คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #135 : Login 132: พบพานและจากลา
Login
132: พบพานและจากลา
ภายในมิติจอกศักดิ์สิทธิ์ที่ยัลดาเบาธ์สร้างขึ้นมา
เมื่อผู้สร้างถูกกำจัดมิติก็เริ่มจะพังทลายด้วยตัวเอง
ความเวิ้งว้างรอบด้านเหมือนกับจะบีบอัดเข้ามา
เกิดระเบิดขึ้นจากความว่างเปล่าไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
กลุ่มของอิงศรวิ่งไล่หลังผู้นำที่ข้ามประตูแสงออกไปก่อนแล้ว
เว้นแต่…
“ชิ
ไม่ไหวเหรอเนี่ย”
ราชครูโซเดียมเดินกะเพลกๆ
อยู่รั้งท้ายกลุ่มจนในที่สุดก็ถูกทิ้งห่าง
ขาของเธอได้รับบาดเจ็บเพราะถูกแทงเข้าที่เอ็นร้อยหวายจนมีเลือดไหลทะลัก
สาเหตุน่าจะเป็นเพราะถูกชิ้นส่วนโครงกระดูกของปีศาจทิ่มเอาตอนที่จมอยู่ในกระแสน้ำระหว่างการโจมตี
ก็ไม่ถึงกับเดินไม่ได้แต่ก็เร่งความเร็วไม่ได้เช่นกัน
โซเดียมมองไปที่ประตูแสงซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร
ไม่เห็นกลุ่มของพวกชาวโลกแล้วด้วยอาจจะออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว
ด้วยความเร็วเพียงเท่านี้อาจจะไม่ทันการแต่จะให้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือพวกมนุษย์ก็ไม่รู้ว่าจะยอมช่วยหรือเปล่า
ไม่สิ
การปล่อยให้เธอตายอยู่ที่นี่จะมีประโยชน์มากกว่าเพราะด้วยเผ่าพันธุ์แล้วก็ยังเป็นศัตรูกันอยู่ดีถึงจะมีสนธิสัญญามาผูกมัดแต่ภายหลังจะต้องเข่นฆ่ากันอีกการลดจำนวนเบี้ยของศัตรูย่อมเป็นสิ่งพึงกระทำ
หากว่าที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ในตอนนี้เป็นชาวโลกแล้วล่ะก็เธอเองก็ไม่คิดจะเหลียวแลเหมือนกัน
“ตัวฉันจบแค่นี้สินะ…ยังอยากจะไปเจอท่านซีเซียมอยากจะได้ยินเสียงหัวเราะของเขาอีกแท้ๆ”
ได้พูดเรื่องที่อยากทำก่อนตายแบบนี้อาจจะทำให้ตัดใจได้จึงลองพูดดู
ลองทำเหมือนกับชาวโลกที่ถูกเธอฆ่าไปในภารกิจต่างๆ
แต่ทำแบบนั้นก็ไม่ช่วยให้สบายใจขึ้นเลยมีแต่จะรู้สึกติดค้างมากขึ้นเท่านั้น
ประตูแสงทยอยหดเล็กลงมันกำลังจะหายไป
“…”
ไม่รู้ทำไมแต่มีคนกำลังวิ่งกลับเข้ามาทั้งที่ประตูใกล้จะปิด
ชาวโลกคนนั้นคือเด็กหนุ่มที่ชื่อฟู
เขาวิ่งมาด้วยสีหน้าคร่ำเครียดแล้วพูดเสียงดังราวกับตะหวาด
“โธ่
ทำอะไรของเธออยู่เนี่ยชักช้าแบบนี้เดี๋ยวก็ออกไปไม่ทันกันพอดี”
“…”
กลับมาด้วยเรื่องนั้นเนี่ยนะ
โซเดียมมองหน้าฟูด้วยความงุนงงระหว่างที่คิดแบบนั้นสายตายของเด็กหนุ่มก็จดจ้องลงมาที่เท้าข้างที่บาดเจ็บของเธอ
“อ้าวบาดเจ็บอยู่นี่แล้วทำไมไม่ตะโกนบอกเล่า”
ถ้าตะโกนแล้วจะกลับมาช่วยเหรอ?
จะช่วยมนุษย์ต่างดาวจริงๆ
น่ะเหรอ?
ไม่ทันได้ตอบโต้ความในใจออกไปก็ถูกเด็กหนุ่มช่วยไปแล้ว
เขาอุ้มร่างของเธอขึ้น
“พยุงวิ่งไปก็ไม่ทันแหงเอาแบบนี้ก็แล้วกัน”
ตอบโต้ไม่ถูกจริงๆ
นั่นแหละแต่ยังไงก็ควรจะค้านซักหน่อย
“น...นี่”
แต่เด็กหนุ่มไม่ฟังแล้วเริ่มวิ่ง
ทว่าความเร็วก็ยังไม่พอเนื่องจากต้องแบกน้ำหนักตัวของเธอไปด้วย
ประตูแสงหดเล็กลงทุกขณะ
การระเบิดของมิติปะทุอย่างต่อเนื่องมีที่ระเบิดขึ้นมาขวางทางข้างหน้าจนทางลุกเป็นไฟและต้องเสียเวลาอ้อม
“…”
โซเดียมไม่รู้ว่าจะตอบสนองกับการกระทำของเด็กหนุ่มชาวโลกอย่างไรอันที่จริงแค่เรื่องที่วิ่งกลับมาช่วยเธอก็น่าทึ่งเกินพอแล้ว
“แต่ว่าแบบนี้ไม่ทันแน่”
โซเดียมพูดระหว่างนั้นประตูก็หดเล็กลงไปอีกต่อให้ไปทันก่อนประตูจะปิดแต่ก็คงไม่กว้างพอสำหรับให้สองคนผ่านเข้าไปได้
ตอนนั้นเองเน็กส์ก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเด็กชายกำไม้เท้ามาเพียงอย่างเดียวไม่ได้พกเครื่องคอมพิวเตอร์มาด้วยคงฝากไว้ที่ด้านนอก
“พี่ฟูทางนี้!”
เน็กส์ยื่นมือมา
สัมผัสได้ถึงสายลมรอบตัวเด็กชายบางทีคงเป็นลมที่หลงเหลือจากการใช้สกิลตระกูลเคลื่อนที่ด้วยลมอย่างวินด์วาร์ป
สตอร์มวาร์ป หรือไต้ฝุ่นวาร์ป
“เน็กส์”
ฟูตอบรับแล้ววิ่งเข้าไปหา
พอไปถึงเน็กส์ก็แปะมือข้างที่ว่างกับตัวเขาแล้วโบกไม้เท้าวนไปมา
“สตอร์มวาร์ป!!”
พริบตาที่ร่ายสกิลอากาศรอบตัวก็เกิดการแปรปรวนสายลมโหมพัดกรรโชก
“…”
วินาทีถัดมา
ทันทีที่รู้สึกตัวก็ออกมาอยู่ด้านนอกแล้ว
ถูกพาข้ามประตูมิมาด้วยสกิลที่ใช้เคลื่อนที่ในพริบตา
รอดแล้ว...ตอนที่หล่อนเริ่มคิดแบบนั้น
“ทุกคนเตรียมสู้ซะเจ้านี่ก็เป็นศัตรูเหมือนกัน!”
คำสั่งของอิงศรก็ดังลั่น
เมื่อหันไปมองว่าทำไมจึงสั่งให้พร้อมต่อสู้อีกในใจก็แค่คิดว่าปีศาจที่ไล่ตามออกมาอาจจะยังไม่ถูกฆ่าแต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้ากลับทำให้เธอกับคนอื่นๆ
ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
....
พญาครุฑปรากฏตัวขึ้นในตอนที่สำเร็จโทษยัลดาเบาธ์
“นี่มันตัวอะไรกันเนี่ย”
มิ่งขวัญพูดถึงจะไม่หันไปมองอิงศรก็พอจะรู้จากน้ำเสียงว่าน้องชายทำหน้าตกใจขนาดไหนรวมถึงคนอื่นๆ
จะมีปฏิกิริยาเช่นไร
จู่ๆ
ก็ออกมาเจอบอสตัวใหม่เลยทันที
แถมยังเป็นตัวร้ายกาจที่เขาประมือมาก็หลายครั้งแต่ก็ยังเอาชนะไม่ได้
นกปีศาจก้มหน้าลงเนื่องจากความสูงของมันเพื่อจะมองอิงศรให้เห็นชัด
“มนุษย์จะเป็นผู้ช่วยมนุษย์อย่างนั้นรึพูดอะไรได้น่าสนใจเหมือนกันนี่มนุษย์ที่มีฟันเฟือง”
มันได้ยินที่เขาพึมพำคำพูดซึ่งไม่รู้ความหมายนั่นด้วย
“แก
เอานรินทร์ไปไว้ที่ไหน”
อิงศรโก่งคันธนู
กางขาวางสมดุลแล้วแอ่นกายเล็งสวนขึ้นไปอย่างไม่เกรงกลัว
แต่พญาครุฑกลับไม่มีความสนใจต่อทีท่าของทางนี้เลย
แม้ว่าพวกพ้องที่อยู่ข้างหลังจะเข้าใจสถานการณ์แล้วเริ่มจับอาวุธ
แม้ว่าในนั้นจะมีมนุษย์ต่างดาวที่แข็งแกร่งถึงสองตนด้วยกันรวมอยู่ด้วย
แม้ว่าจะมีเดโมนอยด์
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มันระแวดระวังตัว
โดนดูถูกถึงขนาดนั้นแล้วมันก็เริ่มพูดต่อจากที่ค้างเอาไว้
“ผู้กอบกู้ของข้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน...แค่เคยเป็น”
ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอดังต่อท้ายประโยคพูดราวกับกำลังเก็บงำเรื่องบางอย่างไว้
“หมายความว่ายังไง!!”
อิงศรตะหวาดออกไปแต่ไม่ใช่เพราะว่าโมโห
เพราะกลัวอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน
จะงอยปากนกของพญาครุฑขยับเล็กน้อยราวกับกำลังยิ้มกรุ้มกริ่ม
“เพราะมนุษย์ไม่มีพลังพอจะทำเรื่องนั้นได้จึงต้องให้เทพเจ้าเข้าช่วยผู้กอบกู้ของข้า
กัลกีของข้าจะกลับคืนสู่ความเป็นดั้งเดิมอันแท้จริงเจ้าลูกมนุษย์ที่เมดูซ่าเรียกว่ารามเอ๋ยเจ้าที่เสมือนเป็นเพียงร่างอวตารคิดว่าจะขัดขวางต้นตอแห่งการกำเนิดเจ้าได้อย่างนั้นหรือ
คิดว่าจะหยุดเทพเจ้าได้เช่นนั้นหรือ”
พญาครุฑพูดแบบนั้น
บอกว่าเขาเป็นราม...
นั่นอาจจะหมายถึงพระรามในเรื่องรามเกียรติ์ที่ดัดแปลงจากรามายณะอีกที
รู้สึกเหมือนกันว่าข้าวหลามที่มีโค้ดเนมว่าเมดูซ่าก็จะเคยเรียกเขาไว้แบบนี้ตอนที่เปิดเผยตัวว่าเป็นพวกอารย-สนธยา
ไหนจะยังรูบิเดียมที่ใช้ชื่อว่าสีดาตอนที่ปลอมตัวเข้าหาพวกเขาอีก
เวลาในขณะนี้กำลังซ้อนทับกับตำนานหรือเรื่องเล่าอะไรซักอย่างในนิทานมหากาพย์นั่นหรือไงกัน
“...”
อิงศรไม่เข้าใจเรื่องพวกนั้น
เพียงแต่...
มีอยู่เรื่องเดียวที่ยืนยันให้แน่ใจได้แล้ว
“นรินทร์อยู่กับแกจริงๆ
สินะ คืนตัวเขามาซะ!!”
คนที่พญาครุฑพูดว่าเป็นผู้กอบกู้นั้นน่าจะเป็นนรินทร์ที่ถูกจับตัวไปเพราะก่อนหน้านี้
ผู้กอบกู้ของข้า
กัลกีของข้า
พญาครุฑเคยพูดเอาไว้อย่างนั้นแล้วมันก็ลักพาตัวนรินทร์หนีมาจากที่ประชุมตระกูลธุวดารกะ
“…”
ตอนนั้นเองพญาครุฑก็โบกกระพือปีก
แรงลมจากการกระพือนั้นคว้านเอาฝุ่นดินขึ้นมาแล้วพัดให้กระจายออกไปในตอนที่มันยกร่างของตัวเองขึ้นไปในอากาศ
อิงศรขยับตัวไม่ได้สายลมรุนแรงเกินไปแค่จะทรงตัวยังทำได้ยาก
“คิดจะหนีรึไง!!”
ได้แต่ส่งเสียงอ่อนแอไล่หลังไป
ทำอะไรไมได้เลย
เมื่อสายลมสงบลงพญาครุฑก็หนีไปแล้ว
บินไปทางทิศไหนเขาก็ไม่รู้เหมือนกันในตอนนั้นสายลมรุนแรงเกินไปจนต้องปิดตา
“ฮึ่ม
เจ้านั่นมันคิดจะทำอะไรกันแน่”
ไม่ว่าจะคิดแบบไหนก็ไม่เข้าใจคำพูดของพญาครุฑอยู่ดี
มีเรื่องของตำนานรามเกียรติ์
เรื่องของนรินทร์ที่จะกลายเป็นผู้กอบกู้อะไรซักอย่างแล้วเพื่อการนั้นมันก็จะใช้ความปรารถนาที่ได้จากยัลดาเบาธ์ทำให้นรินทร์
กลับสู่ความเป็นดั้งเดิมอันแท้จริง....นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกัน?
กลับสู่ความเป็นดั้งเดิมหมายถึงกลับไปเป็นก่อนที่จะเป็นมนุษย์อย่างนั้นหรือ?
จะบอกว่านรินทร์ไม่ใช่มนุษย์?
“…”
ถ้าจะถามเรื่องนั้นก็พอมีคนในกลุ่มให้ถามได้อยู่
อิงศรหันกลับไปยังพวกพ้องสายตาจ้องมองไปที่ฟูกับมิกซ์ซึ่งเป็นกลุ่มเด็กโตที่สุดในพวกเดโมนอยด์
พวกเขาน่าจะมีข้อมูลของอารย-สนธยาอยู่บ้าง
ดูเหมือนทั้งสองจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกจับตามองจึงเดินแทรกแถวขึ้นมาหา
อิงศรเริ่มคำถามก่อน
“พวกนายรู้จักเจ้านกเมื่อกี้ไหม”
ทั้งคู่พยักหน้า
จากนั้นมิกซ์ก็พูดว่า
“พวกเราอยู่ในฐานะตัวทดลองของอวโลกิตะก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่องขององค์กรซักเท่าไหร่แต่ว่าเจ้านั่นน่าจะเป็นหัวหน้าระดับสูงเพราะว่าอวโลกิตะจะรับคำสั่งมาจากเจ้านั่นอีกที”
คำพูดของมิกซ์สมเหตุสมผล
เจ้านกนั่นก็พูดเอาไว้เหมือนกันว่ายัลดาเบาธ์ถูกอวโลกิตะชุบเลี้ยงเพื่อสะสมความปรารถนาดังนั้นมันน่าจะเป็นผู้บงการที่มีระดับสูงกว่าอวโลกิตะ
“…”
สัมผัสอันเฉียบคมจับได้ว่ารอบๆ
นี่มีบางอย่างหลบซ่อนอยู่
“แสกนนิ่ง”
อิงศรสะบัดมือเป็นท่วงท่าเงื่อนไขให้สกิลทำงาน
หน้าจอแสดงผลปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
คลื่นของสกิลที่กระจายออกไปจะตรวจสอบวัตถุในบริเวณรอบๆ
แล้วส่งข้อมูลกลับมาที่หน้าจอ
มิกซ์พูด
“แถวนี้มีศัตรูเหรอ”
ด้วยคำพูดนั้นทำให้ทุกคนหันไปมองรอบตัวมากขึ้นต่างช่วยกันระแวดระวังภัย
แต่อิงศรกลับ
“อยู่ข้างหลังซากนั่นสินะคุณวิเชียรมาศ”
พูดอย่างนั้นแล้วหันไปทางกองหินสูงที่อยู่ห่างออกไปพอสมควร
เป็นกองหินที่ดูมีพิรุธมากเพราะบริเวณรอบๆ
นี้ถูกเป่าจนราบเรียบจากการต่อสู้กับโซเดียมก่อนหน้าที่จะเข้าไปในจอกศักดิ์สิทธิ์แถมยังแรงจากลมของพญาครุฑเมื่อครู่อีก
แต่กองหินนั่นก็ไม่ล้มลงไม่กระจัดกระจายด้วย
“ถ้าไม่ออกมาทางเราจะลงมือนะ
เทคนิคัลเวพ่อน”
อิงศรพูดแล้วเปลี่ยนคันธนูเป็นหน้าไม้เล็งไปตรงกองหิน
ทันใดนั้นเองกองหินก็ขยับและบิดเบี้ยวไปมาราวกับว่าไม่ใช่หิน
กลายเป็นก้อนสีดำทะมึนที่มีความแวววาวเหมือนทาน้ำมันไว้ราวกับเกล็ดของงู
ก้อนสีดำที่จริงแล้วเป็นสีน้ำเงินเข้มเมื่อต้องแสงจันทร์แต่ในเงามืดมันดูเหมือนกับดำสนิท
ก้อนนั่นคลายตัวออกชูคอยาวหันมาทางนี้
อสรพิษปีศาจร่างยักษ์มีหงอนเป็นเดือยสีแดงอย่างไก่
ปีกนกบนหลังกางสยายออก
พญางูปีศาจเกวตซัลโกอัตล์…
แต่มันน่าจะถูกฆ่าไปในอุโมงค์ใต้ดินแล้วด้วยบัลลิสต้าพันนิชเชอร์ของเขา
อิงศรพูด
“ตอนนั้นยังไม่ตายจริงๆ
สินะ”
พยายามเก็บอาการตัวเองให้มากที่สุด
แม้นั่นจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ถ้าลองผ่านการต่อสู้กับพวกปีศาจระดับสูงของอารย-สนธยามาแล้วก็จะรู้ได้ทันทีว่าพวกมันไม่ได้ตายกันง่ายๆ
จะต้องมีสกิลหรือพลังอะไรซักอย่างที่ทำให้พวกมันรอดมาจากความตาย
แต่ที่เหนือเกินคาดการณ์ไปหน่อยก็คือตัวจริงของปีศาจ
เกวตซัลโกอัตล์เปลี่ยนร่างอีกครั้งกลายเป็นสาวงามที่คุ้นหน้ากันเป็นอย่างดี
เส้นผมสีฟ้า
แววตาเย็นชา สีหน้าเรียบนิ่ง มักจะพบเห็นเธออยู่ใกล้ตัวสิงห์เสมอ
วิเชียรมาศนั่นเอง
ไม่รู้ว่าหล่อนจะรู้รึเปล่าว่าสกิลแสกนนิ่งนั้นหลังจากอัพเดทแพซท์ใหม่มันก็ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพให้แสดงชื่อของวัตถุที่ค้นเจอในระยะสำรวจถ้าสิ่งนั้นเป็นปาร์ตี้เดียวกันหรือเพื่อนที่บันทึกไว้หรือแม้แต่ผู้สังกัดกิลด์เดียวกันก็จะแสดงชื่อขึ้นมาบนแผนที่
นี่เป็นครั้งแรกที่ตระหนักถึงประโยชน์ของการอยู่ในกิลด์
ตอนนั้นเองวิเชียรมาศก็พูดขึ้นว่า
“แล้วสาวมาถึงตัวฉันตั้งแต่ตอนไหนกัน”
ท่าทางอีกฝ่ายจะไม่รู้เรื่องสกิลนั้นจริงๆ
“ถ้าลองคิดดูซักหน่อยก็พอจะเห็นภาพแหละน่าคิดว่าฉันโดนสิงห์เลี้ยงมากี่ปีกัน”
อิงศรโกหก
ที่จริงแล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหล่อนจะเป็นคนของฝั่งนี้
ที่ผ่านมาก็พอจะรู้ว่าหล่อนซื่อสัตย์และจริงใจกับสิงห์มากขนาดไหนจึงไม่คิดว่าจะทรยศเมตไตรยและหักหลัง
สิงห์ ธุวดารกะ คนนั้น
หรือไม่ก็อย่างเลวร้ายที่สุด...
สิงห์เป็นคนของอารย-สนธยามาตั้งแต่แรก
การตายของหมอนั่นเป็นเพียงละครเพื่อตบตาเมตไตรย
เพื่อเป้าหมายบางอย่างที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
“...”
อีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ออกมาอาจจะยังไม่เชื่อคำโกหกเมื่อครู่
“ทหารคนอื่นๆ
ไปไหนหมดล่ะหรือว่าเรื่องที่ทรยศเมตไตรยนี่ก็เป็นแผนของสิงห์งั้นสิ
เจ้านั่นน่าจะยังไม่ตายสินะ เป็นแผนแกล้งตายฉันพูดถูกรึเปล่า”
เขาลองเดาสุ่มๆ
ไปอย่างนั้นพยายามวางท่าให้อีกฝ่ายคิดว่าถูกตนมองแผนการออก
แต่อีกฝ่ายคือวิเชียรมาศที่คล้ายกับสิงห์
หล่อนรับมือคำพูดหลอกล่อของเขาได้อย่างเยือกเย็นโดยไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาหรือเคลื่อนไหวให้ดูมีพิรุธ
“เรื่องนั้นน่ะไว้ไปช่วยนรินทร์
ระจินดาได้เมื่อไหร่เธอก็จะรู้เอง”
หล่อนพูดเพียงแค่นั้นแล้วหันหลังก้าวเท้าวิ่งสองถึงสามก้าวก่อนจะหายไป
บางทีหล่อนคงแค่มาสังเกตการณ์เพื่อคาดคะเนอะไรบางอย่าง
แล้วที่บอกว่าช่วยนรินทร์นั่นก็อีกจงใจจะบอกว่าถ้าช่วยนรินทร์ได้จะรู้ความลับทั้งหมด?
นรินทร์เกี่ยวข้องอะไรกับอารย-สนธยา...เกี่ยวพันถึงแผนของการที่ยังไม่รู้ของสิงห์กันแน่
หรือหมอนั่นก็มีส่วนรู้เห็น
เขาไม่รู้อะไรอีกแล้วข้อมูลมีน้อยเกินไปถึงคิดก็ไม่เข้าใจ
“…”
บรรยากาศสงบลง
เงียบสนิทมีแต่เสียงลมพัดอย่างเอื่อยเฉื่อย
แต่ซากิริก็พูดทำลายความเงียบนั้น
‘ดูเหมือนจะมีเรื่องน่าสนุกรอให้ทำอยู่เยอะเลยนะ’
อิงศรตอบประชดคำพูดนั้น
“น่าเหนื่อยใจน่ะสิไม่ว่า”
‘นั่นสินะเริ่มเหนื่อยแล้วสิ’
อิงศรหันไปมองหล่อนที่ลอยหน้าอยู่บนจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเน็กส์วางทิ้งไว้บนพื้น
ที่หล่อนพูดว่าเหนื่อยนั้นออกจะแปลกๆ
เพราะใช้กับร่างข้อมูลที่สถิตอยู่ในเครื่องคอมฯ แบบนั้น
หล่อนทำหน้าเสียดายอย่างจริงจัง
‘แบตคงใกล้จะหมดแล้วล่ะคงต้องลากันตรงนี้แล้วโชเน็นพี่ชาย’
พอบอกลามาอย่างนั้นก็รู้สึกใจคอไม่ดี
“เฮ้
พูดอะไรของเธอน่ะอย่างกับ...”
เป็นคำสั่งเสีย...หล่อนทำหน้าบอกแบบนั้น
‘เครื่องนี้เดิมทีเป็นเครื่องเปล่าแค่เอามาใช้เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อเท่านั้นเองพอร่างจริงหายไปก็ไม่มีพลังงานจ่ายให้แล้วแถมข้อมูลของฉันเกือบทั้งหมดก็ไปรวมอยู่กับเมลคีเซเดคด้วยคงอยู่ได้อีกไม่นาน’
ซากิริพูดเหมือนรู้อยู่ก่อน
งั้นที่โดดเข้าไปรับลูกศรของเขาตอนนั้นก็...
“นี่แปลว่าเธอรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าจะต้องเป็นแบบนี้น่ะ”
อิงศรตะหวาดแต่ใบหน้ากลับบิดเบี้ยวเหยเก
คนอื่นๆ
ก็เหมือนจะรับรู้ได้จากการสนทนาแล้วว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับซากิริจนมีสีหน้าหดหู่ไปตามๆ
กัน
แต่ซากิริยิ้มแห้งให้กับพวกเขาแล้วพูดเพื่อไม่ให้คิดมาก
‘เฮ่เฮ้~ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิไม่ใช่ความผิดพวกเธอหรอกนะถึงยังไงร่างนั้นก็ใกล้จะพังทลายอยู่แล้วด้วยถึงไม่ทำแบบนี้ตัวฉันก็คงอยู่ไม่รอดจนถึงวันพรุ่งนี้อยู่ดีเพราะรู้เรื่องนั้นอยู่แล้วถึงได้อาสามาที่แนวหน้าไงล่ะอย่างน้อยฉันก็พอจะมีประโยชน์บ้างแค่นั้นก็พอ’
“…”
‘เน็กส์’
จู่ๆ
หล่อนก็เรียกเน็กส์ เด็กชายตอบรับด้วยน้ำเสียงคลอ
“ค..รับ”
‘ถึงฉันจะเอามาอัพเกรดตามใจชอบแล้วก็เถอะแต่ว่าแว่นที่เธอใส่อยู่น่ะเจ้าของเป็นคนที่ถูกลักพาตัวมาที่นี่หลังจากช่วยเขาได้แล้วฝากคืนให้ทีนะแล้วก็ฝากบอกขอโทษเรื่องนั้นด้วยล่ะ’
เน็กส์พยักหน้า
จากนั้นภาพบนจอก็เหมือนจะมืดลงแบตเครื่องคงใกล้จะหมดเต็มที
“เดี๋ยวสิอย่าเพิ่งพูดอย่างกับจะไปเกิดใหม่แบบนั้นสิถ้าแบตหมดแค่เอาไปชาร์จไฟใหม่ก็น่าจะได้ไม่ใช่เหรอ”
อิซานามิเสนออย่างนั้นขณะที่แหวกกลุ่มขึ้นมาอยู่หน้าเครื่องคอมฯ
‘ก็บอกไปแล้วไง...เครื่องเปล่าข้างในไม่มีไส้...ชาร์จ...ไม่...’
เสียงจากเครื่องเริ่มแผ่วเบาลงหน้าจอก็แทบจะไม่มีแสงเหลือแล้ว
ใบหน้าของซากิริจางหายไปในตอนนั้น
ใบหน้านั้นยิ้มแย้มในวาระสุดท้าย
เป็นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร่ถ้าคิดว่าหล่อนเป็นเทวทูตสวรรค์
แต่ถ้านั่นเป็นรอยยิ้มของ
ซากิริ อามาเนะ ก็ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก
เสียงเครื่องทำงานเงียบลงไปแล้วหน้าจอก็ดับสนิทด้วย
“…”
อิงศรก้มตัวเอื้อมมือไปดึงฝาพับหน้าจอให้ปิดลง
มีความรู้สึกเหมือนกับว่าถ้าเปิดทิ้งเอาไว้แบบนั้นจะทำให้หล่อนตายตาไม่หลับ
เป็นแค่การคิดเอาเองแต่ก็รู้สึกหดหู่ใจอยู่ไม่น้อย
สรุปแล้ว...เพื่อให้ได้ชัยชนะเหนือปีศาจมาพวกเขาต้องสังเวยพวกพ้องไปหนึ่งคน
“ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมา”
อิงศรพูดเพียงแค่นั้นแล้วลุกขึ้นแต่อิซานามิกลับทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่หน้าเครื่องพลางใช้มือลูบไล้ไปบนหลังเครื่องนั่น
“ข้าเป็นเทพแห่งความตายขอส่งวิญญาณคนตายหน่อยเถอะ”
หล่อนพูดมาอย่างนั้น
แต่ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์แล้วก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตด้วยดังนั้นจึงส่งวิญญาณไม่ได้
ก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าเทวทูตกับปีศาจพอตายแล้วจะไปไหนจะกลับไปยังแหล่งที่จากมาหรือสาบสูญไป
อิซานามิยังคงรำพึง
“เจ้าเป็นเพื่อนคุยเพียงคนเดียวที่ข้ามีเลยล่ะ”
“…”
จะอย่างไหนก็ต้องใช้เวลาในการทำใจทั้งนั้น
ตอนนี้ไม่ใช่ทหารแล้ว
ไม่ใช่นักรบของเมตไตรยด้วยจึงไม่จำเป็นต้องข่มใจให้ด้านชาต่อการจากไปของพวกพ้อง
“อย่านานนักล่ะ”
ดังนั้นจึงมอบเวลาให้อิซานามิได้ทำใจแล้วแยกคนอื่นๆ
ออกมา
“…”
โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ได้นึกเสียใจหนักหนาขนาดนั้น
ทั้งที่คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวไม่ได้สนิทอะไรกับหล่อนแต่ตัวเองกลับกำลังกดริมฝีปาก
เจ้าตัวก็พูดเองด้วยว่ายังไงก็ต้องตายภายในคืนนี้เพราะอายุขัยหมดกำหนดถ้าเป็นแบบนั้นร่างเทวทูตคงจะไปหาร่างใหม่สิงเอาหรือไม่ก็หายไปจะเป็นอย่างไหนก็ไม่อาจรู้ได้แล้ว
ตอนนี้มีเรื่องที่จะต้องคิดอย่างจริงจังซะก่อนแล้วก็ต้องปล่อยให้คนอื่นๆ
ที่ยังหดหู่กับการจากไปได้ทำใจยังมีเวลาให้คิดอีก...
จ๊อก~~~
มีเสียงแบบนั้นดังมาจากท้องของกวินทร์
ทุกคนมองไปที่เด็กหนุ่มพร้อมๆ
กัน
“ขอโทษครับพอดียังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าแล้วก็เลย
แหะ แหะ แหะ”
กวินทร์พูดแก้เขินติดตลกไปด้วยขณะที่แอบปาดคราบน้ำตาออก
เมื่อความตึงเครียดสิ้นสุดความเหนื่อยล้าก็เหมือนจะโจมตีเข้ามาความหิวก็เช่นกันพอมาลองคิดๆ
ดูแล้วตัวเขาเองก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่เช้าเหมือนกวินทร์เพราะถูกพวกตระกูลธุวดารกะลากตัวออกไปตั้งแต่เช้า
แล้วก็ไม่ใช่แค่กวินทร์แต่หลังจากนั้นยังมีเสียงโครกครากของท้องไส้ปั่นป่วนดังมาจากฟูบ้าง
มิกซ์บ้าง ขวัญบ้าง เจ้าพวกนั้นเอามือกุมท้องแล้วทำหน้าแดงด้วยความเขินอาย
อิงศรกลั้นขำแล้วอมยิ้มเล็กน้อย
“พักกินข้าวก่อนละกัน”
ยังไงกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องจริงๆ
นั่นแหละ
ความคิดเห็น