คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #150 : Login 147: มือสังหารคนสุดท้าย
Login 147: มือสังหารคนสุดท้าย
“ทีนี้พร้อมจะให้คำตอบกับผมรึยังล่ะอิงศร”
ซีลอร์ดผู้ถูกลืมเลือนกล่าวเช่นนั้นขณะทอดสายตามองลงมา
หมอนี่โผล่มาที่โลกฝั่งนี้ได้อย่างที่มีนาเคยเล่าให้ฟัง
แต่นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเขาที่ได้เผชิญหน้ากับซีลอร์ดบนโลก
แล้วหมอนั่นก็ช่วยจัดการพวกทูตสวรรค์ของเมตไตรยที่จู่ๆ
ก็มาหาเรื่อง
สังหารทิ้งอย่างง่ายดายด้วยลำแสงสีแดงที่เหมือนกับเคยเห็นจากในคลิปวิดีโอ
ลำแสงแบบเดียวกับที่เครื่องทำสวนรูปม้าดีเซแมร์เคยใช้
ว่าแต่
“…”
คำตอบเรื่องอะไร
หมอนี่มาด้วยเหตุผลอะไรกันแน่
อิงศรพยายามนึกว่าตนได้ให้สัญญาเรื่องคำตอบอะไรไว้แต่ก็นึกไม่ออก
ตอนนั้นเอง
กวินทร์ก็พูดแทรกเข้ามา
“หยุดก่อนได้ไหมเนี่ยขอเวลาพวกเราทำใจหน่อยเถอะ
พวกเราเพิ่งจะเสียเพื่อนไปเองนะ”
น้ำเสียงนั้นยังแฝงความขุ่นเคืองเอาไว้
กวินทร์เลือดขึ้นหน้าเพราะการตายของนรินทร์
ตัวเขาเองก็เหมือนกัน
รู้สึกว่าภายในหัวมีอารมณ์ที่คุกรุ่นกำลังได้ที่พร้อมจะระเบิดออกมาทุกเมื่อ
“...”
ซีลอร์ดเบนสายตาไปทางกวินทร์จากนั้นก็เหม่อมองมิ่งขวัญแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า
“นี่เป็นครั้งแรกสินะที่เราได้มาพบกันในลักษณะนี้เหล่าผู้ถูกฟันเฟืองเลือก
แต่ว่าด้วยเรื่องเพียงแค่นั้นก็จะหยุดก้าวเดินแล้วเหรอมนุษย์ที่ผมรู้จักไม่น่าจะอ่อนแอถึงขนาดนั้นนะ”
“แกว่าเรื่องแค่นั้นเรอะ!”
กวินทร์แผดเสียงอย่างเกรี้ยวกราดพลางยื่นดาบใส่
“ไหนลองพูดอีกทีเด๊ะพ่อจะสับปากให้เป็นชิ้นเลย!
พี่นรินทร์เป็นพวกพ้องคนสำคัญแต่กลับบอกว่าเรื่องแค่นั้นเหรอ แค่ไหนของ…”
“ถ้าต้องการจะให้ผมคืนชีพให้เขาก็ได้นะ”
“...แกกันห๊ะ!
คืนชีพ? นี่พูดจริงเหรอ”
ไม่ใช่แค่กวินทร์แต่คำพูดเมื่อครู่ของซีลอร์ดทำให้ทุกคนพากันตกตะลึง
ซีลอร์ดพยักหน้าให้ราวกับจะรับรองคำพูดเพ้อเจ้อของตัวเอง
ทั้งที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้
แต่ว่า
“ร่างทรงของวิศนุที่พวกเธอคร่ำครวญให้กันอยู่นั่นผมจะคืนชีพให้ก็ได้ถ้าหากว่าแสดงคำตอบให้ผมได้แล้วล่ะนะ”
หมอนี่ซึ่งเคลมว่าตัวเองเป็นเกมมาสเตอร์
(GM) ของเกมโลกาวินาศยืนยันด้วยตัวเองบางทีอาจจะทำได้จริงๆ
ก็ได้
ทว่า
มิ่งขวัญซึ่งนิ่งเงียบอยู่นานก็ตะหวาดว่า
“อย่ามาพูดพล่อยๆ
นะชุบชีวิตคนได้เรอะแกเป็นตัวอะไรกันแน่
ถ้าคิดว่าจะเอาเรื่องพรรค์นั้นมาหลอกพวกเรา…”
แล้วชูหอกอัศวินทองคำขึ้นไป
“ถ้าจะมาทำให้ศรต้องเจ็บปวดล่ะก็เตรียมใจไว้ได้เลย”
“…”
ซีลอร์ดไม่ได้พูดอะไรแต่เบนสายตาจากพวกเขาไปยังรูมิติที่นารายณ์ทำไว้แล้วจึงยื่นมือไปทางนั้น
มีแส้ที่เหมือนใบมีดคัทเตอร์เรียงติดกันยื่นออกมาจากด้านหลังด้วยกันสี่เส้น
แส้ใบมีดพุ่งไปที่บริเวณรอบรู โอบล้อมและเย็บมันติดกันจนรูมิติหายไป
จากนั้นก็ส่งแส้ใบมีดเส้นหนึ่งพุ่งลงมาที่พวกเขา
ความเร็วนั้นถึงขนาดที่ไม่มีใครทันขยับตัว
วินาทีถัดมาก็มีเสียงตัดดังฉับ
พวกเขาหันไปมองทิศที่แส้พุ่งลงมา
แส้ได้ตัดเชือกที่มัดร่างโดโกบาร์และปลดปล่อยเด็กชายให้เป็นอิสระ
“…”
สถานการณ์เหมือนจะเกิดการปะทะขึ้นได้ทุกเมื่อ
เครื่องทำสวนสองเครื่อง...
หากอาละวาดขึ้นมาพวกเขาที่นี่คงไม่เหลือแม้แต่ซาก ในตอนนั้นเอง ซีลอร์ดก็พูดว่า
“รู้สึกดีขึ้นทันทีเลยใช่ไหมโดโกบาร์”
เด็กชายทำหน้าทึ่งเหมือนกับตกใจกับอะไรบางอย่าง
หูสุนัขกระดิกขึ้นลงเหมือนกับจะบอกความรู้สึกเช่นนั้น
“นี่หรือว่า…”
แล้วพูดเปรยกับตัวเอง
แต่ซีลอร์ดก็พูดขัด
“อมฤตซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของพวกเราไหลตกลงมาที่โลกในปริมาณมากผ่านทางรูนั่น
เท่านี้มนุษย์ก็เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวเพราะอมฤตทำให้กระบวนการเริ่มดำเนินไปอย่างก้าวกระโดด
เห็นแบบนี้แล้วยังไม่คิดจะก้าวต่อไปข้างหน้าอีกเหรอเหล่าผู้อาศัยในสวนแห่งที่สองทั้งหลาย”
เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนสำหรับมนุษย์…
เพราะแบบนั้นก็เลยมาที่นี่อย่างนั้นสินะ
เพราะร้อนใจว่าเวลาสำหรับมนุษย์อาจจะเหลือไม่พอถึงได้มาปรากฏตัวต่อหน้า…อิงศรคาดการณ์ไว้แบบนั้น
ถ้าคิดว่าเรื่องที่จะชุบชีวิตให้นรินทร์เป็นข้ออ้างเพื่อผลักดันพวกเขาแล้วมันก็สมเหตุสมผลอยู่หรอกแต่ว่าหมอนี่จะทำได้จริงๆ
น่ะเหรอ
เท่าที่รู้มาซีลอร์ดน่าจะเป็นหนึ่งในเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์สิบสองเครื่อง
เหล่าเครื่องจักรทำลายล้างของพระเจ้าที่มีไว้ถอนวัชพืชจะมีความสามารถคืนชีพให้มนุษย์ที่ต้องทำลายไปทำไมกัน
แต่แล้ว
กวินทร์ก็ช่วยโต้แย้งด้วยคำถามที่กำลังสงสัยให้
“เรื่องคืนชีพนั่นน่ะพูดจริงเหรอ”
แต่โดโกบาร์ก็ขัดด้วยคำตอบ
“ที่พูดนั่นเป็นความจริง
ถ้ามีร่างที่สมบูรณ์และเพิ่งตายได้ไม่นานอยู่ก็สามารถเรียกวิญญาณกลับมาได้
“หมายความว่าคืนชีพให้พี่รินได้จริงๆ
สินะ”
มิกซ์โพล่งขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
สีหน้าของทุกคนต่างก็มีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย
“โดยปกติแล้วจะมีกฎห้ามไว้ล่ะนะแต่กรณีนี้คงเป็นข้อยกเว้นเพราะมันไม่ใช่การตายโดยธรรมชาติ”
โดโกบาร์อธิบาย
“…”
ถ้าลองโดโกบาร์ที่ซื่อตรงต่อคำพูดตัวเองพูดถึงขนาดนั้นก็คงเชื่อถือได้
อิงศรพยักหน้าให้ตัวเองแล้วแหงนหน้าขึ้นไปพูดกับซีลอร์ด
“ถ้าตอบคำถามแล้วจะคืนชีพให้นรินทร์ใช่ไหม”
“…”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบมาในทันทีแต่กลับลดระดับลอยตัวลงมายืนบนพื้น
ทันใดนั้น
ไพ่อาคานาร์เดอะ เดธ ที่ตกอยู่บนพื้นข้างๆ
ที่ซีลอร์ดลงมายืนก็ดีดตัวกระดอนพุ่งเข้าใส่อิงศร
“…”
เขารับมันไว้ด้วยมือขวา
แล้วจู่ๆ ก็...
อิงศร Lv.93 [/////12500:12500/////]
พลังชีวิตฟื้นฟูกลับคืนมาจนเต็มแถมบาดแผลยังหายไปหมดรวมถึงเมอร์คาบาห์ที่ถูกเรียกออกมา
ไม่ใช่ว่ามันหายไปเสียทีเดียว
เขาพอจะรับรู้ได้ว่าเมอร์คาบาห์ถูกบังคับให้กลับไปเพื่อฟื้นฟูพลังจนเต็มแบบปัจจุบันทันด่วน
เพราะรู้สึกได้ว่าร่างกายตัวเองก็ได้กำลังวังชากลับคืนมาจนอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมที่จะต่อสู้
”ผมน่ะไม่อยากฟังคำตอบที่เป็นไปไม่ได้ของคนอ่อนแอหรอก”
“…”
เข้าใจล่ะที่ฟื้นพลังให้เขาก็มีเป้าหมายแบบนี้สินะ
อิงศรเดาะลิ้น
“ชิ”
หมอนี่อยากจะทดสอบเราก่อนจะรับฟังคำตอบ
เขาเม้มริมฝีปากใบหน้าคร่ำเครียดแล้วตอบไปว่า
“ถ้าอ่อนแอก็เป็นได้แค่คำพูดเพ้อเจ้องั้นสิ”
“ก็อยู่ที่เธอจะยอมรับ”
หมอนั่นยังคงตอบได้กวนโอ๊ยเหมือนเคย
ท่าทางเหมือนไม่คิดจะรับผิดชอบคำพูดตัวเองนั่นปั่นหัวเขามาหลายต่อหลายครั้ง
แม้แต่ในเวลาที่เสียเพื่อนไปแล้วคนหนึ่งเขาก็ยังทำอะไรหมอนี่ไม่ได้
การสูญเสียนรินทร์ไปไม่ได้ทำให้ก้าวข้ามอะไรไปได้เลย
ตัวเขาก็เพียงแค่โกรธและโมโหตัวเองจนอยากจะระบายออกมา
“งั้นถ้าโค่นแกได้ก็จะคืนชีพให้นรินทร์ได้สินะ”
ถ้าอย่างนั้นขอระบายกับการทดสอบนี้คงได้สินะ
ซีลอร์ดปรายยิ้มแล้วตอบคำถามอย่างเย็นใจแม้จะสังเกตท่าทีของเขาออกแล้วก็ตามที
“ก็ขึ้นกับคำตอบของเธอด้วยล่ะแต่ก่อนหน้านั้นคงต้องโจมตีผมให้โดนก่อนถ้าทำร้ายผมได้แม้แต่ครั้งเดียวจะถือว่าเธอชนะแล้วผมจะรับฟังคำตอบของเธอ”
“แล้วถ้าแพ้ล่ะ”
“ก็คงต้องฆ่าเธอ...แล้วก็ถอนวัชพืชทั้งหมดออกไปจากสวนเพราะว่านั่นคือตัวตนของผมออร์ฟิอูคูมันนาร์เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์เครื่องที่สิบสาม”
ดวงตาของอิงศรเบิกกว้าง
เขาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ยินคำว่าเครื่องทำสวน ‘เครื่องที่สิบสาม’
“แต่เครื่องทำสวนมีแค่สิบสองเครื่องไม่ใช่รึไง”
แต่โดโกบาร์ก็พูดแทรก
“สิบสามนั่นแหละถูกแล้ว”
“หา?”
“แต่ก็เป็นอดีตไปแล้วล่ะ
พวกเราถูกสร้างขึ้นโดยโซลาริสเพื่อเป็นเครื่องมือควบคุมกฎระเบียบ
ต่อมาซีอลร์ดก็ได้ย้ายไปสังกัดกับลูนาริสทำให้เหลือเครื่องทำสวนที่ปฏิบัติหน้าที่สิบสองเครื่อง
ดังนั้นเจ้านั่นก็คือลำดับที่ไม่มีอยู่ ลำดับที่ศูนย์ออฟิอูคูมันนาร์...”
ซีลอร์ดพูดขัดขึ้นมา
“ช่วยพอแค่นั้นได้รึเปล่าโดโกบาร์นี่เป็นเรื่องที่ผมได้รับมอบหมายมาโดยตรงให้เฝ้าดูพวกเขาดังนั้นจะให้ข้อมูลอะไรก็ขอให้เป็นวิจารณญาณของผมคนเดียวก็พอ”
โดโกบาร์พยักหน้า
“ก็นั่นสินะ”
“ขอบคุณนะโดโกบาร์”
แล้วซีอร์ดก็หันมาพูดกับเขา
ไม่สิกับทุกคนที่อยู่ตรงนี้มากกว่า สายตาของหมอนั่นทอดยาวไปถึงด้านหลังของกลุ่มพวกเขา
“หลังจากนี้ไปมนุษย์จะต้องมีพลังมากกว่าที่ผ่านมาเพื่อจะผ่านบททดสอบหลังจากนี้ไปให้ได้ถ้าไม่สามารถโค่นผมออฟิอูคูมันนาร์ผู้นี้ลง
มนุษย์ก็จะต้องจบอยู่แค่ตรงนี้แล้วผมก็จะทำลายวัชพืชทั้งหมด
ดังนั้นที่นี่
ตอนนี้นี่แหละ
ผมจะเป็นมือสังหารคนสุดท้ายที่จะฆ่าเธอเอง”
เป็นอย่างที่คิดซีลอร์ด
หมอนี่...
“สรุปว่านายมาท้าฉันสู้สินะ”
“…”
อิงศรเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายแล้วแม้จะไม่มีคำตอบออกมาก็ตาม
“พวกนายถอยไป”
เขาสั่งทุกคนแล้วเดินออกไปข้างหน้าแต่กลับถูกกวินทร์ดึงแขนเอาไว้
“ไม่ไหวหรอกครับพี่ศรถ้าเจ้านั่นเป็นเครื่องทำสวนจริงสู้คนเดียวไม่ไหวแน่ๆ
ให้พวกเราสู้ด้วยเถอะ”
ถึงจะรวมพลังกันสู้ก็คงไม่ชนะหรอก
พูดตามตรงแล้วตัวเขาเองก็ไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะทำได้
ต่อให้มีเงื่อนไขแค่โจมตีให้โดนครั้งเดียวก็ตาม
ไม่ใช่แค่กวินทร์แม้แต่มิ่งขวัญก็ยัง
“อย่างที่กวินทร์ว่านั่นแหละทางนั้นไม่ได้บอกให้สู้ตัวต่อตัวนี่”
“ผมก็ไม่ได้ห้ามหรอกนะ”
ซีลอร์ดที่อยู่อีกฟากยืนยันมาแบบนั้น
“นั่นไง
ถ้างั้นพวกเราช่วยกันรุมเถอะแบบนั้นต้องทำได้แน่ๆ ใช่ไหมพวกเรา”
มิ่งขวัญหันไปขอแรงสนับสนุนจากทุกคนที่อยู่ด้านหลัง
ถึงไม่ต้องหันไปมองก็พอเดาได้ว่าคำตอบเป็นอย่างไหน
“…”
ไม่มีเสียงพูดตอบทุกคนคงพยักหน้ารับเป้นเสียงเดียวกันหรือไม่ก็ส่งสัญญาณด้วยตา
‘เพ้อเจ้อ’
คำพูดที่ว่ารวมพลังกันเพื่อเอาชนะซีลอร์ดนั้นฟังยังไงตอนนี้ก็รู้สึกว่ามันเพ้อเจ้อจริงๆ
นั่นแหละ
อย่างที่ซีลอร์ดว่าคนอ่อนแอพูดอะไรก็เป็นไปไม่ได้แต่คนแข็งแกร่งต่อให้พูดเรื่องเพ้อฝันขนาดไหนมันก็ดูน่าเชื่อถือไปหมด
ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เขาก็ยอมรับในข้อเท็จจริงของเรื่องนั้นอย่างช่วยไม่ได้
“พวกนายอยู่ดูแลนรินทร์เถอะ”
อิงศรกล่าวโดยที่รู้อยู่แล้วว่าทุกคนจะต้องปฏิเสธ
มิ่งขวัญพูดแย้งมา
“แต่ว่า…”
“ที่หมอนั่นต้องการคือคำตอบของฉันถ้าไม่ได้ทำด้วยตัวเองมันก็ไม่มีความหมายแล้วก็ฉันมีเรื่องที่คิดเอาไว้แล้วอยากจะให้หมอนั่นยอมรับมันให้ได้
คำตอบของฉันน่ะ”
อิงศรออกเดินต่อ
ดึงแขนจนหลุดจากมือของกวินทร์
“พี่ศร”
เสียงของกวินทร์ดังมาแบบนั้น
เขาไม่สนใจจะหันกลับไปอย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องที่ติดค้างกันไว้ตั้งแต่ตอนที่ซีลอร์ดเปิดเผยความจริงให้ฟัง
ตั้งแต่ตอนนั้นหมอนี่คงกำหนดเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นเขาถ้าอย่างนั้น
“แล้วฉันจะบอกคำตอบที่คิดให้ฟัง”
พอเดินไปได้ครึ่งทางพวกมิ่งขวัญก็เหมือนจะไม่ยอมอยู่เฉยพยายามจะไล่ตามเขามา
แต่แล้วกลับมีแส้ใบมีดทะลวงผ่านผิวดินขึ้นมาจากข้างล่างจำนวนเส้นนับไม่ถ้วน
แส้แต่ละเส้นพันทับซ้อนกันกลายเป็นเสาเหล็กล้อมเป็นกรงขังเขากับซีลอร์ด
พวกมิ่งขวัญถูกขวางด้วยกรงจนตามเข้ามาไม่ได้
“ช่วยกันคนนอกไปให้แล้วนะ”
ซีลอร์ดพูด
“หนอยของแค่นี้เองเผาทิ้งซะก็หมดเรื่อง
ไพโรเบลด!”
กวินทร์ตวัดดาบที่ลุกโชนด้วยไฟฟันลงไปบนเสาลูกกรง
เสียงโลหะแหลมสูงดังกังวาน
ทุกคนข้างนอกต่างก็ช่วยกันทุบตีลูกกรงแต่ไม่ว่าจะทุบตีไปเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำให้ลูกกรงมีรอยขีดข่วนได้
อาณาบริเวณที่กรงล้อมพวกเขาไว้นั้นน่าจะกินบริเวณกว้างไปถึงนอกพระเจดีย์เพราะมองเห็นส่วนบนของเสาต้นที่อยู่ด้านนอกลอยพ้นเพดานที่โดนเป่าทิ้งไป
“ท้องฟ้าเหรอ”
สายตาของอิงศรจับจ้องไปยังกลุ่มดาวสุกสกาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเบื้องหลังซีลอร์ด
กลุ่มดาวซึ่งถูกประกาศเป็นจักรราศีที่สิบสามเมื่อไม่นานมานี้ก่อนที่โลกจะล่มสลาย
รายละเอียดเกี่ยวกับกลุ่มดาวนั้นเขารู้ไม่ค่อยละเอียดนักแต่ที่แน่ๆ
ไม่ใช่กลุ่มดาวที่จะมองเห็นในช่วงฤดูนี้
รวมถึงเวลาเองก็น่าจะเข้าใกล้รุ่งสางแล้วแต่ดวงดาวยังคงส่องแสงสุกสกาว
ว่ากันว่าในยุคสมัยแห่งเทพนิยาย
นายแพทย์ผู้เก่งกาจคนหนึ่งซึ่งรักษาโรคได้ทั้งหมดจู่ๆ
ก็ค้นพบวิธีที่จะทำให้มนุษย์เป็นอมตะ
เทพซุสได้เกรงกลัวว่ามนุษย์ทั้งหมดจะกลายเป็นอมตะขึ้นมาก็เลยสังหารนายแพทย์คนนั้นแล้วเอาขึ้นไปประดับเป็นหมู่ดาวบนท้องฟ้า
นั่นคือเรื่องเล่าปรัมปราที่บอกเล่าเกี่ยวกับกลุ่มดาวกลุ่มนี้
กลุ่มดาวคนแบกงู
ออร์ฟิอูคุส
อิงศรมองซีลอร์ดแล้วพึมพำ
“ออร์ฟิอูคูมันนาร์...”
“เป็นอะไรไปเหรออิงศร”
“นายเกี่ยวอะไรกับกลุ่มดาวคนแบกงูรึเปล่า”
“นั่นสินะ
ออฟิอูคุส ฮิวแมน สตาร์
ทั้งหมดนั่นมนุษย์ล้วนแต่กำหนดมันขึ้นมาเพราะเชื่อมต่อกับอาคาชิกเรคคอร์ดอย่างไม่ตั้งใจมนุษย์ถึงได้สร้างภาษาขึ้นมาใช้ติดต่อกันแล้วมันจะทำไมเหรอ”
อีกฝ่ายพูดสิ่งที่น่าจะเป็นคำบอกใบ้เรื่องชื่อของเครื่องทำสวน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทำความเข้าใจทั้งหมดไม่ได้อยู่ดี
“ช่างเถอะรู้ไปก็เสียเวลาเปล่าแล้วจะเริ่มกันรึยังล่ะ”
อิงศรกระชับดาบกับคันธนูให้พร้อมตั้งรับหากว่าถูกลอบโจมตี
แต่ถ้าโดนลอบโจมตีจริงๆ
ด้วยฝีมือระดับเครื่องทำสวนคงโต้ตอบไม่ทันแล้วก็ถูกฆ่าตายเอาง่ายๆ อยู่ดี
สรุปก็คือเปล่าประโยชน์
การต่อสู้ที่แม้แต่ตัวเองยังจินตนาการชัยชนะออกมาไม่ได้
ถ้าอย่างนั้นก็มีแต่ต้องแพ้
“แต่ก็ต้องสู้เท่านั้น
เอาล่ะนะ”
อิงศรตั้งท่าสู้
ซีลอร์ดยังคงยืนเฉยและพูดมาว่า
“ระวังด้วยล่ะการท้าทายผมคราวนี้ไม่เหมือนสลาฟหรอกนะ”
“เฮอะถ้าไม่ใช่เรื่องใช้ดวงยังไงฉันก็ไม่แพ้”
“งั้นเหรอ
ถ้าอย่างนั้นช่วยแสดงความก้าวหน้านั้นให้ผมดูหน่อยเถอะ”
“…”
อิงศรหมุนดาบในมือซ้ายลงแล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งของมือข้างนั้นดึงสายดีดธนู
หากเป็นคนปกติคงทำไม่ได้ แต่ไม่ใช่กับมนุษย์ที่อยู่รอดหลังจากโลกล่มสลาย
เขาโก่งลูกธนูเพลิงที่ปรากฏออกมาตอนที่ดึงสายด้วยนิ้วแค่สองนิ้วแล้วแผลงมันออกไป
ลูกธนูพุ่งตรงไปที่หน้าของซีลอร์ด...
แต่แส้ใบมีดก็ตวัดมาจากด้านหลังของหมอนั่นเฉือนลูกธนูเพลิงขาดสะบั้น
แส้ใบมีดอีกหลายเส้นตวัดออกมา
หนึ่ง
สอง สาม สี่เส้น เขายังใช้คันธนูกับดาบปัดป้องเอาไว้ได้ระหว่างที่วิ่งหนีไปรอบๆ
ตอนทนี่วิ่งผ่านหน้าทุกคนที่นอกกรงก็ได้ยินเสียงให้กำลังใจดังมาไม่ขาดสาย
“ศรอย่าแพ้นะ!”
มิ่งขวัญกำลังเชียร์เขา
ทำให้นึกถึงสมัยเด็กตอนที่เขาไปแข่งดาร์ท
ระดับเขตแต่พ่อกับแม่ก็ไม่ได้มาดูเพราะติดไปดูมิ่งขวัญแข่งฟุตบอลในวันเดียวกัน
ตัวเขาซึ่งไม่เคยได้รับเสียงเชียร์จากครอบครัวเพราะมิ่งขวัญเป็นต้นเหตุตอนนี้กำลังได้รับเสียงเชียร์จากหมอนี่
ช่างย้อนแย้งเสียเหลือเกิน
“เมอร์คาบาห์!”
ไม่รู้ทำไมแต่เสียงให้กำลังใจเหล่านั้นเหมือนกับจะกลายเป็นพลังให้
ตอนนี้เริ่มจะจินตนาการหนทางสู่ชัยชนะออกมาได้
ดังนั้นจึงได้เรียกเมอร์คาบาห์ออกมา
แต่ทว่า...
“หืม?
เรียกปีศาจออกมาแล้วเหรอสองรุมหนึ่งมันก็ไม่เท่าไหร่หรอกแต่ว่าผมอยากจะดูความตั้งใจของเธอให้แน่ชัดมากกว่าเพราะงั้นแล้ว”
จู่ๆ
ซีลอร์ดก็เริ่มจ้อน้ำท่วมทุ่ง สังหรณ์บอกว่าคงจะเตรียมทำอะไรให้เขาตกใจอยู่เป็นแน่
หมอนั่นดีดนิ้วดังเป๊าะ
“ช่วยหน่อยนะ
ศิวะ”
แล้วพื้นตรงหน้าก็เปล่งแสงเป็นวงเวทอาคม
ปีศาจที่ผุดขึ้นมาจากที่นั่นเป็นชายร่างใหญ่ยักษ์สูงทะลุเพดานห้อง
ผิวกายสีฟ้ามีงูเห่าพันไว้รอบคอเหมือนใช้ต่างผ้าพันคอ มีสี่แขนแต่ละข้างถือ สังข์
ตรีศูล กงจักร
และกลองหนังดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นประเภทเทพเจ้าเหมือนกับนรินทร์นารายณ์
“เฮ้ย!
นี่นายก็เรียกปีศาจได้งั้นเรอะ”
“ผมเป็นผู้รับใช้ของลูนาริสผู้ดำเนินจัดการปีศาจทั้งปวงถ้าจะใช้ได้เหมือนพวกเธอก็ไม่เห็นแปลกนี่
แต่ว่านะ”
ซีลอร์ดเบือนสายตามองไปยังเทพเจ้าที่อัญเชิญออกมาเอง
“เขามาที่นี่ในฐานะสหายของผม”
แล้วโดยที่ไม่ได้ออกคำสั่ง
ศิวะก็เริ่มโจมตีด้วยตัวเอง
“เด็กหนุ่มแห่งยุคใหม่เอ๋ยเจ้าจะผ่านบททดสอบไปได้หรือไม่ลองรับ
ปศุปตะ นี้ดูแล้วตัดสินใจเถิด”
รู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบๆ
ตรีศูลนั้นสั่นไหวบางทีอมฤตในอากาศอาจจะกำลังถูกดูดเข้าไปสะสมในนั้นเพราะมันเริ่มเปล่งแสงออกมา
ศิวะขว้างตรีศูลตรงมาทางนี้
เกิดเสียงดึงกึกก้องกัมปนาทราวกับปืนใหญ่อย่างที่ไม่ควรจะเป็น
“เมอร์คาบาห์!”
อิงศรให้ปีศาจของตนออกไปรับตรีศูลที่ขว้างมา
เมอร์คาบาห์ถูกตรีศูลระเบิดใส่ทันทีที่สัมผัสและโดนดีดจนกระเด็นไปข้างหลัง
กระแทกถูกลูกกรงเสียงดังสนั่น
“พลังอะไรกันเนี่ย”
เมอร์คาบาห์ของเขาแทบจะหมดสภาพกองอยู่ตรงนั้นส่วนของหน้ากากปริร้าวและมีแตกกะเทาะออกมาบ้างแต่ยังพอสู้ได้อยู่
พอคิดว่าจะให้เมอร์คาบาห์ลุกขึ้นมาก็กลับถูกศิวะเหยียบจมธรณีไป
“ถ้าไม่ใช่เรื่องใช้ดวงก็เอาชนะผมได้สินะถ้างั้นก็ช่วยแสดงความตั้งใจที่จะก้าวต่อไปให้ผมเห็นทีเถอะ”
ซีลอร์ดพูดแล้วบังคับแส้ให้แทงลงมาด้วยกันสี่เส้น
ความเร็วต้างกับก่อนหน้าลิบลับ
เร็วเกินไปจนหลบไม่ทันจะปัดป้องก็ยังทำได้ยาก
“อึก”
แส้แทงทะลุแขนทั้งสองข้าง
ขาข้างหนึ่ง
ตอนนี้เขาถูกตรึงเอาไว้ในเวลาที่ห่างกันเพียงเสี้ยววินาทีแส้เส้นสุดท้ายก็จะทะลวงใบหน้า
แส้สามเส้นก่อนหน้าบิดตัวสะบัดเฉือนแขนกับขาจนขาดกระเด็น
โลหิตพุ่งเป็นสายแต่ยังไม่ทันที่อิงศรจะกรีดร้องทรมานเพราะความเจ็บปวดแส้เส้นสุดท้ายก็
“เอ้า
หนึ่งครั้งแล้วนะ”
ได้ยินซีลอร์ดพูดเปรยไว้แบบนั้นแล้ว…
ทัศนวิสัยก็เปลี่ยนเป็นสีแดงไปชั่วพริบตาหนึ่งก่อนจะมืดสนิท
แส้เส้นสุดท้ายทะลวงใบหน้าทะลุศีรษะ
บดขยี้กะโหลก ทำลายสมอง
อิงศร Lv.93 […..0:12500…..]
ความคิดเห็น