ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ton & Jay = Chanabadin

    ลำดับตอนที่ #2 : The Truth ?

    • อัปเดตล่าสุด 16 เม.ย. 58


    ฮู้ว!!   เหนื่อยชะมัด   ผมวางของทั้งหมดลงกับพื้นทันทีที่เข้าห้องได้   แล้วก็พาร่างตัวเองไปทิ้งไว้บนโซฟา    

    ผมมองรอบๆห้อง
       นี่ผมอยู่คนเดียวมานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย   ก็หลายเดือนแล้วนะ    แต่ทำไมผมยังไม่รู้สึกชินกับสภาพที่

    ต้องอยู่คนเดียวอีก    ผมมองของต่างๆที่วางอยู่   ของบางชิ้นก็มีวางอยู่ชิ้นเดียว  
     


    แต่บางชิ้นก็มีอีกชิ้นที่เหมือนกันวางอยู่คู่กัน    แม้คนตัวโตจะไม่อยู่    แต่มันก็ยังทิ้งของบางอย่างไว้ให้ผมเหมือนเอาไว้ดู

    ต่างหน้าเวลาคิดถึงมัน   
     พอมองทีไรก็คิดถึงมัน    คิดถึงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน    เวลาดูสิ่งของที่เป็นของผมกับมัน   

    มันไม่ได้ให้ความคิดของผมลดลงเลย    มีแต่รุนแรง    เรียกร้อง    ถ้าผมขอพรได้ข้อนึงนะ   ผมจะขอให้มันมาหาผม  

    ตอนนี้!    เดี๋ยวนี้เลย!     แต่ก็นะ    มันจะเป็นไปได้ยังไง    บ้า!   เพ้อแล่ว!   ไอ้ชนาธิปเอ้ย!

    ผมสลัดความคิดปัญญาอ่อนออกไป    แล้วก็พยายามบังคับให้ร่างกายลุกขึ้นไปอาบน้ำ    ถ้าคนตัวโตยังอยู่นะ 
     

    มันคงจะช่วยลากผมไปทำอะไรได้เวลาที่ผมขี้เกียจ    แต่พออยู่คนเดียวเนี่ย     ต้องทำอะไรเองหมด     

    ยังไงสองหัวมันก็ดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้วจริงมั้ย  



    ก๊อกๆ



    ผมอาบน้ำอยู่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู


    โห   ใครแม่งมาเคาะประตูตอนนี้วะ!    ห่า!   เลือกเวลาดีจังนะมึง”     ผมบ่นกับตัวเอง    เสียงเคาะประตูก็ยังมาอยู่เรื่อยๆ   

    แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร    เพราะจะให้ค้างการอาบน้ำแล้วไปเปิดประตูให้ก็คงไม่ใช่เรื่อง  

    แล้วอีกอย่างตอนนี้มันก็ดึกแล้ว   จะมาทำไม   คนที่มาคงไม่มีอะไรสลักสำคัญมั้ง
     


    เหอะ!   รอไปก่อนละกัน    อยากมาตอนนี้ทำไมล่ะ   รอได้ก็รอ   รอไม่ได้ก็แล้วแต่”     ผมพึมพำ   

    แล้วก็อาบน้ำต่อไปอย่างสบายอารมณ์โดยที่ผมไม่รีบเพื่อคนที่รออยู่หน้าประตูเลย


    เสียงเคาะก็ยังมาอยู่เรื่อยๆ   แต่แล้วก็เงียบเสียงลง   แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร   คงเคาะจนเมื่อยมือ   

    ทนไม่ไหวกลับไปแล้วมั้ง    ผมออกมาจากห้องน้ำแล้วมองไปที่ประตู    

    ผมชั่งใจอยู่แปบนึงว่าจะเดินไปเปิดประตูเลยดีไหม    แต่แล้วผมก็เดินไปใส่เสื้อผ้าก่อน  
     

    แต่งตัวให้ดูเรียบร้อยก่อนจะเปิดประตูดีกว่า    เปิดโดยมีผ้าขนหนูผืนเดียวก็กระไรอยู่     ผมก็มียางอายบ้างนะเออ   

    ผมแต่งตัวไปและก็เดาไปว่าคนที่มาหาผมคือใคร.........


    หรือว่า  จะเป็น...........    จริงสิ!    ไอ้นี่ยิ่งชอบมาโดยไม่บอกกันก่อนด้วย    ผมรีบแต่งตัว   

    แล้วรีบเดินไปที่ประตูพลางนึกในใจว่าขอให้เป็นคนที่ผมกำลังคิดถึงอยู่เถอะ    ผมรีบบิดลูกบิดประตูแล้วเปิดออกทันที




    โห่!   พี่เจ   กว่าจะมาเปิดประตูให้ผมได้   ปล่อยให้ผมรอตั้งนาน

    อ้าว!   ไม่ใช่คนๆนั้น  ไม่ใช่คนที่ผมอยากให้มาหา    นี่ผมเข้าข้างตัวเองเกินไปใช่มั้ย   

    จริงสิ!    ใครมันจะถ่อมากรุงเทพได้บ่อยๆ   ไป-กลับกรุงเทพกับบุรีรัมย์นะ   ไม่ใช่  กรุงเทพ-นนทบุรี   จะได้ไปๆมาๆได้   

    สีหน้าของผมคงแสดงความรู้สึกผิดหวังออกไปจนไอ้นุ๊กมันเห็นได้ชัด

    เป็นไรพี่   ผิดหวังเหรอ ?”


    ผิดหวังอะไร   กูไม่ได้คิดอะไรเลย”     ผมรีบพูดกลบเกลื่อนและรีบทำสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติที่สุด


    ขอโทษนะที่ทำให้พี่คิดว่า......


    แล้วมึงมีอะไร”    ผมรีบพูดขัดขึ้นมาก่อนที่มันจะพูดจบ  


    มาหากูทำไมดึกๆดื่นๆ  ไม่หลับไม่นอนหรือไง


    ผมอยากมานอนกับพี่อ่ะ”    เอาแล้วไง    คิดไว้แล้วเชียวว่าแม่งมาตอนนี้คงไม่พ้นเรื่องนี้แน่


    เฮ้ยๆ   เรื่องไร   ห้องมึงก็มีนอน   ทำไมต้องมานอนห้องกู


    โธ่!    ก็ผมนอนคนเดียวมันเหงาอ่ะ   ผมเห็นพี่ก็อยู่คนเดียว   ผมก็เลยอยากมาอยู่เป็นเพื่อนพี่


    ไม่ต้องๆ   กูอยู่คนเดียวได้  กลับไปๆ”   ผมรีบบอก


    พี่ไม่เหงาเหรอ”     คำพูดมันจี้ใจดำผมเข้าอย่างจัง    ใจผมวูบเล็กๆที่มันรู้ทันผม   แต่ผมก็พยายามทำหน้าตาให้เป็นปกติ


    โธ่!   กูก็อยู่คนเดียวมาตั้งหลายเดือนแล้ว    ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย


    แต่ผมนอนเป็นเพื่อนพี่ได้นะ   ให้ผมนอนเป็นเพื่อนนะ”     มันพูดเสียงอ้อนพร้อมกับยิ้มด้วยสายตาเหมือนเด็กขอของเล่น


    ไม่ต้องเลยๆ   กลับไปที่ของตัวเองได้แล้ว    กูง่วง   จะนอนแล้ว”      ผมรีบพูดตัดบท


    โห่!   พี่เจ    ผมอยู่เป็นเพื่อนพี่ได้จริงๆนะ   ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนพี่เถอะนะ   น้าๆๆ”     มันพูดเสียงอ้อนยังไม่พอ  

    มันยังเอามือมาจับแขนผมเขย่าๆเหมือนเด็กขอเงินซื้อของเล่น


    ไม่!!”  


    นะๆ   พี่เจ    นะๆ  ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนนะ


    ไม่!!


    น่านะพี่เจ   ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนนะ


    ไม่!!”   


    ผมยืนเถียงกับไอ้นุ๊กอยู่แบบนี้สักพัก    มันจะตื๊ออะไรขนาดนี้วะ    ถามซ้ำๆอยู่นั่นแหละ


    ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนนะ


    ผมก็ยืนกรานที่จะตอบคำเดิมเสมอ


    ไม่


    เอาสิ!   จะพูดแบบนี้ทั้งคืนก็ให้มันรู้ไป    อีกอย่างผมทนพูดทั้งคืนได้นะเพราะผมก็แค่พูดว่า   ‘ไม่’   

    ให้รู้กันไปว่าไอ้นุ๊ก   มันจะทนพูดได้ซักเท่าไหร่


    โห่!   พี่เจอ่ะใจร้าย    ผมอุตส่าห์มาถึงนี่   ว่ าจะมานอนเป็นเพื่อนพี่   ไล่ผมกลับเฉย”     เสียงไอ้นุ๊กตัดพ้อ

    ในที่สุดมันก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้    แต่นานเหมือนกันนะมึง   กว่ามึงจะยอมเนี่ย
      
     

    มันต้องจริงจังกับเรื่องนี้ขนาดนี้เลยเหรอวะ


    ช่วยไม่ได้    มึงไม่โทรมาหากูก่อนเองนิ่    ไปได้แล้ว    กูจะนอนแล้ว    ฝันดี   ราตรีสวัสดิ์   กู๊ดไนท์    บาย”  

    พูดจบผมก็รีบปิดประตูทันที    เป็นการตัดบทอย่างเด็ดขาดว่ายังไงๆผมก็จะไม่ให้มันนอน    ถ้าไม่ทำยังงี้นะ  

    มีหวังยืนเถียงกันอยู่ยังนั้นทั้งคืนแน่    แต่ผมก็อยากเปิดประตูไปดูนะว่ามันจะกลับไปยัง   

    ทำแบบนี้จะทำร้ายจิตใจมันเกินไปป่าววะ    แต่ถ้าเปิดไปแล้วมันยังอยู่    ก็ได้เถียงกับมันต่อนั่นแหละ   

    ผมเดินไปนั่งพักที่โซฟาหลังจากยืนเถียงกับไอ้นุ๊กอยู่นาน    กะว่านั่งพักสักครู่แล้วก็จะไปนอน    

    เฮ้อ!   ตอนนี้ผมยังไม่ต้องการให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อน    แค่นึกถึงความทรงจำดีๆระหว่างผมกับคนตัวโต
      

    เท่านี้ผมไม่เหงาแล้ว    นึกถึงทีไรมีความสุขทุกที    ยิ้มคนเดียว    หัวเราะคนเดียว     แต่!     

    .....มันก็เป็นบ้างครั้งเท่านั้น    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ    ผมมองไปที่ประตู    ไม่มีเสียงใดๆ   

    ไอ้นุ๊กคงจะกลับไปแล้ว    จะทนยืนอยู่หน้าประตูก็ใช่เรื่อง




    ก๊อกๆ




    เฮ้ย!    มึงยังไม่ไปอีกเหรอวะ   ที่เมื่อกี้เงียบๆ    ผมนึกว่ามันกลับไปแล้ว    นี่มันยังยืนอยู่หน้าประตูอีกเหรอเนี่ย   

    โห!   อึด   ทึกมากเลยนะมึง    ตื๊อได้โล่มาก    ถ้าผมเป็นผู้หญิงเจอแบบนี้ไปคงใจอ่อน     

    ผมตัดสินใจเดินไปที่ประตูเพื่อจะเปิดแล้วบอกมันให้กลับไป


    นี่มึงยังไม่กลับไปอีกเหรอวะไอ้นุ๊ก

    .

    .

    .

    .

    .

    โอ้ย!   ผมอยากจะย้อนเวลากลับไปก่อนที่ผมจะเปิดประตูมาก    ผมไม่น่าพูดพร้อมกับเปิดประตูเลย   

    ก็ใครจะไปรู้ละว่าไอ้เสียงเคาะประตูเมื่อกี้จะเป็นของคนตัวโต    ผมก็นึกว่าเป็นไอ้นุ๊ก    ผมเลยพูดออกไปเต็มที่   

    พอผมเห็นหน้าของคนตรงหน้าชัดๆ   ตัวผมถึงกับชา   เพราะผมมั่นใจว่ามันต้องได้ยินสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อกี้แน่ๆ  

    เราทั้งสองยืนมองหน้ากัน   ไม่มีใครพูดอะไร    ผมไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่   

    ไม่รู้ว่ามันจะรู้สึกยังไงกับสิ่งที่มันได้ยินเมื่อกี้    เพราะสีหน้าของมันตอนนี้เรียบ   ไม่แสดงถึงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น  

    มันจ้องหน้าผมอย่างไม่ละสายตา    ซึ่งต่างกับผม    ผมดีใจระคนตกใจ    แว่บแรกผมดีใจมากที่เห็นหน้ามัน  

    แต่แล้วผมก็ตกใจกับสิ่งที่ผมพูดออกไปเมื่อกี้    พอผมได้สติ    

    ผมก็อยากจะอธิบายว่าให้มันฟังว่าทำไมผมถึงพูดแบบนั้นออกไป     แต่ทำไมอยู่ดีๆเสียงผมก็หายไป


    ไอ้นุ๊กมาเหรอ”    มันทำลายความเงียบด้วยการถามผม   มันถามเรียบๆ  ไม่สื่อให้ผมรู้ได้ว่ามันรู้สึกยังไง


    ต้น    มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่”     ผมยิ้มแหยๆ    เพราะรู้ว่าตัวเองผิดเต็มๆ


    กูถามว่า   ไอ้นุ๊กมาเหรอ”     มันถามย้ำ    แต่น้ำเสียงจริงจังแกมคาดคั้น


    อื้ม    แต่ไม่มีอะไรนะมึง    ไม่มีอะไรจริงๆ”     ผมรีบพูด


    มันมาทำไม”     โอ้ยมึง!    กูให้มึงถามด้วยความโกรธหรือโมโหดีกว่าที่จะถามด้วยเสียงเย็นๆแบบนี้  

    กูจะได้รู้ว่ามึงรู้สึกยังไง    ถามแบบนี้กูทำตัวไม่ถูก 


    แล้วกูกับมึงจะยืนคุยกันอยู่ตรงประตูเนี่ยเหรอ”     ผมพูดพร้อมรีบหันกลับเข้าห้องทันที  

    ผมไม่รู้ว่ามันจะเดินตามเข้ามามั้ย   หรืออาจจะโกรธผมจนไม่เข้ามาข้างในแล้วมั้ง     

    หรือว่ามันจะปิดประตูแล้วกลับไปแล้ว    ผมได้ยินเสียงปิดประตู     ผมได้ยินเสียงถอดรองเท้า   เสียงวางของ  

    และเสียงฝีเท้ากำลังเดินเข้ามาใกล้ผม  
        ผมใจชื้นขึ้นที่อย่างน้อยมันก็ยังไม่กลับไป    อย่างน้อยมันก็ยังเข้ามาในห้องของเรา

    เอาละ    ผมจะรีบอธิบายเรื่องเมื่อกี้ให้มันฟัง    เราสองคนจะได้ไม่ต้องอยู่ในอาการที่อึมครึมแบบนี้   


    ผมกำลังจะหันไปอธิบายแต่ดูว่าความคิดผมจะช้ากว่าคนตัวโต    

    เพราะตอนนี้ผมได้ตกอยู่ภายใต้อ้อมกอดของคนตัวโตที่มันเข้ามากอดผมจากด้านหลัง    

    มันเอาหัวมาพิงกับหัวของผม    ซึ่งผมก็พิงตอบ
     


    คิดถึง.........คิดถึง..........คิดถึงมาก”     เสียงมันกระซิบแผ่วเบาอยู่ข้างหูของผม


    กูก็คิดถึงมึง    คิดถึงมากเหมือนกัน”     ผมตอบมัน    ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดของมัน  

    มันไม่ได้อบอุ่นเพียงแค่ร่างกายของผม    ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของคนตัวโตยังอบอุ่นไปถึงหัวใจของผมด้วย


    ไอ้นุ๊ก   มันมาทำไม”    คนตัวโตยังถามคำถามเดิมที่ถามค้างไว้    แต่คราวนี้น้ำเสียงไม่ได้เย็นๆ เรียบๆ  เหมือนเดิม  

    แต่กลับเป็นเสียงที่อ่อนหวาน   นุ่ม

    มันจะขอมานอนด้วย”    ผมหันกลับไปบอกคนตัวโตด้วยเสียงแหยๆ   แม้มันจะถามผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานแล้ว 

    แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะพูดแบบปกติเพราะผมกลัวว่ามันจะโกรธอยู่


    แต่มึงไม่ได้ให้มันมานอนใช่มั้ย”    มันถามแกมหัวเราะ


    โธ่!  ถ้ากูให้มันมานอน  มึงก็เห็นมันอยู่ในห้องกูไปแล้ว


    ฮะๆ   ดีมาก   เป็นยังงี้ให้มันได้ตลอดเถอะ”  


    มึงหมายความว่าไง”    ผมอดถามไม่ได้ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แล้วว่ามันหมายความว่ายังไง


    วันนี้มึงไม่พาใครเข้าห้อง   แต่วันหน้าก็ไม่แน่   กูจะวางใจได้ไหมเนี่ย”  


    คอยดูไปก็แล้วกัน”     ผมผละจาก้อมกอดคนตัวโตแล้วเดินมานั่งที่โซฟา    มันก็ตามมานั่งลงข้างๆผม    แต่   เอ่อ......   

    โซฟากูก็กว้างนะ   มึงจะมานั่งเบียดกูเพื่อ


    ไอ้ต้น   โซฟากูใหญ่อยู่นะ   แล้วมึงจะนั่งเบียดกูทำไม


    ก็กูอยากอยู่ใกล้ๆมึงอ่ะ”    ผมไม่กล้ามองหน้ามันตอนนี้    เพราะผมไม่อยากให้มันรู้ว่าตอนนี้ผมกำลังเขิน


    เอ้อ   แล้วนี่มึงกินอะไรมาหรือยัง


    ยังเลย


    กูมี  มาม่า  อยู่    เดี๋ยวกูไปต้มให้”     ผมจะกำลังจะลุกแต่มันจับแขนผมไว้ก่อน


    ไม่ต้องหรอก   กูกินมึงก็อิ่มแล้ว”    ไอ้เชี่ย   พูดเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย   ผมรู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนผ่าวๆ


    ทะลึ่งๆแล้วมึง”     ผมรีบพูดกลบเลื่อน


    กูไม่หิวหรอก    แค่ขอให้ได้อยู่ใกล้มึงเท่านี้กูก็พอแล้ว


    แล้วนี่มึงมานี่ได้ยังไง


    กูเหาะมามั้ง”     อ้าว!  ไอ้หมีกวนตีนกูเฉย    เดี๋ยวปั๊ด!


    ไอ้สัส    กูหมายถึงว่าทำไมมึงถึงมาได้   สโมสรเค้าไม่ว่าเหรอไง   มึงนี่กวนตีนจังนะ


    มึงไม่ต้องรู้หรอกว่ากูมาได้ยังไง   รู้แค่ว่ากูคิดถึงมึงมากก็เลยอยากมาหามึงก็เท่านั้นเอง


    อันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากรู้หรอกว่ามันมาได้ยังไง   แต่ผมอยากรู้เหตุผลที่มันมาก็พอ


    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำลายความเงียบระหว่างผมกับมัน    ผมมองหาโทรศัพท์ตัวเอง   พอเห็นว่าหน้าจอไม่มีอะไร  

    งั้นก็เป็นของไอ้หมีแล้วล่ะ    มันมองโทรศัพท์ด้วยสีหน้าที่ลังเลแกมกังวล    ผมพยักหน้า    

    แล้วมันก็ออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกตรงระเบียง     แค่มันมองหน้าผม    ผมก็รู้แล้วว่าใครโทรมา  
     

    ผมนั่งเล่นโทรศัพท์รอมัน    สักพักมันก็เดินกลับเข้ามานั่งลงข้างผม


    กูง่วงแล้ว   ไปนอนในห้องเราเถอะ”    มันบอกผม


    เค้าโทรมาว่าไงบ้าง”     ผมไม่อยากจะถามหรอกนะ    แต่เหมือนอะไรไม่รู้ดลใจให้ผมถามอย่างนั้นออกไป  

    ถามเองก็เจ็บเอง   บ้าเปล่านะ  ชนาธิป!!


    ช่างเถอะ   ไปนอนในห้องดีกว่า”    แล้วมันก็จูงผมเข้าไปในห้อง    ผมนอนหนุนแขนของมัน  

    เราสองคนก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งหนึ่ง    ผมรู้ว่ามันยังไม่ได้หลับ  

    แต่เหมือนเราสองคนกำลังคิดอยู่ว่าจะพูดเรื่องอะไรกันดี


    แล้วนี่จะไปหาเค้าตอนไหนเนี่ย”    ผมเป็นคนเริ่มพูด    ผมพยายามทำให้น้ำเสียงดูสดใสเป็นปกติ  

    เหมือนว่าผมพูดไปโดยที่ไม่รู้สึกอะไร    แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องพูดเรื่องที่ทำให้ตัวเองต้องปวดใจทุก

    ครั้งเวลาที่พูด    ผมแค่รู้สึกว่าบางครั้งผมก็ต้องหันไปมองความเป็นจริงด้วยว่าคนตัวโตมันก็มีอีกคนที่คอยมันอยู่เหมือน

    กัน    ที่ผมถาม    ผมแค่อยากแสดงให้มันรู้ว่าผมไม่ได้เห็นแก่ตัวที่จะห่วงแต่ความรู้สึกของตัวเองและไม่ใส่ใจกับโลกความ

    เป็นจริงเลย     เพราะนั่นก็เป็นหน้าที่ของมันที่ต้องทำให้เธอคนนั้นอยู่แล้ว


    เจ   กูอุตส่าห์ไม่พูดแล้ว   มึงจะพูดทำไม”   มันบอกผมเสียงเรียบ


    ก็สิ่งที่กูพูดมันเป็นเรื่องจริงนิ่    มันเป็นเรื่องที่.........มึงต้องทำอยู่แล้ว    กูพูดก็ไม่เห็นแปลก”     ผมเกือบระบายให้มันฟัง

    ถึงสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ   แต่ผมยั้งไว้ก่อน


    ห้ามพูด    ต่อไปนี้ห้ามมึงพูดอีก   ไม่งั้นอย่าหาว่ากุไม่เตือน


    ทำไม   มึงจะทำอะไรกู”     ผมถามไปอย่างซื่อ    ซึ่งผมไม่รู้ตัวเองเลยว่าได้เปิดโอกาสให้ไอ้หมีเรียบร้อย   

    มันค่อยๆเอาหน้าเข้ามาใกล้ๆผม    จนหน้าผมกับมันชิดกันจนสัมผัสลมหายใจกันได้  

    แต่มันก็ยังเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ   จนผมรู้ว่ามันกำลังจะทำอะไร   เลยรีบหันหน้าหนีทันที  


    แหม   ทำเป็นหันหน้าหนี    รู้นะว่าเคลิ้ม  5555


    เคลิ้มพ่อง   กูไม่ได้เคลิ้มซักหน่อย


    เอ้าๆ   ไม่เคลิ้มแล้วทำไมตอนแรกไม่หลบละ    ถ้ามีสติก็น่าจะรู้แรกแล้วว่ากูจะทำอะไร   

    นี่กูลองใจนะเนี่ยว่ามึงจะทำยังไง    ถ้ากูทำจริงนะ    เหอะๆ    เสร็จกูไปแล้ว   ไอ้เจ”    เชี่ยต้นเอ้ย    ชอบแกล้งกู   

    เดี๋ยวรอกูเอาคืนบ้างเหอะ    แม่งจะจัดให้สาสมเลย 


    แล้วพรุ่งนี้มึงจะกลับกี่โมงเนี่ย


    กูไม่กลับหรอก    กูจะอยู่กับมึงตลอดไป”     คนตัวโตพูดพร้อมกับพลิกตัวคนร่างเล็กที่นอนหนุนแขนอยู่ให้มาอยู่ในวง

    แขน    มันเป็นวงแขนที่ทำให้คนตัวเล็กมั่นใจว่าจะอบอุ่นและวางใจได้ว่าปลอดภัยเสมอไม่ว่าในยามใด



    เว่อร์ไปแระ    แล้วมึงไม่กลับไปทำหน้าที่ของมึงหรือไง


    กูจะอยู่กับมึงตลอดไป”      มันกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น


    งั้นถ้าพรุ่งนี้มึงจะกลับตอนเช้ามืดก็กลับไปก่อนเลยนะ   ไม่ต้องปลุกกูล่ะ


    ทำไม   กลัวร้องไห้คิดถึงกูละสิ”    โอ้ย!   หลงตัวเองชิบ     แต่แม่งก็พูดถูก


    เปล่า    ก็แค่ไม่อยากรับรู้ว่ามึงกำลังไป” 


    กูจะอยู่กับมึงตลอดไป”      มันพูดพร้อมกับกดจมูกลงมาบนหน้าผากของผม


    นอนเถอะ  กูง่วงมากแล้ว  ไม่ไหวแล้วมึง”   ผมไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของมันเพราะคิดว่ามันคงพูดให้ผมสบายใจ   

    ไม่ต้องคิดมากก็เท่านั้น


    มึงนอนก่อนเลย    กูจะนอนกอดมึงอยู่อย่างนี้    และพรุ่งนี้ถ้ามึงตื่นขึ้นมา   มึงจะเห็นหน้ากู   กูสัญญา”     

    ผมง่วงมากจนแทบจะฟังไม่ออกว่ามันพูดอะไร    เพราะการที่อยู่ในนอนหนุนแขนคนตัวโต   

    ได้อยู่ในวงแขนของคนตัวโต    มันช่างสบายและผมก็มั่นใจว่าอ้อมกอดนี้จะปกป้องผมให้ปลอดภัยเสมอ    

    ผมรู้แต่แค่ว่ามันกำลังพูดอยู่
          แต่ทำไมผมกลับได้ยินประโยคสุดท้ายของคนตัวโตชัดเจนก่อนที่ผมจะหลับไม่ได้สติ  

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ต้น.......ต้น...........ไอ้ต้น”     ผมตื่นขึ้นมาในสภาพงัวเงีย    แต่ผมก็ยังจำได้ที่มันบอกผมก่อนผมจะหลับ    ผมยังจำได้ดี  


    และพรุ่งนี้ถ้ามึงตื่นขึ้นมา  มึงจะเห็นหน้ากู  กูสัญญา’  


    พอตื่นผมก็รีบเรียกหามันทันทีเพราะในใจลึกๆผมก็อยากให้คนตัวโตทำตามที่พูด    

    แม้ว่าผมจะเผื่อใจไว้แล้วว่ามันอาจจะแค่พูดปลอบผมเฉยๆก็ได้


    ผมรีบมองรอบๆตัว    ว่าง    มันว่างเปล่า   ไม่มี   ไม่มีใครเลย   ไม่มี..........   มันคงกลับไปแล้ว   ก็อย่างว่าแหละ  

    มันก็ต้องกลับไปทำหน้าที่ของมัน   แค่มันสละเวลานั่งรถหลายชั่วโมงมาหาผม    แถมยังต้องกลับแต่เช้า   

    เหนื่อยจะตาย    ผมก็โครตจะดีใจแล้ว     ที่คนตัวโตมาหาผม   แม้ตัวของนฤต้นจะไม่ได้อยู่กับผมตลอดเวลา   

    แต่ใจของผมอยู่กับมันตลอดเวลา     มันกลับไปเช้ามากเหมือนกันนะ      ผมมองออกไปข้างนอก    ฟ้ายังมืดอยู่เลย  
     

    กี่โมงแล้วเนี่ย   ผมหันไปมองนาฬิกา......

    .

    .

    .

    .

    .

    4   ทุ่ม   ห๊า!!!    4  ทุ่ม    เฮ้ย!!!     4  ทุ่มได้ไง     ทำไมเป็น 4 ทุ่มล่ะ     เห้ย!!    หรือว่านาฬิกาตาย   

    ผมลุกขึ้นรีบดูนาฬิกาโทรศัพท์      เห้ย!!   4  ทุ่มจริงๆด้วย    แต่ผมก็ยังไม่เชื่อเพราะนาฬิกาโทรศัพท์อาจจะตั้งผิดก็ได้  

    ผมรีบหานาฬิกาข้อมือเพื่อดูเวลาอีกครั้ง       4  ทุ่มจริงๆ     ผมดูนาฬิกามา  3  เครื่อง        4  ทุ่มทุกเครื่อง  

    ถ้าอย่านั้นมันก็คง  4  ทุ่มจริงๆ     เพราะเป็นไปไม่ได้แน่ถ้านาฬิกาจะเสียพร้อมกัน     ตอนแรกผมกำลังตกใจกับเวลา  

    ทำให้ผมลืมสังเกตสิ่งรอบตัวไป     ผมไม่ได้นอนในห้องนิ่     ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ที่โซฟา

    เพราะฉะนั้นผมก็ต้องนอนที่โซฟาเพราะว่าผมยังไม่ได้เดินไปไหนเลย     อ้าว!    

    แล้วที่ผมนอนในห้องกับคนตัวโตละ    แล้วทำไมถึงยัง 4 ทุ่ม    ทั้งๆที่ผมจำได้ว่าก่อนจะนอนกับไอ้ต้น  
     

    ผมมองไปที่นาฬิกา    มันเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้วนิ่    อะไรวะ!    เกิดอะไรขึ้น 

    ผมพยายามเรียกสติกลับคืนมาหลังจากผมเริ่มขวัญเสียกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น    ผมนั่งลำดับความคิดของตัวเอง  

    ตั้งแต่ก่อนซ้อมบอล    ผมนั่งไล่ความจำมาเรื่อยๆ    ผมจำได้ว่าผมซ้อมบอลเหนื่อยมาก  

    พอถึงห้องผมก็ล้มตัวลงบนโซฟา     แล้วก็...............


    หรือว่าเหตุการณ์ทั้งหมด  ผมจะแค่....................ฝัน


    เฮ้อ!    ผมคงฝันไปจริงๆ    เพราะถ้าไม่ได้ฝัน   นาฬิกาคงไม่บอกเวลา  4  ทุ่ม    

    แล้วถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงแล้วผมนอนมาถึง
      4 ทุ่มของอีกวันนี่    ก็ไม่น่าจะเว่อร์ถึงขนาดนั้น  
     


    อีกทั้งสภาพผมตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิมตอนที่กลับจากซ้อมบอล    ใช่!   ผมกลับมาถึงห้องตอน  2  ทุ่มนี่นา  


    นี่ผมฝันไปจริงๆใช่มั้ย    ไอ้ต้นมันไม่ได้มาหาผมจริงๆใช่มั้ย     ผมคิดถึงมันมากจนเก็บมาฝันเป็นตุเป็นตะ  


    ขนาดนี้เลยเหรอ    ผมไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าเหตุการณ์ทั้งหมดจะเป็นเพียงความฝัน    

    มันเป็นความฝันที่เหมือนจริงมาก    ทั้งน้ำเสียงที่ทุ้ม    นุ่มของคนตัวโต    ทั้งสัมผัสที่อ่อนหวานและอบอุ่นของมัน
        


    ผมไม่อยากให้นี่เป็นแค่ความฝันเลยจริงๆ    นี่ผมคิดถึงมันมาก     ผมอยากเจอมันมาก  


    ผมอยากให้มันมาหาผมมากขนาดถึงกับเก็บเอามาฝันเลยเหรอ    เหอะ!    แต่คงเป็นได้แต่ในฝันเท่านั้นแหละ  

    แต่จะว่าไป     ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ผมฝันนี่มันฝันดีหรือฝันร้าย      ฝันดีที่ได้เจอคนตัวโต   แต่มันก็แอบร้ายนะ

    เพราะ.....มีคนนั้นๆแวะเข้ามาในฝันของผมด้วย




    ก๊อกๆ




    โห้ย!    ใครมาดึกๆดื่นๆอีกละ     พอได้ยินเสียงเคาะประตู     ผมก็นึกถึงความฝันเลย  


    เพราะในฝันก็มีเสียงเคาะประตู    หรือว่า    จะเป็นไอ้นุ๊ก    โห!    ตามมาในความฝันยังไม่พอ   


    มึงจะมาตัวเป็นๆในชีวิตจริงด้วย    ไม่ใช่ว่ามันมาขอนอนกับผมเหมือนอย่างในฝันนะ    

    ผมขำตัวเองที่คิดอะไรได้พิสดารมาก     คงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก
       ผมยันตัวเองลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ไง!   ไอ้เตี้ย   เปิดประตูช้าจริงนะมึง    แอบซ่อนใครไว้ป่าวเนี่ย    อ้าว!    อึ้งๆ    มึงไม่เคยเห็นนฤบดินทร์ 

    แบ๊กขวาตัวเก่งหรือไง


    ใช่!   ผมอึ้ง!    ผมอึ้งจริงๆ    ผมกระพริบตาหลายรอบเพื่อที่จะมั่นใจว่าผมไม่ได้ตาฝาด 


    ต้น  มึงจริงๆใช่มั้ย   มึงจริงๆใช่มั้ยเนี่ย  กูไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย   กูไม่ได้ฝันใช่มั้ย”   

    ผมพูดเสียงสั่นเพราะกำลังตกใจกับภาพตรงหน้า    ภาพของคนตัวโต เหมือนในฝัน    แต่นี่ผมไม่ได้ฝันใช่มั้ย


    เอ้า   ก็จริงน่ะสิ”     คนตัวโตตอบงงๆ


    เพี๊ยะ!!!


    โอ้ย!    ไอ้เชี่ยเจ    มึงตบหน้ากูทำไมเนี่ย”      คนตัวโตบ่นออกมาเสียงดัง


    เจ็บมั้ย?


    เจ็บดิ     ไอ้เหี้ย     ตีซะแรงใครจะไม่เจ็บ    ห่า!    มาโดนเองมั้ย   แล้วตบกูเพื่อ?


    กูจะได้รู้ไงว่ากูไม่ได้ฝัน


    สัส!   แล้วทำไมมึงไม่ตบตัวเอง


    “ก็กูกลัวเจ็บ


    พ่อง!   มึงนี่มันจิงๆเลย    แล้วนี่จะคุยกันอยู่ตรงประตูจนถึงเช้าเลยมั้ย”    เออ  จริงสิ   ผมก็ดีใจมากจนลืมชวนมันเข้าห้อง  


    เข้ามาดิ่    โห่!    ต้องให้บอก”     ผมเดินนำมันเข้าห้อง    พอเห็นสภาพห้องตัวเองเต็มตา    ผมก็รีบเก็บของทันที 

    เดี๋ยวคนตัวโตมันจะบ่นเป็นหมีไม่ได้กินน้ำผึ้ง     แต่ดูเหมือนว่าจะช้ากว่าเสียงของคนตัวโต


    กูไม่อยู่นี่    ห้องหรือรังหนูวะ”       มันพูดกลั้วหัวเราะ


    แหม!    กูเก็บทุกวันพอ     แต่วันนี้กูรีบไปซ้อมแล้วกลับมากูเหนื่อยก็เผลอหลับ   เลยไม่ได้เก็บ”     

    ผมโยนความผิดไปให้อย่างอื่นแทน    

    ไม่ต้องช่วยกูนะ    มึงนั่งพักไปเลย    เดี๋ยวกูทำเอง”      ผมรีบบอกมัน     ขืนให้มันทำ เดี๋ยวผมจะหูชาซะก่อน 

    เพราะมันคงทำไปบ่นไปไม่หยุดแน่    เพราะอันที่จริงผมไม่ได้ดูแลห้องมาหลายวันแล้ว   อะไรๆมันก็คงจะรกน่าดู


    เอาใครมานอนที่ห้องบ้างป่ะเนี่ย


    ไม่มี


    แน่ใจ”      น้ำเสียงจริงจังไปนะไอ้หมี


    แน่”      ผมยืนยัน  


    ไม่จริงอ่ะ   ต้องมีแน่    มึงชอบโกหกกู”     เอ้า!    เชี่ยต้น    ปรักปรำกูเฉย


    ไม่ได้โกหก     แค่ไม่บอกต่างหาก”       ผมเถียงมันอยู่ในใจ


    มันก็เหมือนกันนั่นแหละ”       เสียงมันดังขึ้นทันทีหลังจากผมเถียงมันในใจ     นี่มึงไปเรียนวิธีอ่านใจคนมาจากไหนวะ 

    เหี้ย!    รู้ดีไปหมด    นี่กูคิดอะไรในใจก็ไม่ปลอดภัยแล้วใช่มั้ย


    มึงรู้ได้ไงว่ากูคิดอะไร”     ผมหยุดเก็บของแล้วหันมาถามมัน


    โธ่!    เจ    กูอยู่กับมึงมากี่ปี      รู้ทุกอย่างว่ามึงเป็นคนยังไง    ชอบอะไร    ไม่ชอบอะไร    กูรู้กระทั่งว่ามึงคิดอะไร”  

    หน้าตาของไอ้หมีดูมั่นใจในสิ่งที่พูดเมื่อกี้มาก     ก็จริงนะ    อยู่กับมันมาตั้งหลายปี    ผมรู้ใจมัน    มันรู้ใจผม 

    รู้แม้กระทั่งความคิดของกันและกันว่าแต่ละฝ่ายคิดอะไร    รู้สึกยังไง     แต่มึงรู้ในยามกูทุกข์ใจอย่างเดียวดีกว่านะ 

    รู้ทุกเวลาแบบนี้กูแอบด่ามึงไม่ถนัด


    แสดงว่ากูพูดตรงกับที่มึงคิดใช่มั้ยล่า”      มันพูดขึ้นหลังจากที่เห็นผมเงียบไป


    เออ”     ปกปิดไปก็ไม่มิด      งั้นก็บอกๆแม่งไปเลย


    แล้วมึงมาได้ไง    สโมสรให้มาเหรอ


    ถ้าไม่ให้มา     กูจะมาได้มั้ยล่ะ


    ก็นึกว่าหนีมา”      ผมเย้าคนตัวโต


    “หาเรื่องให้กูแล้วมั้ยล่ะ?    แล้วก่อนกูมาถึง    มึงฝันถึงกูด้วยเหรอ”     ผมนึกถึงความฝัน    ความฝันของผมนั้นแอบเศร้า 

    แต่ไม่รู้ว่าจะเหมือนในฝันหรือเปล่า     แต่แค่ได้เจอมันต่อให้เหมือนในฝันผมก็ไม่กลัว   

    แล้วผมก็จะตักตวงความสุขในเวลาที่ได้อยู่กับมันไปให้ได้มากที่สุด


    ฝันชง    ฝันเชี่ยอะไร    ไม่ได้ฝันถึงมึงซะหน่อย”     พอตัวเล็กได้ยินคนโตพูดดังนั้น  

    มือที่กำลังเก็บของชิ้นสุดท้ายอยู่ก็กลับวางชิ้นนั้น    ยกชิ้นนี้    ที่เก็บแล้วก็เอาออกมาแล้วก็เก็บเข้าที่เดิม  

    จับๆวางๆของเหมือนกับจะจัดห้องให้เรียบร้อยที่สุดเท่าที่เคยทำมา
        

    ตาก็จับจ้องอยู่ที่ของแต่ละชิ้นอย่างกับจะมองให้เห็นถึงส่วนประกอบข้างใน  

    เลยไม่ได้หันมาเห็นเห็นสายตาที่ยิ้มอย่างชอบใจ 

    แต่คนที่ยิ้มอย่างชอบใจก็คงไม่ทันเห็นสีแก้มของชนาธิปเช่นกันว่าตอนนี้มันแดงเป็นลูกตำลึงขนาดไหน  

    เพราะชนาธิปนั้นหันหลังเก็บของทันทีโดยไม่ยอมหันไปทางคนตัวโตเลย     
    ชนาธิปที่กำลังพยายามสนใจกับสิ่งของ 

    ทำให้ไม่รู้สึกว่ามีคนเดินมาอยู่ข้างหลัง     จนกระทั่งได้ยินเสียงอันแผ่วเบาอยู่ข้างหู 

    แต่ชนาธิปกลับได้ยินเสียงนั้นดังและชัดอย่างแจ่มใส

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ฝันเป็นจริงแล้วนะ









    Writer   :   ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ   เรื่องมันยาวไปมั้ย   เรื่องมันก็วนๆอยู่เท่าเนี้ย   อ่านแล้วงงๆ ก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ  ที่มันยาวเพราะความคิดถึง  #ต้นเจ  มันมากกกกกก   ฟิคนี้แต่งมาเพื่อสนองตัณหาตัวเองโดยเฉพาะ  55555  เพราะคิดถึง  #ต้นเจ  มากกกกก   เลยสละเวลาอ่านหนังสือมาแต่งฟิคซักหน่อย   55555   (ขี้เกียจมากกว่า)   แต่งฟิคทีขยันเลย   แต่งไปก็ฟินไปคนเดียว   แต่ไม่รู้ว่าทุกคนจะฟินมั้ย   ฟินน้อยก็อย่าว่ากันเนอะ  หยวนๆ  ให้คนแต่งหน้าใหม่หน่อยนะคะ   ติได้ตลอดนะคะ   :)   :D
    .............................Gray ^ ^

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×