ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Got7] JJ Factors - เจเจแฟ๊กเตอร์ [SF/OS][Bnior][BNyoung]

    ลำดับตอนที่ #3 : [SF] Therapist [BNior] 1/2

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 58


    [SF] Therapist [BNior] 1/2














































































     

    "โอ๊ยๆๆๆ ! เจ็บนะ!!  พอ!   พอแล้ว!!!" เสียงหวานตะวาดแหว ดังลั่นห้องทรีทเม้น ที่เก็บเสียงส่วนตัวสำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการการบำบัดโรคทางเลือก ด้วยการนวดรักษาแบบอายุรเวช

     

     

    "เพี๊ย!!" เสียงผ่ามือกระทบใบหน้าได้รูปของเทราปิส ผู้ทำการบำบัดอย่างแรง ก่อนที่ชายหนุ่มผิวขาวหน้าตาดีจะรีบลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วผลุนผลันออกไป  ทิ้งให้เทราปิสมือใหม่กุมแก้มกร้านงง งง  แต่ก็ติดรอยยิ้มขึ้นมาเพราะว่าพอใจในผลงานชิ้นนี้แล้วหล่ะนะ...

     

     

    "เจบี!!  มานี่เลย... มีลูกค้ามาฟ้องนายอีกแล้วนะ  นายรู้ไหมว่าลูกค้าคนเมื่อกี้เป็นนักเปียโนดาวรุ่งชื่อดังด้วย  ถ้าเขาไปโพทะนาให้คนไม่มาเข้าคลินิกของฉัน  จะทำยังไงฮึ!??" คุณหมอมาร์ค เจ้าของคลินิกรักษาและบำบัดโรคด้วยการแพทย์ทางเลือก วัย 35 ปี เทศน์ใส่ลูกจ้างวัยรุ่น อายุ 18 ปี  เทราปิสคนใหม่ที่รับมาทำงานได้ไม่ถึงเดือนก็โดนบรรดาลูกค้าบ่นไปหลายรายแล้วด้วยความมือหนัก และมนุษยสัมพันธ์ติดลบ แต่...

     

     

    "เอาเถอะ เดี๋ยวก็กลับมาเรียกหานายอีกอยู่ดี เพราะเมื่อกี้คุณชเว ยองแจ เซนต์เช็คอย่างไว พร้อมกับขยับมือและแขนข้างที่มีปัญหานั้นได้อย่างคล่องแคล้วแล้ว  รอยแดงที่หน้านายก็คงไม่ต้องบอกสินะว่าโดนอะไร  ตอนดูจากกล้องวงจรปิดก็ตกใจอยู่เหมือนกัน" มาร์คยิ้มพร้อมกับหมุนปากกาเล่นอย่างสบายอารมณ์บนโต๊ะให้คำปรึกษา สองสามรอบก่อนจะอนุญาตให้เจบีไปพักได้ เพราะนี่เป็นเวลา เกือบจะ สี่ทุ่มใกล้ปิดคลินิกแล้ว

     

     

    เมื่อเดือนก่อน คลินิกการแพทย์ทางเลือกที่กำลังโด่งดังในโซเชียลเนทเวิกของมาร์คที่เปิดกิจการอยู่ในย่านกังนัมกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้  มีเทราปิสเป็นหญิงชาวไทย ที่ทำหน้าที่บำบัดรักษาด้วยการนวดได้ลาออก  เธอไปแต่งงานกับชาวต่างชาติทำให้มาร์คต้องประกาศรับสมัครเทราปิสคนใหม่  โดยลูกจ้างที่สามารถทำงานได้อย่างถูกกฎหมายและมีฝีมือดีนั้น  แต่ละคนที่มาสมัครเรียกค่าแรงสูงมากๆ  สูงจนเจ้าของกิจการสุดหล่อต้นทุนหนาแทบหน้ามืด  ดีว่าเขาเป็นแพทย์เองและมีใบประกอบโรคศิลป์ รวมถึงบริหารกิจการเองทำให้ทุ่นต้นทุนด้านบุคลากรไปได้บ้าง  ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถเปิดคลินิกหรูหราไฮโซใหญ่โตขนาด 4 ห้อง บนอาหารพานิช 4 ชั้นนี่ได้ เพราะที่ดินแถวนี้ราคาแพงระยับ  และโชคดีที่เขามีเพื่อนเป็นแพทย์แผนจีนที่เก่งและไว้ใจได้จากฮ่องกงมาเป็นหุ้นส่วนรวมถึงทำงานด้วยกัน ชื่อ แจ๊กสัน หวัง ทำให้กิจการเจริญเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ  ที่คลินิกนี้เน้นการฟื้นฟูสมรรถภาพคนไข้ด้วยการแพทย์ทางเลือกในกรณีที่การรักษาแผนปัจจุบันไม่ได้ผล   มีตั้งแต่การใช้ยาแผนปัจจุบัน ใช้สมุนไพร ยาจีน การฝังเข็ม การกดจุด  กายภาพบำบัด วารีบำบัด จิตบำบัด โภชนะบำบัด ดนตรีบำบัด และการนวดบำบัด 

     

     

    ก่อนหน้านี้มีไอดอลชื่อดัง บาดเจ็บเรื้อรังด้วยอุบัติเหตุจากการเต้นจนเป็นข่าวใหญ่  เพราะไอดอลคนนั้นหมดอนาคตและทำการฆ่าตัวตายเกือบจะสำเร็จ  สื่อต่างๆล้วนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก  แต่พอมารักษาที่นี่กลับค่อยๆฟื้นฟูอาการทั้งร่างกายและจิตใจได้ดีขึ้นจนถึงหายเป็นปรกติในที่สุด  ตอนนี้จึงสามารถกลับเข้าวงการไปทำงาน แสดงทักษะอันยอดเยี่ยมได้ต่อ  เขาเลยเหมือนช่วยประชาสัมพันธ์คลินิกของมาร์คให้ดังเข้าไปใหญ่  โดยเฉพาะการรักษาด้วยการนวดแบบอายุรเวช  โดยเทราปิสหญิงชาวไทย ซึ่งมีส่วนบำบัดต่อเนื่องจนเห็นผล  แต่เธอดันขอลาออกเพราะพบรักแต่งงานใหม่  แม้มาร์คจะเสนอเพิ่มเงินเดือนให้ 3 เท่าเจ้าหล่อนก็ไม่ใจอ่อน  ทำให้มาร์คเดือดร้อนมาก เพราะคอร์สนวดเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของคลินิกที่เป็นจุดขาย และทำรายได้อย่างมากมายในช่วงนี้

     

     

    การเฟ้นหาคนมาทำแทนนอกจากดูจากฝีมือ เทคนิค ประสบการณ์แล้ว ก็ต้องดูอุปนิสัย และทัศนคติหลายอย่าง รวมทั้งต้องดูด้วยว่าเป็นคู่แข่งทางธุรกิจส่งมาสืบข้อมูลหรือไม่  จนมาร์คพบใบสมัครที่น่าสนใจเป็นของเด็กวัยรุ่นชาวเกาหลีที่มีใบรับรองการอบรมนวดระยะสั้น 10 วันเท่านั้น จากประเทศไทย  และมาร์คก็ตัดสินใจเรียกเด็กคนนั้นมาสัมภาษณ์ และทดสอบภาคปฏิบัติ

     

     

    ในบรรดาผู้ที่มาร์คคัดจากใบสมัคร 10 คน สุดท้ายสู่ขั้นตอนสอบสัมภาษณ์และสอบภาคปฏิบัตินั้น  แจ๊กสัน นักกายภาพ และพนักงานเทราปิสคนอื่นๆ ต่างมีส่วนช่วยให้คะแนนคนที่ตนเองชอบ  คนที่มีฝีมือ  มีบุคลิค และนิสัยที่ตนเองอยากร่วมงานด้วย โดยทั้งหมดมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในการเลือกเจบี ผู้สมัครที่อายุน้อยที่สุดเข้าทำงาน  ...อายุ 18 ก็ไม่ผิดกฎหมายแรงงานแล้วอ่ะนะ

     

     

    "สวัสดีครับ คุณอิม แจบอม ผมเป็นเจ้าของที่นี่ ชื่อมาร์ค อีเอิ้น ต้วนนะครับ" มาร์คเรียกผู้เข้าสมัครมาสัมภาษณ์ในห้องส่วนตัวทีละคนพร้อมกับถ่ายวีดีโอไว้  นอกจากเป็นเจ้าของแล้วมาร์คยังเป็นจิตแพทย์ ทั้งบริหารและเป็นลูกจ้างตัวเอง เป็น HR(ฝ่ายทรัพยากรบุคคล) และ ผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วย สิทธิ์ขาดในการเลือกรับคนจึงเป็นของเขาในตอนสุดท้ายอยู่ดี

     

     

    "สวัสดีครับคุณมาร์ค  เรียกผมว่าเจบีก็ได้" เด็กหนุ่มผิวขาวตาตี่ ตัดผมสั้นเรียบร้อย รูปร่างสูงยาวเข่าดี มีกล้ามเนื้อสมส่วน  ดูสะอาดสะอ้าน  มีไฝใต้ตา 2 จุด ยิ้มตาเป็นสระอิ  ดูไม่มีพิษมีภัย  เจบีสวมเชิตแขนยาวสีขาว กางเกงแสล๊กสีน้ำเงินเข้ม ใส่รองเท้าหนังหุ้มส้นสุภาพเรียบร้อย ท่าทางถ่อมตัวมีมารยาท  ยืนประสานมือก้มศีรษะให้  ก่อนรอฟังคำสั่งให้นั่งได้ จึงค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งไว้ต่อหน้ามาร์ค

     

     

    มารยาทคือความประทับใจแรก  ต่อด้วยคำถามอีกมากมายที่ถูกใช้ประเมินและได้รับคำตอบซื่อๆจากเจบีตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ทำให้มาร์คยิ่งสนใจในเด็กคนนี้ อายุยังน้อยแต่มีความคิดดี  มีความอ่อนน้อม มีสัมมาคารวะ และเท่าที่ฟังประวัติก็เป็นคนหนักเอาเบาสู้  เคยมีชีวิตที่ยากลำบาก  ต้องทำงานเร็วไม่ได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยเพราะมีความจำเป็นต้องเก็บเงินเพื่อไปช่วยเหลือคนในครอบครัว แม้ประสบการณ์ในการรักษาจริงกับคนไข้จะยังไม่เยอะ แต่ก็มีทัศคติดี และมีใจรักในงานจึงมีส่วนสำคัญที่ทำให้มาร์คตัดสินใจรับเด็กคนนี้มาทดลองงาน  อีกอย่างก็เพราะเป็นเด็กใหม่ไม่ได้เรียกค่าจ้างสูงอะไรด้วย  และก็ไม่ผิดหวัง มาร์คให้เทราปิสคนเก่าเทรนงานให้เจบีจนเรียบร้อยก่อนไป จากนั้นจึงได้เซ็นต์สัญญาจ้าง และให้เริ่มทำงานกับผู้ป่วยจริงๆเมื่อ สัปดาห์ที่ผ่านมา

     

     

    ตอนแรกมาร์คเองก็เกือบจะนึกว่าตนเองมองคนผิด เพราะลูกค้าเก่าใหม่ ที่ผ่านมือเจบีแต่ละคนก็มักจะมาฟ้องกับเขาเรื่องความมือหนัก และหน้านิ่ง ไม่ค่อยพูดคุยมีมนุษยสัมพันธ์มากนัก แต่ก็ไม่ต้องรอนาน....ลูกค้าพวกนั้นก็กลับมาชมว่าถึงแม้เจบีจะนวดเจ็บ มือหนัก แต่ผลการรักษาก็ออกมาดี หายปวดเมื่อย ขยับร่างกายได้ดีกว่าแต่ก่อน และการที่เจบีไม่พูดอะไรมาก  เป็นผู้รับฟังที่ดี  ทำให้พวกเขาต้องเป็นฝ่ายพูดแทน  เลยได้ระบายเรื่องราวหนักๆในชีวิตที่พูดกับใครไม่ได้ออกมา   หลังจากกลับไปบ้านเลยรู้สึกดีขึ้นมากแทบทุกคน  ...ก็ดีแล้วหล่ะนะ  แต่ไม่รู้จะดีพอที่จะรักษาเคสสุดหินที่มาร์คดูแลมากว่า 3 ปีได้หรือป่าว  เคสที่แม้แต่เทราปิสระดับเทพคนเก่าที่ออกไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาได้เลยเนี่ยสิ  นัดครั้งหน้าก็วันจันทร์ที่จะถึงนี้แล้วด้วย(วันนี้วันศุกร์) มาร์คได้แต่ถอนหายใจเครียดขึ้นมา

     

     

    "ตึ๊ด  ตึ๊ดดดดดด" เสียงโทรศัพท์ที่ปิดเสียงแต่เปิดแบบสั่น ดังขึ้นมาแค่ไม่กี่ที มาร์คก็รีบหยิบขึ้นมาสไลด์รับสาย ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วกุลีกุจอสวมเสื้อโค๊ทแต่งหล่อออกไปยังลานจอดรถหน้าคลินิก

     

     

    มาร์คกดรีโมทเปิดประตูรถก่อนจะนึกได้ว่าอาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่แล้วคืนนี้ จึงย้อนกลับเข้าไปในตัวตึก เพื่อสั่งให้พนักงานกลับบ้านและปิดคลินิกก่อนเวลานิดหน่อยได้  คงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้งเพราะไม่มีลูกค้าที่นัดไว้เหลือแล้วด้วย และบังเอิญเจอเจบีที่ถอดเสื้อกาวน์ของเทราปิสออกแล้ว  กำลังนั่งพับเสื้อสีขาวของคนไข้ที่ใช้เปลี่ยนก่อนเข้าทำทรีทเม้นต่างๆอยู่  เขาค่อยๆเรียงเสื้อใส่ในชั้นวาง ให้สันทบเรียบเสมอกันเป็นแนวเดียวด้วยความใส่ใจ จนมันดูสวยเป็นระเบียบดีราวกับเสื้อที่โชว์อยู่ตามห้างสรรพสินค้าราคาแพง  ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ของเขาสักนิด จนมาร์คนึกเอ็นดูเด็กหนุ่มคนนี้และยิ้มออกมา

     

     

    "เจบีอยากกินอะไรไหม  เดี๋ยวผมจะไปรับแบมแบม  รายนั้นโทรมาว่ากวดวิชาเสร็จแล้วกำลังหิว  ผมจะพาไปกินข้าวแล้วเดี๋ยวซื้อของกินอร่อยๆมาฝาก?"

     

     

    "ไม่ต้องหรอกครับคุณมาร์ค  มันดึกแล้ว เผื่อพวกคุณจะไปทำธุระต่อกัน จะมากังวลเรื่องผมเปล่าๆ  ผมหาอะไรกินแถวนี้ได้ครับ  รีบไปเถอะ  ปล่อยให้คุณแบมแบมรอนานเดี๋ยวก็มีใครหลอกพาไปไหนอีกหรอกครับ ฮึ ฮึ" เจบียิ้มล้อเลียนทำให้มาร์คเบิกตาโตเหมือนจะนึกอะไรได้ เขาจึงรีบหันหลังวิ่งไปยังรถสปอร์ทคันงามแล้วสตาร์ทขับออกไปอย่างรวดเร็ว  หมดมาดเจ้าของคลินิกแสนหล่อหรู ดูดีไปในบัดดล

     

     

    คล้อยหลังจากมาร์คไม่เท่าไหร่ไฟในคลินิกก็ดับเกือบหมดเหลือแต่ที่เคาเตอร์ กับประตูหน้า  พนักงานกะสุดท้ายที่เหลืออยู่ 7- 8 คน ทยอยกันมาเข้าเครื่องแสกนร่างกาย (เพื่อป้องกันการหยิบขโมยทรัพย์สินมีค่าติดไม้ติดมือก่อนออกจากตึก) แล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน  เหลือเจบีทำหน้าที่ปิดตึกเหมือนเป็นยามกลายๆ เพราะมาร์คใจดีให้เขาอาศัยอยู่ที่นี่ได้ไม่ต้องเช่าหอ  จะได้เก็บเงินส่งกลับบ้านได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย  เจบีจึงซึ้งใจมาก เขาอาสาช่วยดูแลอุปกรณ์  พื้นที่ และทรัพย์สินทุกอย่างของคลินิกให้มาร์คเป็นอย่างดี และตั้งใจทำงานอย่างแข็งขันเพื่อเป็นการตอบแทน

     

     

    เจบีเป็นเด็กบ้านแตกขาดความอบอุ่น  พ่อแม่ของเขาแยกทางกันทำให้เขาใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างเสเพลตั้งแต่อายุ 13ปี เขาหนีออกจากบ้าน  เคยติดยา ลักเล็กขโมยน้อย สัก ตั้งแก๊ง  ถูกจับติดคุก (ไม่กี่วัน) และเกือบจะฆ่าคนมาแล้ว ตอนหลังเขามาเป็นสายให้ตำรวจ  และโชคดีบังเอิญได้เจอตำรวจที่ดี  ช่วยดัดนิสัยและสอนการใช้ชีวิตให้กับเขา ทำให้เขากลับตัวกลับใจมีชีวิตใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง  เจบีจึงได้อยู่เป็นลูกหลานของลุงตำรวจคนนี้นับแต่นั้น  และเป็นเพราะลุงตำรวจชอบการนวดแผนไทยมาก  เจบีจึงได้ไปเรียนนวดถึงเมืองไทย เพื่อมาเซอร์ไพร์คุณลุงตำรวจ  แต่ชีวิตก็สงบสุขได้ไม่นาน  คุณลุงตำรวจประสบอุบัติเหตุขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่  รถตำรวจที่ไล่ตามคนร้ายปล้นธนาคารเสียหลักพุงชนกับรถที่ฝ่าไฟแดงมา ทำให้คุณลุงตำรวจได้รับบาดเจ็บกระทบกระเทือนทางสมองและไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย   แม้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจะสามารถเบิกได้จากระบบราชการบ้าง  แต่ก็ไม่ทั้งหมด  เช่นค่ายาบางตัว และอุปกรณ์พิเศษบางอย่างที่มีราคาแพง รัฐบาลไม่จ่ายให้  เจบีต้องหาเงินมาช่วยในส่วนนั้นเพราะคุณลุงไม่มีญาติที่ไหน  บุญคุณที่ได้รับชีวิตใหม่ทำให้เจบียังดูแลคุณลุงตำรวจและหางานที่พอทำได้ทุกอย่างทำ  จนมาเจอมาร์ค  ตอนนี้เจบีไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับชีวิตแล้ว   เขาคิดว่าถ้ายังมีชีวิตอยู่ต้องได้เจอเรื่องดีๆเข้าสักวันแน่ๆ เหมือนกับที่เขาเจอคุณลุงตำรวจ เจอมาร์ค เจอแจ๊กสัน และพนักงานดีๆคนอื่นในคลินิก  แค่ยังมีชีวิตอยู่  เดี๋ยวคุณลุงตำรวจก็ต้องลืมตาขึ้นมา  เพราะเขายังไม่ได้บอกขอบคุณคุณลุงเลยนี่นะ  คุณลุงเป็นหนึ่งในกำลังใจให้เจบีขยันและอดทน จนทุกวันนี้

     

     

    เจบีเดินไปสำรวจอุปกรณ์ไฟฟ้า  ถอดปลั๊ก และปิดสวิท์ไฟที่ไม่ได้ใช้งาน แล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูกระจกหน้าคลินิก ที่ขึ้นป้ายว่าปิด ไปแล้วดังขึ้นมาอย่างน่าตกใจ

     

     

    ชายในชุดเสื้อโค๊ทยาวสีน้ำตาลเหมือนพนักงานออฟฟิตทั่วไป มาเคาะกระจกรัวๆ จนเจบีกลัวมันจะมีรอย หรือแตกออกมาเสียหาย  เลยต้องเดินไปชี้ที่ป้ายว่าปิดบริการแล้ว  แต่เจ้านั่นก็ไม่ยอมหยุด จนเจบีรู้สึกหงุดหงิดมากทำให้ต้องปลดล๊อกเปิดประตูเพื่อออกไปเจรจา

     

     

    "ฮึกว่าจะเปิด ... ยังไม่ 10.00 pm เสียหน่อยปิดได้ไง?  ป้ายก็บอกว่าเปิดให้บริการ  8.00 am. - 10.00 pm. ไม่ใช่เหรอ!? อย่างนี้ฟ้องได้นะเนี่ยว่าหลอกลวงผู้บริโภค" ชายในชุดเสื้อโค๊ทถือวิสาสะเดินสวนเจบีเข้ามาในคลินิกที่ปิดไฟมืดแล้ว และบ่นๆๆ อะไรยืดยาวที่เจบีฟังไม่เข้าใจ  ก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟารับแขกในล๊อบบี้อย่างคุ้นเคย  จากนั้นชายคนเดิมก็ก้มหน้า  ค้นๆกระเป๋าเสื้อของตัวเองสักพักแล้วส่งบัตรสักอย่างที่เปียกๆให้เจบี (เพราะตอนนั้นข้างนอกฝนตก)

     

     

    "วันนี้คุณมาร์คให้ปิดเร็วได้  เพราะต้องรีบไปรับคุณแบมแบมครับ  แล้วคุณคือใคร?" เจบีใช้สายตาระแวดระวังมองผู้ที่ถือวิสาสะบุกรุกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไม่ไว้ใจ  บัตรที่ได้มาเป็นบัตรคนไข้ของคลินิกเขานี่เอง  ด้านบนมีรูปและชื่อของผู้ป่วยอยู่  ...ค่อยยังชั่วหน่อย  เป็นลูกค้าจริงๆด้วย  เจบีจึงเดินไปเปิดไฟล๊อบบี้อีกครั้ง แล้ว อ่านข้อมูลบนบัตร

     

     

    "คุณ....ปาร์ค จินยอง  อายุ 35 ปี  รหัสโรค MDD ... อ่า... ผมว่าคืนนี้คุณหมอมาร์คคงไม่กลับมาที่นี่แล้วนะครับ ไว้คุณมาใหม่วันหลังนะ  แต่ถ้าตอนนี้มีอาการแย่ หรือไม่สบายตรงไหน  ผมแนะนำให้ไปแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลใกล้ๆแถวนี้ก่อนดีกว่า  ตอนนี้การเปิดระบบคอมพิวเตอร์ค้นประวัติใหม่มันค่อนข้างยุ่งยาก กับ..เอ่อ ....คุณ? ..คุณ? จะ เจ็บตรงไหน? .ปะ.. เป็นอะไรหรือเปล่าครับ? " เจบีที่ตอนแรกยืนถือบัตรกอดอกแล้วพูดเสียงดุเข้าใส่คนแปลกหน้าต้องหยุดชงัก และเสียงอ่อนลง  เมื่อได้ยินเสียง สะอื้น ฮึกฮัก ดังมาจากคนที่นั่งอยู่บนโซฟาในตำแหน่งต่ำกว่า  เมื่อคนคนนั้นรู้ว่าคุณหมอมาร์คไม่อยู่...

     

     

    "เจ้าเด็กใหม่ นายไม่รู้จักฉันหรือไง  ฉันเป็นเพื่อนกับมาร์คเจ้าของคลินิกนะ แล้วก็เป็นคนไข้ของที่นี่มาตั้งนานแล้ว  ที่สำคัญเป็นคนออกแบบตึกสวยๆที่นายยืนอยู่นี่ด้วย!" ใบหน้าขาวพองแก้มเสียงสั่นใส่  ดวงตาแดงช้ำ แวววาวเพราะมีน้ำตามาหล่อเลี้ยงกับริมฝีปากแดงอวบอิ่มสีสด เป็นสิ่งที่ดึงดูดสายตาของเจบีได้มากเป็นอย่างแรก  คนอะไรร้องไห้ไปเบ่งไปแบบนี้ก็ได้ด้วย  ดูน่าสนใจพิลึกนะ เจบีกำลังยิ้มในใจภายใต้ใบหน้านิ่งขรึมที่แสดงออกมา

     

     

    "แล้วไง? บอกผมเพื่อ ..เอ๊า  เอ๊า!!..คุณจะร้องไห้ทำไมเนี่ย?" เจบีแกล้งกวนกลับ เพราะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นอะไร และต้องการอะไรจริงๆ  ถึงจะเป็นเพื่อนกับเจ้าของที่นี่ แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว  ทำไมมนุษย์ตรงหน้าฟังภาษาเกาหลีของเขาไม่เข้าใจหรือไงนะ   มางอแงจะเอาอะไร? ถ้าเป็นคนปรกติน่าจะรู้ตัว  รักษามารยาทและกลับไปได้แล้ว  เห็นว่าหน้าตาน่ารักดีหรอกนะเลยไม่ตะคอกแล้วไล่ออกไปทันทีเนี่ย...

     

     

     

    "นายนี่ซื่อบื้อหรือไงห๊ะ!!??  ยืนนิ่งเป็นตอไม้อยู่ได้  ไม่มาเสริฟน้ำ ก็โทรตามมาร์คเร็วๆเข้า  หรือไม่ก็ไปเอายาพวกนี้มาให้ชั้น!!" คนตรงหน้าตีมึนพูดกึ่งสั่งใส่เจบีซ้ำ  เขาส่งหลอดยาพลาสติกแข็งที่มีตัวอย่างยาเหลือไม่มาก 3-4 หลอดให้   แล้วถอดเสื้อโค๊ทสีน้ำตาลออก เหลือสูทสีกรมท่าเข้มข้างในผูกไทด์เรียบร้อยเป็นการเป็นงาน เหมือนแต่งมาเพื่องานสำคัญอะไรสักอย่าง

     

     

    "ผมคงทำอะไรตามที่คุณขอ ไม่ได้สักข้อหรอกครับ ครัวปิดแล้วไปเอาน้ำมาเสริฟให้ไม่ได้  ห้องยาก็ปิดเหมือนกันไปเอายาไม่ได้อีก ส่วนการโทรตามคุณหมอมาร์ค ถ้าไม่ได้นัดไว้ก็คงทำไม่ได้ เพราะเป็นกฎขอที่นี่อยู่แล้ว ถ้าไม่มีอะไรที่ผมพอทำให้ได้แบบนี้คุณก็กลับไปเถอะครับ  อย่าหาว่าผมไล่เลย  ไว้พรุ่งนี้เช้าก็ค่อยมาอีกที....นะ!?" มาร์คห้ามพนักงานทุกคนในคลินิกให้เบอร์ส่วนตัวกับคนไข้ รวมถึงเบอร์ของเขา  ยกเว้นเขาจะให้เองถ้าเป็นเคสที่จำเป็น  นอกนั้นหากมีอะไรให้ติดต่อโทรเข้าผ่านทางคลินิกเท่านั้นเพราะคนไข้หลายรายมักโทรมารบกวน  เรียกว่าก่อกวนจะดีกว่า  ล้ำเส้นไปวุ่นวายชีวิตส่วนตัวนอกเวลางาน  รวมถึงสร้างปัญหาแปลกๆอย่างการเป็นสโตรเกอร์หมอ เทราปิส ไม่ก็ตามลามตามไปถึงบ้านถึงครอบครัวเพื่อเล่าปัญหาให้ฟัง  เรียกร้องความสนใจต่างๆนาๆขณะที่ยังรักษาไม่หาย (ก็คลินิกนี้รักษาคนไข้ที่ป่วยทางจิตด้วยส่วนหนึ่ง) จึงต้องคงความเป็นส่วนตัวสูง และเจบีก็ไม่รู้ด้วยว่า ปาร์ค  จินยองคนนี้เป็นใคร จึงต้องทำตามระเบียบที่วางไว้

     

     

    จินยองทิ้งตัวลงนอนแผ่บนโซฟาอย่างขัดใจ  เขาพยายามจะถอดเสื้อสูทอีกชั้นออกไป ด้วยแขนข้างเดียว ร่างบางขยุกขยิกอยู่สักพัก เสื้อสูทราคาแพงแพทเทินสวยขนาดพอดีตัวนั่นก็ไม่หลุดออกจากแขนและไหล่เขาสักทีไม่เหมือนเสื้อโค๊ทตัวโคร่งที่ถอดง่ายจนผิดสังเกต เจบีจึงเดินเข้าไปให้ความช่วยเหลือช่วยดึงออกให้  เพราะยังไงคนคนนี้ก็คือลูกค้าหล่ะนะ

     

     

    "คุณจินยองยกแขนข้างนี้ไม่ได้เหรอครับ?" เจบีไม่พูดเปล่าเขาจับแขนขวาของจินยองยกยืดขึ้นสุดทำให้คนโดนจับร้องเสียงหลงซะดังลั่นอย่างกับถูกทำร้ายร่างกายขึ้นรุณแรงด้วยความเจ็บปวดอย่างมาก

     

     

    "โอ้ยๆๆ ปล่อยนะ เจ็บๆ!!  ฉันยกแขนขึ้นสุดไม่ได้มาหลายวันแล้ว  วันนี้ต้องปิดโปรเจคด้วย มือก็สั่น และไม่มีแรงจนกำปากกาเขียนแบบไม่ได้แล้ว ฮรึก  ฮือออ  หมอมาร์คไม่อยู่ หมอแจ๊กสันก็ไม่อยู่  ถ้าคืนนี้แก้แบบไม่เสร็จ บริษัทของฉันต้องแย่แน่ๆ" จินยองสบัดแขนเปลี้ยๆออกจากการกุมจับของเจบีแล้วยกมันขึ้นปาดน้ำตา อย่างกับคนหมดอาลัย ท้อแท้ในชีวิต  ก่อนที่จะสะอื้นไห้อีกรอบ (เขาไม่สามารถไปรักษาที่อื่นนอกจากคลินิกนี้ได้เพราะเหตุผลบางอย่าง)

     

     

    เจบีได้แต่แปลกใจ  คนคนนี้ดูอ่อนแอ เปราะบางมาก ร่างบางสั่นสะท้าน  ราวกับจะแตกสลายได้ในเวลานี้  ถ้าเขาจำไม่ผิดรหัสโรคที่ขึ้นต้นด้วย MDD น่าจะย่อมาจากโรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder) และเจบีก็ยังสังเกตเห็นบางอย่างผิดปรกติ  ..ที่ข้อมือขาวบอบบางของจินยองด้านขวา  มีรอยบั้ง เป็นรอยแผลเป็น ริ้วยาวหลายขีด ถ้ามองไม่ผิด บางอันก็ยังดูเป็นสะเก็ดเหมือนแผลเพิ่งสมานได้ไม่นานอีกด้วย  นี่มันเหมือนรอยแบบคนที่ผ่านการกรีดข้อมือฆ่าตัวตายมาแล้วไม่ใช่เหรอ  ชายอายุ 35 ที่พอถอดเสื้อโค๊ทและสูทออกเหลือเชิตสีขาว รูปร่างผมบางตัวนิดเดียว ใบหน้าสวย...เอ่อ หล่อ.ถึงจะมีไรหนวดครึ้มเขียวนิดหน่อยแต่ก็ดูอ่อนกว่าอายุ และสภาพอารมณ์ค่อนข้างไม่ปรกติ อยู่ดีๆก็ร้องไห้ เป็นคนไข้หมอมาร์คมานานแล้ว... ทำงานเป็นคนออกแบบตึก ก็คงเป็นสถาปนิกใช่ไหม  มีความเครียดจากงานไม่เสร็จเพราะแขนมีปัญหา...  มีอะไรที่เขาพอจะช่วยในเวลานี้ได้บ้างไหมนะ? เจบีรวบรวมข้อมูลคร่าวๆและประมวลผลตามประสามืออาชีพที่ถูกฝึกมาให้ดูแลผู้ป่วยแบบนี้อยู่แล้วขึ้นมาในใจ

     

     

    เทราปิส ด้านนวดอย่างเจบี  ฉีดยาไม่ได้ จ่ายยาไม่ได้  ฝังเข็มไม่ได้  ให้คำปรึกษาอะไรก็ไม่ได้เลย เขารู้สึกตัวเองไม่มีประโยชน์ขึ้นมาเฉยๆ  ภายในใจตอนนี้รู้สึกสงสารร่างบางที่ร้องไห้หนักมากตรงหน้า  ไอ้การแพ้น้ำตามันเป็นอย่างนี้เองสินะ  ด้วยความอ่อนประสบการณ์ ยังเจอคนไข้ไม่มากพอเลยไม่รู้จะรับมือยังไง เทราปิสหนุ่มก็เลยเงอะๆงะๆ  เขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจ และอึดอัดกับสถานการณ์แบบนี้ไม่น้อย  ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงจะหยุดน้ำตานั้นได้ ...อืมมม สิ่งที่เขาพอทำได้ตอนนี้ก็มีแค่.....

     

     

    "อย่าร้องไห้เลยครับ  เดี๋ยวดวงตาสวยๆนั่นจะมีปัญหา   ทำงานต่อไม่ได้นะ  คุณจินยองลองลุกมานั่งตัวตรงๆ บนเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิงตัวนี้ดีกว่าครับ" เจบีลากเก้าอี้สแตนเลสหัวกลมติดล้อมาให้จินยองนั่ง แล้วก็ไปยืนทาบข้างหลัง เพื่อเอามือจับบ่าเล็กๆที่สั่นๆนั้นไว้ ก่อนจะกระซิบเบาๆให้คนตรงหน้าได้ยินว่า

     

     

    "ถึงจะเจ็บก็ต้องทนนะครับ  ร้องไห้ได้แต่ต้องไม่ยอมแพ้" ....มือหนาใหญ่ค่อยๆทาบลงไปบนหลังบางแล้วเคลื่อนนิ้วไล้ไปตามไหล่ลาด  ต้นคอระหงส์ และสบักหลังตึง เพื่อคลึงกดกล้ามเนื้อที่เมื่อยเกร็ง จนแทบจะเป็นพังผืด จากการนั่งโต๊ะเขียนแบบ จับปากกา จับเมาส์ทำคอม นานๆ ผิดท่าทางของอาชีพสถาปนิกอย่างจินยอง  ยิ่งปล่อยให้กล้ามเนื้อล้า เกร็งไหล่ แขนอยู่ในท่าเดิมๆ ตอนทำงานเป็นเวลานานติดต่อกัน  ยิ่งทำให้กล้ามเนื้อเกิดพังผืดแน่น ยึดกล้ามเนื้อข้างเคียงให้ติดกันจนเป็นก้อนแข็ง  พอนานๆเข้าก็ไม่สามารถยืดแขน เขียนงาน ตวัดข้อมือได้เหมือนปรกติ อาการแบบนี้รักษาด้วยยาแทบไม่ได้ผล และคนไข้ส่วนใหญ่กว่าจะรู้ตัวว่าจำเป็นต้องมารักษาก็มักจะอยู่ในระยะที่เกินเยียวยา  ทำงานแทบจะไม่ได้แล้ว มีแต่ความเจ็บปวดทรมาน เป็นการเรื้อรังแทน

     

     

    ...แรกๆมันก็รู้สึกนุ่มนวลและผ่อนคลายได้ดีนะ  น้ำหนักมือที่ถูกกดลงมาถ่ายแรงผ่านฝ่ามือหนาใหญ่ อุ่นค่อยๆไล่เลียบไปตามสบักที่ตึงปวดแล้วกดย้ำซ้ำๆลงไปยังก้อนแข็งที่ซ่อนภายในมัดกล้ามเนื้ออยู่จนมันคลายตัว ยิ่งกดโดนจุดที่ปวดเป็นสาเหตุยิ่งรู้สึกเจ็บจื๊ดราวกับถูกกระแสไฟช๊อตแต่แบบสะใจยังไงไม่รู้  จนผ่านช่วงอินโทรไปได้อยู่พักใหญ่  จึงมาถึงเมนคอร์สอันหนักหน่วง จังหวะต่อมาที่เจบีกดคว้านลึกเข้าไปยังเส้นเอ็น เส้นประสาทที่เครียดขึง ที่ฝังเข้าไปใต้กล้ามเนื้อจริงๆจังๆในส่วนของการรักษา  ซึ่งมันจะโคตรเจ็บมาก เจ็บจนน้ำตาร่วงเป็นเม็ดๆ  เจ็บจนร่างบางกัดริมฝีปากแดงนิ่มจนช้ำแทบจะห้อเลือด  ต้องกลั้นหายใจ  เจ็บจนภายในหัวโล่งปลอดโปร่ง  ขาวโพลนไม่เหลือความคิดใดๆทั้งสิ้น สามารถลืมชีวิต ลืมงานและความเครียดไปได้ชั่วครู่หนึ่ง  แต่พอเพลาแรงลง  ความเจ็บทรมาน และการอาการอยากชกเจ้าเทราปิสเพื่อเอาคืนจะเป็นความคิดแรกๆที่นึกออก   หลังจากนั้นเจบีไล่เส้นไปตามแขนข้างที่อ่อนแรง และบรรจงนวดคลึง สลับกับกดเค้น อยู่พักใหญ่ ซึ่งก็เจ็บลึกไม่ต่างจากช่วงแรก  ก่อนจะนำผ้าร้อนมาประคบ และทายานวดคลายกล้ามเนื้อกลิ่นหอมให้  สุดท้ายคนที่ถูกกระทำร้องไห้น้ำตาหยดจนหมดแรง  ร้องจนไม่มีน้ำตาตกเหลือเพราะผ่านการร้องไห้ระบายอารมณ์อย่างบ้าคลั่งระหว่างการนวดรักษา ไม่ว่าจะเป็นเพราะความเจ็บปวด หรือปัญหาข้างในใจ ตอนนี้มันโล่งไปหมด  จินยองส่งเสียงฮึกฮัก  สูดขี้มูกครั้งสุดท้าย แล้วยืดตัวตรงได้  เจบีจึงปล่อยมือ

     

     

    "อดทนได้ดี  เก่งมากครับคุณจินยอง  ขอโทษที่ต้องทำให้คุณเจ็บนิดหน่อยนะครับ แต่คืนนี้จนถึงเช้าคุณคงจะสามารถกลับมาจับปากกาเขียนแบบทำงานให้เสร็จได้ทัน  ผมช่วยคุณได้แค่นี้แหละครับ" เจบีส่งยิ้มซื่อๆ และบีบไหล่ให้กำลังใจคนตรงหน้าอีกที

     

     

    จินยองเอียงคอประมวลผล แล้วก้มหน้างุด เขาแอบขยับ มือ ข้อมือ ข้อศอก  รวมถึงแขนข้างที่เปลี้ยมานาน... รู้สึกเบา ไม่เจ็บแล้ว  แถมมีกำลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ คอ ไหล่ สะบักที่กำลังเมื่อยตึง ยกแทบไม่ขึ้นมาเป็นแรมเดือนก็รู้สึกดีขึ้นมากว่าเดิมมาก  แม้ตอนถูกนวดจะเจ็บแทบตาย(ไม่ใช่นิดหน่อยอย่างที่เจบีพูด) แต่พอนวดเสร็จกลับรู้สึกโล่ง เบาสบาย อย่างที่ไม่เคยเป็นมานานแล้ว  จินยองรีบกล่าวขอบคุณ คนตรงหน้าแม้จะไม่รู้จักชื่อ  ร่างบางบิดตัวไปมา  สำรวจแขนขาเสร็จก็เก็บเสื้อโค๊ท และเสื้อสูทลวกๆ ก่อนจะทิ้งนามบัตรไว้ให้แล้วรีบออกจากคลินิกไปด้วยใบหน้าและดวงตากลมเป็นประกายที่ดูสดชื่นมีชีวิตชีวากว่าแรกเข้ามาอย่างเห็นได้ชัด   

     

     

    เจบียิ้มจนตาปิด  กับท่าทางน่ารักๆของคนอายุมากกว่า แม้กล้ามเนื้อภายใต้ผิวข้างในจะแข็งตึงแน่นไม่ต่างกับกรรมกรผู้ใช้แรงงาน   แต่ผิวข้างนอกก็นุ่มนิ่ม เด้งรับสัมผัสยามที่เขาลูบกด และไล้บีบ  ใบหน้าหวานที่มองจากด้านบนเห็นขนตายาวเป็นแพ จมูกกลมเชิด ริมฝีปากอิ่มแดง  ต้นคอขาวระหงษ์สวย ติดตา ติ่งหู และซอกคอมีกลิ่นหอมรัญจวนติดจมูก เสียงหวานครางฮึก ฮัก ฮึม ฮือ ยามนวดไปโดนจุดตึงปวดได้ถูกใจ ดังในลำคอ ชวนคิดลึก  หนุ่มเทราปิสวัยรุ่นชักรู้สึกใจเต้นแปลกๆ จึงรีบปิดคลินิกให้เสร็จ  ล๊อกประตู แล้วขึ้นไปอาบน้ำในห้องพักชั้นดาดฟ้าที่คุณมาร์คยกให้  โดยลืมมื้อเย็นของวันนี้ไปซะสนิทใจ

     

     

    จะว่าแปลกเขาเป็นคนไหม? ก็คงจะแปลกนะ เจบีนึกสงสัยตัวเองบางครั้งเหมือนกัน  ตั้งแต่เขาได้รับการช่วยเหลือจากคุณลุงตำรวจ  เขาก็กลายเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นไปซะงั้น  ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้เป็นคนแบบนี้  เมื่อก่อน  อิม แจบอมเป็นคน ใจร้าย  ใจดำ เลือดเย็น  ไม่ใส่ใจผู้อื่น  สามารถทำเรื่องไม่ดีได้โดยไม่รู้สึกอะไร และไม่เคยมีคำว่าน้ำใจ ความรัก  หรือความเห็นอกเห็นใจให้กับใครทั้งสิ้น   แต่มันก็เปลี่ยนไปแล้ว  ตอนนี้การช่วยเหลือผู้อื่นทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตนั้นมีค่ามากกว่าการใช้มันด้วยตัวเองลำพังคนเดียว  คำขอบคุณที่ได้บ้างไม่ได้บ้างไม่ใช่เป้าหมายอะไร  แต่หากคุณเคยได้รับความช่วยเหลืออะไรก็ตามเวลาที่คุณเดือดร้อนจริงๆแล้วละก็  สิ่งนั้นมันยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของผู้รับอย่างมากมายมหาศาลอยู่แล้ว  เพราะเคยได้รับเขาจึงอยากส่งต่อบ้าง  และผู้ที่ช่วยเหลือผู้อื่นเองโดยไม่หวังอะไรก็จะได้ความรู้สึกดีเป็นสิ่งตอบแทนอยู่แล้ว  เจบีสรุปเอาเองว่าตอนนี้ที่เขารู้สึกดี มีความสุขมากคงเพราะได้ช่วยเหลือคุณปาร์ค จินยองนั่นเอง ...มั้งนะ  ไม่ได้คิดอย่างอื่นจริงจริ๊ง

     

     

    3 วันถัดมา

     

     

    ยิ้มอะไร  จินยอง  ช่วงนี้ไม่ค่อยได้กินยาเหรอ?” เสียงทุ้มต่ำของหมอมาร์คเอ่ยถามผู้ป่วยพิเศษที่เขานัดไว้เดือนละครั้งอย่างเป็นกันเอง  คนตรงหน้าเป็นคนไข้แสนอินดี้ ที่มีข้ออ้างสารพัดมาตามนัดมั่งไม่มามั่ง  ชอบทำตามอารมณ์จนคุณหมอปวดหัว  แต่ด้วยเป็นเพื่อนกันและการรักษาอาการทางจิตแบบนี้ค่อนข้างเซนสิทีฟ เป็นความลับทั้งกับคนไข้และสังคม  ยังไงพอขาดยานานๆเข้าจินยองก็ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปรกติ  ต้องกลับมาหามาร์คอยู่ดี  ถ้าตั้งใจรักษาจริงๆจังๆ คงหายขาดไปตั้งแต่ 6 เดือนแรกแล้ว นี่ลากยาว 2 ปีก็แล้ว ก็ยังไม่ดี เพราะความไม่ใส่ใจของคนไข้เองทำให้โรคที่น่าจะหายได้ยืดเยื้อมาจนบัดนี้  เกลียดจริงๆเล๊ยไอ้พวกรู้ดี   ไม่ยอมกินยา  ชอบหยุดยาเองแล้วกินแต่เฉพาะตอนมีอาการ  ยาจะไปออกฤทธิ์ทันใจท่านได้อย่างไร  ไม่กินยาสม่ำเสมอคุมอาการไว้ เดี๋ยวก็ป่วย เดี๋ยวก็ป่วย ระดับยาในเลือดมันสูงไม่ทันอาการที่ต้องรักษา บลาๆๆ เบื่อจะบ่น  คุณหมอได้แต่ทำปากขมุบขมิบเพราะอธิบายให้คนไข้ฟังไปห้าพันแปดร้อยรอบแล้วก็ไม่เคยได้ผล

     

     

    ป่าวหนิ  ก็กินตลอด  คนมันจะอารมณ์ดีบ้างไม่ได้หรือไง?”

     

     

    อือหายากสำหรับนายที่จะหน้ายิ้มระรื่นมาหาชั้นมากกว่าหน้าคว่ำปากเบะไง   เลยไม่ค่อยอยากจะเชื่อ  แต่ดูข่าวในโทรทัศน์เมื่อเช้าแล้วก็พอจะเข้าใจ  บริษัทของนายชนะประมูลได้เซนต์สัญญาหลายแสนล้านวอนในโครงการปรับภูมิทัศน์ และสร้างที่อยู่อาศัยให้คนยากไร้  กับเทศบาลกรุงโซลนี่  ก็น่าจะอารมณ์ดีหล่ะนะ

     

     

    ฮิ ฮิ  นายรู้ไหม  นอกจากจะชนะประมูลแล้วยังชนะการประกวดออกแบบด้วย  ทางท่านนายยกเทศมนตรีฯ ถูกใจงานออกแบบของบริษัทเราอย่างมากเป็นพิเศษทีเดียว  และชั้นก็คือสถาปนิกผู้ออกแบบคนนั้น

     

     

    ไอ้ที่นายอ้อยอิ่ง ทำไม่เสร็จอยู่เกือบครึ่งปีอ่ะนะ  โครงการที่...(ทำให้นายเครียด อาการซึมเศร้ากำเริบหนักจนเชือดข้อมือฆ่าตัวตายไป 2 ครั้งในรอบ 6 เดือน  ...หมดทุกข์หมดโศกสักทีนะเพื่อน) ทำเสร็จนาทีสุดท้าย  หมดข้ออ้างตอนเดทไลน์เส้นยาแดงผ่าแปดเลยดิ  ไอ้แรงบัลดาลใจจะไหลหลั่ง พลังปั่นงานจะท่วมท้นตอนก่อนส่งนี่เป็นตั้งแต่ ตอนเรียนยันจบมาทำงานแล้ว  แถมผ่านไป 10 ปีก็ยังอาศัยไอ้พลังเส้นตายก่อนส่งงานนี้มาตลอด  ตามหลักแล้วมันไม่ใช่เรื่องน่าชื่นชมนะ  แต่ด้วยสภาพครึ่งผีครึ่งคนของนายก่อนหน้านี้ก็ต้องชมแหละ ว่า เก่งมาก  สุดท้ายก็ทำเสร็จทันและประสบความสำเร็จจนได้ มาร์คเอ่ยชม และลูบศีรษะจินยองหนึ่งที

     

     

    ตอนนี้จินยองกึ่งนั่งกึ่งนอนเหยียดร่างอยู่บนโซพากำมะหยี่ขนาดพอดีตัวในห้องบำบัด โดยมีมาร์คนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ตรวจอยู่ข้างๆ  เป็นปรกติในการคุยกับคนไข้  จริงๆแล้วการสัมผัสตัวผู้ป่วยไม่อยู่ในขั้นตอนการรักษา  แต่ว่าพวกเขาก็สนิทกันมานานแล้ว

     

     

    จะว่าไปแล้วก็ต้องขอบใจนายนะ (ขอบใจที่นายไม่อยู่ในวันนั้น) จินยองเปลี่ยนจากนอนหงายไปนอนตะแคง ใช้แขนข้างหนึ่งเท้าศีรษะหันมามองหน้ามาร์ค

     

     

    หืม? …ไม่เป็นไรน่า  เราเพื่อนกัน   ชั้นก็ต้องให้กำลังใจนายอยู่แล้ว  ถึงแม้นายจะกินยาไม่สม่ำเสมอ  มาไม่ตรงนัดเลยก็ตามมาร์คตอบยิ้มๆ พร้อมกลับมองสบตาคนไข้ที่รู้จักกันมานานบนเตียงบำบัดใกล้ๆ  มันก็นานแล้วจริงๆนะที่ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าสวยหวานนี่เลย หลายปีตั้งแต่จินยองยอมเริ่มรักษากันมาแบบจริงๆจังๆ

     

     

    ฮิ ฮิ ... จินยองไม่ได้ตอบเรื่องกำลังใจจากมาร์คเลย  เพราะมันไม่ใช่เหตุผลที่ช่วยให้เขาเกิดแรงบัลดาลใจใหม่จนแก้แบบอย่างบ้าระห่ำเกือบ 80% ในคืนเดียวก่อนส่งเสร็จทันราวปาฏิหาริย์แถมยังชนะรางวัลใหญ่เป็นของแถมมาอีก

     

     

    อี๋  รอยยิ้มนายดูโรคจิตจริงๆ  งั้นให้ยาแบบเดิมนะ  ช่วงนี้นอนหลับดีไหม ยังปวดเมื่อย เหนื่อย เบื่อตรงไหนอีกหรือป่าว  หายใจอิ่มหรือยัง  กินข้าวได้หรือป่าว  วันนี้อยากลองทรีทเม้นแบบไหน อะไรบ้าง?” มาร์คหยิบแท๊ปเลทมาบันทึกข้อมูลความก้าวหน้าในการรักษา และสั่งยาให้จินยองต่อตามขั้นตอนปรกติ

     

     

    ทำงานหนัก อดนอนสองวันสองคืนก็ต้องหลับสบายเป็นตายอยู่แล้ว  วันนี้....ฉัน......อยาก.....นวด

     

     

    เพราะมาร์คกำลังมัวก้มหน้าก้มตา กดคำสั่งบนหน้าจอสี่เหลี่ยมแบบสัมผัสของอุปกรณ์อิเล็กโทรนิคในมือ  ทำให้พลาดโอกาสเห็นสีหน้าเขินอายของชายวัย 35 ปี ตอนที่ตอบคำถาม

     

     

    หืมไหนบอกไม่ชอบนวด  มันจั๊กกะจี้ไง

     

     

    ก็ตอนนี้  เปลี่ยนใจ

     

     

    เอ่อ...จะดีเหรอ  ตอนนี้ไม่มีเทราปิสนวดที่เป็นผู้หญิงแล้วนะ  เขาเพิ่งลาออกไป

     

     

    ผู้ชายก็ได้...

     

     

    หืม?...นายตัวร้อนหรือเปล่า  หายจากอาการกลัวคนแปลกหน้าเข้าใกล้แล้วเหรอการนวดมันถึงขั้นต้องสัมผัสร่างกายกันด้วยนะ !!?” เหตุผลที่จินยองไม่สามารถไปรักษาอาการป่วยที่อื่นได้  อีกอย่างก็คือเขาจะมีอาการวิตกกังวล แบบ panic  เมื่อเจอคนแปลกหน้า หรือสัมผัสโดนคนอื่น / โดนคนอื่นสัมผัส  อาการพวกนี้ทำให้จินยองใช้ชีวิตในสังคมอย่างยากลำบาก  ไหนจะเป็นโรคซึมเศร้าที่ไม่อยากเปิดเผยข้อมูลกับคนอื่น  กว่ามาร์คจะเกลี้ยกล่อมให้มารักษากับเขาได้ก็ใช้เวลาอยู่นาน  เพราะในความเข้าใจของจินยองและคนทั่วไปคิดว่าการรักษาโรคใดๆกับจิตแพทย์หมายถึงต้องเป็นบ้า เป็นโรคจิต เป็นคนผิดปรกติน่ารังเกียจของสังคม  ซึ่งมันคนละความหมายกับโรคซึมเศร้าโดยสิ้นเชิง 

     

     

    จินยอง  ...เขาไม่ได้หายจากอาการพวกนั้นหรอก แต่เขาจำได้ว่าตอนเจอเทราปิสมือหนักของมาร์คเมื่อคืนก่อนนู๊น  เขากลับไม่รู้สึกกลัว รังเกียจ หรือต่อต้านสัมผัสอะไร  ชายคนนั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เขาสามารถให้เข้าใกล้ได้โดยไม่มีอาการกำเริบ  จึงอยากเจออีกสักครั้ง  แต่จินยองไม่บอกมาร์ค  เขาไม่ได้แก้ตัวอะไรกลับยิ้มตอบคนถามด้วยรอยยิ้มน่ารักเหลือเชื่อ  รอยยิ้มที่มาร์คไม่ได้เห็นมานานมากแบบสมัยช่วงเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 นู่นหล่ะมั้ง (เกือบ 10ปี ที่แล้ว) รอยยิ้มของเทวดาที่แสนน่ารัก  บริสุทธิ์ยิ้มเก่งที่มีให้เห็นเป็นประจำ  ก่อนเรื่องบ้าๆพวกนั้นจะเกิดขึ้น  และเปลี่ยนชีวิตของจินยองไป

     

     

    ถ้านายโอเคว่างั้น  ชั้นก็ไม่ขัดข้องอะไร  ก็บอกมาตั้งนานแล้วว่าการนวดน่าจะดีกับนาย  แล้วก็เด็กเทราปิสคนใหม่ก็เก่งใช้ได้  แต่มือหนักนิดนึง  เดี๋ยวจะล๊อกคิวให้ตอนนี้เลย  แต่ห้ามเปลี่ยนใจนะ   เพราะคิวของเจบีเยอะและจัดยาก  เขาก็เริ่มมีชื่อเสียงแล้วเหมือนกัน  ลูกค้าจองแน่นไปถึง สองเดือนหน้าแล้ว  แต่ถ้านายทนไม่ไหวจริงๆก็ลุกออกมาก่อนได้ มาร์คส่งข้อความคำสั่งไปยังระบบนัดด่วนของคลินิก  ก่อนที่จะมีพยาบาลกิจกรรมบำบัดรับไปจัดการให้อีกที  

     

     

    “…ชื่อเจบีเหรอ? เพิ่งรู้สึกว่าการเป็นเพื่อนนายมันดีงี้เอง  ลัดคิวได้ อิ อิจินยองเด้งตัวขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง แล้วทำท่าทำทางตื่นเต้นดีใจ ตบไหล่มาร์ค  ผิดกับช่วงนัดก่อนหน้าเดือนก่อนๆที่เขาเคยมารักษา  ตอนนั้นร่างบางเอาแต่นอนเหม่อ ถามคำตอบคำ อาการในตอนนี้จึงจัดว่าเป็นไปในทางที่ดีขึ้น

     

     

    บนดาดฟ้าของคลินิกรักษาและบำบัดโรคด้วยการแพทย์ทางเลือกของมาร์ค ถูกผู้ขออาศัยห้องบนดาดฟ้าดัดแปลงพื้นที่กว้างที่เหลือกลายเป็นโรงเรือนกระจก (ที่ตอนนี้มีโครงหลังคามุงด้วยพลาสติกใสเอาไปก่อนเพราะงบประมาณจำกัด) ปลูกต้นไม้และดอกไม้หลากสีหลายพรรณ สวยงามละลานตาเต็มไปหมด  ดอกไม้บางส่วนจากที่นี่แหละที่เจบีนำไปตกแต่งคลินิกข้างล่าง ประดับตามแจกัน  เมนูอาหารเครื่องดื่ม  ตกแต่งสถานที่ ประดับเสื้อผ้าอาภรณ์  เอาไปทำของที่ระลึก รวมถึงบางทีก็จัดแต่งเป็นช่อบูเก้เล็กๆและแจกให้คนไข้  ไม่เป็นการเสียเปล่า  ช่วงเช้า และเย็นของทุกวัน วันละ 30 นาที เจบีจึงมีเวลาเบรกสั้นๆเพื่อมารดน้ำต้นไม้บนนี้

     

     

    มือหนาหยิบช้อนตวงปุ๋ยสูตรพิเศษที่คุณลุงตำรวจเคยสอน  มาละลายน้ำแล้วเทใส่เครื่องพ่นสะพายหลังตามปรกติ ก่อนที่จะรู้สึกว่าวันนี้เขาหมดแรงจนยกถังนั่นขึ้นบ่าไม่ไหว  ร่างหนาทรุดตัวลงนั่งยองๆข้างถังพ่นปุ๋ยต่อพร้อมกับเอามือปิดหน้า .... แต่ฝ่ามือใหญ่ก็ปิดรอยยิ้มที่ผุดออกมาจนแก้มแทบฉีกนั่นไม่มิด  ตอนนี้เขายังยิ้ม ยิ้มอยู่ และยิ้มมาก ยิ้มไม่หุบ ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม อย่างต่อเนื่อง หลังจากเมื่อบ่าย  ถูกเรียกไปทำงานล่วงเวลาพัก...

     

     

    เจบี  วันนี้ไม่พักบ่ายได้ไหม  พอดีมีคนไข้ VVVIP ที่หมอมาร์คขอลัดคิวนวดก่อนตอนนี้เลยหน่ะ!!?” นูน่าพยาบาลวัยกลางคนผู้ใจดี  เดินขึ้นมาหาเขาบนห้องทรีทเม้นสำหรับนวดที่อยู่บนชั้น 3 หลังจากคนไข้รายล่าสุดเพิ่งเดินสวนออกไป

     

     

    โห ตั้ง สาม วี อะไรจะ เวรี่ เวรี่ เวรี่ สำคัญขนาดนั้น เป็นเจ้าหญิง เจ้าชายมาจากที่ไหนกัน  ปรกติคุณหมอค่อนข้างจะปฏิบัติกับคนไข้ทุกคนเท่าเทียมกัน  และเข้มงวดเรื่องคิวจองนะครับ เจบีพูดยิ้มติดตลกแซวป้าพยาบาลกลับ

     

     

    ....ไม่ปฏิเสธแปลว่าตกลงว่าได้นะ  เดี๋ยวจะเลี้ยงขนมเป็นพิเศษนอกเวลา คุณหมอฝากบอกมา   …อีก 5 นาที คนไข้จะเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วมาที่นี่  ขอให้โชคดีนะจ๊ะ ป้าพยาบาลยิ้มมีเลศนัยพร้อมขยิบตาให้ ก่อนจะเดินกลับออกไป

     

     

    ผมชักเริ่มตาซ้ายกระตุกเหมือนจะมีเรื่องไม่ดีเข้ามาหรือป่าว  คนไข้ 3วี นี่คงจะมีอะไรที่ไม่ธรรมดาน่าดูแน่ๆ  ป้าพยาบาลระดับมือขวาของคุณหมอถึงต้องถ่อสังขารขึ้นมาบอกด้วยตัวเองแบบนี้  ...ตอนนี้ก็เกือบบ่ายโมงแล้ว  แม้จะยังไม่ค่อยหิวก็ขอซดนมกล้วยรองท้องสัก 2 ขวดก่อนหล่ะนะ  ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลารักษาเคสนี้นานเท่าไหร่  ...ผมน่าจะยังไม่เคยเจอผู้ป่วยรายนี้มาก่อนมั้ง... หวังว่าทุกอย่างคงออกมาดี  เจบียกสองมือขึ้นตบหน้ากระตุ้นตัวเองแรงๆ จนเกิดเสียง เพี๊ย เบาๆและทิ้งรอยแดงรูปนิ้วไว้โดยไม่รู้ตัว

     

     

    ตอนนี้ภายในห้องทรีทเม้นสี่เหลี่ยมทาสีฟ้าอ่อน เบอร์ 1 ตกแต่งแบบร่วมสมัย  ข้างในมีเตียงนวดปูผ้าสีขาวสะอาด  คาดด้วยผ้าไหมทอลายสีเลือดหมูเป็นแถบพาดกลาง  แสงสว่างภายในห้องถูกออกแบบให้มีไม่มากนัก  เทียน อโรม่ากลิ่นหอมไม่เหมือนที่อื่นจึงถูกจุดไว้เพื่อให้แสงนวล และตกแต่งบรรยากาศให้เย็นๆ ผ่อนคลาย  ปรกติจะมีการเปิดเพลงประกอบพวกเพลงบรรเลง  ไม่ก็เสียงน้ำตก นกร้อง เสียงคลื่น ช่วยเพิ่มบรรยากาศ  และวันนี้ผมอยากเลือกเสียงลมพัด  เสียงใบไม้ปลิว  ที่เพิ่งอัดมาใหม่ด้วยตัวเองมาประกอบการรักษาดู  ชีวิตที่ต้องอยู่ภายในตัวตึกที่ปิดทึบและใช้เครื่องปรับอากาศทั้งหลังทั้งวัน  บางทีการฟังเสียงธรรมชาติก็ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าฟังเพลงเพราะๆเป็นไหนๆ

     

     

    "สวัสดีครับ  ขอรบกวนด้วยนะครับเสียงหวานดังขึ้นหน้าประตู ก่อนจะปรากฏร่างบางในชุดทำทรีทเม้นสีขาว โดยมีเสื้อแบบชุดผูกเชือกข้างหน้าเหมือนคนไข้โรงพยาบาล และกางเกงเป็นแบบขาก้วยสีเดียวกันมีเชือกรูดสำหรับผูกเอว  เจบีก็เคยเห็นผู้ป่วยที่มาทำทรีทเม้นใส่ชุดแบบนี้มานับไม่ถ้วน  แต่ร่างตรงหน้าเล่นเอาเขาใจกระตุก  เพราะถึงจะเป็นผู้ชายแต่ผิวก็ขาวเนียนละเอียด  ไหล่ลาดบางเหมือนผู้หญิง แถมมีก้นงอนได้รูปสวย  

     

     

    "ไง เจบี นายจำฉันได้ไหม?" คนไข้ตรงหน้ากล่าวทักก่อนจะ เดินขึ้นไปบนเตียงที่เจบี ผายมือเชิญ  เทราปิสหนุ่มกำลังทบทวนความจำว่าเคยเจอคนไข้คนนี้มาก่อนไหม  แต่พอเสียงแทปเล๊ทดังติ๊ด  ข้อมูลของผู้ป่วยทั้งหมด ก็ปรากฏบนหน้าจออุปกรณ์สื่อสารของเขา

     

     

    "คุณ ปาร์ค จินยอง? ... ไปทำอะไรมาครับเนี่ย  ผมจำแทบไม่ได้เลยนะ   ไม่ได้เซทผมตั้งเหมือนวันนั้น แล้วก็ไม่มีไรหนวดเขียวๆนั่น  ผมนึกว่าเด็ก มอ ปลายเสียด้วยซ้ำ ฮะ ฮ่า  แล้วคุณทราบชื่อผมได้ยังไงเนี่ย"

     

     

    "ก็ป้ายชื่อนายห้อยหราอยู่นั่นไง   ไม่ต้องมา ยอหรอกนะ ว่าหน้าเด็ก  อายุปูนนี้แล้วผมรู้ตัว" จินยองดูผ่อนคลายและยิ้มให้  เล่นเอาเจบีประหม่าทั้งๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  ปรกติแล้วเขาจะเก๊กๆนิ่งๆ  ไม่ต่อปากต่อคำพูดคุยกับคนไข้  แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมทำไม่ได้  หน้ามันจะพลอยยิ้มตอบคนตรงหน้าอยู่เรื่อย

     

     

    "อุ่ย  จริงด้วย  วันนี้คุณปาร์ค  มีปัญหาอะไร  อยากให้ผมช่วยตรงไหนครับ?" เจบียิ้มเขิน จนตาเป็นขีด  เป็นรอยยิ้มที่สดใส ทำให้ห้องทรีทเม้นมัวๆนี่ดูสว่างไสวขึ้นมาในความคิดของจินยอง

     

     

    "แหม่  ถามว่ามีปัญหาอะไร  อย่างกับจะหาเรื่อง  ที่นายช่วยฉันวันนั้นขอบใจมากเลยนะ  เพราะตอนนี้อยู่ในขั้นตอนเซ็นต์สัญญาของฝ่ายกฎหมาย ยังไม่เริ่มก่อสร้าง  ชั้นเลยมีเวลาว่างนิดหน่อย  ยังไงรบกวนคุณเจบีช่วยนวดซ้ำแขน ไหล่ สบัก คอ หลัง แบบคราวที่แล้วให้ที  จะให้ดีก็ขอ ช่วงเอวลงไปด้วย นั่งทำงานนานๆ เมื่อยมาก โดยเฉพาะสะโพกกับก้นหน่ะ"

     

     

    (ก้น!!) เห้ยไม่คิดลึกดิ  คนไข้คนอื่นก็นวดแบบนี้มาแล้ว  แต่เราจะมีโอกาสจับ ลูกพีชงอนๆนั่น  ทำไมมือเกิดสั่นขึ้นมาหล่ะฟระ  ตอนนี้เทราปิสวัยรุ่นไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ทำหน้าแปะยิ้มให้ แล้วเริ่มห่มผ้าแพรบางๆให้จินยองที่นอนหงายอยู่ แล้วเริ่มนวดตามขั้นตอนรักษาที่ร่ำเรียนมา

     

     

    ระหว่างนวด  เหมือนร่างกายได้หลั่งสารเอนโดรฟิน ช่วยให้รู้สึกมีความสุข  ประกอบกับเสียงเอฟเฟคของลมพัด และความสบายจากการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ  ทำให้ร่างบางผล็อยหลับด้วยรอยยิ้ม  ปรกติจินยองเป็นคนหลับยากมาก  นอกจากจะต้องเขียนแบบเองในโครงการที่รับผิดชอบแล้วยังต้องตรวจแบบของโครงการอื่นด้วย  เพราะเขาทำงานมานานจนได้เป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบของบริษัทแล้ว  ชั่วโมงนั่งโต๊ะเขียนแบบ  นั่งหน้าคอมพ์ในแต่ละวันของเขา  มากกว่าเวลาเดิน หรือ นอนทั้งวันรวมกันเสียอีก  หลัง  เอว สะโพก และก้นนี้แทบจะรวมร่างกับเก้าอี้แล้ว  เมื่อเจบีนวดให้เขาจึงระลึกได้ว่า  ร่างกายส่วนนี้มันมีความล้าสะสมมากเหมือนกัน  จินยองทำงานมากว่า 10 ปีแล้ว  และปรกติแทบไม่ได้ออกกำลังกายเลย  เพราะกิจกรรมดังกล่าวไม่ไปที่ฟิตเนต ก็ต้องไปตามสนามกีฬา  ต้องพบเจอคนแปลกหน้า  ซึ่งไม่มีทางเสียหล่ะที่เขาจะเอาชีวิตไปเสี่ยง 

     

     

    รอบนี้เจบีนวดอย่างเบามือเพราะเห็นว่าคนตรงหน้าหลับไปซะงั้น  การนวดนอกจากจะรักษาโรคได้แล้ว บางทีก็เป็นการผ่อนคลายอย่างหนึ่ง  หวังว่าคนที่กำลังหลับลึกตรงหน้าพลิกซ้ายขวาไม่ยอมตื่นเนี่ยจะฝันดีนะครับ  แล้วเขาก็ยิ้มอีก  ไม่ใช่จินยองคนเดียวที่หลับพริ้มยิ้มมีความสุข  เจบีเองก็ยิ้ม  วันนี้เขายิ้มมากกว่าทั้งชีวิตรวมกันอีกมั้ง

     

     

    ก็นั่นแหละ  พอคุณปาร์คกลับไปแล้ว  เจบีจึงมานั่งยิ้มข้างถังพ่นปุ๋ย  หนุ่มเทราปิส มองไปยังดอกไม้สวยๆในเรือนกระจก (พลาสติก) ก็ให้คิดถึงคุณ ปาร์ค  ใบหน้าเนียนนุ่มขาวใสดั่งกลีบดอกลิลลี่แรกแย้ม  ริมฝีปากเต่งตึงจิ้มลิ้มมีสีชมพูเข้มเหมือนกลีบดอกบูเก้ มาเรีย  ขนตาเป็นแพหนาเหมือนกลีบดาเลียที่เบียดเสียดกันแน่น  สันจมูกโด่งรั้น สวยเหมือนก้านดอกสไปรเดอร์ ลิลลี่  คิ้วก็เข้มสวยรับกับใบหน้า  และแก้มกลมฟูสีชมพูเหมือนกลีบดอกเชอรรี่บอสสั่ม   ฮิ ฮิ  

     

     

    หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา  จินยองก็ทำตัวเป็นคนไข้ที่ดี  มานวดรักษาตามนัดของเจบีเพื่อรักษาอาการปวดไหล่เรื้อรังและพังผืดที่หลังสัปดาห์ละครั้ง(แต่ยังไม่ยอมไปตามนัดของมาร์ค)  พวกเขาได้ใช้เวลาเรียนรู้กันมากขึ้น  และเริ่มคุยกันถูกคอมากขึ้น  เวลาจินยองมีปัญหากับงาน  หรือเพื่อนร่วมงานก็จะมาระบายให้เจบีฟัง  หนุ่มรุ่นน้องก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี  และบางทีก็มีคำแนะนำให้  ไม่ก็เล่าเรื่องสมัยก่อนที่ใช้ชีวิตเป็นคนไม่ดีให้จินยองฟังเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นที่จินยองกำลังจิตตกให้ไปสนใจอย่างอื่นแทน  จะได้ร่าเริงขึ้น  จนในวันหนึ่ง  ระหว่างที่เจบีกำลังเก็บของ  จัดเตียงหลังจากที่จินยองกลับไป...

     

     

    มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟนหรูราคาแพงรุ่นล่าสุดที่กำลังเป็นที่นิยมถูกวางไว้บนโต๊ะทำงานของเจบี  ...สงสัยคุณปาร์คจะลืมไว้หรือป่าวนะ  ไม่นานนักกลับมีสายโทรเข้าเป็นชื่อของปาร์ค จินยองเสียด้วย  เจบีแปลกใจจึงกดรับสาย

     

     

    "ไง  เจบี นี่ฉันเองนะ  ในที่สุดก็ได้คุยโทรศัพท์กับนาย ฮิฮิ"

     

     

    "เอ๋ คุณปาร์คไม่ได้ลืมมันไว้เหรอครับ  คุณจงใจวางไว้ให้ผมรับสายเหรอ?"

     

     

    "ใช่แล้วววว  ทำไมเข้าใจอะไรยากจัง  ไม่ใช่ให้แค่รับสาย  แต่ให้เลย   เมื่อไหร่จะเลิกเรียกฉันว่าคุณปาร์คสักที่เนี่ยยย  เรียกจินยองสิ  จินยองฮยองก็ได้  นายไม่ยอมให้เบอร์ชั้นซักที  พอหลัง สี่ทุ่มคลินิกปิดแล้วก็โทรเข้ามาไม่ได้  ฉันอยากคุยกับนายนอกเหนือจากตอนรักษาบ้าง  กลางคืนต้องอยู่คนเดียวเหงาๆ อยากมีเพื่อนคุยไม่ได้เหรอ..." จินยองทำเสียงเศร้า  อ้อนคนปลายสายที่กำลังยิ้มหน้าบานอยู่

     

     

    "ผมก็อยากคุยกับคุณปาร์ค...เอ้ย จินยองฮยองนะครับ แต่โทรศัพท์นี่มันแพงมาก  ผมรับไว้ไม่ได้หรอก  แล้วการคุยกับคนไข้นอกเหนือเวลางานมันถูกห้ามไว้" คือที่นี่ห้ามติดต่อกับผู้ป่วยเป็นการส่วนตัว  ห้ามรับทิปหรือของกำนัลอื่นใด  และห้ามไปไหนมาไหน หรือมีเรื่องรักๆใคร่ๆในทางชู้สาวกับคนไข้เป็นเด็ดขาด  มีข้อกำหนดให้อ่านในสัญญาจ้างอย่างชัดเจนด้วย  เพื่อรักษาจรรยาบรรณและความเป็นมืออาชีพไว้  ทำให้เจบีต้องกลืนน้ำลายเหนียวคอ

     

     

    "งั้น...ถ้าไม่ใช่คนไข้  ก็คุยได้ใช่ไหม?" จินยองไม่ละความพยายาม  กว่าเขาจะรวบรวมความกล้าวางแผนติดต่อกับเจบีได้  เสียพลังงานไปเยอะเลยนะ  อุส่าห์ลงทุนหาข้อมูลในอินเตอร์เนทมา  รวมถึงยอมบากหน้ามาปรึกษากูรูด้านความรักอย่างหมอแจ๊กสัน  เพียงแค่ปิดว่าเป้าหมายเป็นใครไว้  ถ้าเจบีปฎิเสธนี่เขาก็กะจะเลิกติดต่อกับมนุษย์ไปเลยดีกว่า  ไอ้ความรู้สึกดีๆที่ก่อตัวขึ้นมาเดี๋ยวก็คงจะหายไปเองมั้ง (คือจินยองยังป่วยอยู่เลยซึมเศร้า ไม่ค่อยพยายาม เลยท้อแท้ง่ายๆ)

     

     

    "ก็..ได้อยู่ครับ  เขาไม่ได้ห้ามคุยกับเพื่อน  แฟน  หรือคนในครอบครัวนะ  แต่จินยองฮยองกับผม......(ไม่ได้เป็นอะไรกันนี่นา)  " เจบีเก็บคำพูดอันหลังไว้ในใจ  เขาไม่กล้าพูดอะไรออกไปหรือทำอะไรให้มันชัดเจนกว่านี้ถึงแม้เขาจะชอบจินยองมาก และรู้ว่าจินยองก็คงรู้สึกดีๆกับเขาเช่นกัน  แต่นั่นเป็นเพราะว่าเขาเองก็รู้สึกเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ในที  ฐานะของเขากับจินยองต่างกันราวก้อนหิน กับดวงจันทร์  เขาเป็นเด็กยากจน  มีประวัติไม่ดี  ส่วนจินยองเป็นคนมีชื่อเสียง  ประสบความสำเร็จ ดังและรวยระดับประเทศ   มีชีวิตและไลฟ์สไตล์แตกต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง  ถึงเจบีจะเคยคิดเกินเลยหลายต่อหลายครั้ง  เขาก็ยังต้องหยุดตัวเองไว้  ไอ้กฏต่างๆในสัญญาจ้างที่เขาอ้างในหัว จริงๆมันก็แค่การปลอบใจตัวเองไม่ให้ถล่ำลึกเข้าไป  เพราะเป็นห่วงความรู้สึกของจินยองมากกว่าใครนั่นแหละ

     

     

    "นายจะเอาไงเนี่ยเจบี!?  ฉันเป็นสถาปนิกระดับประเทศเลยนะ  อุส่าห์ทอดสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กให้ขนาดนี้  ได้โปรดก้าวข้ามมาเถอะ  ฉันไหว้หล่ะ  มันไม่มีอะไรถึงตายหรอก!!  ฉันจะรับผิดชอบนายเอง  ฮึ"   ถึงมันจะฟังดูแปลกๆ  แต่จินยองก็อ้อยเจบีไปหลายวิธีแล้วในรอบสามเดือนมานี่  แต่มันล้วนไม่ได้ผลจนอยากจะดักฉุดตีหัว แล้วลากเข้าห้อง (มาข่มขื่นซะ -..- ) คนน่ารัก  เนื้อหอมอย่างฉันต้องลงทุนขนาดนี้เลยเหรอ  มันเป็นนายไม่ใช่เหรอที่ต้องมาจีบฉันอ่ะ ไอ้เด็กบ้า"

     

     

    "ถ้าจินยองพูดถึงขนาดนี้ละก็  กรุณามาเป็นแฟนผมนะครับ..." ในที่สุดเขาก็พูดมันออกไปแล้ว  ฮรือออ  พูดไปแล้ว ทำยังไงดี?  หัวใจของเทราปิสหนุ่มตอนนี้เต้นแรงแทบระเบิดออกมาจากหน้าอก  นี่เขายังต้องลุ้นคำตอบไหม?  ต้องลุ้นไหม?  จะเกิดอะไรตามมาบ้างนะ?  จะโดนไล่ออกจากงานไหม?  แล้วจะไปหางานใหม่ที่ไหนดี? คุณลุงตำรวจจะเป็นยังไงบ้างถ้าผมออกจากงานแล้วไม่มีเงิน?  จินยองฮยองจะล้อเล่นกับความรู้สึกของผมหรือป่าว?  เขาคงไม่ได้แกล้งผมเล่นใช่ไหม?  นี่ผมจะเสียใจกับเรื่องนี้ทีหลังไหมนะทำไมปลายสายเงียบไปนานจัง  ตอบผมมาสักทีสิครับจินยองฮยอง!!?... 




    ...............................

    ไม่ได้แต่งฟิคนานมากกกกกกกกกกกกก  มือตกไหมหนอ  หรือว่า ตกอยู่แล้ว  งือออออออ   ฟิคดีๆล้นตลาด มีเยอะแยะเกลื่อนกลาดไปหมด  ยังไงก็ฝาก เนื้อฝากตัวด้วยนะคะ  เผื่อวันหน้าจะมีโอกาสเป็นฟิคดีๆกับเขาบ้าง   เราจะพยายามปรับปรุงต่อไป  เรื่องนี้มีต่อตอนที่ 2 นะคะ  พยายามจะเขียนประเด็นโรคซึมเศร้าไม่ให้น่าเบื่อ  ฮิฮิ  ถ้านึกหน้าจินยองตอน 35 ไม่ออก ก็ใช้หน้าเดิมแหละค่ะ เรามั่นใจว่าจินยองตอน 35  ก็น่าจะไม่เปลี่ยนเท่าไหร่อาจจะมีไรหนวดเข้มสมชายมากขึ้น  อันนี้เทียบจากพวกพระเอกซีรีส์ที่อายุประมาณนี้หน้าตาก็ไม่เปลี่ยนจากตอนวัยรุ่นเท่าไหร่  แต่ส่วนใหญ่ แซบขึ้น   ส่วนเจบีวัยละอ่อน  ก็ประมาณตอนนี้แหละค่ะผมม้าสั้น ไถข้างหลัง  ที่ให้ใส่เสื้อแขนยาวเพราะต้องปิดรอยสักค่ะ ยังมีต่อนะคะ  ฮิ ฮิ 

    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×