ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #150 : Login 147: มือสังหารคนสุดท้าย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 218
      7
      6 ก.ย. 60

    Login 147: มือสังหารคนสุดท้าย

     

                “ทีนี้พร้อมจะให้คำตอบกับผมรึยังล่ะอิงศร”

                ซีลอร์ดผู้ถูกลืมเลือนกล่าวเช่นนั้นขณะทอดสายตามองลงมา

                หมอนี่โผล่มาที่โลกฝั่งนี้ได้อย่างที่มีนาเคยเล่าให้ฟัง

                แต่นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเขาที่ได้เผชิญหน้ากับซีลอร์ดบนโลก

                แล้วหมอนั่นก็ช่วยจัดการพวกทูตสวรรค์ของเมตไตรยที่จู่ๆ ก็มาหาเรื่อง สังหารทิ้งอย่างง่ายดายด้วยลำแสงสีแดงที่เหมือนกับเคยเห็นจากในคลิปวิดีโอ ลำแสงแบบเดียวกับที่เครื่องทำสวนรูปม้าดีเซแมร์เคยใช้

                ว่าแต่

                “…”

                คำตอบเรื่องอะไร หมอนี่มาด้วยเหตุผลอะไรกันแน่

                อิงศรพยายามนึกว่าตนได้ให้สัญญาเรื่องคำตอบอะไรไว้แต่ก็นึกไม่ออก

                ตอนนั้นเอง กวินทร์ก็พูดแทรกเข้ามา

                “หยุดก่อนได้ไหมเนี่ยขอเวลาพวกเราทำใจหน่อยเถอะ พวกเราเพิ่งจะเสียเพื่อนไปเองนะ”

                น้ำเสียงนั้นยังแฝงความขุ่นเคืองเอาไว้

                กวินทร์เลือดขึ้นหน้าเพราะการตายของนรินทร์

                ตัวเขาเองก็เหมือนกัน รู้สึกว่าภายในหัวมีอารมณ์ที่คุกรุ่นกำลังได้ที่พร้อมจะระเบิดออกมาทุกเมื่อ

                “...”

                ซีลอร์ดเบนสายตาไปทางกวินทร์จากนั้นก็เหม่อมองมิ่งขวัญแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า

                “นี่เป็นครั้งแรกสินะที่เราได้มาพบกันในลักษณะนี้เหล่าผู้ถูกฟันเฟืองเลือก แต่ว่าด้วยเรื่องเพียงแค่นั้นก็จะหยุดก้าวเดินแล้วเหรอมนุษย์ที่ผมรู้จักไม่น่าจะอ่อนแอถึงขนาดนั้นนะ”

                “แกว่าเรื่องแค่นั้นเรอะ!”

                กวินทร์แผดเสียงอย่างเกรี้ยวกราดพลางยื่นดาบใส่

                “ไหนลองพูดอีกทีเด๊ะพ่อจะสับปากให้เป็นชิ้นเลย! พี่นรินทร์เป็นพวกพ้องคนสำคัญแต่กลับบอกว่าเรื่องแค่นั้นเหรอ แค่ไหนของ…”

                “ถ้าต้องการจะให้ผมคืนชีพให้เขาก็ได้นะ”

                “...แกกันห๊ะ! คืนชีพ? นี่พูดจริงเหรอ”

                ไม่ใช่แค่กวินทร์แต่คำพูดเมื่อครู่ของซีลอร์ดทำให้ทุกคนพากันตกตะลึง

                ซีลอร์ดพยักหน้าให้ราวกับจะรับรองคำพูดเพ้อเจ้อของตัวเอง

                ทั้งที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ว่า

                “ร่างทรงของวิศนุที่พวกเธอคร่ำครวญให้กันอยู่นั่นผมจะคืนชีพให้ก็ได้ถ้าหากว่าแสดงคำตอบให้ผมได้แล้วล่ะนะ”

                หมอนี่ซึ่งเคลมว่าตัวเองเป็นเกมมาสเตอร์ (GM) ของเกมโลกาวินาศยืนยันด้วยตัวเองบางทีอาจจะทำได้จริงๆ ก็ได้

                ทว่า มิ่งขวัญซึ่งนิ่งเงียบอยู่นานก็ตะหวาดว่า

                “อย่ามาพูดพล่อยๆ นะชุบชีวิตคนได้เรอะแกเป็นตัวอะไรกันแน่ ถ้าคิดว่าจะเอาเรื่องพรรค์นั้นมาหลอกพวกเรา…”

                แล้วชูหอกอัศวินทองคำขึ้นไป

                “ถ้าจะมาทำให้ศรต้องเจ็บปวดล่ะก็เตรียมใจไว้ได้เลย”

                “…”

                ซีลอร์ดไม่ได้พูดอะไรแต่เบนสายตาจากพวกเขาไปยังรูมิติที่นารายณ์ทำไว้แล้วจึงยื่นมือไปทางนั้น

                มีแส้ที่เหมือนใบมีดคัทเตอร์เรียงติดกันยื่นออกมาจากด้านหลังด้วยกันสี่เส้น แส้ใบมีดพุ่งไปที่บริเวณรอบรู โอบล้อมและเย็บมันติดกันจนรูมิติหายไป

                จากนั้นก็ส่งแส้ใบมีดเส้นหนึ่งพุ่งลงมาที่พวกเขา

                ความเร็วนั้นถึงขนาดที่ไม่มีใครทันขยับตัว วินาทีถัดมาก็มีเสียงตัดดังฉับ

                พวกเขาหันไปมองทิศที่แส้พุ่งลงมา

                แส้ได้ตัดเชือกที่มัดร่างโดโกบาร์และปลดปล่อยเด็กชายให้เป็นอิสระ

                “…”

                สถานการณ์เหมือนจะเกิดการปะทะขึ้นได้ทุกเมื่อ

                เครื่องทำสวนสองเครื่อง... หากอาละวาดขึ้นมาพวกเขาที่นี่คงไม่เหลือแม้แต่ซาก ในตอนนั้นเอง ซีลอร์ดก็พูดว่า

                “รู้สึกดีขึ้นทันทีเลยใช่ไหมโดโกบาร์”

                เด็กชายทำหน้าทึ่งเหมือนกับตกใจกับอะไรบางอย่าง หูสุนัขกระดิกขึ้นลงเหมือนกับจะบอกความรู้สึกเช่นนั้น

                “นี่หรือว่า…”

                แล้วพูดเปรยกับตัวเอง แต่ซีลอร์ดก็พูดขัด

                “อมฤตซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของพวกเราไหลตกลงมาที่โลกในปริมาณมากผ่านทางรูนั่น เท่านี้มนุษย์ก็เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวเพราะอมฤตทำให้กระบวนการเริ่มดำเนินไปอย่างก้าวกระโดด เห็นแบบนี้แล้วยังไม่คิดจะก้าวต่อไปข้างหน้าอีกเหรอเหล่าผู้อาศัยในสวนแห่งที่สองทั้งหลาย”

                เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนสำหรับมนุษย์… เพราะแบบนั้นก็เลยมาที่นี่อย่างนั้นสินะ

                เพราะร้อนใจว่าเวลาสำหรับมนุษย์อาจจะเหลือไม่พอถึงได้มาปรากฏตัวต่อหน้า…อิงศรคาดการณ์ไว้แบบนั้น

                ถ้าคิดว่าเรื่องที่จะชุบชีวิตให้นรินทร์เป็นข้ออ้างเพื่อผลักดันพวกเขาแล้วมันก็สมเหตุสมผลอยู่หรอกแต่ว่าหมอนี่จะทำได้จริงๆ น่ะเหรอ

                เท่าที่รู้มาซีลอร์ดน่าจะเป็นหนึ่งในเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์สิบสองเครื่อง

                เหล่าเครื่องจักรทำลายล้างของพระเจ้าที่มีไว้ถอนวัชพืชจะมีความสามารถคืนชีพให้มนุษย์ที่ต้องทำลายไปทำไมกัน

                แต่แล้ว กวินทร์ก็ช่วยโต้แย้งด้วยคำถามที่กำลังสงสัยให้

                “เรื่องคืนชีพนั่นน่ะพูดจริงเหรอ”

                แต่โดโกบาร์ก็ขัดด้วยคำตอบ

                “ที่พูดนั่นเป็นความจริง ถ้ามีร่างที่สมบูรณ์และเพิ่งตายได้ไม่นานอยู่ก็สามารถเรียกวิญญาณกลับมาได้

                “หมายความว่าคืนชีพให้พี่รินได้จริงๆ สินะ”

                มิกซ์โพล่งขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

                สีหน้าของทุกคนต่างก็มีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย

                “โดยปกติแล้วจะมีกฎห้ามไว้ล่ะนะแต่กรณีนี้คงเป็นข้อยกเว้นเพราะมันไม่ใช่การตายโดยธรรมชาติ”

                โดโกบาร์อธิบาย

                “…”

                ถ้าลองโดโกบาร์ที่ซื่อตรงต่อคำพูดตัวเองพูดถึงขนาดนั้นก็คงเชื่อถือได้

                อิงศรพยักหน้าให้ตัวเองแล้วแหงนหน้าขึ้นไปพูดกับซีลอร์ด

                “ถ้าตอบคำถามแล้วจะคืนชีพให้นรินทร์ใช่ไหม”

                “…”

                อีกฝ่ายไม่ได้ตอบมาในทันทีแต่กลับลดระดับลอยตัวลงมายืนบนพื้น

                ทันใดนั้น ไพ่อาคานาร์เดอะ เดธ ที่ตกอยู่บนพื้นข้างๆ ที่ซีลอร์ดลงมายืนก็ดีดตัวกระดอนพุ่งเข้าใส่อิงศร

                “…”

                เขารับมันไว้ด้วยมือขวา แล้วจู่ๆ ก็...

     

    อิงศร Lv.93 [/////12500:12500/////]

     

                พลังชีวิตฟื้นฟูกลับคืนมาจนเต็มแถมบาดแผลยังหายไปหมดรวมถึงเมอร์คาบาห์ที่ถูกเรียกออกมา

                ไม่ใช่ว่ามันหายไปเสียทีเดียว เขาพอจะรับรู้ได้ว่าเมอร์คาบาห์ถูกบังคับให้กลับไปเพื่อฟื้นฟูพลังจนเต็มแบบปัจจุบันทันด่วน เพราะรู้สึกได้ว่าร่างกายตัวเองก็ได้กำลังวังชากลับคืนมาจนอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมที่จะต่อสู้

                ”ผมน่ะไม่อยากฟังคำตอบที่เป็นไปไม่ได้ของคนอ่อนแอหรอก”

                “…”

                เข้าใจล่ะที่ฟื้นพลังให้เขาก็มีเป้าหมายแบบนี้สินะ

                อิงศรเดาะลิ้น

                “ชิ”

                หมอนี่อยากจะทดสอบเราก่อนจะรับฟังคำตอบ

                เขาเม้มริมฝีปากใบหน้าคร่ำเครียดแล้วตอบไปว่า

                “ถ้าอ่อนแอก็เป็นได้แค่คำพูดเพ้อเจ้องั้นสิ”

                “ก็อยู่ที่เธอจะยอมรับ”

                หมอนั่นยังคงตอบได้กวนโอ๊ยเหมือนเคย ท่าทางเหมือนไม่คิดจะรับผิดชอบคำพูดตัวเองนั่นปั่นหัวเขามาหลายต่อหลายครั้ง

                แม้แต่ในเวลาที่เสียเพื่อนไปแล้วคนหนึ่งเขาก็ยังทำอะไรหมอนี่ไม่ได้ การสูญเสียนรินทร์ไปไม่ได้ทำให้ก้าวข้ามอะไรไปได้เลย ตัวเขาก็เพียงแค่โกรธและโมโหตัวเองจนอยากจะระบายออกมา

                “งั้นถ้าโค่นแกได้ก็จะคืนชีพให้นรินทร์ได้สินะ”

                ถ้าอย่างนั้นขอระบายกับการทดสอบนี้คงได้สินะ

                ซีลอร์ดปรายยิ้มแล้วตอบคำถามอย่างเย็นใจแม้จะสังเกตท่าทีของเขาออกแล้วก็ตามที

                “ก็ขึ้นกับคำตอบของเธอด้วยล่ะแต่ก่อนหน้านั้นคงต้องโจมตีผมให้โดนก่อนถ้าทำร้ายผมได้แม้แต่ครั้งเดียวจะถือว่าเธอชนะแล้วผมจะรับฟังคำตอบของเธอ”

                “แล้วถ้าแพ้ล่ะ”

                “ก็คงต้องฆ่าเธอ...แล้วก็ถอนวัชพืชทั้งหมดออกไปจากสวนเพราะว่านั่นคือตัวตนของผมออร์ฟิอูคูมันนาร์เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์เครื่องที่สิบสาม”

                ดวงตาของอิงศรเบิกกว้าง เขาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ยินคำว่าเครื่องทำสวน ‘เครื่องที่สิบสาม’

                “แต่เครื่องทำสวนมีแค่สิบสองเครื่องไม่ใช่รึไง”

                แต่โดโกบาร์ก็พูดแทรก

                “สิบสามนั่นแหละถูกแล้ว”

                “หา?”

                “แต่ก็เป็นอดีตไปแล้วล่ะ พวกเราถูกสร้างขึ้นโดยโซลาริสเพื่อเป็นเครื่องมือควบคุมกฎระเบียบ ต่อมาซีอลร์ดก็ได้ย้ายไปสังกัดกับลูนาริสทำให้เหลือเครื่องทำสวนที่ปฏิบัติหน้าที่สิบสองเครื่อง ดังนั้นเจ้านั่นก็คือลำดับที่ไม่มีอยู่ ลำดับที่ศูนย์ออฟิอูคูมันนาร์...”

                ซีลอร์ดพูดขัดขึ้นมา

                “ช่วยพอแค่นั้นได้รึเปล่าโดโกบาร์นี่เป็นเรื่องที่ผมได้รับมอบหมายมาโดยตรงให้เฝ้าดูพวกเขาดังนั้นจะให้ข้อมูลอะไรก็ขอให้เป็นวิจารณญาณของผมคนเดียวก็พอ”

                โดโกบาร์พยักหน้า

                “ก็นั่นสินะ”

                “ขอบคุณนะโดโกบาร์”

                แล้วซีอร์ดก็หันมาพูดกับเขา ไม่สิกับทุกคนที่อยู่ตรงนี้มากกว่า สายตาของหมอนั่นทอดยาวไปถึงด้านหลังของกลุ่มพวกเขา

                “หลังจากนี้ไปมนุษย์จะต้องมีพลังมากกว่าที่ผ่านมาเพื่อจะผ่านบททดสอบหลังจากนี้ไปให้ได้ถ้าไม่สามารถโค่นผมออฟิอูคูมันนาร์ผู้นี้ลง มนุษย์ก็จะต้องจบอยู่แค่ตรงนี้แล้วผมก็จะทำลายวัชพืชทั้งหมด

                ดังนั้นที่นี่

                ตอนนี้นี่แหละ

                ผมจะเป็นมือสังหารคนสุดท้ายที่จะฆ่าเธอเอง”

                เป็นอย่างที่คิดซีลอร์ด หมอนี่...

                “สรุปว่านายมาท้าฉันสู้สินะ”

                “…”

                อิงศรเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายแล้วแม้จะไม่มีคำตอบออกมาก็ตาม

                “พวกนายถอยไป”

                เขาสั่งทุกคนแล้วเดินออกไปข้างหน้าแต่กลับถูกกวินทร์ดึงแขนเอาไว้

                “ไม่ไหวหรอกครับพี่ศรถ้าเจ้านั่นเป็นเครื่องทำสวนจริงสู้คนเดียวไม่ไหวแน่ๆ ให้พวกเราสู้ด้วยเถอะ”

                ถึงจะรวมพลังกันสู้ก็คงไม่ชนะหรอก พูดตามตรงแล้วตัวเขาเองก็ไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะทำได้ ต่อให้มีเงื่อนไขแค่โจมตีให้โดนครั้งเดียวก็ตาม

                ไม่ใช่แค่กวินทร์แม้แต่มิ่งขวัญก็ยัง

                “อย่างที่กวินทร์ว่านั่นแหละทางนั้นไม่ได้บอกให้สู้ตัวต่อตัวนี่”

                “ผมก็ไม่ได้ห้ามหรอกนะ”

                ซีลอร์ดที่อยู่อีกฟากยืนยันมาแบบนั้น

                “นั่นไง ถ้างั้นพวกเราช่วยกันรุมเถอะแบบนั้นต้องทำได้แน่ๆ ใช่ไหมพวกเรา”

                มิ่งขวัญหันไปขอแรงสนับสนุนจากทุกคนที่อยู่ด้านหลัง

                ถึงไม่ต้องหันไปมองก็พอเดาได้ว่าคำตอบเป็นอย่างไหน

                “…”

                ไม่มีเสียงพูดตอบทุกคนคงพยักหน้ารับเป้นเสียงเดียวกันหรือไม่ก็ส่งสัญญาณด้วยตา

                ‘เพ้อเจ้อ’ คำพูดที่ว่ารวมพลังกันเพื่อเอาชนะซีลอร์ดนั้นฟังยังไงตอนนี้ก็รู้สึกว่ามันเพ้อเจ้อจริงๆ นั่นแหละ

                อย่างที่ซีลอร์ดว่าคนอ่อนแอพูดอะไรก็เป็นไปไม่ได้แต่คนแข็งแกร่งต่อให้พูดเรื่องเพ้อฝันขนาดไหนมันก็ดูน่าเชื่อถือไปหมด

                ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เขาก็ยอมรับในข้อเท็จจริงของเรื่องนั้นอย่างช่วยไม่ได้

                “พวกนายอยู่ดูแลนรินทร์เถอะ”

                อิงศรกล่าวโดยที่รู้อยู่แล้วว่าทุกคนจะต้องปฏิเสธ

                มิ่งขวัญพูดแย้งมา

                “แต่ว่า…”

                “ที่หมอนั่นต้องการคือคำตอบของฉันถ้าไม่ได้ทำด้วยตัวเองมันก็ไม่มีความหมายแล้วก็ฉันมีเรื่องที่คิดเอาไว้แล้วอยากจะให้หมอนั่นยอมรับมันให้ได้ คำตอบของฉันน่ะ”

                อิงศรออกเดินต่อ ดึงแขนจนหลุดจากมือของกวินทร์

                “พี่ศร”

                เสียงของกวินทร์ดังมาแบบนั้น เขาไม่สนใจจะหันกลับไปอย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องที่ติดค้างกันไว้ตั้งแต่ตอนที่ซีลอร์ดเปิดเผยความจริงให้ฟัง

                ตั้งแต่ตอนนั้นหมอนี่คงกำหนดเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นเขาถ้าอย่างนั้น

                “แล้วฉันจะบอกคำตอบที่คิดให้ฟัง”

                พอเดินไปได้ครึ่งทางพวกมิ่งขวัญก็เหมือนจะไม่ยอมอยู่เฉยพยายามจะไล่ตามเขามา

                แต่แล้วกลับมีแส้ใบมีดทะลวงผ่านผิวดินขึ้นมาจากข้างล่างจำนวนเส้นนับไม่ถ้วน แส้แต่ละเส้นพันทับซ้อนกันกลายเป็นเสาเหล็กล้อมเป็นกรงขังเขากับซีลอร์ด

                พวกมิ่งขวัญถูกขวางด้วยกรงจนตามเข้ามาไม่ได้

                “ช่วยกันคนนอกไปให้แล้วนะ”

                ซีลอร์ดพูด

                “หนอยของแค่นี้เองเผาทิ้งซะก็หมดเรื่อง ไพโรเบลด!”

                กวินทร์ตวัดดาบที่ลุกโชนด้วยไฟฟันลงไปบนเสาลูกกรง เสียงโลหะแหลมสูงดังกังวาน

                ทุกคนข้างนอกต่างก็ช่วยกันทุบตีลูกกรงแต่ไม่ว่าจะทุบตีไปเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำให้ลูกกรงมีรอยขีดข่วนได้

                อาณาบริเวณที่กรงล้อมพวกเขาไว้นั้นน่าจะกินบริเวณกว้างไปถึงนอกพระเจดีย์เพราะมองเห็นส่วนบนของเสาต้นที่อยู่ด้านนอกลอยพ้นเพดานที่โดนเป่าทิ้งไป

                “ท้องฟ้าเหรอ”

                สายตาของอิงศรจับจ้องไปยังกลุ่มดาวสุกสกาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเบื้องหลังซีลอร์ด

                กลุ่มดาวซึ่งถูกประกาศเป็นจักรราศีที่สิบสามเมื่อไม่นานมานี้ก่อนที่โลกจะล่มสลาย

                รายละเอียดเกี่ยวกับกลุ่มดาวนั้นเขารู้ไม่ค่อยละเอียดนักแต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่กลุ่มดาวที่จะมองเห็นในช่วงฤดูนี้ รวมถึงเวลาเองก็น่าจะเข้าใกล้รุ่งสางแล้วแต่ดวงดาวยังคงส่องแสงสุกสกาว

                ว่ากันว่าในยุคสมัยแห่งเทพนิยาย นายแพทย์ผู้เก่งกาจคนหนึ่งซึ่งรักษาโรคได้ทั้งหมดจู่ๆ ก็ค้นพบวิธีที่จะทำให้มนุษย์เป็นอมตะ เทพซุสได้เกรงกลัวว่ามนุษย์ทั้งหมดจะกลายเป็นอมตะขึ้นมาก็เลยสังหารนายแพทย์คนนั้นแล้วเอาขึ้นไปประดับเป็นหมู่ดาวบนท้องฟ้า นั่นคือเรื่องเล่าปรัมปราที่บอกเล่าเกี่ยวกับกลุ่มดาวกลุ่มนี้

                กลุ่มดาวคนแบกงู ออร์ฟิอูคุส

                อิงศรมองซีลอร์ดแล้วพึมพำ

                “ออร์ฟิอูคูมันนาร์...”

                “เป็นอะไรไปเหรออิงศร”

                “นายเกี่ยวอะไรกับกลุ่มดาวคนแบกงูรึเปล่า”

                “นั่นสินะ ออฟิอูคุส ฮิวแมน สตาร์ ทั้งหมดนั่นมนุษย์ล้วนแต่กำหนดมันขึ้นมาเพราะเชื่อมต่อกับอาคาชิกเรคคอร์ดอย่างไม่ตั้งใจมนุษย์ถึงได้สร้างภาษาขึ้นมาใช้ติดต่อกันแล้วมันจะทำไมเหรอ”

                อีกฝ่ายพูดสิ่งที่น่าจะเป็นคำบอกใบ้เรื่องชื่อของเครื่องทำสวน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทำความเข้าใจทั้งหมดไม่ได้อยู่ดี

                “ช่างเถอะรู้ไปก็เสียเวลาเปล่าแล้วจะเริ่มกันรึยังล่ะ”

                อิงศรกระชับดาบกับคันธนูให้พร้อมตั้งรับหากว่าถูกลอบโจมตี

                แต่ถ้าโดนลอบโจมตีจริงๆ ด้วยฝีมือระดับเครื่องทำสวนคงโต้ตอบไม่ทันแล้วก็ถูกฆ่าตายเอาง่ายๆ อยู่ดี

                สรุปก็คือเปล่าประโยชน์

                การต่อสู้ที่แม้แต่ตัวเองยังจินตนาการชัยชนะออกมาไม่ได้

                ถ้าอย่างนั้นก็มีแต่ต้องแพ้

                “แต่ก็ต้องสู้เท่านั้น เอาล่ะนะ”

                อิงศรตั้งท่าสู้

                ซีลอร์ดยังคงยืนเฉยและพูดมาว่า

                “ระวังด้วยล่ะการท้าทายผมคราวนี้ไม่เหมือนสลาฟหรอกนะ”

                “เฮอะถ้าไม่ใช่เรื่องใช้ดวงยังไงฉันก็ไม่แพ้”

                “งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นช่วยแสดงความก้าวหน้านั้นให้ผมดูหน่อยเถอะ”

                “…”

                อิงศรหมุนดาบในมือซ้ายลงแล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งของมือข้างนั้นดึงสายดีดธนู หากเป็นคนปกติคงทำไม่ได้ แต่ไม่ใช่กับมนุษย์ที่อยู่รอดหลังจากโลกล่มสลาย

                เขาโก่งลูกธนูเพลิงที่ปรากฏออกมาตอนที่ดึงสายด้วยนิ้วแค่สองนิ้วแล้วแผลงมันออกไป

                ลูกธนูพุ่งตรงไปที่หน้าของซีลอร์ด...

                แต่แส้ใบมีดก็ตวัดมาจากด้านหลังของหมอนั่นเฉือนลูกธนูเพลิงขาดสะบั้น

                แส้ใบมีดอีกหลายเส้นตวัดออกมา

                หนึ่ง สอง สาม สี่เส้น เขายังใช้คันธนูกับดาบปัดป้องเอาไว้ได้ระหว่างที่วิ่งหนีไปรอบๆ

                ตอนทนี่วิ่งผ่านหน้าทุกคนที่นอกกรงก็ได้ยินเสียงให้กำลังใจดังมาไม่ขาดสาย

                “ศรอย่าแพ้นะ!”

                มิ่งขวัญกำลังเชียร์เขา

                ทำให้นึกถึงสมัยเด็กตอนที่เขาไปแข่งดาร์ท ระดับเขตแต่พ่อกับแม่ก็ไม่ได้มาดูเพราะติดไปดูมิ่งขวัญแข่งฟุตบอลในวันเดียวกัน

                ตัวเขาซึ่งไม่เคยได้รับเสียงเชียร์จากครอบครัวเพราะมิ่งขวัญเป็นต้นเหตุตอนนี้กำลังได้รับเสียงเชียร์จากหมอนี่ ช่างย้อนแย้งเสียเหลือเกิน

                “เมอร์คาบาห์!”

                ไม่รู้ทำไมแต่เสียงให้กำลังใจเหล่านั้นเหมือนกับจะกลายเป็นพลังให้

                ตอนนี้เริ่มจะจินตนาการหนทางสู่ชัยชนะออกมาได้ ดังนั้นจึงได้เรียกเมอร์คาบาห์ออกมา

                แต่ทว่า...

                “หืม? เรียกปีศาจออกมาแล้วเหรอสองรุมหนึ่งมันก็ไม่เท่าไหร่หรอกแต่ว่าผมอยากจะดูความตั้งใจของเธอให้แน่ชัดมากกว่าเพราะงั้นแล้ว”

                จู่ๆ ซีลอร์ดก็เริ่มจ้อน้ำท่วมทุ่ง สังหรณ์บอกว่าคงจะเตรียมทำอะไรให้เขาตกใจอยู่เป็นแน่

                หมอนั่นดีดนิ้วดังเป๊าะ

                “ช่วยหน่อยนะ ศิวะ”

                แล้วพื้นตรงหน้าก็เปล่งแสงเป็นวงเวทอาคม

                ปีศาจที่ผุดขึ้นมาจากที่นั่นเป็นชายร่างใหญ่ยักษ์สูงทะลุเพดานห้อง ผิวกายสีฟ้ามีงูเห่าพันไว้รอบคอเหมือนใช้ต่างผ้าพันคอ มีสี่แขนแต่ละข้างถือ สังข์ ตรีศูล กงจักร และกลองหนังดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นประเภทเทพเจ้าเหมือนกับนรินทร์นารายณ์

                “เฮ้ย! นี่นายก็เรียกปีศาจได้งั้นเรอะ”

                “ผมเป็นผู้รับใช้ของลูนาริสผู้ดำเนินจัดการปีศาจทั้งปวงถ้าจะใช้ได้เหมือนพวกเธอก็ไม่เห็นแปลกนี่ แต่ว่านะ”

                ซีลอร์ดเบือนสายตามองไปยังเทพเจ้าที่อัญเชิญออกมาเอง

                “เขามาที่นี่ในฐานะสหายของผม”

                แล้วโดยที่ไม่ได้ออกคำสั่ง ศิวะก็เริ่มโจมตีด้วยตัวเอง

                “เด็กหนุ่มแห่งยุคใหม่เอ๋ยเจ้าจะผ่านบททดสอบไปได้หรือไม่ลองรับ ปศุปตะ นี้ดูแล้วตัดสินใจเถิด”

                รู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบๆ ตรีศูลนั้นสั่นไหวบางทีอมฤตในอากาศอาจจะกำลังถูกดูดเข้าไปสะสมในนั้นเพราะมันเริ่มเปล่งแสงออกมา

                ศิวะขว้างตรีศูลตรงมาทางนี้ เกิดเสียงดึงกึกก้องกัมปนาทราวกับปืนใหญ่อย่างที่ไม่ควรจะเป็น

                “เมอร์คาบาห์!”

                อิงศรให้ปีศาจของตนออกไปรับตรีศูลที่ขว้างมา

                เมอร์คาบาห์ถูกตรีศูลระเบิดใส่ทันทีที่สัมผัสและโดนดีดจนกระเด็นไปข้างหลัง กระแทกถูกลูกกรงเสียงดังสนั่น

                “พลังอะไรกันเนี่ย”

                เมอร์คาบาห์ของเขาแทบจะหมดสภาพกองอยู่ตรงนั้นส่วนของหน้ากากปริร้าวและมีแตกกะเทาะออกมาบ้างแต่ยังพอสู้ได้อยู่

                พอคิดว่าจะให้เมอร์คาบาห์ลุกขึ้นมาก็กลับถูกศิวะเหยียบจมธรณีไป




                “ถ้าไม่ใช่เรื่องใช้ดวงก็เอาชนะผมได้สินะถ้างั้นก็ช่วยแสดงความตั้งใจที่จะก้าวต่อไปให้ผมเห็นทีเถอะ”

                ซีลอร์ดพูดแล้วบังคับแส้ให้แทงลงมาด้วยกันสี่เส้น ความเร็วต้างกับก่อนหน้าลิบลับ

                เร็วเกินไปจนหลบไม่ทันจะปัดป้องก็ยังทำได้ยาก

                “อึก”

                แส้แทงทะลุแขนทั้งสองข้าง ขาข้างหนึ่ง ตอนนี้เขาถูกตรึงเอาไว้ในเวลาที่ห่างกันเพียงเสี้ยววินาทีแส้เส้นสุดท้ายก็จะทะลวงใบหน้า

                แส้สามเส้นก่อนหน้าบิดตัวสะบัดเฉือนแขนกับขาจนขาดกระเด็น

                โลหิตพุ่งเป็นสายแต่ยังไม่ทันที่อิงศรจะกรีดร้องทรมานเพราะความเจ็บปวดแส้เส้นสุดท้ายก็

                “เอ้า หนึ่งครั้งแล้วนะ”

                ได้ยินซีลอร์ดพูดเปรยไว้แบบนั้นแล้ว…

                ทัศนวิสัยก็เปลี่ยนเป็นสีแดงไปชั่วพริบตาหนึ่งก่อนจะมืดสนิท

                แส้เส้นสุดท้ายทะลวงใบหน้าทะลุศีรษะ บดขยี้กะโหลก ทำลายสมอง

     

    อิงศร Lv.93 […..0:12500…..]

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×