ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ton & Jay = Chanabadin

    ลำดับตอนที่ #4 : [ Special ] Painful emotions

    • อัปเดตล่าสุด 8 ส.ค. 58


    ******เหตุการณ์ในเรื่องเป็นแค่เหตุการณ์สมมุติที่ผู้แต่งจินตนาการขึ้นเท่านั้น******

     

     

     

    หลังจากผมเก็บของที่จำเป็นใส่กระเป๋าแล้ว   ผมก็เดินสำรวจรอบๆห้องอีกครั้งหนึ่ง   เผื่อว่าผมอาจจะลืมของ   ผมค่อยๆเดิน  ค่อยๆ

    มองสิ่งต่างๆในห้อง   แต่ไม่ว่าผมจะเดินไปทางไหน  หันไปมองอะไร   ภาพระหว่างผมกับคนตัวโตก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำของ

    ผม  ผมมองรูปภาพที่ถ่ายกับมัน  ภาพผมกับมันไหลกลับมาในสมองของผมเหมือนเปิดก๊อกน้ำ   ภาพของผมกับคนตัวโตตั้งแต่ที่ผม

    กับมันรู้จักกัน  เตะบอลด้วยกัน  นอนด้วยกัน  ผ่านเรื่องราวต่างๆมาด้วยกันทั้งในนามสโมสรและในนามทีมชาติ  มีทั้งสุข  ทั้งทุกข์  

    แต่เราสองคนก็จับมือผ่านมาด้วยกันได้  ผมจำเรื่องราวระหว่างผมกับมันได้ทุกเรื่อง  ความทรงจำไหลย้อนไปเรื่อยๆ  ผมยิ้มให้กับ

    ความทรงจำระหว่างผมกับคนตัวโต  ผมเดินสำรวจรอบห้อง  แต่ไม่ใช่การเดินดูว่าลืมของแล้ว  แต่เป็นการเดินเพื่อใช้เวลาที่เหลือ

    ของผมที่นี่รำลึกถึงความทรงจำระหว่างของผมกับคนตัวโต  ผมอยากจะอยู่กับความทรงจำนี้ให้นานที่สุด   ก่อนที่.........ผมจะทิ้งมัน

    ไว้ข้างหลัง

    .

    .

    .

    .

    .

    โธ่เอ้ย   ลิฟต์แม่งขึ้นช้าจังวะ   อันที่จริงลิฟต์มันก็ทำงานปกติ  แต่ใจผมต่างหากที่รีบร้อนจนดูสิ่งข้างๆรอบตัวนั้นช้า  ขัดใจผมไปซะ

    หมด   ตอนนั่งแท็กซี่มา  ผมก็รู้สึกว่าคนขับ  ขับช้าไปมั้ย  ผมถึงกับเร่งให้คนขับ  ขับเร็วขึ้นกว่านี้  แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ทันใจผม

    อยู่ดี   ผมบอกคนขับอีกครั้ง  แต่ก็ยังรู้สึกว่าเค้าขับช้าอยู่ดี  ผมอยากจะเร่งอีกครั้ง  แต่ก็เกรงใจ  เมืองกรุงอย่างนี้จะให้ขับรถเร็วอย่าง  

    Fast 7  ก็คงไม่ได้  

    ผมภาวนาให้ลิฟต์ขึ้นเร็วๆ  แต่ดูเหมือนมันจะช้ากว่าความรู้สึกของผม  เพราะตอนนี้หัวใจของผมได้ไปอยู่ตรงหน้าห้องของคนตัว

    เล็กเรียบร้อยแล้ว  ผมมองตัวเลขที่แสดงว่าอยู่ชั้นไหนอย่างใจจดใจจ่อ  พอลิฟต์แสดงเลขชั้นที่คนตัวเล็กอยู่  ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด  

    ผมก็รีบพุ่งตัวออกไปทันที  เกือบหัวคว่ำ  แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ   ผมรีบวิ่งไปที่ห้องของคนตัวเล็ก    แล้วผมก็เปิดประตูเข้าไปอย่าง

    รวดเร็ว   โชคดีนะที่ประตูไม่ได้ล็อก  ไม่ยังงั้นหน้าผมอาจกระแทกประตูได้   แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น  แต่ประเด็นคือคนที่อยู่ตรงหน้า

    ผมตอนนี้ต่างหาก  หน้าของชนาธิปไม่ได้แสดงความดีใจซักนิดที่ผมมา   หน้าของชนาธิป  สายตาของชนาธิปเย็นชา  ชนาธิปมองผม

    เหมือนคนไม่รู้จัก   ผมอุตส่าห์รีบมาหามัน   เพราะเพื่อจะมาเจอหน้าแบบนี้น่ะเหรอ  

    “ไอ้เจ  มึงจะบอกกูเมื่อไหร่   มึงจะบอกกูตอนมึงอยู่สนามบินเลยมั้ย?”   ผมระเบิดความรู้สึกที่ผมเก็บกดมานานหลังจากรู้ว่า    

    ชนาธิปจะไปค้าแข่งที่เจลีก

    “ใครบอกมึง?”   ชนาธิปถามเสียงเย็นๆ  เรียบๆ  พร้อมแววตาเย็นชา   ผมอึ้ง  ทำไม   ทำไมคนตัวเล็กทำเหมือนผมเป็นแค่คนรู้จัก  

    ทำไมคนตัวเล็กถึงทำตัวห่างเหินกับผม   ผมเกือบพูดต่อไม่ออก  เพราะอึ้งต่อทีท่าเย็นชานั้น  แต่ผมต้องคุยกับมัน  ต้องคุยกับชนาธิป

    ให้รู้เรื่อง 

    “ใครจะบอกกูมันไม่สำคัญหรอก  แต่มันสำคัญที่ว่ามึงไม่คิดจะบอกกูหน่อยเหรอ”    ประโยคสุดท้ายผมถามเสียงเบาลง   ผมถามพร้อมกับฝ้าละอองน้ำบางๆเกิดขึ้นที่ดวงตา

    “ใช่  กูไม่คิดจะบอกมึงอยู่แล้ว”   คำตอบของคนตัวเล็กเหมือนกับใครยิงธนูใส่ผมเป็นร้อยๆตรงหัวใจ        ฝ้าละอองน้ำที่ดวงตาผม

    เอ่อล้นไหลอาบแก้ม  

    “มึง........ว่าอะไรนะ”    ผมถามมันย้ำอีกครั้ง  ผมอยากจะได้ยินอีกครั้งเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าคนตัวเล็กจะพูดแบบนี้

    “กูจะไม่บอกมึงอยู่แล้ว”    ชนาธิปพูดย้ำ   ผมหลอกตัวเองได้เพียงชั่วขณะ  หลอกตัวเองว่าอาจได้ยินผิด   แต่ตอนนี้ผมได้ยินชัดๆแล้ว   คนตัวเล็กตั้งใจไม่บอกเรื่องนี้กับผม  คนตัวเล็กตั้งใจไว้แต่แรกแล้ว   ทำไม  ทำไม  ในหัวตอนนี้ผมมีคำถามร้อยแปดคำถามที่อยากจะถามคนตัวเล็ก   ชนาธิปเป็นอะไร   คนตัวเล็กโกรธอะไรผม   ผมกำมือแน่น

    “มึงไม่ห่วงคนข้างหลังบ้างเหรอ”   ผมถามเสียงสั่น  พยายามพูดทั้งที่หัวใจของผมตอนนี้มันแทบแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

    “พ่อกับแม่กูเค้าก็เห็นดีด้วย”  

    “กูหมายถึงกู  ไอ้เจ  มึงก็รู้ว่ากูหมายถึงกู”   ผมขึ้นเสียง  เพราะผมทนเก็บอารมณ์ที่ต้องเห็นมันทำเหมือนผมเป็นอากาศไม่ไหวแล้ว   

    น้ำตายังคงไหลต่อไป  ชนาธิปไม่ตอบ   ทุกอย่างเงียบ   ไม่มีใครพูดอะไร   ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ชนาธิปกำลังคิดอะไรอยู่   แต่ตอนนี้ผม

    เหมือนถูกนั่งตรึงกับเสา   รอเวลาประหาร   แต่มันไม่ใช่การยิงเป้า   แต่เป็นการรอว่าคนตัวเล็กจะพูดอะไรต่อไป 

    .

    .

    .

    .

    .

    รถตู้มุ่งหน้าสู่สุวรรณภูมิ   ภายในรถก็มีเสียงคุยของพี่กอล์ฟ  พี่อ้น   ไอ้บาส  ไอ้ตั้ม  ไอกิล  อยู่เบาๆ   แต่ผมไม่ได้สนใจ  ผมมองไป

    นอกหน้าต่าง  ดูวิวทิวทัศน์   แต่สมองผมไม่ได้รับรู้ภาพที่ตากำลังเห็น  

    “ไหวมั้ยวะเจ”   เสียงของพี่อ้นที่ดังมาจากเบาะด้านหลังของผม 

    “ไหวดิ่พี่  มาถึงขนาดนี้แล้ว”   ผมไม่ได้หันหน้าไปบอก  แต่ผมพูดเสียงดัง  สดใส  ให้พี่อ้นรู้ว่าผมไหว  แต่ยังไงพวกพี่เค้าก็รู้อยู่ดี

    ว่าการแสดงออกของผมปิดไม่มิดหรอกว่าผมไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

    “มึงต้องทำขนาดนี้เลยเหรอวะ  การหนีหัวใจตัวเอง  มันไม่มีอะไรดีเลยนะเว้ย   มีแต่จะทำให้มึงทุกข์   ต่อให้หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว  

    ก็หนีไม่พ้น”   เสียงไอ้ตั้มพูดขึ้น  มันก็รู้ความสัมพันธ์ของผมกับคนตัวโต  ตอนแรกที่มันรู้ว่าผมไปเจลีกมันก็ดีใจกับผมยกใหญ่   แต่

    พอมันรู้ว่าทำไมผมถึงไปเจลีก  มันก็แทบจะเทศนาผมยกใหญ่

    “กูเลือกแล้ว  กูเดินออกมาแล้ว   กูจะไม่ถอยหลังกลับ”   ผมพูดเสียงหนักแน่นเป็นการเตือนตัวเองด้วยว่าผมเลือกแล้ว  และเดินมา

    ไกลกว่าจะถอยหลังกลับแล้ว

    “แต่ถ้าจะจากกัน  ทำไมไม่จากกันด้วยดีวะ  จะได้เก็บความทรงจำที่ดีๆไว้นึกถึงกัน  จากกันแบบนี้ต่างฝ่ายก็ต่างเจ็บ  มึงไม่สงสารไอ้

    ต้นเหรอ  แต่อย่างน้อย  มึงก็น่าจะสงสารตัวเองนะ”  พี่กอล์ฟพูดขึ้น  ตอนที่ผมตอบตกลงกับทางเจลีก  พี่กอล์ฟก็รีบมาคาดคั้นเอา

    ความจริงจากผมว่าทำไมผมถึงตอบตกลงเร็วนัก  ทั้งๆที่ทางเจลีกเค้าก็ให้เวลาคิด  แต่ผมไม่ได้บอก  ผมบอกเพียงแค่ว่าผมอยากไปที่

    นั่นนานแล้ว  เมื่อมีโอกาสผมจึงไม่ลังเล  พี่กอล์ฟทำหน้าไม่เชื่อ  แต่เค้าก็ไม่ได้ซักไซ้ผมต่อ

    “เป็นแบบนี้น่ะ    ดีแล้ว”   ผมฝืนยิ้มให้กับตัวเอง  ตามีฝ้าละอองน้ำบางๆ  ภาพระหว่างผมกับคนตัวโตก่อนผมจะมาสุวรรณภูมิ  ทั้งภาพ  คำพูด  น้ำเสียงย้อนเข้ามาสู่สมอง

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    “กูว่า  เราต่างคน  ต่างไปเถอะ  มึงไปตามทางของมึง  กูก็ไปตามทางของกู”   ผมรู้ว่ายังไงซะ  เวลานี้ก็ต้องมาถึง   ขนาดเตรียมใจไว้ล่วงหน้า  พอถึงเวลาเข้าจริงๆ  มันยากมาก  ผมแทบจะพูดไม่ออก

    “ทำไมอ่ะเจ  ทำไมมึงเลือกแบบนี้  มึงมีปัญหาอะไรหรือเปล่า  มีอะไรมึงก็บอกกูสิ  กูทำอะไรให้มึงเสียใจ  ไม่พอใจ  มึงบอกกูสิ  แต่

    มึงอย่าทำแบบนี้”   เสียงอ้อนวอนของคนตัวโตแทบจะทำให้กำแพงที่ผมสร้างขึ้นมาปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงพัง  ผมกำมือแน่น  กด

    อารมณ์ไม่ให้เผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมา  ผมจะไม่ยอมแพ้ใจตัวเอง

    “กูเหนื่อย  เหนื่อยที่จะต้องมารออะไรก็ไม่รู้  รอทั้งที่ไม่รู้ว่าสิ่งๆนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่  คือ  วันที่มึงจะมาหากู  วันที่เราจะได้อยู่ด้วย

    กัน  กูเบื่อ”   ผมพูดโดยการสะกดกลั้นเสียงสะอื้นที่ซ่อนมาในน้ำเสียง  โดยให้น้ำเสียงมีแต่ความเย็นชา

    “แต่   แต่ก่อนเราก็ผ่านมันมาได้หนิ่  มึงบอกกูเองว่ามึงทนได้  ทนรอเวลาที่เราจะได้เจอกัน  มึงบอกว่าว่ายังไงมึงก็จะไม่ทิ้งกู”

    “แต่กูไม่ทนแล้วไง  ทนแล้วได้อะไร  รอแล้วได้อะไร  มีความสุขที่ได้อยู่กับมึง  เป็นความสุขที่แอบแฝงความทุกข์   กูรู้ว่ากูเป็นแค่

    โลกความฝัน  โลกความฝันอ่ะมันอยู่ไม่ได้นานหรอกนะ  เราทุกคนต้องอยู่กับโลกแห่งความจริง   โลกความจริงของมึงคือเค้า  คนที่

    อยู่ข้างๆมึง  ไม่ใช่กู  เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้  มึงก็รู้”

    ผมเห็นน้ำตาของคนตัวโต  ผมเบือนหน้าหนี  ไม่อยากเห็นภาพนั้น  ผมดึงหน้าเย็นชา  ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร  แต่ในใจของผมเจ็บ

    ปวดไม่แพ้กัน  แต่ผมเลือกที่จะเก็บไว้  ผมจะต้องไม่ใจอ่อน

    “ไม่มีทางไหนเลยเหรอ  ที่กูจะทำให้มึงอยู่ที่นี่  อยู่กับกู”  เสียงของนฤบดินทร์ทำเอาผมจะใจอ่อนอยู่หลายครั้ง  

    แต่ผมรีบส่ายหน้าน้อยๆ

    “กูตัดสินใจแล้ว  ยังไงวันนี้ก็ต้องมาถึง  แค่จะมาถึงช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง”

    “ทำไมมึงต้องเป็นคนทำให้มาถึงเร็วด้วยวะ”

    “............”

    “กูจะไปบอกเลิกเค้า  เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ  มึงจะได้....ไม่ไปจากกู”  ผมตกใจกับคำพูดของนฤบดินทร์

    มาก  ผมหันหน้าไปมองคนตัวโตเป็นเชิงถามว่าจริงเหรอ  หน้าตานฤบดินทร์ดูจริงจัง  ถ้าถามผมว่าจะเลือกแบบนั้นไหมล่ะ  ถ้าให้

    ตอบแบบคนเห็นแก่ตัว  ผมคงยิ้มและรีบให้คนตัวโตออกไปบอกเธอคนนั้นแล้ว   แต่.....  ผมทำไม่ได้  ผมไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำ

    แบบนั้นได้  ความเป็นจริงผมก็เป็นแค่เพื่อน   แต่เธอคือตัวจริงของคนตัวโต   ผมยอมให้นฤบดินทร์ทำร้ายจิตใจเธอไม่ได้  เพราะถ้า

    ผมเป็นเธอผมคงเสียใจมากถ้าแฟนขอเลิกโดยที่ไม่ได้ทำผิดอะไร  อีกอย่างเธอมาก่อนผม  เธอครอบครองหัวใจของนฤบดินทร์ก่อน

    ผม  ก่อนที่นฤบดินทร์นั้นจะเพียงแบ่งครึ่งของหัวใจมาให้ผม  เพราะฉะนั้นเธอคู่ควรที่จะได้อยู่เคียงข้างแบ๊กขวาตัวเก่ง  ไม่ใช่ผม  

    ผมกับคนตัวโตทำร้ายเธอมาพอแล้ว  ถึงเวลาแล้วที่ผมจะคืนหัวใจของคนตัวโตให้เธอ  แม้เธอจะไม่รู้  แต่สัญชาตญาณของผู้หญิงนั้น

    แรง  เธออาจจะคิดว่าระหว่างผมกับนฤบดินทร์เป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อน  เธอคงได้แต่เก็บความรู้สึกไว้  ผมจะไม่ยอมเห็นแก่ตัวอีก  

    และผมก็ไม่อยากให้นฤบดินทร์เป็นคนเห็นแก่ตัวด้วย  ไม่อยากให้ใครมองคนตัวโตในทางไม่ดีอีกแล้ว  ผมจึงเลือกที่จะทำแบบนี้

    “ไม่มีประโยชน์  ต่อให้มึงบอกเลิกเค้า  กูก็จะไป”

    “แล้วมึงจะให้กูทำยังไง  ทำวิธีไหน  ที่มึงจะไม่ไปจากกู  อยู่กับกู”   เสียงนฤบดินทร์สั่นเครือ  น้ำตาของแบ๊กขวายังคงไหลไม่หยุด   

    ผมเบือนหน้าหนีอีกครั้งก่อนที่นฤบดินทร์จะพูดจบ  ผมกลัวถ้าเห็นคนตัวโตเสียใจ  ผมจะทนไม่ได้ที่จะใจอ่อน

    “ไม่มี  ต่อให้มึงทำอะไรมากมาย  กูก็จะไป  ทางที่ดี  มึงควรกลับไปหาเค้า  ไปหาคนที่มึงควรจะอยู่ด้วย  ซึ่งเป็นเค้า  ไม่ใช่กู  ปล่อยกู

    ไปเจออนาคตที่ดีเถอะ”   การเสแสร้งแกล้งทำมันไม่ได้ง่ายไปทุกเรื่องหรอกนะ  โดยเฉพาะการโกหกคนที่เรารักว่าเราไม่ต้องการเค้า

    แล้วนี่โครตทรมาน  แต่ทำไงได้  เพื่อคนที่ผมรัก

    เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น  ผมมองชื่อที่โทรเข้ามา  ผมรู้ทันทีว่าได้แล้วเวลาแล้ว  ถึงเวลานั้นแล้ว  จริงๆ

    “โอเคครับ ผมจะรีบไป”  ผมวางสายจากคู่สนทนา  ผมรวบรวมกำลังใจอีกครั้ง  ก่อกำแพงปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงอีกครั้ง  เพื่อจะ

    ไม่ใจอ่อน  ผมพร่ำบอกตัวเองว่าจะต้องไม่ใจอ่อน  ผมหันไปมองหน้าคนตัวโต  ผมอยากจะรีบเดินออกจากตรงนั้น  แต่ผมรู้สึกว่าขา

    ผมหนักอึ้ง  ก้าวไม่ออก  ตอนนี้นฤบดินทร์ไม่เหลือความเป็นคนขี้เล่น  ขี้แกล้ง  ทะเล้น  ไม่เหลือความเป็นนฤบดินทร์คนเก่าแล้ว  

    ตอนนี้หน้าของคนตัวโตเต็มไปด้วยน้ำตา  คนตัวโตมองผมด้วยสายตาและสีหน้าอ้อนวอน  พร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆเป็นการห้ามผม

    ไม่ให้ไปอยู่ตลอดเวลา  ผมกำมือแน่นจนรู้สึกถึงเล็บที่จิกเข้าไปในเนื้อ  ผมเข้าใจว่านฤบดินทร์เสียใจมากแค่ไหน  ซึ่งไม่ต่างกับผม

    หรอก  หรือผมอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ  เพราะการบอกลา  ทำเหมือนไม่ต้องการคนที่เรารักแล้ว  เจ็บกว่าหลายเท่า  แต่เพื่อคนตัวโต  

    ผมจึงจำเป็นต้องทำ  เจ็บตอนนี้ดีกว่าถลำลึกไปจนยากที่จะกลับคืน  ถึงตอนนั้นคงจะต้องเสียใจกว่านี้  เพราะยังไงเรื่องผมกับคนตัว

    โตก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว  ยังไงตอนจบก็ต้องเป็นแบบนี้  ผมต้องรีบไป  ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นคนที่ผมรักเสียใจ  ทำไม  

    ทำไมมันต้องมาวันนี้ด้วย

     

    รัก...แม้รักยังไงก็รักได้เพียงหัวใจ  สุดท้ายต้องยอมเป็นคนที่ปวดร้าว

     

    ผมรีบสะพายกระเป๋า  แล้วรีบเดินออกมาจากห้อง  ผมเบี่ยงตัวออกจากคนตัวโตที่ยืนขวางทางอยู่  เสียงคนตัวโตพูดไล่หลัง

    “แล้วหัวใจกู  ที่กูให้มึงล่ะ  มึงเอาไปไว้ไหน”  เสียงนฤบดินทร์บอกชัดว่าเจ้าตัวปล่อยความเสียใจออกมาเต็มที่แล้ว  ผมจุก  จุกกับคำ

    พูดของคนตัวโต  ผมสูดลมหายใจเข้าให้มากที่สุด  ฝืนทำน้ำเสียงให้ปกติที่สุด

    “กูคืนให้มึง”

    “กูไม่เอาคืน  กูให้หัวใจมึงไปแล้ว  กูไม่มีวันเอาคืน”  นฤบดินทร์ตะโกนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

    “มึงจะไปโดยที่ไม่เอาหัวใจกูไปด้วยเหรอ  มึงเก็บหัวใจที่กูให้มึงไว้เถอะ  เก็บไว้ให้มันอยู่ในใจมึง  มึงจะได้รู้ว่ากูยังรักมึงเสมอ”  ผม

    ทนไม่ไหวแล้ว  ผมทนเก็บความรู้สึกเสียใจไว้ไม่อยู่แล้ว  ผมมากเกินที่ผมจะแบกไว้ได้  ผมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่

    สามารถกลั้นไว้อีกต่อไป  แต่ผมหันหลังให้คนตัวโตอยู่  คนตัวโตอาจไม่รู้ว่าตอนนี้ผมเสียใจจนแทบจะทรุดลงกับพื้น

    “กูไม่เอา”     ผมบอกเสียงเรียบ

    “กูไม่เอาคืนไง”    นฤบดินทร์ตะโกน

    “งั้นมึงก็...  วางเอาไว้ตรงนั้นแหละ  จะเอาคืนไม่เอาคืน  แล้วแต่มึง”   ผมไม่ไหวแล้ว  ผมรีบเดินออกมาจากห้อง  ปลดปล่อยความ

    รู้สึกทั้งหมดออกมา  ผมเหนื่อย  เหนื่อยมากที่จะต้องทำร้ายจิตใจคนตัวโต  รวมถึงหัวใจตัวเองอย่างไม่เหลือชิ้นดี  ผมยังไม่ไปไหน  

    ผมเดินออกมาแต่ผมมายืนหยุดตรงหน้าห้องโดยที่ไม่ให้คนตัวโตเห็น  ผมได้ยินเสียงนฤบดินทร์ทรุดนั่งลงกับพื้น  ร้องไห้อย่าง

    หนัก  เสียงร้องไห้ของนฤบดินทร์ทำให้ผมรู้สึกผิดมาก  นี่ผมทำให้คนที่ผมรักต้องเสียใจมากขนาดนี้เลยเหรอ  

    ผมอยากบอกนฤบดินทร์ว่าไม่ใช่แค่นฤบดินทร์ที่ต้องเจ็บ  เสียใจ  แต่ผม  ผมด้วยที่เสียใจ  

    คนบอกลาบางครั้งก็เจ็บกว่าคนถูกบอกลา  ผมร้องไห้ตั้งแต่วันที่ผมตอบตกลงกับทางเจลีก  นึกถึงภาพที่ไม่มีคนตัวโตอยู่ข้างกาย  ไม่

    ได้ฟังเสียงคนตัวโต  ไม่ได้เห็นหน้าของคนตัวโต  นึกถึงชีวิตที่ไม่มีคนตัวโต  ผมคิดว่าผมอยู่ไม่ได้  ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคนตัวโต  แต่

    ผมก็ฉุกคิดว่าเหตุผลที่เลือกจะไปผมไปเจลีก  ผมทำเพื่อคนตัวโต  ผมตัดสินใจเลยตัดสินใจทำแบบนี้  เพราะผมคิดว่าวิธีนี้เราสองคน

    น่าตัดใจจากกันได้เร็วที่สุด  แต่พอความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย  มันกลับทำให้เราสองคนเสียใจมาก  ก่อนหน้าผมได้บอกกับพี่อ้น  

    พี่กอล์ฟ  ไอ้ตั้ม  ไอ้บาส  ว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับไอ้ต้น  เพราะถ้ามันรู้  มันคงจะรีบมาหาผม  ผมไม่อยากเจอมัน  

    ผมอยากจากมันโดยเงียบๆ  แต่แล้วมันก็รู้และมาหาผมจนได้   ผมร้องไห้อย่างที่ถ้าคนเห็นต้องสงสัยว่าอะไรที่ทำให้ชนาธิปร้องไห้

    หนักขนาดนี้  น้ำตายังคงไหลออกมาเรื่อยๆ  ผมเก็บเสียงร้อง  เก็บเสียงสะอื้น  เพื่อไม่ให้นฤบดินทร์รู้ว่าผมยังไม่

    ไป  ผมเสียใจที่ทำให้คนตัวโตต้องเสียใจขนาดนี้  เสียงร้องไห้ของนฤบดินทร์ยังคงดังอยู่เรื่อยๆ 

    “กูขอโทษนะต้น”  ผมพูดเสียงเบาคล้ายพูดกับตัวเอง  ผมอยากให้คนตัวโตได้ยินข้อความนี้  แต่คงเป็นไปไม่ได้  ผมรีบเดินออกมา

    จากตรงนั้น  ผมอยากจะหนีความเสียใจ  แต่มันยิ่งทำให้ผมปวดร้าวมากขึ้น  จากนี้ไปผมจะไม่มีคนตัวโตอยู่ข้างกาย  จะไม่ได้ยิน

    เสียงของนฤบดินทร์  จะไม่ได้เห็นหน้านฤบดินทร์  ชีวิตของผมต่อจากนี้จะไม่มีนฤบดินทร์อีกแล้ว  ผมต้องยอมรับความเจ็ปปวดไว้

    เพราะผมเป็นคนเลือกเองที่จะให้เป็นแบบนี้  ถึงตอนนี้ผมไม่เก็บความรู้สึกเอาไว้อีกแล้ว  ผมไม่สนแล้วว่าใครจะมองผมยังไง  ตอน

    นี้ในสมองของผมมีแต่ภาพของคนตัวโตที่เสียใจ  เสียงร้องไห้ของนฤบดินทร์ยังคงดังก้องอยู่ในหูของผม  นี่ผมทำถูกแล้วใช่ไหม    

     

    อย่างน้อย  เธอก็ทำให้ฉันรู้ว่าเคยมีความสุขเพียงใด  ได้เป็นคนที่เธอเคยรักก็ดีแค่ไหน  ฉันต้องยอมเข้าใจ  เกิดมาแค่เพียงได้รักกัน  สุดท้ายไม่เป็นดั่งฝันฉันยอมทำใจ

     

    นับจากนี้ชีวิตของทั้งคู่จะไม่มีกันและกันอีกต่อไป  ชนาธิปได้ตัดรากถอนโคนความรักของเค้าและนฤบดินทร์หมดสิ้นแล้ว  

    ยากที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม  นฤบดินทร์ยังคงเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น  เค้าไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้  

    ชีวิตเค้าจะไม่มีคนตัวเล็กมาสร้างสีสัน  ไม่มาสร้างรอยยิ้ม  เสียงหัวเราะให้กับเค้าอีกแล้ว  แต่นฤบดินทร์หารู้ไม่ว่า  

    หัวใจของนฤบดินทร์ที่ชนาธิปได้คืนให้เขา  แท้จริงแล้วหัวใจนฤบดินทร์ยังคงอยู่กับชนาธิปตลอดเวลา    

    ชนาธิปยังคงดูแลหัวใจดวงนี้อยู่  เค้าไม่กล้าที่จะทิ้งหัวใจดวงนี้ไปได้อย่างที่ปากพูดกับนฤบดินทร์  

    และนฤบดินทร์ก็คงไม่ได้สังเกตอีกว่าชนาธิปไม่ได้เรียกร้องหัวใจของเค้าคืน  ชนาธิปรักษาคำพูดเหมือนกับนฤบดินทร์ที่ว่า  

    ให้หัวใจไปแล้ว  ไม่มีวันเรียกร้องคืน’  หัวใจของชนาธิปยังอยู่ที่นฤบดินทร์เสมอและจะอยู่ตลอดไป  

    ส่วนหัวใจนฤบดินทร์  เค้าจะดูแลอย่างดี  แม้นฤบดินทร์จะไม่รู้ก็ตาม.......

     

    เรามาไกลเท่านี้ก็ดีเหลือเกิน  ขอบใจนะที่เคยมีกัน  มันถึงเวลายอมรับความจริง  เรามาไกลเท่านี้ก็เกินที่ฝันตั้งเท่าไร  เมื่อชีวิตคือความเป็นไป  สุดท้ายก็ต้องจากกัน  เท่านั้นเอง

     

     

    ขอบคุณเพลง  :   เกิดมาแค่รักกัน  และ  ลมเปลี่ยนทิศ


    Writer  :   ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ  5555  Writer  เพิ่งลองฝึกแต่งฟิคดราม่าเป็นครั้งแรก  ยากมากกกกกกกก ( ก ล้านตัว )  

    Writer  ไม่ถนัดแต่งฟิคดราม่าเลยจริงๆ  เอาดราม่าไปแทรกไว้บ้างอันนี้พอทำได้แต่ให้ ดราม่าทั้งเรื่องไม่ถนัดจริงๆ  

    ชอบแต่งแบบน่ารัก  ฟินๆ  กุ๊กกิ๊ก  มีความสุขมากกว่า  แต่อยากลองแต่งดูก็เลยเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา  

    จริงๆเรื่องนี้  Writer  แต่งฟิคนี้ก่อนตอนล่าสุดที่ลงไปอีก  แต่ว่าแต่งไม่ออก  ดราม่าไม่ขึ้น  เลยหยุดไว้ก่อน  

    แล้วเพิ่งกลับมาแต่งต่อเมื่อไม่นานมานี้  ตอนแรกนึกว่าจะไม่จบซะแล้ว 5555  อ่านไปอาจรู้สึกอึดอัด  งงๆ  บ้างก็ขออภัยด้วยนะคะ 

    อย่าว่ากันเนอะ  ให้อภัยมือใหม่หัดแต่งฟิค ( ดราม่า ) นะคะ  อาจจะไม่ได้อารมณ์ดราม่าของจริง  

    เพราะไม่รู้ว่าจะสื่อความหมายดราม่าผ่านตัวหนังสืออกมาได้ดีแค่ไหน  ตอนนี้ขอตั้งเป็น  Special  นะคะ  

    เพราะเป็นตอนดราม่า  เป็นตอนที่สนองความอยากลองแต่งของตัวเอง  เป็นฟิคที่นานๆมาทีดีกว่า  5555  

    ไม่ใช่อะไร  แต่งยาก  แต่งตอนพิเศษเสร็จแล้วก็จะดึงตัวเองกลับไปสู่เส้นทางเดิม  คือ  ฟิครักสมหวัง   

    อ่านแล้วเป็นยังไงก็บอกกันได้นะคะ   ขอบคุณค่ะ  J  :D  ………………………………………….Gray ^  ^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×