คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Login 12 : มนุษย์ต่างดาวมิ่งขวัญ
Login 12 : มนุษย์ต่างดาวมิ่งขวัญ
สามปีก่อน...
"ขวัญก็กลัวนะ....กลัวที่จะตายเหมือนกัน..."
ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความกล้าซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากความรักได้ผลักดันให้เด็กชายผู้ขลาดกลัวและเจ้าน้ำตาลุกขึ้นยืนหยัดด้วยตนเองเป็นครั้งแรก
มิ่งขวัญวัยสิบสองปีเรือนผมสีดำปลายผมยาวแตกเป็นแฉกและมีผมกระดกขึ้นเป็นหงอนสองเส้นเด็กชายสวมชุดเสื้อแขนกุดสีดำกางเกงยีนส์ขาสามส่วนถือสิ่งของที่เรียกว่าสวิตซ์จุดชนวนระเบิดเอาไว้ในมือขวา
ระเบิดที่ว่าถูกติดตั้งไว้ในสถานีรถไฟซึ่งเป็นสถานที่ที่เขายืนอยู่และกำลังประจันหน้ากับมนุษย์ต่างดาวชั้นราชครูถึงสองตนด้วยกัน
หนึ่งคือมนุษย์ต่างดาวผมสีแดงเข้ม ภายใต้แว่นตาเลนส์สะท้อนแสงสีรุ้งนั้นซ่อนดวงตาแบบใดไว้ยังคงเป็นปริศนาหากแต่มันต้องเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเลือดเย็นอย่างหาที่เปรียบมิได้แน่
นั่นก็เพราะ ทั้งฟู มิกซ์ พลอย เน็กซ์ และนิว เหล่าครอบครัวของพวกเขาต่างร่วงโรยดั่งใบไม้ร่วงในยามที่ถูกสังหารด้วยน้ำมือของชายผู้นี้
และอีกหนึ่งคือชายมนุษย์ต่างดาวผมสีเงินทั้งที่มีใบหน้ายิ้มแย้มและทำตัวมีอารมณ์ขันอยู่แทบจะตลอดเวลาแต่ทั้งอย่างนั้นกลับสัมผัสได้แต่ความอำมหิตที่แผ่ออกมายิ่งเสียกว่าคนผมแดงเป็นเท่าตัว
หากว่าต้องปะทะกับทั้งสองซึ่งๆ หน้าย่อมไม่มีหนทางที่จะรอดชีวิต แต่ถึงกระนั้นก็จะหนีไม่ได้ เด็กชายบอกกับตัวเองเช่นนั้นเบื้องหลังของเขามีคนสำคัญที่อยากปกป้องไว้แม้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจะเป็นฝ่ายที่ถูกปกป้องมาโดยตลอดก็ตามที
'ขวัญก็จะปกป้องศรเหมือนกัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เดี๋ยวขวัญตายแทนให้เอง'
มิ่งขวัญหวนนึกถึงคำพูดของตนเมื่อหลายวันก่อนมันช่างน่าขันเสียเหลือเกินที่คำพูดล้อเล่นพรรค์นั้นดันกลายเป็นความจริง
แล้วจากทางด้านหลังนั่นเองคนสำคัญของเขาก็ทุบกระจกของประตูรถไฟฟ้าที่เตรียมจะออกจากชานชาลา ดูเหมือนว่าคนๆ นั้นตั้งใจจะตะโกนอะไรมาซักอย่างแต่เสียงก็เล็ดลอดผ่านประตูออกมาไม่ได้ถึงอย่างนั้นก็พอจะเดาออกว่าคำพูดนั้นคืออะไร
คำพูดที่พี่ชายซึ่งเขาคอยสร้างภาระมาให้ตลอดจะพูดออกมาในสถานการณ์เช่นนี้
เด็กชายเหลือบสายตาที่เปียกชื้นมองไปยังเสาค้ำยันสถานีที่นั่นมีวัตถุที่เรียกว่าระเบิดติดตั้งเอาไว้และดูจากท่าทีของมนุษย์ต่างดาวชั้นราชครูทั้งสองตนนั่นก็คงจะรู้ตัวกันแล้ว
มิ่งขวัญกัดฟันตอนที่ได้ยินเสียงเคลื่อนตัวของรถไฟ เด็กชายตระหนักได้ว่าจากตรงนี้ไปคือจุดที่จะถอยกลับไปไม่ได้อีกแต่เขาก็ได้เลือกทางที่จะเสียสละต่อชีวิตให้พี่ชายด้วยความตั้งใจของตนเอง ดังนั้นนับจากตรงนี้ไปจะเป็นเส้นทางมุ่งหน้าไปยังนรกซึ่งจะต้องลากมนุษย์ต่างดาวที่ฆ่าครอบครัวในโลกหลังการล่มสลายไปพร้อมกันให้จงได้
"แต่ที่กลัวยิ่งกว่าก็คือโลกที่ไม่มีศรอยู่...โลกแบบนั้นน่ะขวัญอยู่ไม่ได้หรอก"
มิ่งขวัญกล่าวออกมาเช่นนั้นแล้วรถไฟก็เคลื่อนตัวออกจากสถานี
"ไม่ให้กดระเบิดได้หรอกน่า"
มนุษย์ต่างดาวผมแดงชักดาบออกจากฝักพร้อมกับพุ่งตัว การเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วจนไม่อาจมองเห็นและในพริบตานั้น
"อึก.."
เลือดทะลักออกจากบริเวณช่องท้องความรู้สึกตั้งแต่ช่วงล่างของลำตัวขาดหายไปไม่อาจสัมผัสได้อีก ที่สัมผัสได้คือร่างเพียงครึ่งเดียวกำลังลอยเคว้งกลางอากาศ
มิ่งขวัญ LV. 16
[/......66:1450.....]
เมื่อรถไฟวิ่งพ้นสถานีไปก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ใบหน้าของมิ่งขวัญสัมผัสพื้นความเจ็บปวดได้กลืนกินสติไปจนเกือบหมดสิ้นแต่ปรารถนาในใจอันแรงกล้ากลับแสดงปาฏิหาริย์ออกมา
มิ่งขวัญสามารถยื้อสติไว้ได้ถึงจะเป็นเพียงส่วนน้อยแต่นั่นก็เพียงพอที่จะกดสวิตซ์ระเบิด เขาเค้นแรงเฮือกสุดท้ายที่เหลือโน้มนิ้วโป้งกดลงบนปุ่มสีแดง
แกร๊ก..
หลังเสียงกดสวิตซ์เสียงระเบิดก็ดังไล่ขึ้นมาจากชั้นล่างของสถานีรถไฟ แรงสะเทือนที่เกิดจากระเบิดทำให้สถานีสั่นไปทั้งหลังแม้แต่มนุษย์ต่างดาวก็ไม่อาจทรงตัวอยู่บนสถานีที่สูญเสียสมดุลจากการถูกทำลายเสาค้ำยันไปได้
"โดนเล่นงานซะยับเยินเลยล่ะน้าซุงลี่ อะฮะฮะฮะ"
มนุษย์ต่างดาวผมเงินที่มาด้วยกันเหยียดยิ้มสนุกสนานพลางหัวเราะเหมือนไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับสถานการณ์ที่อาจจะถูกฝังไปพร้อมกับสถานี
จนกระทั่งระเบิดที่ติดตั้งไว้ที่เสาค้ำชั้นชานชาลาของพวกเขาทำงาน
ตูม!! เสาแตกเป็นเสี่ยง เพดานเริ่มถล่มลงมา
สติของมิ่งขวัญขาดหายไปในตอนนั้น...
...มิ่งขวัญได้สติ
เด็กชายปรือตาขึ้นสัมผัสแรกที่รับรู้ได้หลังจากสติกลับคืนมาคือความเจ็บปวดที่ส่งมาจากทั้งร่างกาย
ไม่น่าแปลกใจซักเท่าไหร่จากความทรงจำสุดท้ายได้บอกว่าเขาควรจะตายไปแล้วเสียด้วยซ้ำ ถูกฟันร่างขาดครึ่งท่อน ถูกซากสถานีถล่มลงมาทับ ถ้าเป็นปกติก็ต้องตายไปแล้ว แต่เด็กชายกลับตระหนักได้ว่าตัวเองรอดชีวิตมา...
ความรู้สึกของร่างกายท่อนล่างที่ขาดหายไปกำลังทยอยกลับคืนมาพร้อมกับความเจ็บปวด
เด็กชายรู้สึกได้ว่าข้อเท้าทั้งสองข้างหายไปและเนื้อตัวก็ชุ่มโชกไปด้วยของเหลวสีแดงที่กำลังนอนทับอยู่ซึ่งน่าจะเป็นเลือดของเขาเอง
มิ่งขวัญ LV. 16
[/......12:1450.....]
"เจ็บ...ฮึก"
มิ่งขวัญครางออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาเริ่มร้องไห้
ร้องเป็นเด็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลยแล้วสิ่งแรกที่เขานึกถึง...
"ศร...เจ็บ...ทรมาน...ศรช่วยด้วย..ฮือ.."
เสียงร้องเรียกหาพี่ชายนั้นสูญเปล่าเขาทำทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทว่าในตอนนั้นเองก็มีเสียงตอบกลับมา
"มิ่งขวัญ..."
ได้ยินดังนั้นเด็กหนุ่มก็พยายามเงยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยถลอกขึ้นแล้วเพ่งสายตาไปยังจุดที่เสียงดังแว่วมา
"ส...สีดา..."
เขาเปล่งเสียงด้วยความยินดีดวงตาของมิ่งขวัญเบิกกว้างโดยไม่รู้ตัว
ยามที่เห็นเด็กสาวผมสีบลอนยาวถึงกลางหลังสวมชุดไปรเวทชุดที่มีแค่เสื้อยืดสีชมพูหวานแหวรับกับผิวสีขาวและดวงตาสีน้ำข้าวแบบชาวต่างชาติกับกระโปรงสั้นแบบมินิสเกิร์ตสีครีมเก่าๆ ที่สีบนกระโปรงเริ่มซีดจางไปแล้ว
...ครอบครัวของเขายังเหลือรอดอยู่อีกคนเด็กชายตระหนักเช่นนั้น ราวกับหัวใจได้รับการเยียวยา มิ่งขวัญรู้สึกปรอดโปร่งขึ้นเล็กน้อยถึงแม้ว่าตัวเขาจะถูกซากคอนกรีตสถานีทับร่างกายจนกระดูกหักทั่วร่างอยู่ก็ตาม
เด็กสาวมองเห็นมิ่งขวัญแล้วตรงเข้ามาในทันที เธอปีนข้ามซากคอนกรีตที่ขวางทางด้วยแขนและขายาวๆ อย่างง่ายดายในไม่กี่อึดใจ สีดาก็มาอยู่ต่อหน้ามิ่งขวัญ
อีกเพียงสามก้าวเท่านั้นก็จะไปถึงซากคอนกรีตที่ทับร่างเด็กชาย
"ยังเหลืออยู่อีกคนงั้นรึ"
จู่ๆ มนุษย์ต่างดาวผมสีแดงก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังเด็กสาวพร้อมกับเงื้อสันมือข้างขวาขึ้น
"ไม่!!"
มิ่งขวัญตะโกนภาพของครอบครัวที่ถูกสังหารโดยมนุษย์ต่างดาวตนนั้นลอยขึ้นมา
เด็กชายตระหนักดีว่าเพียงแค่มือเปล่าๆ นั่นก็เปรียบได้กับกิโยตินอักคนกริบที่จะแยกส่วนศีรษะกับร่างออกจากกัน
ในตอนนั้นเองมนุษย์ต่างดาวผมสีเงินก็ปรากฏตัวออกมาจากกองคอนกรีตด้านหลังมนุษย์ต่างดาวผมแดงอีกที
"ซุงลี่อย่าทำแบบนั้นจะดีกว่านะผมขอเตือน..."
คำพูดนั้นช้าเกินไปสันมือของมนุษย์ต่างดาวผมแดงสับเข้าที่ปลายคอของเด็กสาวไปเสียแล้ว
"อะฮะ..ไม่ทันสินะ"
มนุษย์ต่างดาวผมเงินเปรยๆ อย่างเสียดาย ขอบตาที่เบียดเสียดจนตาหยีกันนั้นไม่ได้กระตุกหรือมีท่าทีเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยราวกับคาดเอาไว้แล้วว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะดำเนินไปอย่างไร
ส่วนกรณีของมิ่งขวัญเด็กชายได้ตกใจไปแล้ว...
"อะ..."
เขาส่งเสียงได้เพียงสั้นๆ สาเหตุไม่ใช่มาจากอาการบาดเจ็บจนทำให้ออกเสียงไม่ไหวเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเพราะภาพที่ได้เห็นต่อหน้านั้นยากที่จะเชื่อลง คิดว่าตัวเองฝันไปด้วยซ้ำเมื่อสันมือของมนุษย์ต่างดาวผมแดงที่ปลิดชีพคนมานักต่อนักแล้วนั่นกลับถูกรับไว้ด้วยมือล็กๆ ของเด็กสาวแสนบอบบาง
เดิมทีพี่สาวท่าทางประหลาดผู้นี้คือคนที่ไม่มีพลังในการต่อสู้เพราะแถบพลังชีวิตของเธอไม่ปรากฏแถมยังไม่สามารถใช้สกิลหรือระบบของเกมได้เลย ว่ากันตามตรงเธอนั้นอ่อนแอยิ่งกว่าใครๆ ดังนั้นภาพตรงหน้านี้จึงไม่มีวันเป็นไปได้แต่มันก็กำลังเกิดขึ้นและกำลังดำเนินไปในทางที่น่าตื่นตระหนกยิ่งขึ้นไปอีก
"เสียท่าให้บุตรแห่งชาวโลกจนรู้สึกอับอายเลือดขึ้นหน้าไปแล้วงั้นรึลิเที่ยม"
น้ำเสียงของสีดาดุดันราวกับไม่ใช่ตัวเธอเองตอนนี้กระทั่งแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ที่เคยมีก็ยังกลายเป็นแววตาของนักรบไม่สิ...มันไม่ใช่แววตาที่แสดงจิตสังหารในการต่อสู้หากแต่เหนือขึ้นไปยิ่งกว่านั้น...ราวกับเป็นราชสีห์กำลังจับหนู
"ไปกลิ้งเล่นให้หัวเย็นลงซักหน่อยเถอะ"
สีดาพูดเช่นนั้นแล้วมนุษย์ต่างดาวที่เธอจับสันมือเอาไว้ก็ถูกเหวี่ยงตัวลอยละลิ่วไปข้างหลังและเกือบชนมนุษย์ต่างดาวผมเงินซึ่งเขาจะถูกลากไปถูลู่ถูกังด้วยกัน แต่ก็หลบมันเสียก่อนที่จะเป็นแบบนั้น จึงมีแค่คนผมแดงที่หลังจากหล่นลงบนพื้นแล้วก็ยังกลิ้งโคโล่ไปข้างหลังอีกเกือบสิบเมตร
จากนั้นความสนใจของเด็กสาวก็เปลี่ยนมาเป็นมิ่งขวัญอีกครั้ง
เธอยืนอยู่ห่างไปเพียงสามก้าวแต่ความรู้สึกโล่งใจหรือดีใจแบบตอนแรกแทบจะกลับตาลปัตร
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ต่อหน้าไม่ใช่สีดาที่เคยรู้จักอีกต่อไปแล้วความรู้สึกบอกเขาเช่นนั้น ตอนนี้เธอคือสัตว์ประหลาดที่มีพลังเหนือกว่ามนุษย์ต่างดาวสองตนนั่นเสียอีก
เด็กสาวสบตามิ่งขวัญ
"..."
แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรจนกระทั่งมิ่งขวัญอดทนไม่ไหวจึงพูดกึ่งตะหวาดออกไป
"แก...เป็นใครกันแน่.."
ในตอนนี้เด็กชายเริ่มเข้าใจขึ้นมาว่าพวกตนอาจกำลังถูกหลอกให้เล่นตามเกมของใครซักคน
การที่พวกเขาถูกมนุษย์ต่างดาวไล่ล่า...
ทั้งที่หนีหัวซุกหัวซุนซะขนาดนี้แต่กลับถูกดักทางหนีทีไล่ได้ตลอด...
ราวกับว่ามีใครคอยบอกทางหนีของพวกเขาให้รู้...
และถ้าจะมีใครซักคนที่ทำแบบนั้นได้...
สีดาซึ่งอิงศรบอกว่าหายตัวไปตั้งแต่ตอนที่พวกมนุษย์ต่างดาวเริ่มโจมตีก็คือคนที่มีความเป็นไปได้นั้นมากที่สุด
"..."
สีดาไม่ได้ตอบคำถาม กลับกันเธอเอาแต่จ้องมาที่เขาแล้วนิ่งเงียบมาได้ซักพักหนึ่งแล้ว
หากแต่มิ่งขวัญยังไม่รู้ว่าสิ่งที่หล่อนจ้องมองอยู่นั้นหาใช่เรือนร่างของตนหากแต่เป็นกองซากคอนกรีตที่ทับถมกันอยู่บนหลังของเขา ความเงียบงันแสนอึดอัดแผ่เข้าปกคลุมบรรยากาศในทันทีเมื่อต่างฝ่ายต่างก็ไม่พูดโต้ตอบกัน
"อ้าวๆ เงียบกันซะแบบนี้แล้วเรื่องราวมันจะดำเนินกันต่อไปทางไหนล่ะครับเนี่ยอะฮะๆๆ"
มนุษย์ต่างดาวผมเงินเป็นผู้เอ่ยทำลายความเงียบเสียเองแต่เขาก็ถูกสวนด้วยคำพูดแข็งกระด้าง
"พูดมากเหลือเกินนะโพแทสเซียม"
สีดาตอกกลับไปอย่างนั้นและทำให้บุรุษหน้ายิ้มเปลี่ยนสีหน้าได้แต่ก็เพียงเล็กน้อย
มนุษย์ต่างดาวผมเงินนามโพแทสเซียมฉีกยิ้มแห้งๆ ให้กับท่าทีที่เด็กสาวมีต่อเขาก่อนจะเดินไปหามนุษย์ต่างดาวผมแดงที่ล้มฟุบอยู่แล้วส่งมือให้
"ว่าไงซุงลี่ให้ช่วยไหม"
"ไม่ล่ะท่านลำดับที่สี่ดูอันตรายเกินไป"
มนุษย์ต่างดาวผมแดงปฏิเสธน้ำใจแล้วลุกขึ้นยืนด้วยกำลังของตนเองด้วยเหตุนั้นโพแทสเซียมจึงตีหน้าเสียดายซะเต็มประดาพร้อมกับพูดตัดพ้อแบบไม่จริงจัง
"ใจร้ายจังลิเที่ยมแพ้เด็ก"
"โปรดอย่าเรียกผมแบบนั้นอีกนะครับ"
ชายต่างดาวผมแดงนามลิเที่ยมกล่าว ปลายคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ดวงตาภายใต้แว่นสะท้อนแสงกำลังแสดงความขุ่นเคืองอยู่เป็นนิจ
แต่โพแทสเซียมก็หัวเราะ
"อะฮะๆๆ จริงจังไปซะทุกเรื่องเลยน้า~"
จากนั้นจึงเบี่ยงหน้าไปทางเด็กสาวแล้วส่งเสียงกึ่งตะโกนไปว่า
"แต่ขนาดลิเที่ยมยังมองไม่ออกเนี่ยแสดงว่าระบบปลอมตัวที่ว่าสมบูรณ์แบบเอาเรื่องเลยนะครับซุงลูลู่"
เมื่อฟังจากบทสนทนามิ่งขวัญก็แน่ใจว่าสิ่งที่ตนกำลังสังหรณ์อยู่นั้นเป็นความจริง
"เธอรู้จักกับ...แค่ก...พวกมันเหรอ"
เด็กชายกัดฟันพูดเขาพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดทั้งทางกายและจิตใจเพื่อให้ได้ฟังคำตอบของเรื่องนี้อย่างชัดเจนไม่เช่นนั้นแล้วเชื้อไฟแห่งความโกรธที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในอกคงไม่มีวันมอดดับ
เด็กสาวเผยอรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้นที่มุมปากแล้วกล่าวเหมือนพูดกับตัวเอง
"ผู้กอบกู้จะขี่ม้าสีแดงออกมาพร้อมกับดาบแห่งสงคราม"
หล่อนมองมิ่งขวัญที่ยังกุมดาบด้วยมือที่บิดเบี้ยวผิดรูปเพราะกระดูกส่วนข้อมือหักและนอนจมกองเลือดสีแดงฉาน หากพินิจดูก็จะพบว่าสภาพของมิ่งขวัญนั้นตรงกับคำพูดของเธอแบบเปรียบเปรย
"อย่างที่ซีลอร์ดพูดไว้เลยนายเองสินะเซเวียร์...ผู้กอบกู้ของพวกเรา"
จากนั้นเด็กสาวก็ผิวปากเป็นเสียงสั้นๆ เพียงหวีดเดียว
มีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากทางด้านหลังของมนุษย์ต่างดาวทั้งสอง
จากทิศนั้นเองมีร่างหุ้มด้วยขนลำตัวสีขาวปลอดดั่งหิมะใบหน้าเรียวแหลมคล้ายหมาป่าปกคลุมด้วยขนสีดำเหมือนกับใส่หน้ากากเอาไว้กำลังวิ่งมาทางนี้
เมื่อสิ่งนั้นเข้ามาใกล้พอ มิ่งขวัญถึงรู้ว่ามันเป็นสุนัขพันธุ์บางแก้วที่อยู่ในช่วงเจริญวัยขนาดตัวของมันพอๆ กับเด็กสิบสามขวบอย่างเขา
อย่างไรก็ตามการที่มีสัตว์ปกติอยู่ในโลกที่ล่มสลายไปแล้วถือเป็นเรื่องประหลาดเพราะสัตว์ทั้งหมดน่าจะกลายเป็นสัตว์เทวะ ถ้าตีความด้วยตรรกะแบบเดียวกันสุนัขตัวนี้จะต้องไม่ใช่สุนัขธรรมดาอย่างแน่นอน
สุนัขเข้ามาดมแขนของมิ่งขวัญแล้วย้ายไปดมที่คอ ดมไปดมมาได้ครู่หนึ่งมันก็เลิกแล้วกลับไปนั่งเคียงข้างสีดาราวกับว่าเธอเป็นเจ้านายหรืออาจจะเป็นจริงๆ
"ไม่มีปฏิกิริยางั้นเหรอหรือว่ายังไม่ตื่นขึ้นกันนะ"
สีดาแสดงใบหน้าครุ่นคิด
"บางทีอาจจะต้องสร้างแรงจูงใจล่ะมั้งครับ"
โพแทสเซียมกล่าวเสริม เธอเห็นด้วยกับคำพูดนั้นโดยการหันไปพยักหน้าให้แล้วหันกลับมา
"ซีลอร์ดได้ทำนายเอาไว้ว่าตัวตนของผู้กอบกู้ที่ได้รับเลือกจากฟันเฟืองจะปรากฏขึ้นที่เมืองแห่งนี้มิ่งขวัญนายกับพี่ชายคือตัวตนที่ว่านั่น"
เมื่อได้ฟังคำพูดของสีดาแทนที่จะคลายความสงสัยมันกลับสร้างความมึนงงขึ้นมาแทนที่
แววตาของเด็กชายเต็มไปด้วยความสับสนและดูเหมือนว่าเจ้าหล่อนเองก็รู้ตัวเธอจึงเริ่มกระทำการบางอย่าง
เด็กสาวใช้มือขวาหยิกเข้าที่แก้มซ้ายของตัวเองแล้วดึง...
ดึงออกด้วยแรงมหาศาลที่ไม่น่าจะมีในตัวของเด็กสาวร่างบอบบาง
เธอฉีกใบหน้าตัวเองออกจากนั้นก็ใช้อีกมือดึงหนังที่แขนแล้วฉีกออกมาเช่นกันหล่อนทำซ้ำแบบเดิมกับส่วนอื่นของร่างกายฉีกกระทั่งเสื้อผ้าไปพร้อมกับผิวหนังที่อยู่ข้างใต้
แต่ทั้งอย่างนั้นแล้วกลับไม่มีเลือดไหลออกมาเลย ไม่มีแม้แต่หยดเดียว
ทว่าภายใต้ผิวหนังที่ฉีกออกมานั้นกลับมีอีกคนอยู่ข้างในร่างของสีดา หรืออาจต้องเรียกว่าเอาหนังของสีดามาสวมไว้และเมื่อผิวหนังเทียมถูกฉีกออกไปจนหมดหน้าจอสถานะก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะพร้อมทั้งกลิ่นอายความอันตรายแบบเดียวกันกับมนุษย์ต่างดาวสองตนนั้น
มิ่งขวัญมองชื่อที่เขียนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษสีฟ้าแล้วขบกรามแน่นจนเกิดเสียงดังกึกๆ ออกมา
Rubidium LV. 144
[/////80000:80000/////]
เด็กสาวที่ฉีกหนังหุ้มร่างซึ่งมีชื่อว่าสีดาทิ้งไปนั้นเป็นเด็กสาววัยแรกรุ่นที่อายุดูจะไม่ห่างกับสีดาซักเท่าไหร่นักเธอมีผมสีทองยาวสลวยมีดวงตาสีฟ้าและผิวที่ซีดขาวถูกขับให้เด่นชัดขึ้นด้วยเครื่องแบบของราชครูมนุษย์ต่างดาวที่ประกอบด้วยเสื้อแจ็คเก็ตแบบรูดซิปสีขาวตัดลายขวางสีดำและเสื้อโค้ทเนื้อผ้าสีเทาติดแผงคอขนมินท์สีขาว เป็นชุดแบบเดียวกับชายมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อโพแทสเซียม
รูบิเดียมชักแว่นกันแดดขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทมันเป็นแว่นสีดำรูปทรงโฉบเฉี่ยวเลนส์หนาและมีขนาดใหญ่กว่าใบหน้าของเจ้าหล่อน
"ถึงจะไม่ค่อยชอบแบบนี้ซักเท่าไหร่แต่ก็ขอแนะนำตัวเลยละกันเราคือรูบิเดียมผู้ดำรงตำแหน่งราชครูลำดับที่สาม"
เธอสวมมันขณะที่พูดแล้วแสยะยิ้มเมื่อมิ่งขวัญแสดงสีหน้าของสุดยอดแห่งความโกรธแค้นออกมา
"..."
เด็กชายโกรธจนตัวสั่น คำก่นด่าและสาปแช่งจำนวนมากผุดขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้งแต่กลับส่งเสียงไม่ออกเขาจึงทำได้แค่จ้องหน้า...
จ้องมองไปยังใบหน้าที่กำลังยิ้มเยาะแล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธแล้วในตอนนั้นเอง
กองซากคอนกรีตที่ทับร่างมิ่งขวัญก็ขยับร่วงหล่นลงมามันถูกดันด้วยอะไรบางอย่าง...
อะไรบางอย่างนั้นส่งเสียงกดังเอี๊ยดอ๊าดเหมือนฟันเฟืองฟืดๆ กำลังหมุน
ขณะเดียวกันรอยยิ้มเยาะเย้ยของรูบิเดียมก็เปลี่ยนเป็นยิ้มย่องอย่างพออกพอใจเมื่อหล่อนเห็นสิ่งที่โผล่ออกมาจากหลังของมิ่งขวัญซึ่งปัดซากคอนกรีตออกมา
"มนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก..."
มิ่งขวัญได้ยินเธอพึมพำว่าอย่างนั้นก่อนที่เสียงอื่นๆ จะเริ่มทยอยห่างออกไป
"เอาตัวเขาออกมาพากลับไปที่แล็บ"
และนั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ดังก้องในโสตประสาท
เริ่มเได้ยินเสียงเบาลงจนกลายเป็นความเงียบ รวมถึงภาพเองก็มืดลงด้วย สติของเขาหลุดลอยไปในระหว่างนั้น....
มิ่งขวัญกำลังฝัน...
ภายในความฝันนั้นทุกอย่างเป็นสีดำสนิทและมันไม่ใช่ความมืดเพราะเขายังมองเห็นร่างกายของตัวเองได้มันเหมือนกับว่าเขากำลังลอยอยู่ในโลกที่ทุกอย่างกลายเป็นสีดำสนิท และภายในโลกแห่งนั้นก็มีเด็กหนุ่มปริศนาอีกคนยืนประจันหน้าอยู่
เด็กหนุ่มมีเรือนผมสีขาว มีประกายตาคมกริบสะท้อนอยู่ในดวงตาสีเทาหม่นสวมเสื้อวอร์มสีแดงกางเกงยีนส์และคาดหูฟังแบบบีฟองน้ำครอบหูเอาไว้
"สวัสดีเราพึ่งเจอกันเป็นครั้งแรกสินะมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก"
เด็กหนุ่มทักทายน้ำเสียงเรียบพลางส่งยิ้มให้
"นาย...เป็นใคร"
มิ่งขวัญถามกลับ ระหว่างนั้นก็พยายามนึกว่ามันเกิดอะไรขึ้นเขาพยายามเรียบเรียงความทรงจำของตัวเองและทันทีที่เขาเริ่มนึกบรรยากาศรอบตัวก็เริ่มสั่นสะเทือนจากนั้นโลกสีดำก็ปรากฏภาพๆ หนึ่งขึ้นมา
เป็นภาพเคลื่อนไหวที่สะท้อนความทรงจำและเป็นเรื่องที่เขากำลังพยายามนึกอยู่ ราวกับว่าโลกแห่งนี้กำลังสะท้อนจิตใจของเขาออกมาเป็นภาพ...
ภาพที่ปรากฏอยู่คือเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนที่เขาผลักอิงศรขึ้นรถไฟไปจนถึงก่อนที่เขาจะเข้ามาอยู่ในโลกสีดำ
จู่ๆ เด็กหนุ่มผมขาวก็พูดขึ้นมา
"ผมคือผู้ถูกลืมเลือน"
เขาแนะนำตัวเองเป็นการตอบคำถามที่มิ่งขวัญถามค้างเอาไว้
"แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นทำไมชั้นถึงมาอยู่นี่...แล้วจากนี้ไปชั้นจะเป็นยังไง"
"ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในความฝันแต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกเพราะเดี๋ยวเธอก็จะตื่นแล้วครั้งนี้ผมมาหาเธอเพื่อทักทายมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก..."
ผู้ถูกลืมเลือนหยุดคำพูดลงกลางคันเพราะร่างของเขาได้เกิดการสั่นไหวขึ้น ความสั่นไหวนั้นขยายตัวกว้างขึ้นจนร่างของเขาเป็นเหมือนภาพในจอโทรทัศน์ที่เสียอย่างไรอย่างนั้น
มิ่งขวัญก็ได้รับอิทธิพลนั้นไปเหมือนกันร่างกายของเด็กชายเริ่มบิดเบี้ยว
"เอาล่ะก่อนที่เธอจะตื่นผมต้องขอแจ้งเรื่องสำคัญเอาไว้ก่อนจากนี้ไปเธอจะถูกทดสอบแล้วไว้ผมจะรอวันที่จะได้พบเธออีกครั้งที่ห้องรับรองของผมนะมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก"
แล้วทุกอย่างก็ถูกความมืดกลืนหายเข้าไป
"..."
มิ่งขวัญพยายามจะส่งเสียงเรียกแต่กลับรู้สึกเหมือนมีน้ำไหลเข้ามาในปากแทน
เด็กชายลืมตาตื่นขึ้น...ในน้ำ...
ภาพที่สะท้อนเข้าสู่ตาเป็นอย่างแรกคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยเครื่องมือล้ำสมัยและหลอดน้ำยาต่างๆ วางเรียงกันเป็นชั้นๆ
เขามองเห็นสิ่งเหล่านั้นผ่านทางกรอบหน้าต่างขนาดเล็ก ซึ่งตั้งตรงกับระยะสายตาพอดิบพอดี
มิ่งขวัญสังเกตรอบตัวด้วยการพยายามลืมตาในน้ำที่มีกลิ่นคล้ายยาถึงจะรู้สึกระคายเคืองดวงตาอยู่บ้างก็ตาม
เขาพบว่าตัวเองกำลังจมน้ำอยู่ในห้องคับแคบที่ปิดทึบด้วยผนังโลหะรอบด้าน...
หรืออาจจะเรียกว่าถูกแช่เอาไว้ในถังหรืออะไรซักอย่างมากกว่า มันแคบเสียจนขยับตัวแทบไม่ได้ทำได้เพียงแค่ก้มหน้ามองลงสำรวจร่างกายของตน
ร่างกายเปลือยเปล่า...
มีสายยางหลายเส้นโยงจากผนังต่อเข้าไปที่ช่องท้อง ต้นคอ แขน และ ขา...
สามารถหายใจในน้ำได้ แต่อันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรตั้งแต่ที่โลกล่มสลายลงมนุษย์ก็สามารถหายใจในน้ำได้มันถูกระบบของเกมตั้งมาอย่างนั้น
"อ้าวตื่นแล้วเหรอ"
มีเสียงดังมาจากทางด้านนอกแล้วกรอบหน้าต่างก็ถูกบดบังโดยเงา
"กำลังจะปลูกถ่าย DNA ของฉันลงไปพอดีอีกเดี๋ยวนายก็จะกลายเป็นคนใหม่แล้วนะมิ่งขวัญ"
มิ่งขวัญพยายามจะมองให้ออกว่าเงาข้างนอกนั่นเป็นใคร ด้วยแสงสะท้อนจากด้านนอกทำให้พอจะมองเห็นใบหน้าครึ่งหนึ่งของเจ้าของเงาใบหน้านั้นสวมแว่นกันแดดสีดำและมีผมสีทองยาว
"..."
ยามที่นึกออกว่าใบหน้านั้นคือใบหน้าของคนที่หักหลังพวกตน มิ่งขวัญก็ตะหวาดออกไปอย่างก้าวร้าวแต่ที่หลุดออกจากปากไปก็มีแต่ฟองอากาศส่งเสียงบุ๋งๆ เพียงเท่านั้น
"อยากจะพูดอะไรก็ไม่รู้หรอกนะแต่อีกเดี๋ยวพอฉีดสารปลูกถ่ายเข้าไปแล้วจะรู้สึกง่วงแต่หลับไปได้เลยแล้วพอตื่นขึ้นมานายก็จะเกิดใหม่เป็นพวกเดียวกับฉัน"
หลังจากพูดสิ่งที่อยากพูดจบเด็กสาวก็ย้ายร่างออกจากกรอบหน้าต่างไม่นานก็มีเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มมาจากด้านนอก
มิ่งขวัญเริ่มเป็นกังวลกับร่างกายของตัวเองสภาพมันเหมือนกับว่าเขากำลังตกเป็นหนูทดลองของการทดลองอะไรซักอย่างที่เคยเห็นในหนังสยองขวัญของต่างประเทศที่ตัวเอกถูกจับใส่เครื่องดัดแปลงร่างกายแล้วจากนั้นก็ถูกทำให้กลายเป็นสัตว์ประหลาด
ความหวาดกลัวเริ่มทวีความฟุ้งซ่านขึ้นทุกขณะเมื่อสายยางใสที่ฝังปลายลงในร่างกายของเขากำลังกลายเป็นสีแดงด้วยของเหลวที่ไหลเข้ามาในสาย...มันจะไหลเข้าสู่ร่างกาย
เด็กชายดิ้นพร่านพยายามสะบัดตัวให้สายยางหลุดออก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหวาดวิตกและหวาดกลัวต่อสิ่งแปลกปลอมที่กำลังแทรกตัวผ่านสายยางเข้ามาในร่างกาย หวาดกลัวว่าสิ่งนั้นจะทำให้ตาย
แต่การขัดขืนอย่างเปล่าประโยชน์ก็จบลงหลังจากของเหลวปริศนาไหลเข้าสู่กระแสเลือดความรู้สึกง่วงก็จู่โจมเข้ามาอย่างรุนแรงราวกับถูกน็อกด้วยหมัดของนักมวยดวงตาของเขากำลังจะปิดลง
ถึงพยายามฝืนต่อสู้กับความง่วงแต่ก็พ่ายแพ้
....แล้วสติของเขาหลุดลอยไปในที่สุด...
นับจากวันนั้นมาเมื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งผมก็ต้องเลิกเป็นมนุษย์ไป
การปลูกถ่าย DNA ของรูบิเดียมทำให้ผมเปลี่ยนสถานะจากมนุษย์มาเป็นมนุษย์ต่างดาวเพื่อที่เธอจะได้เก็บผมเอาไว้เป็นสัตว์เลี้ยง
แต่พวกมนุษย์ต่างดาวก็ไม่ได้ปฏิบัติกับผมด้วยฐานะเดียวกัน
การเป็นสัตว์เลี้ยงของราชครูที่มีตำแหน่งอำนาจยิ่งใหญ่ล้นฟ้านั้นไม่ได้ทำให้พวกมันมองผมในทางที่ดีนัก
แล้วก็ในโลกภายนอกที่ผมกับศรไม่เคยออกไปสัมผัสมาก่อนจึงไม่เคยล่วงรู้เลยว่ามนุษย์ต่างดาวกำลังทำสงครามกับมนุษย์อยู่แม้แต่ในโลกหลังการล่มสลาย
ไม่สามารถเข้าหามนุษย์ต่างดาวได้...
ไม่สามารถเป็นพวกกับมนุษย์ได้...
ชีวิตใหม่นั้นโดดเดี่ยวเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย...
กลับสู่ปัจจุบัน
ภายในห้องโถงกว้างที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทันสมัย มันคือห้องทดลองของรูบิเดียมสถานที่เปลี่ยนตัวผมให้กลายเป็นมนุษย์ต่างดาว
ผมยืนอยู่ในมุมมืดด้านหลังบัลลังก์ที่ยกสูงจากพื้น ที่ข้างบนนั้นรูบิเดียมนั่งอยู่ที่นั่นทอดสายตามองห้องอันภาคภูมิใจของหล่อนจากมุมสูงแต่แล้วก็มีเรื่องเกิดขึ้น
เรื่องที่ทำให้หล่อนลุกขึ้นจากบัลลังก์สาเหตุนั้นมาจากปึกกระดาษที่เจ้าผมเงินหน้าแป๊ะยิ้มโพแทสเซียมเอามาให้
หลังจากที่รูบิเดียมดูมันแล้วก็ส่งปึกประดาษนั่นลงมาให้
“เอ้า นายก็เอาไปดูด้วยสิ”
ผมดูปึกกระดาษตามที่เธอว่าด้วยอารมณ์ที่ไม่ได้สนอกสนใจมันเลยซักนิดแต่ทว่าสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษก็ทำให้ดวงตาเบิกกว้าง
“ศ…ศร”
รูบิเดียมลุกขึ้นจากบัลลังก์เธอเดินลงมาตามขั้นบันไดแล้วเริ่มพูดไปด้วย
“เราพลาดตัวเขาไปเมื่อสามปีก่อนแถมตอนนี้ยังไปอยู่ในมือของฝ่ายโน้นอีกแต่เธอคงดีใจล่ะสิท่า...”
เธอที่ลงมาจากบัลลังก์แล้วเลี้ยวเข้ามายังมุมมืดที่ผมยืนอยู่และหยุดประจันหน้า
“เนอะ..มิ่งขวัญ”
แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่ยังส่องนำทางให้กับผมที่ตกอยู่ในความมืดมิดนี้...
ยังคงมีชีวิตอยู่ที่ไหนซักแห่งกระดาษที่อยู่ในมือมันบอกมาอย่างนั้น
มิ่งขวัญ Lv. 89
[/////15650:15650/////]
ความคิดเห็น