้นพยายามสกัดใบมีดนั้นไว้
แต่เพียงแค่สัมผัสแส้ก็สลายหายไปจนถึงปลาย
ซีลอร์ดที่เห็นแบบนั้นเข้าก็พึมพำออกมาด้วยความลิงโลดเล็กน้อย
“แบบนี้คงหลบไม่ได้สินะถ้างั้นผมจะรับมันไว้แล้วสะท้อนใส่เธอให้ตายด้วยการโจมตีของตัวเองนี่ถือเป็นการทดสอบสุดท้ายแล้ว
โทษทีนะศิวะผมคงต้องขอใช้พลังทั้งหมด”
แล้วไล่ให้เทพเจ้าที่อัญเชิญมากลับไป
มิหนำซ้ำยังคลายกรงทั้งหมดรวบรวมแส้ทุกเส้นที่มีมาขมวดรวมกันเป็นก้อนกลมขนาดกว่าตัวเองถึงห้าเท่า
เรียกได้ว่าเป็นโล่ที่กำบังได้มิดทั้งตัวเลยทีเดียวแต่ซีลอร์ดบอกว่าจะสะท้อนการโจมตีของเมอร์คาบาห์กลับมาดังนั้นคงไม่ใช่แค่โล่ธรรมดาๆ
ควรจะหลบออกจากทิศที่มีความเป็นไปได้ว่าจะสะท้อนกลับมา
แต่ทว่า...
‘ดาบของข้าสามารถสะบั้นสิ่งลวงหลอกได้ทุกอย่าง’
ก็มีเสียงแบบนั้นดังขึ้นมา
เสียงที่อิงศรได้ยินเพียงคนเดียว
เสียงของเมอร์คาบาห์
ก็ไม่รู้ทำไม แต่เขาอยากจะเชื่อในคำพูดนั้นและรู้สึกว่านี่จะเป็นโอกาสหนึ่งเดียวและสุดท้ายแล้วที่จะเอาชนะการทดสอบนี้ได้
จึงวิ่งออกไป
วิ่งเข้าไปหาซีลอร์ดที่อยู่หลังโล่ลูกโลกนั่น
“มวลความหนาแน่นของมันเทียบเท่าแผ่นทวีป
ไม่สิเท่ากับโลกทั้งใบ เธอจะจะสามารถฝ่าฟันบททดสอบนี้ไปได้รึเปล่าล่ะ”
ได้ยินเสียงท้าทายของซีลอร์ดดังมาจากเบื้องหลังของโล่นั่น
มันทำให้อิงศรยิ่งเร่งฝีเท้า
ทิ้งสิ่งของในมือไปทั้งหมดลดน้ำหนักตัวลงเพื่อเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นอีกเพียงเล็กน้อยก็ยังดี
ตอนนี้ต้องเร็วไว้ก่อน
โอกาสมีแค่ครั้งเดยีวคือหลังจากดาบของเมอร์คาบาห์สะบั้นโล่ที่มีความหนาแน่นเท่ากับโลกทั้งใบนั่น
มันจะต้องเป็นไปได้ไม่อย่างนั้นเขาก็ถูกดาบที่สะท้อนมาฟันตัวเองตาย
“ว้ากกก!!!”
อิงศรคำรามออกมาแล้วเร่งฝีเท้าจนไล่ตามดาบที่พุ่งนำออกไปก่อนได้ทัน
ดาบปะทะเข้ากับโล่ลูกโลก
สะบั้นมันทิ้งอย่างง่ายดาย โล่ทยอยสลายไป
ดาบวิ่งไปเกือบจะถึงหน้าของซีลอร์ดแต่ก็สูญเสียพลังที่ยึดจับไปกับการทำลายโล่จึงคลายออกจากกันเฉียดใบแก้มไปเพียงนิดเดียวแต่ยังไม่ทำให้เกิดแผล
แล้วตอนนั้นเอง
สายลมก็พัดมา
แล่นผ่านใบหน้าทำให้เส้นผมของผู้ถูกลืมเลือนปลิวอย่างพริ้วไหว
เสียงแห่งความพินาศดังก้อง
เสียงล่มสลายของยุคสมัยเก่า
เสียงกู่ร้องว่ามนุษย์จะมียุคสมัยเป็นของตัวเอง
“งั้นเหรอสายลมในวันนั้นกลายเป็นพายุลูกใหม่ไปแล้วสินะ”
ซีลอร์ดพึมพำออกมาอย่างจนแต้มและน้อมรับคำตอบของเขา
กำปั้นลอยเข้าไปกระแทกโหนกแก้มขวาอย่างจัง
เสียงน่ารังเกียจดังกร๊อบ
กระดูกมือแทบจะแหลกละเอียดรู้สึกเหมือนชกลงไปบนแท่งเหล็กหรืออะไรซักอย่างที่แข็งเอามากๆ
แต่อิงศรก็ไม่ได้หยุดใส่แรง
เมื่อรวมเข้ากับแรงส่งที่ได้จากการวิ่งมาด้วยความเร็วสูงสุด
ใบหน้าของซีลอร์ดก็หันไปตามแรกชก
มือของเขาก็พลอยบิดเบี้ยวผิดทิศผิดทางไปด้วย
เสียงดังกร๊อบๆ ลั่นออกมาไม่มีหยุด
เสียงของสายลมที่พัดผ่านไปในตอนนั้นคือ...
สายลมที่พัดพายุคสู่สมัยใหม่
***กลับบ้านมาพิมพ์เสร็จเอาเที่ยงคืน เมื่อวานเลยยังไม่อัพเพราะคิดว่าคนอ่านคงนอนหมดแล้วต้องขอโทษที่เลทเช่นเคยในวันเสาร์นะครับ TwT แต่จะกลับไปลงวันธรรมดางานก็รัดตัวเหลือเกิน สำหรับตอนนี้เป็นตอนจบ Act อารย-สนธยาที่แท้จริงเสียทีบอสคนสุดท้ายโดนจัดการลงแล้วนี่นะเลยแปะภาพเฉลยเงาที่ออกมาในปกภาคสองไว้ด้วยครับ และสำหรับภาคสองนี้ก็เดินทางมาถึง Act สุดท้ายแล้วคำตอบของอิงศรจะชี้นำหนทางในภาคสามกำลังจะเฉลยออกมาในตอนหน้ากันแล้ว รอชมในวันพุธนะคร้าบบ***
ความคิดเห็น