ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #135 : Login 132: พบพานและจากลา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 287
      10
      26 ก.ค. 60

    Login 132: พบพานและจากลา

     

                ภายในมิติจอกศักดิ์สิทธิ์ที่ยัลดาเบาธ์สร้างขึ้นมา

                เมื่อผู้สร้างถูกกำจัดมิติก็เริ่มจะพังทลายด้วยตัวเอง

                ความเวิ้งว้างรอบด้านเหมือนกับจะบีบอัดเข้ามา

                เกิดระเบิดขึ้นจากความว่างเปล่าไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

                กลุ่มของอิงศรวิ่งไล่หลังผู้นำที่ข้ามประตูแสงออกไปก่อนแล้ว เว้นแต่…

                “ชิ ไม่ไหวเหรอเนี่ย”

                ราชครูโซเดียมเดินกะเพลกๆ อยู่รั้งท้ายกลุ่มจนในที่สุดก็ถูกทิ้งห่าง

                ขาของเธอได้รับบาดเจ็บเพราะถูกแทงเข้าที่เอ็นร้อยหวายจนมีเลือดไหลทะลัก สาเหตุน่าจะเป็นเพราะถูกชิ้นส่วนโครงกระดูกของปีศาจทิ่มเอาตอนที่จมอยู่ในกระแสน้ำระหว่างการโจมตี

                ก็ไม่ถึงกับเดินไม่ได้แต่ก็เร่งความเร็วไม่ได้เช่นกัน

                โซเดียมมองไปที่ประตูแสงซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร

                ไม่เห็นกลุ่มของพวกชาวโลกแล้วด้วยอาจจะออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว

                ด้วยความเร็วเพียงเท่านี้อาจจะไม่ทันการแต่จะให้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือพวกมนุษย์ก็ไม่รู้ว่าจะยอมช่วยหรือเปล่า

                ไม่สิ การปล่อยให้เธอตายอยู่ที่นี่จะมีประโยชน์มากกว่าเพราะด้วยเผ่าพันธุ์แล้วก็ยังเป็นศัตรูกันอยู่ดีถึงจะมีสนธิสัญญามาผูกมัดแต่ภายหลังจะต้องเข่นฆ่ากันอีกการลดจำนวนเบี้ยของศัตรูย่อมเป็นสิ่งพึงกระทำ

                หากว่าที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ในตอนนี้เป็นชาวโลกแล้วล่ะก็เธอเองก็ไม่คิดจะเหลียวแลเหมือนกัน

                “ตัวฉันจบแค่นี้สินะ…ยังอยากจะไปเจอท่านซีเซียมอยากจะได้ยินเสียงหัวเราะของเขาอีกแท้ๆ”

                ได้พูดเรื่องที่อยากทำก่อนตายแบบนี้อาจจะทำให้ตัดใจได้จึงลองพูดดู ลองทำเหมือนกับชาวโลกที่ถูกเธอฆ่าไปในภารกิจต่างๆ แต่ทำแบบนั้นก็ไม่ช่วยให้สบายใจขึ้นเลยมีแต่จะรู้สึกติดค้างมากขึ้นเท่านั้น

                ประตูแสงทยอยหดเล็กลงมันกำลังจะหายไป

                “…”

                ไม่รู้ทำไมแต่มีคนกำลังวิ่งกลับเข้ามาทั้งที่ประตูใกล้จะปิด

                ชาวโลกคนนั้นคือเด็กหนุ่มที่ชื่อฟู

                เขาวิ่งมาด้วยสีหน้าคร่ำเครียดแล้วพูดเสียงดังราวกับตะหวาด

                “โธ่ ทำอะไรของเธออยู่เนี่ยชักช้าแบบนี้เดี๋ยวก็ออกไปไม่ทันกันพอดี”

                “…”

                กลับมาด้วยเรื่องนั้นเนี่ยนะ

                โซเดียมมองหน้าฟูด้วยความงุนงงระหว่างที่คิดแบบนั้นสายตายของเด็กหนุ่มก็จดจ้องลงมาที่เท้าข้างที่บาดเจ็บของเธอ

                “อ้าวบาดเจ็บอยู่นี่แล้วทำไมไม่ตะโกนบอกเล่า”

                ถ้าตะโกนแล้วจะกลับมาช่วยเหรอ?

                จะช่วยมนุษย์ต่างดาวจริงๆ น่ะเหรอ?

                ไม่ทันได้ตอบโต้ความในใจออกไปก็ถูกเด็กหนุ่มช่วยไปแล้ว เขาอุ้มร่างของเธอขึ้น

                “พยุงวิ่งไปก็ไม่ทันแหงเอาแบบนี้ก็แล้วกัน”

                ตอบโต้ไม่ถูกจริงๆ นั่นแหละแต่ยังไงก็ควรจะค้านซักหน่อย

                “น...นี่”

                แต่เด็กหนุ่มไม่ฟังแล้วเริ่มวิ่ง ทว่าความเร็วก็ยังไม่พอเนื่องจากต้องแบกน้ำหนักตัวของเธอไปด้วย

                ประตูแสงหดเล็กลงทุกขณะ

                การระเบิดของมิติปะทุอย่างต่อเนื่องมีที่ระเบิดขึ้นมาขวางทางข้างหน้าจนทางลุกเป็นไฟและต้องเสียเวลาอ้อม

                “…”

                โซเดียมไม่รู้ว่าจะตอบสนองกับการกระทำของเด็กหนุ่มชาวโลกอย่างไรอันที่จริงแค่เรื่องที่วิ่งกลับมาช่วยเธอก็น่าทึ่งเกินพอแล้ว

                “แต่ว่าแบบนี้ไม่ทันแน่”

                โซเดียมพูดระหว่างนั้นประตูก็หดเล็กลงไปอีกต่อให้ไปทันก่อนประตูจะปิดแต่ก็คงไม่กว้างพอสำหรับให้สองคนผ่านเข้าไปได้

                ตอนนั้นเองเน็กส์ก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเด็กชายกำไม้เท้ามาเพียงอย่างเดียวไม่ได้พกเครื่องคอมพิวเตอร์มาด้วยคงฝากไว้ที่ด้านนอก

                “พี่ฟูทางนี้!”

                เน็กส์ยื่นมือมา สัมผัสได้ถึงสายลมรอบตัวเด็กชายบางทีคงเป็นลมที่หลงเหลือจากการใช้สกิลตระกูลเคลื่อนที่ด้วยลมอย่างวินด์วาร์ป สตอร์มวาร์ป  หรือไต้ฝุ่นวาร์ป

                “เน็กส์”

                ฟูตอบรับแล้ววิ่งเข้าไปหา

                พอไปถึงเน็กส์ก็แปะมือข้างที่ว่างกับตัวเขาแล้วโบกไม้เท้าวนไปมา

                “สตอร์มวาร์ป!!”

                พริบตาที่ร่ายสกิลอากาศรอบตัวก็เกิดการแปรปรวนสายลมโหมพัดกรรโชก

                “…”

                วินาทีถัดมา ทันทีที่รู้สึกตัวก็ออกมาอยู่ด้านนอกแล้ว ถูกพาข้ามประตูมิมาด้วยสกิลที่ใช้เคลื่อนที่ในพริบตา

                รอดแล้ว...ตอนที่หล่อนเริ่มคิดแบบนั้น

                “ทุกคนเตรียมสู้ซะเจ้านี่ก็เป็นศัตรูเหมือนกัน!”

                คำสั่งของอิงศรก็ดังลั่น เมื่อหันไปมองว่าทำไมจึงสั่งให้พร้อมต่อสู้อีกในใจก็แค่คิดว่าปีศาจที่ไล่ตามออกมาอาจจะยังไม่ถูกฆ่าแต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้ากลับทำให้เธอกับคนอื่นๆ ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง

     

                ....

                พญาครุฑปรากฏตัวขึ้นในตอนที่สำเร็จโทษยัลดาเบาธ์

                “นี่มันตัวอะไรกันเนี่ย”

                มิ่งขวัญพูดถึงจะไม่หันไปมองอิงศรก็พอจะรู้จากน้ำเสียงว่าน้องชายทำหน้าตกใจขนาดไหนรวมถึงคนอื่นๆ จะมีปฏิกิริยาเช่นไร

                จู่ๆ ก็ออกมาเจอบอสตัวใหม่เลยทันที

                แถมยังเป็นตัวร้ายกาจที่เขาประมือมาก็หลายครั้งแต่ก็ยังเอาชนะไม่ได้

                นกปีศาจก้มหน้าลงเนื่องจากความสูงของมันเพื่อจะมองอิงศรให้เห็นชัด

                “มนุษย์จะเป็นผู้ช่วยมนุษย์อย่างนั้นรึพูดอะไรได้น่าสนใจเหมือนกันนี่มนุษย์ที่มีฟันเฟือง”

                มันได้ยินที่เขาพึมพำคำพูดซึ่งไม่รู้ความหมายนั่นด้วย

                “แก เอานรินทร์ไปไว้ที่ไหน”

                อิงศรโก่งคันธนู กางขาวางสมดุลแล้วแอ่นกายเล็งสวนขึ้นไปอย่างไม่เกรงกลัว

                แต่พญาครุฑกลับไม่มีความสนใจต่อทีท่าของทางนี้เลย

                แม้ว่าพวกพ้องที่อยู่ข้างหลังจะเข้าใจสถานการณ์แล้วเริ่มจับอาวุธ

                แม้ว่าในนั้นจะมีมนุษย์ต่างดาวที่แข็งแกร่งถึงสองตนด้วยกันรวมอยู่ด้วย

                แม้ว่าจะมีเดโมนอยด์

                แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มันระแวดระวังตัว โดนดูถูกถึงขนาดนั้นแล้วมันก็เริ่มพูดต่อจากที่ค้างเอาไว้

                “ผู้กอบกู้ของข้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน...แค่เคยเป็น”

                ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอดังต่อท้ายประโยคพูดราวกับกำลังเก็บงำเรื่องบางอย่างไว้

                “หมายความว่ายังไง!!”

                อิงศรตะหวาดออกไปแต่ไม่ใช่เพราะว่าโมโห เพราะกลัวอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน

                จะงอยปากนกของพญาครุฑขยับเล็กน้อยราวกับกำลังยิ้มกรุ้มกริ่ม

                “เพราะมนุษย์ไม่มีพลังพอจะทำเรื่องนั้นได้จึงต้องให้เทพเจ้าเข้าช่วยผู้กอบกู้ของข้า กัลกีของข้าจะกลับคืนสู่ความเป็นดั้งเดิมอันแท้จริงเจ้าลูกมนุษย์ที่เมดูซ่าเรียกว่ารามเอ๋ยเจ้าที่เสมือนเป็นเพียงร่างอวตารคิดว่าจะขัดขวางต้นตอแห่งการกำเนิดเจ้าได้อย่างนั้นหรือ คิดว่าจะหยุดเทพเจ้าได้เช่นนั้นหรือ”

                พญาครุฑพูดแบบนั้น

                บอกว่าเขาเป็นราม... นั่นอาจจะหมายถึงพระรามในเรื่องรามเกียรติ์ที่ดัดแปลงจากรามายณะอีกที รู้สึกเหมือนกันว่าข้าวหลามที่มีโค้ดเนมว่าเมดูซ่าก็จะเคยเรียกเขาไว้แบบนี้ตอนที่เปิดเผยตัวว่าเป็นพวกอารย-สนธยา

                ไหนจะยังรูบิเดียมที่ใช้ชื่อว่าสีดาตอนที่ปลอมตัวเข้าหาพวกเขาอีก

                เวลาในขณะนี้กำลังซ้อนทับกับตำนานหรือเรื่องเล่าอะไรซักอย่างในนิทานมหากาพย์นั่นหรือไงกัน

                “...”

                อิงศรไม่เข้าใจเรื่องพวกนั้น เพียงแต่...

                มีอยู่เรื่องเดียวที่ยืนยันให้แน่ใจได้แล้ว

                “นรินทร์อยู่กับแกจริงๆ สินะ คืนตัวเขามาซะ!!”

                คนที่พญาครุฑพูดว่าเป็นผู้กอบกู้นั้นน่าจะเป็นนรินทร์ที่ถูกจับตัวไปเพราะก่อนหน้านี้

                ผู้กอบกู้ของข้า กัลกีของข้า

                พญาครุฑเคยพูดเอาไว้อย่างนั้นแล้วมันก็ลักพาตัวนรินทร์หนีมาจากที่ประชุมตระกูลธุวดารกะ

                “…”

                ตอนนั้นเองพญาครุฑก็โบกกระพือปีก

                แรงลมจากการกระพือนั้นคว้านเอาฝุ่นดินขึ้นมาแล้วพัดให้กระจายออกไปในตอนที่มันยกร่างของตัวเองขึ้นไปในอากาศ

                อิงศรขยับตัวไม่ได้สายลมรุนแรงเกินไปแค่จะทรงตัวยังทำได้ยาก

                “คิดจะหนีรึไง!!”

                ได้แต่ส่งเสียงอ่อนแอไล่หลังไป

                ทำอะไรไมได้เลย

                เมื่อสายลมสงบลงพญาครุฑก็หนีไปแล้ว บินไปทางทิศไหนเขาก็ไม่รู้เหมือนกันในตอนนั้นสายลมรุนแรงเกินไปจนต้องปิดตา

                “ฮึ่ม เจ้านั่นมันคิดจะทำอะไรกันแน่”

                ไม่ว่าจะคิดแบบไหนก็ไม่เข้าใจคำพูดของพญาครุฑอยู่ดี

                มีเรื่องของตำนานรามเกียรติ์

                เรื่องของนรินทร์ที่จะกลายเป็นผู้กอบกู้อะไรซักอย่างแล้วเพื่อการนั้นมันก็จะใช้ความปรารถนาที่ได้จากยัลดาเบาธ์ทำให้นรินทร์ กลับสู่ความเป็นดั้งเดิมอันแท้จริง....นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกัน?

                กลับสู่ความเป็นดั้งเดิมหมายถึงกลับไปเป็นก่อนที่จะเป็นมนุษย์อย่างนั้นหรือ?

                จะบอกว่านรินทร์ไม่ใช่มนุษย์?

                “…”

                ถ้าจะถามเรื่องนั้นก็พอมีคนในกลุ่มให้ถามได้อยู่

                อิงศรหันกลับไปยังพวกพ้องสายตาจ้องมองไปที่ฟูกับมิกซ์ซึ่งเป็นกลุ่มเด็กโตที่สุดในพวกเดโมนอยด์ พวกเขาน่าจะมีข้อมูลของอารย-สนธยาอยู่บ้าง

                ดูเหมือนทั้งสองจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกจับตามองจึงเดินแทรกแถวขึ้นมาหา

                อิงศรเริ่มคำถามก่อน

                “พวกนายรู้จักเจ้านกเมื่อกี้ไหม”

                ทั้งคู่พยักหน้า จากนั้นมิกซ์ก็พูดว่า

                “พวกเราอยู่ในฐานะตัวทดลองของอวโลกิตะก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่องขององค์กรซักเท่าไหร่แต่ว่าเจ้านั่นน่าจะเป็นหัวหน้าระดับสูงเพราะว่าอวโลกิตะจะรับคำสั่งมาจากเจ้านั่นอีกที”

                คำพูดของมิกซ์สมเหตุสมผล เจ้านกนั่นก็พูดเอาไว้เหมือนกันว่ายัลดาเบาธ์ถูกอวโลกิตะชุบเลี้ยงเพื่อสะสมความปรารถนาดังนั้นมันน่าจะเป็นผู้บงการที่มีระดับสูงกว่าอวโลกิตะ

                “…”

                สัมผัสอันเฉียบคมจับได้ว่ารอบๆ นี่มีบางอย่างหลบซ่อนอยู่

                “แสกนนิ่ง”

                อิงศรสะบัดมือเป็นท่วงท่าเงื่อนไขให้สกิลทำงาน

                หน้าจอแสดงผลปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

                คลื่นของสกิลที่กระจายออกไปจะตรวจสอบวัตถุในบริเวณรอบๆ แล้วส่งข้อมูลกลับมาที่หน้าจอ

                มิกซ์พูด

                “แถวนี้มีศัตรูเหรอ”

                ด้วยคำพูดนั้นทำให้ทุกคนหันไปมองรอบตัวมากขึ้นต่างช่วยกันระแวดระวังภัย

                แต่อิงศรกลับ

                “อยู่ข้างหลังซากนั่นสินะคุณวิเชียรมาศ”

                พูดอย่างนั้นแล้วหันไปทางกองหินสูงที่อยู่ห่างออกไปพอสมควร

                เป็นกองหินที่ดูมีพิรุธมากเพราะบริเวณรอบๆ นี้ถูกเป่าจนราบเรียบจากการต่อสู้กับโซเดียมก่อนหน้าที่จะเข้าไปในจอกศักดิ์สิทธิ์แถมยังแรงจากลมของพญาครุฑเมื่อครู่อีก

                แต่กองหินนั่นก็ไม่ล้มลงไม่กระจัดกระจายด้วย

                “ถ้าไม่ออกมาทางเราจะลงมือนะ เทคนิคัลเวพ่อน”

                อิงศรพูดแล้วเปลี่ยนคันธนูเป็นหน้าไม้เล็งไปตรงกองหิน

                ทันใดนั้นเองกองหินก็ขยับและบิดเบี้ยวไปมาราวกับว่าไม่ใช่หิน กลายเป็นก้อนสีดำทะมึนที่มีความแวววาวเหมือนทาน้ำมันไว้ราวกับเกล็ดของงู

                ก้อนสีดำที่จริงแล้วเป็นสีน้ำเงินเข้มเมื่อต้องแสงจันทร์แต่ในเงามืดมันดูเหมือนกับดำสนิท ก้อนนั่นคลายตัวออกชูคอยาวหันมาทางนี้

                อสรพิษปีศาจร่างยักษ์มีหงอนเป็นเดือยสีแดงอย่างไก่ ปีกนกบนหลังกางสยายออก

                พญางูปีศาจเกวตซัลโกอัตล์…

                แต่มันน่าจะถูกฆ่าไปในอุโมงค์ใต้ดินแล้วด้วยบัลลิสต้าพันนิชเชอร์ของเขา

                อิงศรพูด

                “ตอนนั้นยังไม่ตายจริงๆ สินะ”

                พยายามเก็บอาการตัวเองให้มากที่สุด แม้นั่นจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ถ้าลองผ่านการต่อสู้กับพวกปีศาจระดับสูงของอารย-สนธยามาแล้วก็จะรู้ได้ทันทีว่าพวกมันไม่ได้ตายกันง่ายๆ จะต้องมีสกิลหรือพลังอะไรซักอย่างที่ทำให้พวกมันรอดมาจากความตาย แต่ที่เหนือเกินคาดการณ์ไปหน่อยก็คือตัวจริงของปีศาจ

                เกวตซัลโกอัตล์เปลี่ยนร่างอีกครั้งกลายเป็นสาวงามที่คุ้นหน้ากันเป็นอย่างดี

                เส้นผมสีฟ้า แววตาเย็นชา สีหน้าเรียบนิ่ง มักจะพบเห็นเธออยู่ใกล้ตัวสิงห์เสมอ

                วิเชียรมาศนั่นเอง

                ไม่รู้ว่าหล่อนจะรู้รึเปล่าว่าสกิลแสกนนิ่งนั้นหลังจากอัพเดทแพซท์ใหม่มันก็ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพให้แสดงชื่อของวัตถุที่ค้นเจอในระยะสำรวจถ้าสิ่งนั้นเป็นปาร์ตี้เดียวกันหรือเพื่อนที่บันทึกไว้หรือแม้แต่ผู้สังกัดกิลด์เดียวกันก็จะแสดงชื่อขึ้นมาบนแผนที่

                นี่เป็นครั้งแรกที่ตระหนักถึงประโยชน์ของการอยู่ในกิลด์

                ตอนนั้นเองวิเชียรมาศก็พูดขึ้นว่า

                “แล้วสาวมาถึงตัวฉันตั้งแต่ตอนไหนกัน”

                ท่าทางอีกฝ่ายจะไม่รู้เรื่องสกิลนั้นจริงๆ

                “ถ้าลองคิดดูซักหน่อยก็พอจะเห็นภาพแหละน่าคิดว่าฉันโดนสิงห์เลี้ยงมากี่ปีกัน”

                อิงศรโกหก ที่จริงแล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหล่อนจะเป็นคนของฝั่งนี้

                ที่ผ่านมาก็พอจะรู้ว่าหล่อนซื่อสัตย์และจริงใจกับสิงห์มากขนาดไหนจึงไม่คิดว่าจะทรยศเมตไตรยและหักหลัง สิงห์ ธุวดารกะ คนนั้น

                หรือไม่ก็อย่างเลวร้ายที่สุด...

                สิงห์เป็นคนของอารย-สนธยามาตั้งแต่แรก

                การตายของหมอนั่นเป็นเพียงละครเพื่อตบตาเมตไตรย

                เพื่อเป้าหมายบางอย่างที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร

                “...”

                อีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ออกมาอาจจะยังไม่เชื่อคำโกหกเมื่อครู่

                “ทหารคนอื่นๆ ไปไหนหมดล่ะหรือว่าเรื่องที่ทรยศเมตไตรยนี่ก็เป็นแผนของสิงห์งั้นสิ เจ้านั่นน่าจะยังไม่ตายสินะ เป็นแผนแกล้งตายฉันพูดถูกรึเปล่า”

                เขาลองเดาสุ่มๆ ไปอย่างนั้นพยายามวางท่าให้อีกฝ่ายคิดว่าถูกตนมองแผนการออก

                แต่อีกฝ่ายคือวิเชียรมาศที่คล้ายกับสิงห์ หล่อนรับมือคำพูดหลอกล่อของเขาได้อย่างเยือกเย็นโดยไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาหรือเคลื่อนไหวให้ดูมีพิรุธ

                “เรื่องนั้นน่ะไว้ไปช่วยนรินทร์ ระจินดาได้เมื่อไหร่เธอก็จะรู้เอง”

                หล่อนพูดเพียงแค่นั้นแล้วหันหลังก้าวเท้าวิ่งสองถึงสามก้าวก่อนจะหายไป

                บางทีหล่อนคงแค่มาสังเกตการณ์เพื่อคาดคะเนอะไรบางอย่าง

                แล้วที่บอกว่าช่วยนรินทร์นั่นก็อีกจงใจจะบอกว่าถ้าช่วยนรินทร์ได้จะรู้ความลับทั้งหมด?

                นรินทร์เกี่ยวข้องอะไรกับอารย-สนธยา...เกี่ยวพันถึงแผนของการที่ยังไม่รู้ของสิงห์กันแน่

                หรือหมอนั่นก็มีส่วนรู้เห็น

                เขาไม่รู้อะไรอีกแล้วข้อมูลมีน้อยเกินไปถึงคิดก็ไม่เข้าใจ

                “…”

                บรรยากาศสงบลง เงียบสนิทมีแต่เสียงลมพัดอย่างเอื่อยเฉื่อย

                แต่ซากิริก็พูดทำลายความเงียบนั้น

                ‘ดูเหมือนจะมีเรื่องน่าสนุกรอให้ทำอยู่เยอะเลยนะ’

                อิงศรตอบประชดคำพูดนั้น

                “น่าเหนื่อยใจน่ะสิไม่ว่า”

                ‘นั่นสินะเริ่มเหนื่อยแล้วสิ’

                อิงศรหันไปมองหล่อนที่ลอยหน้าอยู่บนจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเน็กส์วางทิ้งไว้บนพื้น

                ที่หล่อนพูดว่าเหนื่อยนั้นออกจะแปลกๆ เพราะใช้กับร่างข้อมูลที่สถิตอยู่ในเครื่องคอมฯ แบบนั้น

                หล่อนทำหน้าเสียดายอย่างจริงจัง

                ‘แบตคงใกล้จะหมดแล้วล่ะคงต้องลากันตรงนี้แล้วโชเน็นพี่ชาย’

                พอบอกลามาอย่างนั้นก็รู้สึกใจคอไม่ดี

                “เฮ้ พูดอะไรของเธอน่ะอย่างกับ...”

                เป็นคำสั่งเสีย...หล่อนทำหน้าบอกแบบนั้น

                ‘เครื่องนี้เดิมทีเป็นเครื่องเปล่าแค่เอามาใช้เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อเท่านั้นเองพอร่างจริงหายไปก็ไม่มีพลังงานจ่ายให้แล้วแถมข้อมูลของฉันเกือบทั้งหมดก็ไปรวมอยู่กับเมลคีเซเดคด้วยคงอยู่ได้อีกไม่นาน’

                ซากิริพูดเหมือนรู้อยู่ก่อน

                งั้นที่โดดเข้าไปรับลูกศรของเขาตอนนั้นก็...

                “นี่แปลว่าเธอรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าจะต้องเป็นแบบนี้น่ะ”

                อิงศรตะหวาดแต่ใบหน้ากลับบิดเบี้ยวเหยเก

                คนอื่นๆ ก็เหมือนจะรับรู้ได้จากการสนทนาแล้วว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับซากิริจนมีสีหน้าหดหู่ไปตามๆ กัน

                แต่ซากิริยิ้มแห้งให้กับพวกเขาแล้วพูดเพื่อไม่ให้คิดมาก

                ‘เฮ่เฮ้~ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิไม่ใช่ความผิดพวกเธอหรอกนะถึงยังไงร่างนั้นก็ใกล้จะพังทลายอยู่แล้วด้วยถึงไม่ทำแบบนี้ตัวฉันก็คงอยู่ไม่รอดจนถึงวันพรุ่งนี้อยู่ดีเพราะรู้เรื่องนั้นอยู่แล้วถึงได้อาสามาที่แนวหน้าไงล่ะอย่างน้อยฉันก็พอจะมีประโยชน์บ้างแค่นั้นก็พอ’

                “…”

                ‘เน็กส์’

                จู่ๆ หล่อนก็เรียกเน็กส์ เด็กชายตอบรับด้วยน้ำเสียงคลอ

                “ค..รับ”

                ‘ถึงฉันจะเอามาอัพเกรดตามใจชอบแล้วก็เถอะแต่ว่าแว่นที่เธอใส่อยู่น่ะเจ้าของเป็นคนที่ถูกลักพาตัวมาที่นี่หลังจากช่วยเขาได้แล้วฝากคืนให้ทีนะแล้วก็ฝากบอกขอโทษเรื่องนั้นด้วยล่ะ’

                เน็กส์พยักหน้า

                จากนั้นภาพบนจอก็เหมือนจะมืดลงแบตเครื่องคงใกล้จะหมดเต็มที

                “เดี๋ยวสิอย่าเพิ่งพูดอย่างกับจะไปเกิดใหม่แบบนั้นสิถ้าแบตหมดแค่เอาไปชาร์จไฟใหม่ก็น่าจะได้ไม่ใช่เหรอ”

                อิซานามิเสนออย่างนั้นขณะที่แหวกกลุ่มขึ้นมาอยู่หน้าเครื่องคอมฯ

                ‘ก็บอกไปแล้วไง...เครื่องเปล่าข้างในไม่มีไส้...ชาร์จ...ไม่...’

                เสียงจากเครื่องเริ่มแผ่วเบาลงหน้าจอก็แทบจะไม่มีแสงเหลือแล้ว

                ใบหน้าของซากิริจางหายไปในตอนนั้น

                ใบหน้านั้นยิ้มแย้มในวาระสุดท้าย

                เป็นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร่ถ้าคิดว่าหล่อนเป็นเทวทูตสวรรค์

                แต่ถ้านั่นเป็นรอยยิ้มของ ซากิริ อามาเนะ ก็ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก

                เสียงเครื่องทำงานเงียบลงไปแล้วหน้าจอก็ดับสนิทด้วย

                “…”

                อิงศรก้มตัวเอื้อมมือไปดึงฝาพับหน้าจอให้ปิดลง มีความรู้สึกเหมือนกับว่าถ้าเปิดทิ้งเอาไว้แบบนั้นจะทำให้หล่อนตายตาไม่หลับ

                เป็นแค่การคิดเอาเองแต่ก็รู้สึกหดหู่ใจอยู่ไม่น้อย

                สรุปแล้ว...เพื่อให้ได้ชัยชนะเหนือปีศาจมาพวกเขาต้องสังเวยพวกพ้องไปหนึ่งคน

                “ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมา”

                อิงศรพูดเพียงแค่นั้นแล้วลุกขึ้นแต่อิซานามิกลับทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่หน้าเครื่องพลางใช้มือลูบไล้ไปบนหลังเครื่องนั่น

                “ข้าเป็นเทพแห่งความตายขอส่งวิญญาณคนตายหน่อยเถอะ”

                หล่อนพูดมาอย่างนั้น

                แต่ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์แล้วก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตด้วยดังนั้นจึงส่งวิญญาณไม่ได้ ก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าเทวทูตกับปีศาจพอตายแล้วจะไปไหนจะกลับไปยังแหล่งที่จากมาหรือสาบสูญไป

                อิซานามิยังคงรำพึง

                เจ้าเป็นเพื่อนคุยเพียงคนเดียวที่ข้ามีเลยล่ะ

                “…”

                จะอย่างไหนก็ต้องใช้เวลาในการทำใจทั้งนั้น

                ตอนนี้ไม่ใช่ทหารแล้ว ไม่ใช่นักรบของเมตไตรยด้วยจึงไม่จำเป็นต้องข่มใจให้ด้านชาต่อการจากไปของพวกพ้อง

                “อย่านานนักล่ะ”

                ดังนั้นจึงมอบเวลาให้อิซานามิได้ทำใจแล้วแยกคนอื่นๆ ออกมา

                “…”

                โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ได้นึกเสียใจหนักหนาขนาดนั้น

                ทั้งที่คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวไม่ได้สนิทอะไรกับหล่อนแต่ตัวเองกลับกำลังกดริมฝีปาก

                เจ้าตัวก็พูดเองด้วยว่ายังไงก็ต้องตายภายในคืนนี้เพราะอายุขัยหมดกำหนดถ้าเป็นแบบนั้นร่างเทวทูตคงจะไปหาร่างใหม่สิงเอาหรือไม่ก็หายไปจะเป็นอย่างไหนก็ไม่อาจรู้ได้แล้ว

                ตอนนี้มีเรื่องที่จะต้องคิดอย่างจริงจังซะก่อนแล้วก็ต้องปล่อยให้คนอื่นๆ ที่ยังหดหู่กับการจากไปได้ทำใจยังมีเวลาให้คิดอีก...

                จ๊อก~~~

                มีเสียงแบบนั้นดังมาจากท้องของกวินทร์

                ทุกคนมองไปที่เด็กหนุ่มพร้อมๆ กัน

                “ขอโทษครับพอดียังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าแล้วก็เลย แหะ แหะ แหะ”

                กวินทร์พูดแก้เขินติดตลกไปด้วยขณะที่แอบปาดคราบน้ำตาออก

                เมื่อความตึงเครียดสิ้นสุดความเหนื่อยล้าก็เหมือนจะโจมตีเข้ามาความหิวก็เช่นกันพอมาลองคิดๆ ดูแล้วตัวเขาเองก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่เช้าเหมือนกวินทร์เพราะถูกพวกตระกูลธุวดารกะลากตัวออกไปตั้งแต่เช้า

                แล้วก็ไม่ใช่แค่กวินทร์แต่หลังจากนั้นยังมีเสียงโครกครากของท้องไส้ปั่นป่วนดังมาจากฟูบ้าง มิกซ์บ้าง ขวัญบ้าง เจ้าพวกนั้นเอามือกุมท้องแล้วทำหน้าแดงด้วยความเขินอาย

                อิงศรกลั้นขำแล้วอมยิ้มเล็กน้อย

                “พักกินข้าวก่อนละกัน”

                ยังไงกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องจริงๆ นั่นแหละ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×