คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #140 : Login 137: คนร้ายตัวจริง
**ประกาศแก้ไขสีของอาชาในตอนที่แล้วจาก
‘อาชาสีเขียวหม่นแห่งหายนะ’ เป็น ‘อาชาสีดำแห่งความอดอยาก’ และ ‘อาชาสีดำแห่งความตาย’ เป็น ‘อาชาสีซีดแห่งความตาย’ ครับ
(ตอนที่แล้วปั่นย่ำรุ่งเลยเมาๆ จำสีผิดไม่พอจำสิ่งที่เป็นตัวแทนผิดอีกตะหาก แง~~~)**
Login
137: คนร้ายตัวจริง
กวินทร์เป็นพี่ของมิ่งขวัญ…
ต้องใช้เวลาซักพักกว่าที่แฟรนเซียมจะตีความคำพูดของซีลอร์ดได้แล้วก็เกิดคำถาม
“จะเป็นงั้นได้ไงอิงศรกับมิ่งขวัญสองคนนั้นต่างหากที่เป็นพี่น้องกันกวินทร์แค่คนนอกไม่ใช่เรอะ”
แต่ซีลอร์ดยังคงยืนยันเช่นเดิม
“กวินทร์เป็นพี่ของมิ่งขวัญ”
“…”
หรือว่าจะเป็นแค่การเปรียบเปรยกันนะ?
หมอนี่ชอบพูดสองแง่สองง่ามจนชวนเข้าใจผิดอยู่เสมอถ้าอย่างนั้นสิ่งที่พูดมาอาจตะเป็นรหัสลับที่ต้องไขให้ออกถึงจะเข้าใจ
บางทีคงจะเกี่ยวข้องกับตำนานไหนซักเรื่อง
เจ้านั่นบอกว่า…
อาชาสีซีดคือพี่ชายที่คิดแค้นตัวน้องชายซึ่งได้รับความรักไปมากกว่าจึงได้ก่อคดีฆาตกรรมขึ้นเป็นครั้งแรกบนโลก
ความขัดแย้งระหว่างพี่น้องงั้นเรอะ
แต่ถ้าเชื่อมตรงนี้เข้ากับความเป็นอาชาสีแดงของมิ่งขวัญก็จะกลายเป็นว่าตรงกับคำพยากรณ์ที่ว่าอาชาสีแดงจะนำสงครามมา
เป็นผู้นำความขัดแย้งมา
แล้วท่อนที่เหลือต่อจากนั้นก็…
เป็นฆาตกรผู้นำพาซึ่งความตายมาสู่มวลมนุษย์อย่างแท้จริง
คืออาชาสีซีดที่นำพาความตายมาจึงเป็นฆาตกร
เป็นคนที่ฆ่าน้องชาย
เพราะความริษยา
เพราะนำพาสงครามมาสู่ตัวเอง
เพราะเป็นผู้นำพาความตายมา
แฟรนเซียมพยายามเชื่อมโยงสิ่งที่ซีลอร์ดพูดเข้ากับตำนานหรือเรื่องเล่าที่มีอยู่จนได้คำตอบ
มันมีเรื่องเล่าในไบเบิลอยู่เรื่องหนึ่ง
หลังจากอดัมกับอีฟถูกขับไล่ออกจากสวนสวรรค์
เรื่องเล่านั้นกล่าวถึงลูกชายสองคนของพวกเขา
พี่ชายคาอินและน้องชายอาเบล
ในวันหนึ่งพระเจ้าได้ตรัสให้สองพี่น้องนำของมาถวายแต่พระเจ้ากลับถูกใจเครื่องเซ่นของอาเบลมากกว่าคาอินที่เป็นพี่เลยอิจฉาน้องชายและลวงอาเบลผู้ใสซื่อคนนั้นไปฆ่าจนตาย
ถ้าอย่างนั้นที่หมอนี่พูดมา…
“นั่นมันอาเบลกับคาอินไม่ใช่เรอะ”
แล้วซีลอร์ดก็หัวเราะ
“พัฒนาขึ้นอีกแล้วนะทั้งที่เมื่อก่อนจะต้องทำหน้าไม่เข้าใจเรื่องที่ผมพูดไปแท้ๆ
แต่ทั้งที่รู้แล้วนายก็ยังจะทำแบบนั้นได้ลงคออีกเพราะว่านายคืออาชาสีเขียวหม่นผู้นำพาโรคระบาดและความยากจนมา
นายคือผู้ที่สร้างหายนะให้สวนแห่งนี้จนถึงคราล่มสลาย”
“นั่นมันเป็นเพราะพวกแกอย่ามาโยนความผิดกันสิ”
“ความผิดของผมงั้นเหรอ
แต่คนที่เข้าใจผิดว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อนรินทร์เป็นอาชาสีซีดแล้วฝืนทำเมอร์คาบาห์ต่อจนผิดพลาดกลายเป็นนำพาอมฤตลงมาที่โลกแทนคือพวกนายไม่ใช่เหรอ”
“คนที่ทำไม่ใช่ฉันซักหน่อย”
“แต่นายก็เข้าไปแทรกแซงการทดลองของอารย-สนธยานี่
นายนั่นแหละทำให้ผมต้องทุกข์ระทมที่ต้องเห็นมนุษย์ล้มตายไปมากมายเป็นอาชาสีดำมืดที่นำพาความหายนะมาสู่มวลมนุษย์เจ้าฆาตกรตัวจริง”
“นี่แกชูเรื่องอาเบลกับคาอินขึ้นมาเพราะนึกอยากจะหลอกด่าฉันรึไง”
“ไม่รู้สิ”
“…”
แฟรนเซียมจ้องมองซีลอร์ดแล้วก็ทำให้คิดขึ้นมาว่า
เจ้านี่ตั้งใจมาทำอะไรกันแน่
หมอนั่นอ่านความคิดได้ดังนั้นคงจะอ่านความคิดเมื่อครู่ไปแล้วถึงเริ่มเปิดปากพูด
“ออฟิอูคูมันนาร์นั่นคือนามแห่งเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกลืมเลือนไป
สิงห์ ไม่สิ แฟรนเซียมถ้านายยังจะล้ำเส้นมากไปกว่านี้…”
คำพูดข่มขู่แต่กลับไร้น้ำหนักเสียงจนไม่มีความน่ากลัวกลับกันมันเหมือนกับว่าหมอนี่
กำลังเศร้าใจ กำลังพยายามฝืนใจพูด
เพราะแบบนั้นถึงได้น่าขบขัน
น่าขำเกินไปแล้ว
แฟรนเซียมหัวเราะ
“ถ้างั้นก็ทำซะเลยสิเครื่องทำสวนอย่างแกคงทำได้ง่ายเหมือนบี้มดอยู่แล้วนี่”
พอพูดไปแบบนั้นซีลอร์ดก็ทำหน้าเศร้า
“ถ้าผมทำแบบนั้นมนุษย์ก็คงไร้ซึ่งตัวเลือก”
“เฮอะ
เห็นไหมเพราะอย่างนั้นแกถึงเป็นแค่ของที่ชำรุดแล้วยังไงล่ะ”
“แต่ว่านะแค่ตอนนี้เท่านั้น”
“…”
คำพูดนั้นออกมาพร้อมกับสีหน้าอันจริงจังมีน้ำหนักเสียง
แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายมั่นใจเป็นอย่างมาก
แฟรนเซียมกลืนน้ำลายดังเอือก
ขาของเขาก้าวถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่ง
เรื่องที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้
‘ถ้างั้นก็ทำซะเลยสิเครื่องทำสวนอย่างแกคงทำได้ง่ายเหมือนบี้มดอยู่แล้วนี่’
มันเป็นเรื่องจริง
หากต้องปะทะกันตรงๆ แล้วไม่มีทางเอาชนะได้
จนถึงตอนนี้แค่เครื่องทำสวนเครื่องเดียวยังไม่มีวิธีรับมือเลยด้วยซ้ำแล้วถ้าต้องสู้กับหมอนี่แล้วล่ะก็…
ซีลอร์ด
Z-Lord
Z จาก Zero
Z จาก Zodiac
นามนั้นมีความหมายว่าจ้าวแห่งเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์
เป็นผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดในหมู่เครื่องทำสวน
ไม่ถูกนับรวมอยู่ในสิบสองเครื่อง
ออฟิอูคูมันนาร์
คือลำดับที่ศูนย์จากทั้งหมดจึงถูกเรียกว่า ซีลอร์ด
ซีลอร์ดคนนั้นพูดว่า
“มนุษย์กำลังจะมีตัวเลือกอื่นนอกจากนาย
มีมนุษย์คนหนึ่งกำลังก้าวเดินอย่างสุดกำลังเพื่อหนีออกไปจากกรงแห่งโชคชะตา”
บางทีคนที่หมอนี่พูดถึงคงจะ…
“หมายถึงอิงศรเรอะ”
“…”
เพราะอีกฝ่ายไม่พูดแย้งจึงแปลว่าที่คาดเดานั้นถูก
หมอนี่กำลังจะบอกว่ามีคนอื่นให้ไปเกาะนอกจากเขาแล้วถ้ายังไม่คิดกลับใจก็จะถูกทิ้ง
แต่ก็เพราะคำพูดข่มขู่พรรค์นั้นแหละที่น่าขบขันยิ่งกว่าอะไร
แฟรนเซียมระเบิดเสียงหัวเราะราวกับเป็นบ้า
“ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า
ฮ่า ฮ่า”
“มีอะไรน่าขำขนาดนั้นเลยเหรอ”
“มันก็แหงอยู่แล้วสิ
มนุษย์มีตัวเลือกอื่นอย่างนั้นเหรอ
ถ้าตัวเลือกนั้นคืออิงศรแกก็คิดผิดแล้วหมอนั่นคือกุญแจไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรทั้งนั้นรวมถึงจะไม่ถูกใครเลือกไปด้วยเพราะหมอนั่นเป็นของๆ
ฉันโดยสมบูรณ์ยังไงล่ะ”
แต่ซีลอร์ดยิ้มให้คำพูดนั่น
“งั้นเหรอถ้าอย่างนั้น…”
เด็กหนุ่มหยุดคำพูดไว้แล้วหันหลังให้
“มนุษย์เหมาะสมจะได้มียุคสมัยเป็นของตัวเองรึเปล่า
ผมจะขอดูปลายทางที่มนุษย์จะเลือกต่อไปอีกซักหน่อยก็แล้วกัน”
เมื่อสิ้นสุดคำพูดจ้าวแห่งเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ก็หายตัวไป
แฟรนเซียมจ้องมองไปยังจุดที่แผ่นหลังนั้นหายวับไปราวกับอากาศธาตุ
“…”
มนุษย์เริ่มต้นอารยธรรมพร้อมกับแสงอาทิตย์ผู้เปรียบเสมือนพระเจ้า
จากนั้นมนุษย์ก็อาศัยแสงที่ตัวเองสร้างเพื่อหนีออกจากพระเจ้าแต่กระนั้นก็ไม่อาจขาดแสงอาทิตย์ได้
แต่แล้วเจ้านั่นก็ยังพูด…
มนุษย์เหมาะสมที่จะมียุคสมัยเป็นของตัวเองรึเปล่า
คำถามที่เหมือนกับเป็นคำเย้ยหยัน
คำถามที่บอกให้มนุษย์เลือกด้วยตัวเอง
หรือหมอนั่นก็แค่ต้องการคำตอบจากมนุษย์ที่ได้ตั้งความหวังไว้กันแน่
“แกเองก็เป็นเครื่องทำสวนนะอย่าลืมเรื่องนั้นซะล่ะ”
แฟรนเซียมลองพึมพำแบบนั้นดู
แล้วก็....
ครั้งหนึ่ง
สิงห์ ธุวดารกะ เคยเป็นมนุษย์
ในอดีตกาลเคยเป็นบุตรแห่งแสง
แล้วตอนนี้ก็เป็นเทวะ
ผู้ปรารถนาจะแก้ไขโลกที่บิดเบี้ยวใบนี้
“…”
แฟรนเซียมยืนเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พึมพำออกมาอีก
“มิ่งขวัญกับกวินทร์เป็นพี่น้องกัน...หมายความว่ายังไง”
สรุปแล้วก็ยังไม่เข้าใจเหตุผลที่หมอนั่นมาที่นี่อยู่ดี
.....
“หา!
อยากให้เป็นคู่มือให้?”
มิ่งขวัญส่งเสียงดังขึ้นมา
อิงศรจึงเบนสายตาไปยังน้องชายซึ่งกำลังสนทนากับกวินทร์
ที่นั่นพวกเขาเพิ่งเลิกประชุมกันและใช้เวลาไปกับการเตรียมตัวเพื่อไปต่อสู้จึงนั่งจัดสกิลและจับคู่กันทดลองพลังและลับฝีมือให้พร้อมไว้เสมอ
เนื่องจากการประชุมไม่คืบหน้าท้ายที่สุดก็ไม่ได้คำตอบว่าทำไมทูตสวรรค์ถึงร่วมมือกับมนุษย์ขัดขวางพวกต่างดาว
ได้คำถามไร้คำตอบเพิ่มพูนมาอีกแล้ว
ข้อสรุปของการประชุมจึงกลายเป็นการหารือว่าจะไปช่วยนรินทร์แล้วก็ทำลายอารย-สนทยา
ซึ่งฐานที่มั่นสำคัญคือเจดีย์ในตอนแรกที่มาถึงที่นี่
สถานที่ซึ่งพวกเขาถูกแยกจนกระจัดกระจายไปกันคนละทางแล้วบางทีที่นั่นก็อาจจะมีนรินทร์อยู่
ดังนั้นพวกเขาจะบุกไปโจมตีที่นั่น
“…”
น้องชายกับรุ่นน้องดูจะสนิทกันอย่างน่าประหลาด
“ถ้าลำบากก็ไม่เป็นไรแค่ลองถามดูน่ะ”
กวินทร์พูดพลางทำหน้าเกรงใจหรือควรจะเรียกว่าเกรงกลัวกันดีนะ
“…”
กับพวกเด็กกำพร้าที่รู้จักเหมือนเป็นครอบครัวนั้นก็ว่าไปอย่างเพราะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแล้วถึงจะกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวก็คงไม่รู้สึกแตกต่างซักเท่าไหร่แต่กรณีของกวินทร์หรือคนอื่นที่ไม่ได้เป็นแบบนั้นถ้าจะหวาดกลัวอยู่บ้างก็ไม่แปลก
ก็มนุษย์ต่างดาวปกครองโลกมาถึงสี่ปีแล้วนี่นะ
มิ่งขวัญที่กอดแขนตัวเองชักสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย
แค่เล็กน้อยเท่านั้น
ไม่ได้โกรธเคืองอะไรน่าจะเรียกว่าหงุดหงิดกับท่าทีของกวินทร์เสียมากกว่า
“ก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ทำซักหน่อยกลัวอะไรของนายเนี่ย”
มิ่งขวัญคลายแขนที่กอดไว้ออกแล้วคว้าคอเสื้อกวินทร์ดึงจนใบหน้าอีกฝ่ายเข้าไปแทบจะติดกัน
”เพราะฉันเป็นมนุษย์ต่างดาวใช่ไหม”
แล้วถามออกไปแบบนั้น
กวินทร์ทำหน้าลำบากใจแต่ก็สบตากับมิ่งขวัญอย่างตรงไปตรงมา
“เปล่านะ
คือ...ไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอกแต่ว่าไหนๆ แล้วก็ออมมือด้วยล่ะ”
“…”
มิ่งขวัญผลักกวินทร์จนเซถอยหลังไปสามก้าวจากนั้นก็ชักเรเปียออกมาแล้วยกโล่ในมือซ้ายตั้งท่าเตรียมสู้
กวินทร์เข้าใจในทันทีว่าอีกฝ่ายยอมรับคำขอแล้วจึงคลี่ยิ้มแล้วชักดาบที่สะพายหลังไว้แยกมันออกเป็นสองเล่ม
ทั้งคู่ประดาบกัน...สิบวินาทีต่อมาก็รู้ผล
ดาบของกวินทร์ถูกปัดจนกระเด็นหลุดมือไปทั้งสองเล่มการประลองเลยจบแค่นั้น
แต่ก็เป็นสิบวินาทีที่น่าตกใจอยู่เหมือนกัน
กวินทร์ Lv.75 [/////10200:10200////]
มิ่งขวัญ Lv.102 [/////25000:25000/////]
เพราะระดับเลเวลห่างกันเกือบสามสิบขั้นแถมมิ่งขวัญยังเป็นมนุษย์ต่างดาวชั้นครูที่ข้ามขีดจำกัดจนตอนนี้มีพลังเป็นสิบสองเท่าของมนุษย์ปกติแต่ก็ยังต้านไว้ได้ถึงสิบวินาที
ว่ากันตามตรงฝีมือระดับกวินทร์น่าจะจอดตั้งแต่วินาทีที่ห้าด้วยซ้ำ
“เพราะเฟืองกับอาคานาร์เรอะ”
อิงศรได้แต่เดาสุ่มแบบนั้น
ถึงอย่างไรมนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการเหตุผลมารองรับอยู่เสมอ
ถ้าอย่างนั้นเหตุผลที่กวินทร์ต้านทานพลังระดับมนุษย์ต่างดาวชั้นครูที่ข้ามขีดจำกัดแล้วก็คือ..
“หมอนี่เก่งขึ้นงั้นสิ”
พอเป็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกเครื่องร้อนขึ้นมาเล็กน้อย
ได้เห็นพวกน้องเล็กฝีมือพัฒนาขึ้นตนเองก็เลยอยาจะรู้ว่าฝีมือตัวเองจะทัดเทียมหรือว่ายังเหนือกว่ากันแน่
มันมีความรู้สึกแบบนั้นคุกรุ่นอยู่ลึกๆ ภายในใจ
“…”
อิงศรย้ายมือไปวางบนดาบที่เอวขณะที่อีกมือก็ยังแตะเพื่อลากไอคอนสกิลบนหน้าจอติดตั้งใส่ตัวเองไปด้วย
อิงศร Lv.93 [/////12500:12500/////]
เพราะเลเวลที่เพิ่มขึ้นมาทำให้ขีดความสามารถกับข้อจำกัดของสกิลเปลี่ยนไป
มันสามารถเพิ่มอานุภาพได้มากกว่าแต่ก่อนจึงต้องเริ่มจัดการกันใหม่เกือบจะทั้งหมด
ที่ผ่านมาเคยจัดชุดสกิลเน้นต่อสู้ระยะไกลเป็นหลัก
ทั้งชุดสกิลสาย
‘Hunter’ ที่เน้นการประยุกต์กับทริควางกับดักก็ดี
หรือ สาย ‘Mystic
Shooter’ ที่เน้นจู่โจมด้วยลูกศรเวทมนต์ที่มีขอบเขตทำลายกว้างก็ดี
แต่ตัวเขาไม่ได้มีแค่ฝีมือด้านเล็งยิงเพียงอย่างเดียว
การต่อสู้ประชิดตัวด้วยดาบก็เป็นสิ่งที่ทำได้อย่างช่ำชองเกือบจะพอๆ
กัน
แม้แต่ในศึกที่ผ่านๆ
มาหากไม่มีทักษะนี้อยู่กับตัวเขาคงจะตายไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว
“เพราะศัตรูที่บุกเข้ามาประชิดตัวได้ง่ายๆ
มันมีเยอะไปน่ะสิ”
ดังนั้นการจัดสกิลครั้งนี้จึงคิดที่จะรวมการต่อสู้ระยะประชิดเข้าไปด้วย
พอลองประเมินการต่อสู้ที่ผ่านมาแล้วตำแหน่งของตัวเองไม่ค่อยมีความแน่นอนหรือตายตัวเพราะมักจะมีเหตุให้ต้องขยับขึ้นไปช่วยคนข้างหน้าอยู่บ่อยครั้ง
เพราะตนใจดีเกินกว่าจะทนดูพวกพ้องถูกฆ่านั่นเอง
“…”
และแล้ว
ก็จัดชุดสกิลใหม่เสร็จเรียบร้อยเหลือก็แค่ทดลองนำไปใช้กับปรับปรุงอีกสักครั้งน่าจะเพียงพอนำไปสู้จริงได้
ตอนนั้นเอง
“พี่ศรครับช่วยเป็นคู่มือให้หน่อยได้รึเปล่า”
จู่ๆ
กวินทร์ก็เสนอหน้าเข้ามาถาม
ถึงจะกะทันหันไปหน่อยแต่จังหวะก็พอดีเลย
“ถ้าโดนอัดขึ้นมาอย่าร้องไห้ก็แล้วกัน”
อิงศรยิ้มระหว่างที่พูดแล้วเดินห่างออกไปเพื่อวางระยะที่จะประลอง
“เอ่อ
ถ้ายังไงช่วยออมมือหน่อยก็ดีนะครับเมื่อกี้ยังระบมอยู่นิดๆ เลย”
กวินทร์พูดพลางใช้มือลูบบริเวณหลังที่กระแทกตอนโดนมิ่งขวัญปราบจนเสียหลักล้มลงไป
“งั้นอันนี้นายก็ระวังหน่อยล่ะเพราะแบทเทิลเรนเจอร์ที่ฉันบิลด์คราวนี้เป็นแบบต่อสู้ประชิดตัว”
ว่าแล้วอิงศรก็ชักดาบที่เอวออกมาแล้วจับธนูซึ่งติดตั้งมีดสี่เล่มเอาไว้พลางกางแขนออกตั้งเป็นท่าร่างสำหรับต่อสู้เหมือนกับท่าจับดาบ
“แบทเทิลเรนเจอร์เนี่ยคือสายต่อสู้ประชิดตัวของเรนเจอร์ที่ใช่ธนูเป็นอาวุธสินะครับ”
กวินทร์พูดพร้อมกับตั้งท่าสู้
ท่าร่างของพวกเขาแทบจะเหมือนกันเพราะถืออาวุธสำหรับฟาดฟันถึงสองอย่าง
ใช่แล้ว
ธนูนี่ไม่ได้มีไว้ยิงแต่มีไว้เพื่อฟาดฟันต่างดาบดีๆ นี่เอง
ดังนั้นจึงต้องใช้ธนูที่มีลักษณะพิเศษ
คันจับต้องทำจากเหล็กที่แข็งทนทานและมีใบมีดหรือมีดติดอยู่บนคันจับเป็นลักษณะเฉพาะของอาวุธที่เรียกว่า
‘Battle Bow’ และนั่นก็คือที่มาของชื่อสาย
แบทเทิลเรนเจอร์
การประลองเริ่มขึ้น
กวินทร์วางดาบไขว้กันไว้ด้านหน้าแล้วบุกเข้ามาตรงๆ
เป็นท่าฟันแบบกรรไกร
อิงศรหมุนข้อมือหันดาบสั้นลงแล้วใช้มันขัดตรงกลางจุดที่ดาบไขว้กัน
แต่นั่นเป็นแผน...
กวินทร์ดึงดาบเข้าหาตัวเองทำให้เกิดช่องว่างตรงจุดที่ดาบเคยขัดกันอยู่แล้วตวัดดาบพร้อมทั้งท่านั้นโดยเบนปลายดาบลงข้างล่างหวังตัดขาให้ขาด
อิงศรมองออกอยู่ก่อน
จึงหลบโดยถีบตัวกระดอนขึ้นไปแล้วตวัดคันธนูที่มีมีดติดเอาไว้สี่เล่มลงมา
หากฟันถูกจะสร้างบาดแผลสาหัสที่มีโอกาสแผลฉีกเพิ่มซึ่งจะทำให้พลังชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่องไปในตัว
แน่นอนว่าถ้าเป็นแบบนั้นกวินทร์ก็จะต้องเจ็บหนักไปด้วยซึ่งเขาควรจะยั้งมือ...
“อ้าว
จะไปไหนน่ะ”
กวินทร์ที่น่าจะหยุดไปแล้วเพราะโจมตีพลาดกลับพุ่งตัวต่อไปข้างหน้าโดยไม่สนใจอิงศรที่กระโดดหลบซึ่งปกติแล้วไม่น่าจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะหลบขึ้นด้านบนอีกอย่างถ้าเขายังอยู่บนพื้นคงแทงดาบสวนกลับท่าร่างที่มีแต่ช่องโหว่นั่นแล้วกวินทร์ก็จะถูกฆ่า
ดังนั้นหมอนี่จึงโชคดีที่คู่ต่อสู้เป็นเขาซึ่งตัดสินใจกระโดดหลบแล้วจู่โจมจากด้านบนซึ่งหวังผลได้มากที่สุด
ก็อยากจะพูดแบบนั้นอยู่...
“พี่ศรขอใช้สกิลนะครับ”
กวินทร์พูดแบบนั้นแล้วหมุนตัวกลับพร้อมกับไขว้ดาบประสานกันและทั้งที่เขายังไม่ตอบรับข้อเสนอเลยรุ่นน้องก็
“ดราโกนิคเบลด (Dragonic Blade)”
ร่ายสกิลเสริมพลังให้ดาบไปซะก่อน
พลังที่เสริมลงไปนั้นคือธาตุแห่งมังกรซึ่งมองเห็นเพลิงไฟสีเขียวมรกตห่อหุ้มใบดาบแล้วเมื่อกวินทร์ตวัดดาบออกจากที่ไขว้กันไว้เพลิงไฟนั้นก็จับตัวแข็งเป็นผลึกสีเขียวใสรูปทรงเรียวแหลมดูคล้ายหินงอกหินย้อย
แทนที่จะเรียกว่า
‘เบลด’ มันดูเหมือนกับ
‘เรเปีย’ ซะมากกว่าแต่ว่ามีความยาวเป็นสองเท่าดูแล้วน่าจะกวัดแกว่งได้ยาก
แต่กวินทร์ก็ยังกวัดแกว่งมันอย่างคล่องแคล่วแล้วบุกโจมตีเข้ามาอีก
อิงศรเพิ่งจะลงพื้นแล้วยืนขึ้นได้เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนก็ต้องพลิกตัวพร้อมกับดันทั้งธนูทั้งดาบออกไปต้านรับดาบของกวินทร์
แรงแขนเกือบจะสู้ไม่ได้เพราะอีกฝ่ายเป็นอาชีพที่มีพละกำลังมากกว่าแขนของอิงศรจึงถูกดันกลับจนกระทั่งกวินทร์เข้ามาใกล้มากพอก็ปล่อยลูกถีบใส่ท้อง
“อัก”
อิงศรกระเด็นไถลไปกับพื้นราวสองถึงสามก้าวก่อนจะหยุดและเพราะฝืนเค้นแรงขาเพื่อไม่ให้หงายหลังไปตอนที่ไถลจึงทำให้เสียสมดุลจนเข่าข้างขวาทรุด
“ย้าก!!”
กวินทร์ประชิดเข้าในตอนนั้นแล้วเงื้อดาบ
ดาบหินงอกที่เสริมความแข็งแรงด้วยพลังของมังกรถึงไม่มีคมแต่ถ้าโดนฟาดเต็มแรงคงถึงกับสลบได้
ดังนั้นในเมื่อเสียหลักจนจะล้มทั้งยืนอยู่แล้วก็ขอใช้ประโยชน์หน่อยละกัน
อิงศรย่อตัวลงไปแล้วยกคันศรขึ้นรับดาบของกวินทร์ไว้โดยเล็งให้ดาบไปขัดตรงซอกที่เกิดจากการเว้นช่วงของมีดบนธนูแต่ละเล่ม
เสียงโลหะแหลมสูงปะทะกันดังแกร๊ง
คันธนูทำจากโลหะส่วนดาบหินงอกเองก็แข็งในระดับเดียวกับเหล็กกล้าจึงส่งเสียงแบบนั้น
จังหวะที่ยันกันอยู่นั่นเองอิงศรก็ยืดขาออกไปจนตั้งหลักจากที่จะสะดุดล้มได้แล้วซัดด้ามดาบเข้าไปที่ท้องของกวินทร์
เอาคืนที่โดนเมื่อครู่นี้
“อึก”
รุ่นน้องเพียงแค่ส่งเสียงทรมานออกมาเล็กน้อยลำตัวเกร็งจากการถูกกระแทกไปวินาทีหนึ่ง
ถ้าเมื่อกี้เขาหมุนดาบก่อนจะแทงท้องของกวินทร์คงได้เป็นรูไปแล้ว
แต่นี่ก็แค่ซ้อมมือ
อิงศรถีบตัวทั้งท่านั้นส่งแรงกระดอนไปที่หมัดซึ่งกำด้ามดาบให้จมเข้าไปในท้องของรุ่นน้องจนมันยุบตัวลงเล็กน้อย
“อ่อก”
กวินทร์กระอักออกมาก่อนจะร่างจะกระเด็นไปตามแรงผลักและเสียหลักจนล้มก้นคะมำไปทีหนึ่ง
ก่อนที่จะลุกขึ้นมา
อิงศรก็ชิงกระโดดหลังจนทิ้งระยะห่างได้ประมาณหนึ่งก็
“เทคนิคัลเวพ่อน”
เปลี่ยนคันธนูเป็นหน้าไม้แล้วยิงลูกดอกเวทที่เหมือนกับลูกไฟออกไปโดยที่ไม่ได้ชักยันต์ออกมาจากแขนเสื้ออย่างทุกที
แต่เพียงแค่ลั่นไกหน้าไม้แผ่นยันต์จากกระเป๋าก็ปรากฏขึ้นมาขวางหน้าและติดไปกับลูกดอกกลายเป็นลูกศรอาคมสำหรับสร้างเขตแดนเพราะว่าติดตั้งสกิลใหม่เพิ่มเข้าไป
‘Auto Bill Cast’ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาชักยันต์เสริมอาคมขึน้มาถือก็สามารถใช้สกิลที่ต้องการยันต์อาคมได้ทันที
อิงศรยิงไปห้าครั้งสร้างเป็นอาณาเขตล้อมรอบตัวกวินทร์จากนั้นก็ร่ายสกิล
“มหาเขตแดนตรวนผนึกหมาป่าไกรพ์นิล”
โซ่อาคมพุ่งขึ้นมาจากพื้นที่วาดเป็นวงเวทเอาไว้จำนวนห้าเส้นมัดตรวนรุ่นน้องจนขยับไม่ได้
“เอ้า
รู้ผลแล้วนะ”
การประลองจึงจบลงเพียงแค่นั้น
ทว่า...
กวินทร์กลับยิ้มอย่างมั่นใจ
ความมั่นใจนั่นมันอะไรกัน?
“ดราโกเบรฟ!! (Dragobrave)”
ทันทีที่รุ่นน้องร่ายสกิลนั้นพันธนาการก็คลายลง
หินงอกที่ห่อหุ้มคมดาบคืนกลับเป็นไฟอีกครั้งแล้วลุกลามขยายตัวเป็นมังกรกัดกินโซ่อาคม
ตรวนแห่งพันธนาการที่ว่ากันว่าใช้จองจำหมาป่าปีศาจผู้กลืนกินพระเจ้าในตำนานนอร์สนั่นถูกกินเข้าไปเหมือนเป็นขนมสายไหม
กวินทร์หลุดจากพันธนาการโดยสมบูรณ์พร้อมกันนั้นเพลิงมังกรก็สลายไปแต่ทำให้ดาบทั้งสองเล่มได้รับพลังธาตุทั้งสี่ฉาบเอาไว้แทน
“ดราโกเบรฟจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเสริมพลังอาวุธด้วยดราโกนิคเบลดและถูกทำให้ตกอยู่สภาวะที่เคลื่อนไหวไม่ได้ก็จะทำการคลายสภาวะนั้นและบัพดาบสี่ธาตุให้ธาตุละสองครั้งเป็นไงบ้างครับสกิลนี้น่ะ”
รุ่นน้องพูดพลางยกดาบอวดพลังธาตุที่หมุนวนเป็นแสงสี่สีห้อมลอบตัวดาบซึ่งต่างจากปกติจะแบ่งกันไปเล่มละสองธาตุในกรณีที่ใช้เทคนิคัลเวพ่อนแยกดาบออกจากกันเพราะแต่ละสกิลที่เสริมพลังจะติดช่วงฟื้นพลังหลังจากใช้ไปทำให้เสริมธาตุซ้ำลงไปไม่ได้
“ทั้งดราโกนิคเบลดแล้วก็ดราโกเบรฟนั่นเป็นสกิลเทคนิคัลทั้งคู่สินะ”
กวินทร์พยักหน้าให้คำถามของเขาแล้วเสริมให้ว่า
“แต่ก็มีข้อจำกัดตรงที่ดราโกนิคเบลดมันทับสกิลธาตุที่เสริมไปทั้งหมดกับถูกทับไม่ได้เวลาใช้ก็เลยเล่นลูกเล่นธาตุเพิ่ไม่ได้น่ะครับแต่ว่ามีสกิลสวนกลับแบบดราโกเบรฟแบบที่แสบอยู่ๆ
เยอะเหมือนกัน”
สรุปก็คือสกิลเมื่อครู่เป็นของที่ใช้งานได้ยากเพราะเป็น
‘สกิลสวนกลับ’ ซึ่งมีเงื่อนไขทำให้ใช้งานทันทีไม่ได้
ดูเหมือนว่าบิลด์สกิลใหม่รอบนี้กวินทร์คิดจะเล่นแบบรอจังหวะสวนกลับคาดว่าคงได้ผลกระทบมาจากสกิลเวพอนไนซ์ที่เงื่อนไขใช้งานเป็นแบบสวนกลับกระมัง
แต่ว่า...
“นี่
ถ้านั่นเป็นสกิลเทคนิคัลก็แปลว่าไม่ใช่สกิลที่พี่นายจัดให้น่ะสิ”
พอถามไปแบบนั้นรุ่นน้องก็ก้มหน้าลง
“อ๊ะ..ขอโทษไม่ได้ตั้งจ...”
ไม่ได้ตั้งใจ
ไม่รู้ว่าจะเป็นข้อแกตัวที่ดีรึเปล่าแต่เขาลืมคิดถึงความรู้สึกของรุ่นน้องไปจนได้
แต่แล้ว
เมื่อกวินทร์เงยหน้าขึ้นก่อนที่เขาจะพูดคำขอโทษออกไปหมด
“ก็จริงที่มันเป็นของอย่างสุดท้ายที่พี่สาวเหลือไว้ให้แต่ว่าผมไม่คิดจะให้มันจมอยู่แค่นี้หรอกครับมันยังพัฒนาได้อีกพี่เองก็คงต้องการแบบนั้น”
รุ่นน้องยิ้มอย่างมั่นใจ
“…”
“ถ้างั้นก็หยุดซ้อมแค่นี้ก่อนละกันครับที่โดนต่อยไปเมื่อกี้ทำเอาที่กินไปจะไหลย้อนเอา”
ระหว่างที่พูดก็วางมือบนจุดที่ถูกหมัดต่อยเข้าไปแล้วทำหน้าทรมานเล็กน้อย
คงจะฝืนทนเอาไว้นั่นแหละ
“ก็นั่นสิ”
อิงศรตอบรับคำขอนั้นอย่างเห็นด้วยตัวเขาลองวางมือลงบนจุดที่โดนถีบเช่นกัน
จนถึงตอนนี้เพิ่งจะมารู้สึกเจ็บคงเพราะระหว่างสู้อะดรีนารีนหลั่งออกมา
ตอนนั้นเองกวินทร์ก็พูดมาว่า
“จริงๆ
ด้วยล่ะครับเชิงดาบของพี่สาวน่ะเหมือนของพี่ศรเลย”
“หา? หมายความว่าไงล่ะนั่น”
“ที่จริงแล้วที่ขอให้ช่วยซ็อมเพราะผมติดใจบางอย่างตอนสู้กับพี่สาวน่ะครับตอนนั้นทั้งที่พี่เขาใช้ดาบสู้กับผมแท้ๆ
แต่ยิ่งสู้เหมือนจะยิ่งถอยห่างออกไปเรื่อยๆ
แถมสกิลของพี่เขาก็มีสกิลที่ใช้โจมตีระยะไกลอยู่ด้วย
ผมรู้สึกเหมือนเคยเห็นวิธีสู้แบบนั้นมาก่อนที่แท้ก็เหมือนของพี่ศรนี่เอง”
ที่กวินทร์ว่ามานั้นคงหมายถึงวิธีสู้แบบ
‘Hit & Away’ ซึ่งเป็นเทคนิคการสู้แบบโจมตีแล้วหาจังหวะถอยห่างไปด้วย
มันเป็นคำศัพท์ที่บ่งบอกรูปแบบการชกมวยแบบหนึ่งแล้วก็ถูกนำมาใช้ในเกมต่อสู้หลายๆ
เกมเหมือนกัน
เชิงดาบของเขาเป็นแบบนั้นเพราะด้วยอาชีพพื้นฐานแล้วไม่แข็งแรงในการต่อสู้ประชิดตัวจึงมีวิธีสู้แบบนั้นไปโดยอัตโนมัติแต่สาเหตุจริงๆ
ที่เขาใช้วิธีสู้แบบนี้ก็มาจากสิงห์
คนที่สอนดาบให้เขาคือสิงห์ที่มีอาชีพหลักเป็นซัมมอนเนอร์ซึ่งก็ไม่ใช่สายที่เก่งสู้ประชิดตัวอีกเหมือนกันดังนั้นจึงน่าแปลกที่พี่สาวลูกพี่ลูกน้องของกวินทร์เป็นอาชีพเวพ่อนเอนแชนท์เตอร์ซึ่งถนัดการต่อสู้ประชิดตัวพอๆ
กับพวกโคลสเซอร์เลยทีเดียวแต่กลับมีวิธีการต่อสู้เหมือนเขากับสิงห์ได้อย่างไร
ระหว่างนี้เองเน็กส์กับนิวก็แทรกเข้ามา
“พี่ศรฮะช่วยทดลองสกิลหน่อยสิ”
เน็กส์พูด
เด็กชายจูงมือนิว
น้องเล็กที่อายุเท่ากันและเป็นผู้หญิงซึ่งไม่น่าจะต่อสู้ได้ดีแต่กลับพาเธอมาปรึกษาเรื่องการต่อสู้ด้วยกันคงจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
“หือ ว่ามาซิ”
อิงศรเบรกที่คุยกับกวินทร์ไปเพราะรุ่นน้องก็เหมือนไม่มีอะไรจะคุยด้วยแล้วจากนั้นก็เริ่มฟังเรื่องของพวกเด็กๆ
“คือว่านิวเขาได้สกิลใหม่ที่ทำให้คนเข้าไปสิงในตัวอีกคนหนึ่งได้น่ะฮะก็เลยคิดว่าผมจะลองสิงพี่ศรดู
ได้รึเปล่าฮะ”
เด็กชายพูดด้วยดวงตาที่ฉายแววความมุ่งออกมาเต็มเปี่ยมจนยากจะปฏิเสธ
อีกอย่างแนวคิดที่ว่ามานั้นก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
“เอาสิ”
อิงศรตอบรับและยอมเป็นหนูลองยาให้ทั้งคู่
จากนั้นเน็กส์ก็หันไปบอกเด็กสาวให้เริ่มการทดลอง
“งั้นนิวทำแบบเมื่อกี้เลยนะ”
“อื้อ”
นิวพยักหน้าแล้วชี้มาที่เขาจากนั้นตบหลังเน็กส์พร้อมกับพูดว่า
“มาริโอเน็กซัส”
[MarioNE-XUS
Lv(1/1)
Element:
-
Attribute:
Domination, Target Ally
ร่ายใส่พวกเดียวกันเท่านั้น (Party) หลอมรวมจิตวิญญาณของพวกพ้องให้กลายเป็นหนึ่ง
Believe in NEXUS!!]
พริบตานั้นเน็กส์ก็กลายเป็นลูกไฟแล้วพุ่งมาที่อิงศรทะลุผ่านเข้าไปในร่าง
“...”
รู้สึกได้ว่าพลังเอ่อล้นขึ้นมาจากภายใน
อบอุ่นราวกับมีชีวิตในร่างกาย นี่คือพลังสกิลของนิวอย่างนั้นสินะ
‘นิวถอยไปก่อนนะจะลองสกิลหน่อย’
เสียงของเน็กส์ดังออกมาทั้งที่เขาก็ไม่ได้ขยับปากพูด
มันแค่ลอยออกมาจากร่างของเขาอย่างเป็นปริศนา
“อื้อ”
นิวตอบรับคำพูดนั้นแล้วถอยห่างออก
ตอนนั้นเองคนอื่นๆ ก็เริ่มเบนสายตามามองด้วยความสนอกสนใจ
เพราะว่าเน็กส์ส่งเสียงดังมากตอนที่พูดให้นิวถอยไปบางทีคงจะไม่รู้ว่าระดับเสียงประมาณไหนถึงจะส่งออกมาข้างนอกได้ก็เลยเหมือนจะพูดตะโกน
‘วินด์วาร์ป!!’
เสียงตะโกนของเด็กชายที่ตอนนี้สิงอยู่ภายในตัวของเขาดังขึ้นในวินาทีนั้น
วินาทีถัดมาอิงศรก็รู้สึกตัวว่าได้ย้ายออกมาจากที่เดิมราวสิบเมตรเห็นจะได้และที่จุดเดิมนั้นก็มีลมพายุขนาดเล็กก่อตัวขึ้นพัดหอบเอาเศษฝุ่นทรายขึ้นมา
“เมื่อกี้ที่ใช้วินด์วาร์ปก็เลยพาพี่มาตรงนี้เลยงั้นเหรอ”
‘ใช่แล้วฮะ
ตอนที่สิงอยู่ผมสามารถใช้สกิลสนับสนุนให้พี่ศรได้ด้วย’
เสียงของเน็กส์เบาลงกว่าก่อนหน้านี้บางทีคงรู้ถึงระดับเสียงที่ต้องใช้แล้ว
จากนั้นนิวก็เข้ามาเสริมให้อีก
“แล้วก็ความเสียหายที่ได้รับระหว่างสิงจะแบ่งจากเจ้าของร่างสามสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยค่ะแต่ถ้าพลังชีวิตลดลงเกินครึ่งหนึ่งของพลังชีวิตเต็มก็จะถูกบังคับปลดการสิง”
แบบนั้นมันยอดไปเลยไม่ใช่หรือไงน่ะ...อิงศรคิดอย่างนั้น
หากมีการเคลื่อนที่พริบตาของเน็กส์มาเสริมตัวเขาก็สามารถสลับไปตำแหน่งไหนก็ได้ในทันทีหรือแม้แต่ประยุกต์ใช้โจมตีแบบเซอไพรส์ก็ดี
ระหว่างที่ความคิดสร้างสรรค์กำลังเฟื่อง
ฟูกับมิกซ์ก็มาถึงพอดีตามด้วยมิ่งขวัญคงจะมาดูสกิลใหม่ที่พวกเขาลองกัน
มิกซ์ถาม
“เมื่อกี้ที่พี่ศรวาร์ปได้นั่นฝีมือเน็กส์เหรอครับ”
อิงศรพยักหน้า
มิกซ์จึงเริ่มหันมองไปรอบๆ ราวกับจะหาตัวเน็กส์แน่นนอนว่า...
“ว่าแต่เน็กส์หายไปไหนเนี่ย”
‘อยู่นี่ฮะพี่มิกซ์!’
พอเสียงของเน็กส์ดังออกมาเจ้าตัวก็ทำหน้าตกใจ
“เมื่อกี้เสียงดังมาจากตัวพี่ศรนี่”
‘อืม
รวมร่างกันอยู่น่ะด้วยสกิลของนิว’
อิงศรชี้ไปที่เด็กสาวซึ่งกำลังแอบหัวเราะพี่ชายที่ไม่รู้ว่าเน็กส์หายไปไหน
จากนั้นฟูก็พูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า
“รวมร่างกันได้เหรอแบบนั้นก็สนุกไปเลยดิ”
แล้วหันไปทางมิ่งขวัญพร้อมกับคว้าคอมิกซ์ติดไปด้วย
“จะทำอะไรเนี่ยฟู”
“ว่าไงขวัญฉันกับมิกซ์จะรวมร่างกันแล้วมาลองทีดิ๊ว่าใครจะเก่งกว่า”
มิ่งขวัญยิ้มรับคำท้านั้นอย่างว่าง่ายและดูจะนึกสนุกไปกับมันด้วย
“เอาดิ เอาดิ”
จากนั้นก็ให้นิวร่ายสกิลใส่โดยทีฟู่เป็นคนสิงมิกซ์
“ตกลงเราต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย”
มิกซ์ทำหน้าเซ็งขณะที่บ่นแบบนั้นมิ่งขวัญก็ถอยออกไปสี่ก้าวแล้วหันกลับมาตั้งท่าพร้อมสู้
ดูเหมือนว่ามิกซ์จะไม่เต็มใจนักแต่ก็ยอมทำตามฟูจึงชักปืนออกมา
‘ดีล่ะงั้นจะเริ่มจากสกิลนี้ก่อนเลย’
เสียงของฟูดังเหมือนตะโกนอยู่ตลอดแม้ว่าจะสิงมิกซ์มาได้พักหนึ่งและพูดคุยสอบถามกับเน็กส์กับนิวมาแล้วก็ยังคงไม่ปรับระดับเสียงลง
อาจจะไม่รู้ตัวแต่นี่ก็เป็นระดับเสียงปกติอยู่แล้วเพราะฟูขี้โวยวายกว่าใครในกลุ่ม
“คร้าบ คร้าบ
จะทำอะไรก็ทำเถอะ”
มิกซ์ขานรับอย่างเหนื่อยหน่าย
ตอนนั้นเองเสียงร่ายสกิลของฟูก็ดังกระหึ่ม
‘ทอร์แฮมเมอร์!!’
นั่นคือสกิลที่เรียกสายฟ้าลงมาสถิตในค้อนแล้วฟาดอย่างรุนแรงซึ่งเคยทุบมิตราพุทธะจมธรณีมาแล้วเป็นสกิลที่อลังการงานสร้างไม่ใช่น้อย
“…”
“…”
“…”
อนิจจา
รอบข้างเงียบสนิทไม่มีแม้แต่ลมหรืออะไรออกมาเลย
‘อ้าว...ไหงมันไม่มีอะไรออกมาอ่ะ’
ฟูเริ่มโวยวายจากนั้นก็ลองร่ายสกิลออกมาอีกหลายอย่างแต่ก็ไม่มีสกิลไหนทำงานได้เลยซักสกิล
ท่ามกลางความ ‘แป้ก’ นั่นเสียงเดียวที่อิงศรซึ่งมีประสาทสัมผัสฉับไวได้ยินคือเสียงหอบหายใจรุนแรงจากพลอยที่ยืนดูอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก
“ฟูรวมร่างกับมิกซ์...แฮ่ก...ฟูอยู่ในตัวมิกซ์...แฮ่ก”
ได้ยินเสียงหื่นกระหายที่อธิบายไม่ได้ดังแว่วมาจากจุดที่พลอยยืนอยู่
ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องสาวบุญธรรมตอนนี้ทำหน้าตาแบบไหนแต่เขารู้สึกกลัวที่จะหันกลับไปมอง
รู้สึกได้ว่าอันตรายต่อสวัสดิภาพในฐานะพี่ชายอาจจะพังทลายได้ถ้าหันกลับไป
‘เอ่อ
พี่ฟูฮะสกิลที่ต้องใช้อาวุธโจมตีด้วยหรือสกิลเพิ่มพลังมันจะใช้ไม่ได้นะครับ’
เสียงของเน็กส์ดังออกไปจากตัว
นั่นทำให้ฟูส่งเสียงเอะอะโวยวายขึ้นกว่าเดิม
‘อ้าว!!
แบบนี้ที่มาสิงมิกซ์ก็ไม่มีความหมายอ่ะเด้!’
กวินทร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ
หันมาถามเขา ที่จริงแล้วคิดว่าถามเน็กส์มากกว่าเพราะว่าสายตาของกวินทร์ไม่ได้สบมาที่ตาของเขา
“คือว่าตอนที่สิงอยู่เนี่ยรู้สึกเป็นยังไงมั่งเหรอ”
‘...’
เน็กส์ไม่ได้ตอบกลับไปในทันทีมันคงจะอธิบายเป็นคำพูดได้ยากเพราะขนาดคนโดนสิงอย่างเขาถ้าโดนถามคล้ายๆ
กันก็ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรให้อีกฝ่ายเข้าใจ
‘ถ้าจะให้พูดก็เหมือนกับกอดตัวพี่ศรอยู่ตลอดเวลาน่ะครับเพราะมันจะอุ่นๆ
แล้วก็รู้สึกเหนียวๆ น่ะฮะ’
กวินทร์ทำหน้าทึ่งกับคำตอบแต่ก็มิวายมีคำถามเกิดขึ้นอีก
“อันที่บอกว่าเหนียวนี่ไม่ค่อยเข้าใจแหะ
คือเหนียวเหงื่อแบบแก้ผ้ากอดกันอยู่อะไรงี้เหรอ”
รู้สึกว่าที่รุ่นน้องพูดเมื่อครู่ปล่อยผ่านไม่ได้อิงศรจึงขัดไปว่า
“เฮ้
พูดแบบนั้นมันโรคจิตไปไหมน่ะ”
แต่กวินทร์ก็ตอบรับอย่างไร้เดียงสา
“อะ…ขอโทษครับมัวแต่คิดภาพตามจนเผลอไปหน่อยจะว่าไปก็ดูโรคจิตจริงๆ
ด้วย”
แล้วแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนความเขินอาย
จากตรงนั้นที่อิงศรรู้สึกได้ว่าจิตสัมผัสอันชั่วร้ายที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าปีศาจเหมือนกับแก่กล้าขึ้นมาจากทิศที่พลอยอยู่ชนิด
เอลิกอร์ ยังชิดซ้าย
รู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบขึ้นมาทันที
แล้วเน็กส์ยังคงพยายามจะอธิบายให้ชวนเข้าใจผิดหนักข้อขึ้นไปอีก
‘คือที่ว่าเหนียวนั่นมันไม่ใข่เหนียวแบบนั้นน่ะฮะมันแบบว่า…เหมือนสนิทกันมากขึ้นผมพูดไม่ถูกว่ามันเหนียวอะไรซักอย่าง…’
กวินทร์ทุบมือดังปึ้ก
“อ๋อ
จะบอกว่าเหนียวแน่นขึ้นสินะครับ เป็นความรู้สึกประมาณว่าสนิทกันมากขึ้นใช่มะ”
‘อื้อ อื้อ
นั่นแหละฮะที่อยากจะพูดเลย’
ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมสูงดัง
ปรี้ด เหมือนกับของเหลวพุ่งกระฉูดออกมาจากที่ไหนซักแห่ง
จากนั้นเสียงกรีดร้องของนิวก็ดังลั่น
“พี่พลอยเป็นลมไปแล้วเลือดกำเดาท่วมด้วย!!”
ทุกคนละความสนใจของตัวเองไปที่พลอยทันที
อิงศรก็หันกลับไปด้วยและเห็นเด็กสาวนอนหงายหลังแอ้งแม้งอยู่บนพื้นในสภาพที่เลือดกำเดาไหลเปื้อนไปทั่ว
ขวัญร้องตะโกนเป็นคนแรก
“เฮ้
พลอยทำใจดีๆ ไว้นะ!”
ากนั้นเสียงเอะก็เริ่มตามมาเป็นพรวน
“เป็นอะไรไปน่ะหรือว่าจะมีไข้”
“พี่พลอยอย่าตายนะ!”
เสียงเอะอะโวยวายและตื่นตระหนกดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ
ฟูกับเน็กส์ออกจากสภาพวิญญาณแล้วทุกคนก็พากันไปดูอาการของพลอย
พลังชีวิตลดลงไม่มากยังไงก็ไม่ถึงตาย แต่ว่า…
“เฮ้ย
ยัยต่างดาวแกเป็นคนร้ายใช่มะ”
ฟูเริ่มไปหาเรื่องกับราชครูมนุษย์ต่างดาวที่ทำหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว
“อะไรกันอย่ามาใส่ร้ายนะฉันยังไม่ได้ขยับไปจากตรงนี้เลยนะคะ”
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันเล่าทำไมพลอยถึงได้เลือดท่วมแบบนี้ล่ะ”
“จะไปรู้เหรอคะก็เห็นเธอคนนั้นท่าทางแปลกๆ
ตอนยืนดูพวกคุณอยู่ แล้วจู่ๆ ก็ล้มลงไปดิฉันซะอีกค่ะที่ตกใจน่ะ”
จากนั้นมิกซ์ก็เริ่มสันนิษฐานอย่างจริงจัง
“หรือว่าจะเป็นฝีมือของปีศาจกันแน่”
นิวทำท่าหวาดกลัวแล้ววิ่งไปกอดเน็กส์
กอดเด็กชายแน่นจนเริ่มทำหน้าอึดอัดออกมา
“น่ากลัวจังเลย”
สถานการณ์เริ่มจะเหมือน
‘ราโชม่อน’ เข้าไปทุกที
เอะอะโวยวายและแตกตื่น
ราวกับเป็นบ้ากันไปหมด
เหตุทำร้ายร่างกายปริศนา
คนร้ายที่มองไม่เห็น
แค่นั้นก็เพียงพอจะสร้างความตึงเครียดให้จนทุกคนพากันชักอาวุธออกมาระแวดระวังภัยรอบด้าน
“ระวังนะทุกคนบางทีปีศาจจะยังอยู่แถวนี้ก็ได้”
มิกซ์พูด
“เดี๋ยวผมจะลองใช้เมลคีเซเด็คตรวจสอบดูนะฮะ”
เน็กส์กล่าวแล้วก็เรียกปีศาจออกมา
เทวทูตผู้ตรวจสอบพระเจ้าตนนั้นจะหาคนร้ายเจอไหมนะ
คนที่รู้คงจะมีแต่ผู้เสียหายอย่างพลอยซึ่งหมดสติไป
“…”
เว้นเสียแต่อิงศรที่พอจะคาดเดาเหตุการณ์ได้
เขารู้ตัวคนร้ายที่ทำร้ายพลอย
คนร้ายตัวจริง…
“ก็คือพวกนายนั่นแหละ”
อิงศรรำพึงด้วยใบหน้าเอือมระอาเล็กน้อยขณะที่สายตามองไปยังกวินทร์กับเน็กส์ซึ่งกำลังกระวนกระวายกับเรื่องบ้าๆ
ที่กำลังลุกลามใหญ่โต
พลอยก็แค่เป็นลมไปเพราะฟังที่พูดกันจนเอาไปคิดเลยเถิดแล้วก็บรึ้ม
หมดสติไป
“…”
รู้สึกได้ว่าเสียงของความพินาศดังขึ้นมาเล็กน้อย
เสียงเข็มวินาทีดังติ๊กๆ
โอเค…ก็แค่ข้ออ้าง
อิงศรเพียงแต่คิดว่า
“มีฮีลเลอร์แบบนี้ทีมตูจะไปได้ตลอดรอดฝั่งไหมเนี่ย”
จบเห่…
*** ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวถึงตัวเป็นเด็กแต่สมองเป็นผู้ใหญ่ชื่อของเขาคือยอดนักสืบ คอยนาน. ออกมาในช่องคำพูดเดียวแล้วหายไป เป็นชื่อหนังสือที่อิงศรชอบอ่าน... ต้องขออภัยที่ให้คอยนานนะฮะ เลทจาก 5 โมง มาซะ 5 ทุ่ม =w=; พอดีว่าไรท์เจียดเวลาไปทำรูปประกอบสำหรับตอนข้างหน้าอีกไม่ไกลเลยเกิดอาการตันปั่นไม่ทันจนต้องพี้กาวเขียนขนาดนี้ ต้องขออภัยที่ทำให้ 'เอดอกกาวว่ะ คอยนาน' แอ่วววเจอกันใหม่วันศุกร์ฮะ (รู้สึกการแกล้งติงต๊องเพื่อกลบเกลื่อนประเด็นของตอนจะสำเร็จ...รึป่าว)***
ความคิดเห็น