คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [SF] Shall we return? [BNior]
[SF] Shall we return? [BNior]
"ขอร้องหล่ะจินยอง มีแต่เมิงเท่านั้นที่ช่วยแบมแบมได้" ชายหนุ่มปลายสายมีน้ำเสียงสั่นเครือดูไม่ปรกติ
"เมิงก็รู้ว่ากูไม่ถ่ายรูปคน แถมยังต้องแต่งหญิงอีกเนี่ยนะห่า เอาไรคิด ไม่ไหวจริงๆหว่ะ" คนรับสายขยับหูฟังบลูทูธอีกทีระหว่างกำลังตั้งสมาธิกับการรอถ่ายรูปจิ้งจอกหิมะ(Arctic fox) ท่ามกลางหิมะในอุณหภูมิที่ติดลบบนชะง่อนหน้าผาของภูเขาหินปูนที่มีอยู่ดาษดื่นทั่วไปที่นี่ ...ประเทศไอซ์แลนด์ ทัศนียภาพกว้างใหญ่เวิ้งว้างขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา สวยงามราวกับสรวงสวรรค์ เงียบสงบและบริสุทธิ์ เป็นที่ที่ควรมาให้ได้สักครั้งในชีวิต
จินยอง หรือชื่อในวงการคือ จูเนียร์ เป็นช่างถ่ายภาพวัยรุ่นที่มากฝีมือ ในวัยยี่สิบต้นๆ กำลังฝึกงานอยู่กับนิตยสาร National Geographix เขาเฝ้ารอมาหลายอาทิตย์แล้วที่จะได้ภาพอาร์คติก ฟ๊อก เพื่อไปประกอบ portfolio สำหรับสมัครงานในขั้นตอนสุดท้ายต่อไป เขาใช้ชีวิตระหกระเหินไปตามประเทศต่างๆทั่วโลก เพื่อถ่ายภาพทิวทัศน์ธรรมชาติ และ พอร์ทผลงานรูปถ่ายของเขาใน Flickr และ 500px ก็ได้รับคอมเมนต์จากตากล้องชื่อดังของนิตยสารนี้ ชวนมาลองฝึกงานดู ทำให้เขาได้ไปในหลายดินแดนที่ชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะไป และสุดท้ายก็ได้ดั้งด้นจนมาถึงแผ่นดินที่สวยงามและมีเสน่ห์แห่งนี้
มันก็หลายปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับเกาหลีเลยหลังจากตัดสินใจออกค้นหาความฝันของตัวเองบ้าง เขาเลิกเรียนมหาวิทยาลัยกลางครันแล้วทิ้งทุกอย่างมาด้วยหลายเหตุผล จนทุกคนนึกว่าเขาหายสาบสูญไปแล้ว แต่จู่ๆวันหนึ่ง แจ๊กสันซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้คุยกันมานานมากได้ติดต่อเข้ามา คงได้เบอร์ของเขาจากทางนิตยสาร ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
"น่า นะ เพื่อน...ฉันไม่ขอร้องนายเปล่าๆปรี้ๆแน่ๆ อยากได้ค่าเสียเวลาเท่าไหร่ว่ามา" แจ๊กสันเป็นลูกอภิมหาเศรษฐีชาวฮ่องกงผู้ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ข้ามชาติรายใหญ่ และรู้จักกับเขาตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย ถึงจะเป็นโคตรคุณชายแต่แจ๊กสันก็ไม่เคยถือตัว เพื่อนคนนี้คอยช่วยเหลือเขามากมายตั้งแต่สมัยอยู่เกาหลี กระทั่งออกมานอกประเทศนั่นแล้วก็ตาม
"โห สลัดแจ๊ก คุณเมิงจะเอาเงินฟาดหัวแม้กระทั่งเพื่อนเหรอวะครับ เงินซื้อคนอย่างจินยองไม่ได้หรอกนะ" จินยองคุยตอบปลายสาย โดยที่ดวงตายังจ้องมองไปยังหน้าผาฝั่งตรงข้าม พร้อมกับหยิบกล้องส่องทางไกล สลับกับกล้องถ่ายภาพติดเลนส์เทเลโฟโต้ระยะ 600 mm กระบอกใหญ่ยาวอันเท่าขาขึ้นมา เพื่อส่องหาเป้าหมาย จิ้งจอกหิมะสีขาว ท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย ว่ากันว่ามันคือสัญลักษณ์แห่งความสุข ความอุดมสมบูรณ์และโชคดี ไม่ง่ายที่จะเห็นมันสักครั้งในชีวิตเพราะจากปรากฏการณ์เรือนกระจกและการบุกรุกทุ่งน้ำแข็งของมนุษย์ทำให้พวกมันใกล้สูญพันธุ์เต็มทีแล้ว
"7xx,xxx USD เป็นไง? ครอบคลุมค่าเดินทาง ที่พักในโซลด้วยนะ ถ้าเสร็จงานแกก็จะได้มีเงินเหลือไปท่องเที่ยวถ่ายภาพหายตัวต่อได้อีกเป็นปี " แจ๊กสันตีเข้าจุดอ่อนของจินยองอย่างจัง อาชีพช่างภาพแนว Landscape ถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่ยังไม่มีชื่อเสียงโด่งดังนี่ทำเงินแทบไม่ได้ นอกจากส่งรูปขายใน Stock photo (ระบบขายภาพออนไลน์) พอมาหมุนประทังชีวิตไปวันๆเท่านั้น จินยองต้องจะอดมื้อกินมื้อเพื่อประหยัดเงินเป็นค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าบำรุงรักษากล้อง เลนส์ ฟิลเตอร์ ขาตั้ง แฟลช์และอุปกรณ์ถ่ายภาพอื่นๆที่แสนแพง แต่มันก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขา
"...เงินซื้อกูไม่ได้ ............. ถ้ามันไม่มากพอ สัด บ้านแมร่งรวยโคตรขนาดนี้ ทำไมเมิงไม่เอาเงินซื้อนักร้องให้น้องเมิงเลยวะ?" จินยองหงุดหงิดที่สุด เมื่อนึกถึงประเทศเกาหลีที่มาพร้อมความทรงจำแย่ๆ และคำว่านักร้องอะไรนั่น
"อะไรที่น้องกูทำแล้วมีความสุข กูไม่ขัดหรอก แบมแบมมันจะอยู่ได้อีกกี่ปีก็ยังไม่รู้เลย.." คนปลายสายทำเสียงโศกขึ้นมาอีกเมื่อพูดถึงแบมแบม น้องชายของเขาที่ไม่ยอมเข้ารับการผ่าตัดหัวใจ เพราะติดงานถ่ายรูปไอดอลอะไรสักคนที่มีงานแจกรายเซนต์พอดี แต่เรื่องแบบนี้รอได้ที่ไหน เพราะถ้ายิ่งทิ้งไว้นานโอกาสที่หัวใจจะทำงานหนักจนล้มเหลวเพราะเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงมีปัญหามาตั้งแต่เกิดก็มีมาก จนแจ๊กสันต้องหว่านล้อมทุกอย่างให้แบมแบมเข้ารับการผ่าตัด โดยจะจ้างตากล้องฝีมือดีมาถ่ายให้แทน น้องกลับยื่นเงื่อนไขว่าต้องเป็นตากล้องที่เก่งและแบมแบมยอมรับ และต้องยังไม่ดังมีชื่อเสียงมากเกินไป หรืออายุเยอะจนคนอื่นรู้จักตกใจผิดสังเกต ถ้าหาผู้หญิงไม่ได้ แล้วได้ตากล้องผู้ชายมาก็ต้องแต่งหญิงไม่งั้นเดี๋ยวศิลปินจะรู้สึกไม่ดีที่บ้านแฟนไซน์เป็นผู้ชายมาตามถ่าย ซึ่งก่อนหน้านี้แจ๊กสันก็คัดตากล้องทั้งที่มีชื่อเสียงโด่งดัง กำลังจะดัง มีผลงานดี มีชื่อเสียงมากมายมาให้แบมแบมเลือก พร้อมค่าจ้างไม่อั้น แต่แบมแบมก็ไม่ถูกใจใครสักคน เหมือนน้องแกล้งจะไปถ่ายเองให้ได้ หรือไม่มีใครถูกใจจริงๆก็ไม่รู้ จนคณะแพทย์ผู้ให้การรักษายื่นเดทไลน์วันผ่าตัดมาให้ เพราะแพทย์เฉพาะทางและทีมที่จ้างมา ต้องบินไปทำงานต่อที่อื่น แจ๊กสันจึงหมดหนทาง เหลือแต่รูปถ่ายใบหนึ่งโดยฝีมือของจินยองที่เคยถ่ายไว้สมัยยังเรียนมหาลัยด้วยกันก่อนจินยองจะลาออก เอาให้แบมแบมดูส่งๆ แต่แล้วแบมแบมกลับโอเคให้ผ่าน รูปขาวดำของคนคนหนึ่งเพียงรูปเดียว ทำให้แจ๊กสันลงทุนควานหาเพื่อนที่หายสาปสูญด้วยเบาะแสชื่อจริง จ้างให้นักสืบเอกชนมืออาชีพไปตามจนพบว่ากำลังเป็นตากล้องฝึกงานที่นิตยสารชื่อดังนี่ จนได้เบอร์โทรและติดต่อไปหา
"อิเหี้ยแจ๊กสัน อย่าร้องดิสัด อย่ามาดราม่าใส่กู กูจะร้องตามแล้วนะ" จินยองน้ำตาซึมกับความรักน้องของแจ๊กสันจริงๆ เขาเองไม่มีห่วงอะไรในชีวิตอีกแล้ว ครอบครัวประสบอุบัติเหตุทิ้งเขาไว้คนเดียวตั้งแต่เด็ก คนรักก็ไม่มี...มั้ง.. ช่วยเพื่อนคนเดียวที่มีสักครั้งมันคงไม่แย่อะไรหรอกใช่ไหม?
"ตกลงมึงจะรับไหมงานตามถ่ายรูป ศิลปินที่ชื่อ มาร์ค ต้วน ระหว่างที่แบมแบมเข้าโรงพยาบาลหน่ะ?" แจ๊กสันถามย้ำอีกที ด้วยน้ำเสียงคาดหวัง
"..เออ ...ห่า เมิงอย่าเอาตังค์ไปโปรยเล่นอีกนะ กูเสียดาย เห็นแก่แบมแบมที่เคยช่วยกูตอนตกระกำลำบากโดนโจรล้วงกระเป๋าที่เมืองไทย และความรักน้องของเมิงนะเนี่ย ส่งรายละเอียดสถานที่ เวลา บัตรเชิญเข้างานแล้วก็ตังมาเลยนะ กูไม่มีค่าเครื่องกลับเกาหลีพอดีหว่ะ" พอตัดสายไปไม่ถึง10 วินาที จินยองก็ยิ้มออกมาได้อย่างเต็มที่จนตีกาขึ้น เมื่อจิ้งจอกหิมะสีขาวขนฟูสองตัวออกมาคลอเลีย หยอกล้อกันให้เขาเก็บภาพจนเต็มอิ่มสมความตั้งใจ เกือบ 3 สัปดาห์ที่เฝ้ามันมา โอ้วววว ฟิน ไป 3 โลก มีความสุขอ่าาาาาา จริงๆแล้วการรอคอยมันก็ไม่ได้แย่เสมอไปนะ ถ้าผลมันออกมาดี ...
จินยองยิ้มให้ตนเองหลังจากเฝ้ามองและเก็บภาพพวกมันจนมันลับตาไป ก่อนจะเริ่มเก็บข้าวของ ตอนนี้มือของจินยองชาแข็งแทบงอไม่ได้แม้จะสวมถุงมือหลายชั้น ผิวหน้าแม้จะใส่ก๊อกเกิลแว่นตากันลมอันใหญ่ปิดหน้าแต่ก็มีช่องว่างให้น้ำแข็งเข้ามากัดผิวหน้า ริมฝีปากแดงสั่น ฟันกระทบกันดังกึกๆเป็นสัญญาณว่าร่างกายใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว เหลือแค่กลับไปทำรูปลงพอร์ทส่งงาน ชีวิตของเขาจะได้ไปต่อสักที
จินยองสูดหายใจเข้าเต็มปอด ปล่อยอารมณ์ไปกับโลกสีขาวที่แทบจะกลืนตัวตนของเขาหายไปด้วย ชั่วแว๊บของความคิด เขาอยากจะฝังร่างตนเองไว้ใต้กองหิมะสีขาวที่นี่จัง ไม่รู้จะต้องเสียใจทีหลังไหมนะที่ตอนนี้ไม่ได้ทำอย่างนั้น เพราะกำลังตื่นเต้นอยากเห็นรูปอาร์คติก ฟอกซ์ที่เพิ่งกดมาได้ อืม...เขายังรักชีวิตอยู่ ทุกอย่างดู ดี๊ ดีย์ จนกระทั่ง....ได้กลับไปเกาหลี...
***********************************
ณ. EtudeX House VIP lounge ช๊อปแต่งหน้าที่เปิดสาขา Stand alone พิเศษในโรงแรมหรูสำหรับรับรองบรรดาไฮโซ ดาราและผู้มีชื่อเสียงทั้งหลายที่อยากจะสวยจัดเต็ม แจ๊กสันในชุดทักซิโด้หล่อหรูดูภูมิฐาน ตอนนี้เรียนจบแล้ว เขาทำงานเป็นรองประธานกรรมการบริหารบริษัทในเครือที่บ้าน เอ่ยทักช่างแต่งผมและสไตล์ลิสที่จ้างมาจัดการแปลงโฉม ชายหนุ่มหนวดเฟิ้ม ที่สะพายเป้สกปรก นอนกรนรออยู่บนม้านั่งยาวลายหลุยส์บุหนังหรูหรา ก่อนจะส่ายหน้า แล้วปรบมือให้สัญญาณ คนที่จ้างมาจัดการคนตรงหน้า
เมื่อชั่วโมงก่อน แจ๊กสันเข้ามาดูจินยองไปรอบแล้วเห็นเพื่อนนอนกองเป็นถุงผ้าเน่ายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า เขาจึงออกไปคุยธุรกิจพักใหญ่ก่อนจะกลับเข้ามาพบว่าจินยองถูกจับอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณ และเปลี่ยนเสื้อผ้ามาอยู่ในชุดคลุมผ้าไหมสีขาวหลังอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เพื่อนเขากำลังนอนเหยียดยาวให้ช่างสระผมและนวดศีรษะผ่อนคลายความตึงเครียดให้อยู่
"ชิบหาย ไม่เจอตั้งนานอย่างกับโจรเถื่อน" แจ๊กสันหลงอุทานเสียงดังเมื่อเห็นสารรูปเพื่อนที่ไม่ได้เจอตัวเป็นๆมานานหลายปีเข้าเต็มๆตา ตลอดเวลามานี่พวกเขาก็แค่โทรคุยกันหรือแชทกันบ้างนานๆครั้งผ่านมือถือ ให้ตายเถอะจะไหวไหมวะ?
"เมิงไม่กลับมาพรุ่งนี้เลยวะ ห่.า. หัวใจกูจะวาย มาลงทะเบียนเข้างานเอานาทีสุดท้ายแบบนี้ ถ้าแบมแบมผ่าเสร็จแล้วไม่ได้ดูรูปที่มึงถ่ายมา แล้วเป็นอะไรไป นะ เมริ้งง" แจ๊กสันส่งเสียงโวยวายจนคนที่นอนสระผมสบายอารมณ์อยู่ต้องยู่คิ้ว จิ๊ปากอย่างไม่พอใจ เนื่องจากไม่สามารถต่อล้อต่อเถียงได้ เพราะช่างอีกคนกำลังลงมีดโกนโกนหนวดให้ แข่งกับเวลา แต่ทันทีที่โกนเสร็จวาจาหวานหูจากเพื่อนที่ไม่เจอกันนานก็พ่นออกมาทันที
"ผมไม่ผิดสัญญาหรอกครับ คุณแจ๊ก แต่พอดีตากหิมะจนป่วยตัวร้อนไข้ขึ้น ตอมอที่สนามบิน แมร่งกักตัวกลัวกูเป็นอีโบล่ามั้ง สัด กว่าแมร่งจะสัมภาษณ์ เจาะเลือด ตรวจร่างกายเสร็จ ก็เป็นชาติ กูก็ลืมๆภาษาเกาหลีไปแล้วด้วย บวกกับการแต่งตัวที่ไม่น่าไว้ใจ คงนึกว่าผู้รายข้ามแดน นี่ก็โบกแท๊กซี่อยู่หลายคันแมร่งไม่มีใครรับ ต้องมารถไฟใต้ดินอีก ของก็อย่างเยอะห่า กูเหนื่อย กูเพลีย กู jet lag กูเมาผู้คน กูบ้านนอกเข้ากรุง กูมาจากป่าดงดิบ คุณเมิงช่วยเห็นใจลูกจ้างตาดำๆ ด้วยเถอะนะครับ เท่านั้นยังไม่พอนะสัด กูต้องมาเจอความชิ.บ.หายสารพัดที่นี่อีก" จินยองกระชับเสื้อคลุมผ้าไหมราคาแพงก่อนจะหมุนโชว์หน้าแข้ง แขน และเปิดโชว์ไปถึงขาอ่อนที่โดนแว๊กซ์ขนให้เพื่อนดู รวมถึงยกแชนโชว์จักกะแร้ขึ้นด้วย ดีว่าเสื้อคลุมมันแขนยาว แจ๊กสันจึงยังไม่ได้เห็นอะไร แต่ก็อดหัวเราะกับท่าทางเอาเรื่องนั่นไม่ได้
"หายนะชัดๆ พวกแมร่งนี่แว๊กซ์ขนทุกเส้นของกูออกหมดแล้วมั้ง เจ็บจนน้ำตาเล็ดเลยมรึง พวกผู้หญิงแมร่งทำกันเป็นปรกติได้ไงวะ"
"แล้วเมริงโดนแว๊กซ์ ขนบิกินนี่ด้วยไหมวะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า" แจ๊กสันหัวเราะแรง หน้าตาท่าทางไปหมดน่าหมั่นไส้สุดๆ
"เชรี้ยยยยยยยย............." จินยองไม่ตอบนอกจากหน้าแดงพร้อมกับคำด่าเสียงดัง และคำบ่นสบถอีกยาวเหยียดจนแจ๊กสันแทบลงไปคลาน 4 ขาแล้วลากไก่ลงไปกินในน้ำ ซะเดี๋ยวนั้น
"ถ้ากูรู้ว่าต้องสูญเสียเอกราชถึงขั้นนี้ กูขอแคนเซิลเว้ย แต่ไอ้พวกห่านี่ทำกู เห็นเป็นผู้หญิงหรอกนะ ....ฮึกๆๆ " จินยองเบ้ปากคว่ำ ทำหน้างออย่างกับจะร้องไห้ แต่จะสงสารก็ไม่ได้ เพราะเป็นคำสั่งของเขาเองที่ให้หามืออาชีพในการแปลงโฉมที่เก่งที่สุดมาจัดการ เพื่อนแสนพยศ เถื่อนดิบคนนี้
ระหว่างที่จินยองเอาแต่บ่นไป เขาก็ถูกสไตล์ลิสจับแต่งตัวไป จากนั้นก็มีช่างแต่งหน้าทำผมมาช่วยกันจัดการงานต่อๆกันไป ทุกคนก็เอาแต่หัวเราะ และก็ทำงานของตัวเองกัน จนในที่สุดร่างบางก็ถูกกำจัดลอกคราบนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ ออกไปอย่างสมบูรณ์แบบ ตอนนี้เหลือเพียงแต่หน้าหวาน ผิวขาวเนียนใส และพอแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางสักหน่อยก็ดูสวยได้ไม่ยาก ...สวยจนแจ๊กสันต้องตะลึงปนขนลุก
"ห่.า. แมร่งหลอกลวงประชาชนชัดๆ เมิงไปทำงานห้ามพูดอะไรออกมาเชียวนะ ไม่งั้นเสียราคาหมด วันนี้เมิงไปในนามบ้านแฟนไซท์ของแบมแบม อย่าทำไรให้เสื่อมเสียมาถึงน้องกูหล่ะ เข้าใจไหม?" แจ๊กสันไม่ยอมถูกภาพลวงตาของเพื่อนที่แสนกักขฬะในร่างหญิงงามหลอกลวงเด็ดขาด จะสงสารก็แต่ชายใดที่ได้แลแล้วติดใจ นะเมิงเอ๊ยย กูขอทำบุญให้พวกนั้นล่วงหน้าเลยละกัน สวยแต่ เ หร้..
"เอ้ยไม่ต้องให้พร สัด กู เอ้ย คุณแจ๊กสันวางใจจินยอง เอ้ย เจนนี่ได้เลยนะคะ" จินยองในชุดราตรีสั้นสีขาวเปิดไหล่เนียน หันมายิ้มสลายวิญญานให้แจ๊กสัน จนเขาเผลอเคลิ้มไป 5 วิ ก่อนจะอุทานคำว่า คำว่า เหรี้ยออกมาอย่างดังมาก
"กูนัดดินเนอร์กับลูกค้าธนาคารใหญ่ที่ภัตตาคารตรงเทอเรส ระเบียงชั้น 28 ส่วนงานแจกลายเซนต์อยู่ชั้น 4 ของโรงแรม ถ้าเสร็จแล้วอยากหาไรกินก็ตามมา หรือถ้าจะพักผ่อนกูเปิดห้องสวีทไว้ให้แล้ว เดี๋ยวข้าวของเสื้อผ้า กระเป๋าเน่า จะให้พนักงานมายกเอาไป อ่ะนี่คีย์การ์ดห้อง กับเมมโมรี่การ์ดสำรองของกล้อง ถ่ายให้เต็มสัก 10 อันเลยนะ" แจ๊กสันตบบ่าเพื่อน ก่อนจะเดินออกไป
"ไอ้เห้ บัดซบมาก ให้กูอัดเป็นมูฟวี่ 4K ไปเลยไหมหล่ะมึง ถ้ายัดเมมโมรี่มาซะขนาดนี้ ...อุ๊ย เจนนี่ลืมตัว ค่ะ แหะ แหะ" จินยองหันไปยิ้มให้ช่างทั้งหลายที่นั่งหมดแรงกับการแปลงโฉมเขาจนสำเร็จ อย่างเขินๆ ด้วยท่ากระแดะๆ สะดีดสะดิ้งสุดๆ จากนั้นก็แอบเช็คใบหน้าตัวของเองในกระจกอีกที ก่อนจะเม้มปากเลียลิปติกกลิ่นหอมหวานสีสวยที่ไม่คุ้น เขารู้สึกหนาปาก หนาผิวหน้า หนักขนตา แล้วก็ โล่งส่วนล่างที่เป็นกระโปรง เผยเรียวขาขาวจัดที่ไม่เคยได้โดนแสง เนื่องจากเขาใส่แต่กางเกงยีนส์เน่าแทบไม่ได้ถอดเพราะต้องบุกป่าฝ่าดงสมบุกสมบันตลอดเวลาไปถ่ายรูป มันรู้สึกโล่งและไม่ปลอดภัยมากๆถึงจะมีถุงน่องบางๆคลุมให้อีกชั้นหนึ่งแล้วก็ตาม ให้ตายเถอะ
เขาจากเกาหลีไปเกือบ 4 ปี อะไรอะไรก็ดูแปลกตาไปหมด เพราะเขามัวตระเวนไปตามป่าเขาลำเนาไพรที่เป็นธรรมชาติ สวยสมบูรณ์ ในเมืองหลวงแห่งนี้จึงเป็นสถานที่น่าอึดอัด ไม่คุ้นชินมากกว่า เขาได้รับข้อมูลคร่าวๆว่า น้องชายของแจ๊กสัน ได้เปิดบ้านแฟนไซท์ติดตามนักร้องคนหนึ่งชื่อ มาร์ค ต้วน ตั้งแต่ตอนเพิ่งเดบิวใหม่ๆยังไม่ดัง จนตอนนี้เขาดังมาก แบมแบมไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยเหมือนคนปรกติ เพราะร่างกายอ่อนแอ และมีพี่ชายก็คือแจ๊กสันคอยตามใจ ทำให้มีเวลามาทำอะไรแบบนี้ แบมแบมมีทักษะฝีมือถ่ายรูป portrait ได้สวยและมีเอกลักษณ์มากๆ ทำให้มีคนรอคอยจะดูรูปที่แบมแบมถ่ายไอ้นายมาร์ค ต้วนนี่ เพิ่มขึ้นๆทุกวันจากพันเป็นหมื่น จากหมื่นเป็นแสน และน่าจะเป็นล้านคนจากทั่วโลกแล้ว ที่ให้ความสนใจผลงานของแบมแบมและรูปของนายคนนี้
และงานแฟนไซท์ที่จัดขึ้นนี่ไม่ได้เดินเข้าไปขอลายเซนต์กันได้เลยนะครับ ต้องมีการซื้อสินค้าออฟฟิเชียลให้ครบราคาตามยอด เพื่อเอาคูปองแล้วไปจับชิงโชคคนที่จะได้เข้างานอีกที และคิดว่าต้องใช้ดวงเท่าไหร่ถึงจะมีโอกาสหล่ะครับ ซึ่งแน่นอนว่าตระกูลหวังจะมาพึ่งดวงอะไรพวกนี้เหรอครับ มันคงกว้านซื้อของเอาเงินถม สมมุติว่าสามัญชนส่งรวมกันสัก 10000 สิทธิ์ พวกบ้านหวังมันคงส่งของมันสัก 20000 สิทธิ์อ่ะครับ จะจับไม่ได้ชื่อมันเชียวเหรอแบบนี้
จินยองถอนหายใจพาร่างบางในชุดราตรีสั้นสีขาวเปิดไหล่ โชว์ผิวเนียนและเรียวขาเพรียวสวย เกล้าผมหยาบๆประดับด้วยไข่มุกเข้าชุดตัดกับเรือนผมดำขลับ เดินสะกดสายตาของชายหญิงแทบทั้งงานจนมาหยุดที่แถวรอขอลายเซนต์ตรงแถวที่ยาวที่สุดของวันนี้ เขาต่อคิวอย่างใจเย็นก่อนจะเอากระดาษที่แจ๊กสันเตรียมมาให้ ยื่นให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาลงลายเซนต์อย่างตั้งอกตั้งใจ ...แต่ทำไม มาร์ค ต้วน เซนต์เป็นอักษรภาษาอังกฤษ เหมือนตัว J กับ B นะ แต่จินยองก็ไม่ทันคิดอะไร เตรียมยิ้มหวานให้คนที่เซนต์เสร็จเงยหน้าขึ้นมา ชายหนุ่มสุดหล่อยิ้มให้แฟนคลับและสบตากันตามมารยาท แต่รอยยิ้มนั่นกลับไม่ใช่รอยยิ้มที่เหมือนในรูปที่แจ๊กสันให้มา ใบหน้าหล่อยิ้มตาตี่...ไม่ใช่มาร์ค ต้วน หนิ นี่มัน ...........พี่...แจบอม!!?
จินยองตกใจที่เข้าแถวผิด แล้วเจอคนที่ไม่อยากเจอที่สุดในเกาหลีเข้าจังเบอเร่อแบบนี้ เขาไม่ได้ใส่ใจเลยว่างานนี้มีใครอะไรกี่คน รู้แค่ว่ามีแสตนดี้ของมาร์ค ต้วนหน้างาน โอเค เข้างานถูก หน้าตาของมาร์ค ต้วนก็เคยเห็นจากในรูปที่แจ๊กสันส่งมาให้ในมือถือ ตอนลงทะเบียนบ้านแฟนไซท์ก่อนเข้างานก็ไม่มีใครบอกอะไร เห็นแจ๊กสันคุยโม้ว่ามาร์คไรนี่ดังมากกก จินยองจึงนึกว่าน่าจะเป็นศิลปินเดี่ยว...ก็ไม่ใช่ แต่อย่างน้อยจินยองก็มีสติพอที่จะยกกระดาษลายเซนต์ที่ได้มาปิดหน้า โดยไม่ได้จับมือกับคนตรงหน้าเหมือนแฟนคลับคนอื่น แล้วเนียนๆหลบออกมา
คนที่เงยหน้ามารู้สึกเอะใจบางอย่างเหมือนกัน สาวสวยที่เพิ่งรับลายเซนต์ของเขาไปเรียกเขาว่า แจบอม ...นี่เป็นชื่อเก่าที่แทบไม่มีใครเรียกแล้วนอกจากคนในครอบครัวเพราะชื่อในวงการของเขาคือ เจบี และเป็นชื่อนี้มาตลอด 4 ปี ตั้งแต่เดบิวผู้หญิงคนนั้นหน้าตาคุ้นมากๆ คนสวยแบบนี้เขาไม่น่าลืมนะ แต่เจบีก็ตามสาวสวยคนนั้นออกไปไม่ได้ เพราะยังต้องแจกลายเซนต์ต่ออีกยาว พอๆกับแถวของมาร์ค ซึ่งนั่งอยู่บนเวทีอีกฝั่งของห้องตรงข้ามกัน
เจบี กับ มาร์ค เป็นคู่ดูโอ้ในนาม GOT7 วงที่มีกัน 2 คนแต่ดันใช้ชื่อเลข7 เป็นจุดสนใจให้คนจดจำ พวกเขาดังมากแทบจะที่สุดในชั่วโมงนี้ สามารถกวาดรางวัลและความนิยมถล่มทลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีผลงานทั้งงานเพลง งานพิธีกร พรีเซนเตอร์โฆษณาสารพัดสิ่ง วาไรตี้ ถ่ายแบบ ละครทางโทรทัศน์ และภาพยนตร์ฉายลงโรง ที่ประสบความสำเร็จมากมาย ในประเทศเกาหลีนาทีนี้ ไม่มีใครไม่รู้จักพวกเขา จะมีมนุษย์หลังเขาก็จินยองคนนี้หล่ะครับ ไปขอลายเซนต์ให้แบมแบมก็ยังเข้าไปขอผิดคน
สมัยก่อนงานแจกลายเซนต์มักจะจัดกันตามหอประชุมมหาวิทยาลัย หรือไม่ก็ห้าง และต้องวงที่ดังมากจริงๆเท่านั้นถึงจะมาจัดโรงแรมห้าดาวแบบนี้ งาน exclusive พิเศษรอบนี้เปิดให้แฟนคลับกระเป๋าหนักที่ได้รับสิทธิ์เข้างานสามารถพาผู้ติดตามเข้ามาด้วย ส่วนมากถ้าไม่ใช่คู่รักก็เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว งานนี้จึงมีผู้หญิงกับผู้ชายเท่าๆกัน พองานแจกลายเซนต์จบก็มีการเสริฟดินเนอร์มื้อหรู พร้อมกับการแสดงพิเศษจากศิลปินอย่างใกล้ชิดเป็นการขอบคุณ
เมื่อจินยองหลบมาตั้งสติได้ เขาก็เดินมาทางตรงข้ามแล้วเอากล้องขึ้นมาถ่ายรูปฝั่งมาร์ค ต้วน แต่มันก็ไม่ง่ายเหมือนที่เขาคิด จินยองดูเหมือนจะดูถูกการถ่ายรูปศิลปินไปหน่อย เพราะมีบรรดาแฟนไซท์มาสเตอร์บ้านอื่นที่มากันอย่างคับคั่งยืนล้อมมาร์คไว้อย่างหนาแน่น พวกนางนอกจากจะไม่ยอมไปทานดินเนอร์ที่ผู้จัดงานเตรียมไว้เพราะกลัวพลาดโอกาสได้รูปแล้ว ทุกคนล้วนมีกล้อง DSLR แบบมืออาชีพอย่างดี มีกระทั่งกล้อง medium format ตัวละหลายล้าน รวมถึงเลนซ์ตัวเทพเหมือนกันหมด บางคนเตรียมพร้อมมาก มีบันไดหรือเก้าอี้เล็กๆเพื่อชิงทำเลได้เปรียบในการถ่ายรูปมาด้วย บางคนลงทุนแบกขาตั้งกล้อง ขาตั้งแฟลช์หลายไซด์เข้างานเพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดสวยงามมากที่สุด บางคนเล่นเป็นดอลลี่เลยก็มี บางคนมีทั้งกล้องถ่ายวีดีโอ และกล้องถ่ายภาพมาทั้ง2 อย่างพะรุงพะรัง บางคนใช้กล้องหลายตัว เพราะใส่เลนซ์คนละระยะไว้เลยจะได้ไม่เสียเวลาเปลี่ยนเลนซ์เวลาจะถ่ายภาพระยะต่างๆ(พวกมืออาชีพมักไม่ใช้เลนซ์ซูมตัวเดียวที่ถ่ายได้หลายระยะ เพราะ ค่า F ไม่มากพอที่จะทำให้ได้ภาพดีๆและมีโบเก้สวยๆ) ดีว่าจินยองใส่ส้นสูงมาทำให้วันนี้สูงเกือบ 180 เซนติเมตร ได้เปรียบมาสเตอร์แฟนไซน์บ้านอื่นๆที่เป็นผู้หญิงที่รูปร่างเล็กกว่า เขายื่นหน้าสวยๆถ่ายภาพมาร์คไปชิวๆ ด้วยท่าทางแบบมืออาชีพ จนไม่รู้ตัวว่าตกเป็นเป้าสายตาของใครบางคนอยู่
คนที่ชื่อมาร์คนี่หน้าตาโคตรดี เข้าขั้นเฟอเฟคเลยนะเนี่ย ตาสวย คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นเคิฟได้รูป ริมฝีปากหยักยิ้ม มีเขี้ยว ผิวก็ละเอียดเนียนขาว ถ่ายมุมไหนก็หล่อดูดี แต่ได้ยินมาว่าแบมแบมชอบเขาตั้งแต่สมัยที่มาร์คเคยเป็นอาสาสมัครมาดูแลเด็กป่วยที่โรงพยาบาล เลยได้เจอกับแบมแบมตั้งแต่ตอนอายุ 13 ปี ก่อนที่จะได้เดบิวมีชื่อเสียงเสียอีก นั่นทำให้แบมแบมสนใจเขา และคอยสนับสนุนอย่างเต็มที่ ช่วยแบ่งปันมุมมอง และความรักที่มีต่อมาร์คให้คนอื่นๆด้วยการทำบ้านแฟนไซท์ ทำให้มาร์คเป็นที่รู้จักและเป็นที่รักของคนมากมายที่อยู่ทั่วโลกโดยปิดทองเบื้องหลัง เวลาแบมแบมมาถ่ายรูปจะใส่เสื้อมีฮูดตัวโคร่ง และใส่แว่นตากรอบหนาปิดหน้า ด้วยความผอมบางตัวเล็ก ทุกคนจึงเข้าใจว่าแบมแบมเป็นเด็กผู้หญิงกลมกลืนไปกับมาสเตอร์แฟนไซท์บ้านอื่นๆ
แต่นายมาร์ค ต้วนนี่ยิ้มละมุน กรุ้มกริ่มให้กับแฟนคลับไปทั่วเหลือเกิน ทำให้จินยองสงสัยว่าคนพวกนี้และรอยยิ้มพวกนั้นมันมาจากใจ หรือว่าเสแสร้งกันแน่นะ แต่รอยยิ้มพวกนั้นก็ดูสวยเกินกว่าจะเป็นของใครคนใดคนหนึ่ง...ก็จริง.....เหรอวะ ? แหวะ ขนลุกอยากจะอ๊วก เมื่อนึกถึงรอยยิ้ม และตายิ้มของคนตาตี่อีกคนเมื่อครู่ที่ไม่ใช่คนตรงหน้าเวลานี้ นั่นทำให้เขาหมดใจที่จะก้มลงมองviewfinder (ช่องมองภาพของกล้อง) จินยองปรับโหมดของกล้องเป็นการถ่ายภาพต่อเนื่อง และใช้ autofocus ของกล้องเอา โดยใช้ร่างกายกอดอกยกแขนขึ้นมาข้างหนึ่งทำเสมือนเป็นแค่ขาตั้ง แล้วสายตาก็มองไปทางอื่นรอบๆห้องแทน ยังไงก็ได้ภาพที่ชัด รัว 11 เฟรมต่อวินาที แทบจะทุกอิริยาบถอยู่แล้ว (20 วินาที สับชัตเตอร์ไป 200 กว่ารูป) ค่อยไปคัดเอาทีหลัง แถมแสงสว่างในห้องก็ยังจัxไรยังไงก็ต้องไปโพรเสสทำรูปต่อในคอมอีกที กดๆไปเถอะ จินยองรู้สึกว่าภายในรอยยิ้มของผู้คนที่นี่ ในห้องนี้มันประดิษฐ์เกินไป ทั้งศิลปิน พิธีกร สปอนเซอร์ และแฟนคลับบางคน บรรยากาศจอมปลอมใส่หน้ากาก คนสวยเบ้ปาก ไม่อยากจะเสียสายตามองเฟรมที่ถ่ายไป ติดแต่ว่าเห็นไฟแดงจากกล้องกระพริบ บอกว่าเมมโมรี่เต็มแล้ว เขาจึงยกกล้องลงแล้วก้มลงเตรียมจะเปลี่ยนเมมโมรี่การ์ดอันใหม่
ขณะที่กำลังแกะกล่องตลับพลาสติกขนาดพอดีไซส์ของเมมโมรี่การ์ดอันใหม่ และถอดการ์ดอันเดิมออกมาแล้วนั้น อยู่ๆก็มีเสียงกรี๊ดและเสียงฮือฮาดังขึ้น ตามต่อด้วยเสียงเปียโน และเสียงร้องเพลงนุ่มหวานจากฝั่งตรงข้าม (ฝั่งเจบี) จินยองผู้เงอะงะโดนผู้คนแตกฮือ เบียดชนจนเมมโมรี่การ์ดอันที่เต็มแล้วหลุดมือตกหาย แถมหน้าเวทีฝั่งมาร์คที่เขายืนอยู่ก็ระส่ำขึ้นมาด้วย เมื่อมาร์คลุกขึ้นมาแร๊ปต่อจากเจบี คนรอบตัวเขากรี๊ดหนักขึ้นไปอีกจนจินยองที่ก้มตัวควานหาเมมโมรี่การ์ดโดนเหยียบ โดนกระแทก จนหัวหูกระเซอะกระเซิง
"ชิบหายแล้ว" จินยองอุทานอย่างหัวเสีย เมมโมรี่ การ์ดตัวนั้นสำคัญมากเสียด้วยเพราะเป็นตัวเก่าที่ใช้อยู่ประจำของเขา ตัวเดียวกับที่เก็บรูปจิ้งจอกหิมะจากไอซ์แลนด์ที่ถ่ายมาได้อย่างยากเย็นแล้วเขาก็ยังไม่ได้แบ็คอัพลงคอมพิวเตอร์เลย ความโมโหพุ่งปรี้ดพอๆกับเพลงบัลลาดที่เจบีกับลัง แอดลิปร้องเสียงสูงอยู่ตอนนี้ จินยองหันไปทางคนที่กำลังร้องเพลงอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยความโมโห ...ถ้ามัน(เจบี)ไม่เริ่มร้องเพลงบ้านั่น ...
เพลงพิเศษสำหรับแฟนคลับผ่านไปเพลงแล้วเพลงเล่า.......สุดท้ายก็หาสิ่งนั้นไม่เจอ จินยองอยากจะทึ้งหัวชกอกทำร้ายตัวเอง หลังจากคลานเข่าไล่เอามือลูปไปตามพรมบนพื้นแถวนั้นอยู่นานจนแน่ใจ เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบได้ถล่มลงมา กับความวู่วามงี่เง่าของตัวเอง จริงๆแล้วถ้าเขาถ่ายรูปไปดีๆอย่างตั้งใจ ทีละภาพๆ เมมโมรี่ก็คงไม่เต็มไวเท่าการปรับโหมดถ่ายรัวเกินไปแบบนี้(เพราะถ่าย .raw แบบไฟล์ใหญ่สุดด้วย) หรือถ้าแบคอัพรูปสำคัญไว้ก่อนออกทริปเหมือนทุกครั้งที่ทำประจำก็คงไม่มีปัญหา ... สรุปรูปมาร์ค ต้วนอะไรก็ไม่ได้ รูปจิ้งจอกหิมะก็หายไปด้วย ตอนนี้ถึงน้ำตาจะไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไร แต่มันก็ไหลออกมาจากตาคู่สวยอย่างไม่มีทางเลือก...
จินยองกัดปากตั้งสติ เมื่อได้ยินเสียงเดี่ยวไวโอลินที่เจบีกำลังลุกขึ้นสีโชว์ เพลงโปรดที่เขาชอบมากเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เพลงที่คนคนนั้นเป็นผู้ประพันธ์เอง ....ก็แค่เคยชอบ เพราะตอนนี้เขาเกลียดมันมาก เกลียดจนไม่อยากได้ยิน ทั้งเสียงร้องไพเราะที่ทุกคนชื่นชม และเสียงไวโอลินแว่วหวานที่ได้รับการกล่าวขาน ร่างบางรู้สึกหายใจติดขัด เขารีบเก็บของลงกระเป๋ากล้องแล้วเดินไปหาสตาฟแถวนั้น เพื่อขอร้องให้ช่วยตามหาเมมโมรี่การ์ดที่ทำตกหาย โดยทิ้งชื่อ เบอร์โทรศัพท์ และเบอร์ห้องพักไว้ให้ติดต่อกลับ ก่อนจะรีบออกจากงานไปอย่างร้อนรน
"เหรี้ยแจ๊ก ทำไมไม่บอกกู ว่ามัน(เจบี) ก็อยู่ในงานนี้ ...กลัวกูไม่รับงานให้น้องมึงสินะ ....ทำไงดีวะ รูปมาร์คก็ไม่ได้ แถมทำงานเก่าหายอีก เงินที่รับมาก็ใช้ไปบางส่วนแล้วด้วย อุส่าห์ถอยเลนซ์ใหม่ 85 f1.4 นาโน เพื่อถ่าย portrait มาอย่างมั่น จินยองเอ๊ย ไม่มีอารมณ์จะกลับไปถ่ายนายนั่นแล้ว เพราะเสียงเจบีแมร่งยังหลอนอยู่ในรูหู ผ่านมาตั้ง4 ปีแล้ว ทำไมยังไม่ลืมมันอีกวะ ทำไมยังหวั่นไหวกับมันอยู่อีก โง่ๆๆๆๆๆๆ โอยยยยย เครียดดดดด ปวดหัวโว้ย " จินยองเขกศีรษะแล้วบ่นกับตัวเองตลอดทาง ระหว่างเดินไปขึ้นลิฟท์ เพื่อไปยังห้องพักที่แจ๊กสันจองไว้ให้อย่างรวดเร็วโดยไม่เหลียวหลัง
****************************
"ก๊อกๆๆ " เสียงเคาะประตูห้องสวีท บนชั้น 68 ของโรงแรม ดังขึ้นหลายครั้งกลางดึก
00.45 น.
"อืมมมม..... เที่ยงคืน สี่สิบห้า ...ใครมาวะ?" จินยอง มองนาฬิกา ดิจิตอล ข้างหัวเตียง กระพริบแสงสีฟ้าในความมืด ก่อนจะลุกงัวเงีย เอื้อมมือไปกดแผงคอนโทรลไฟเพิ่มแสงสว่างในห้อง แล้วเดินไปเปิดประตู
ตอนนี้เขายังอยู่ในชุดกระโปรงสวยเหมือนเดิมเพราะยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ เมื่อตอนหัวค่ำที่กลับมาเขาทานยาแก้ปวดหัวเข้าไปแล้วก็หลับเป็นตาย น่าจะเกี่ยวกับความอ่อนเพลียจากการเดินทางข้ามทวีป แถมมีไข้แล้วก็เครียดเรื่องวุ่นวายตอนไปถ่ายรูปด้วย ทำให้ลำดับความคิดยังเรียบเรียงไม่ดีเท่าไหร่นัก อาจจะเป็นแจ๊กสัน ที่มาหา หรือไม่ก็ ทางโรงแรมเอาอะไรมาให้เพิ่มเติมหล่ะมั้ง คิดได้ดังนั้น ร่างบางก็ไม่ได้ส่องช่องมองประตูก่อน เขาเลื่อนโซ่คล้องประตูออก แล้วเปิดประตูโดยไม่คิดอะไรเลย
"มี อะ...ระ... ?" เสียงหวานชะงัก รีบกลืนคำพูดลงคอไม่ให้มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา เมื่อเห็นว่าคนที่มาเคาะประตูเบื้องหน้าเป็นใคร
หนุ่มหล่อในชุดสูทสีดำราคาแพง รูปร่างสมาร์ตสมส่วน สูงกว่าร่างบางของจินยองยืนยิ้มตาเป็นขีดให้ ...รอยยิ้มที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่เขาก็ยังหวั่นไหวและไม่มีวันลืม
"...คุณ เจ...บี !!?" จินยองพยายามควบคุบตัวเองไม่ให้เสียงสั่น หลุดมีพิรุธออกมา ทั้งที่หัวใจของเขากำลังเต้นรัวแทบระเบิด
"พอดีทางสตาฟโทรหาคุณแล้วไม่รับสาย ไม่ทราบว่าโทรศัพท์คุณมีปัญหาหรือแบทหมดหรือเปล่า คือพวกเราเจอของที่คุณกำลังตามหาแต่ไม่รู้จะติดต่อคุณยังไง แล้วพอดีมีเบอร์ห้องพักของคุณและผมก็พักอยู่ชั้นนี้เหมือนกัน เลยอาสาเอามาส่งให้ ตอนนี้อาจจะดึกไปสักหน่อย เพราะกว่าจะสะสางงานเลี้ยงฉลองและส่งทีมงานเสร็จ แต่เห็นว่าเป็นของสำคัญมากๆ.." เจบีก้มหน้านิดหนึ่ง พร้อมกับล้วงกระเป๋าเสื้อสูทที่ปลดกระดุมแล้วเพื่อหยิบบางอย่างออกมา
มุมก้มหน้าของคนคนนี้ก็ยังดูดีเหมือนเดิม สันจมูกโด่งสวยกระทบแสง สันกรามคมเด่น เงาด้านหน้ามืดนิดหน่อยกำลังสวย น่าเก็บภาพไว้ที่สุด ขนตานั่นก็ยังเป็นแพ แล้วก็ยังต้องพึ่งอายไลเนอร์ให้ตาตี่ๆนั่นดูใหญ่ขึ้นแม้จะช่วยไม่ได้มาก เหมือนแต่ก่อน แล้วไฝสองจุดใต้คิ้วนั่นก็ยังอยู่ดีเหมือนเดิม ริมฝีปาก บางหยักกำลังเม้มนิดหน่อย กับท่าทางเก้ๆกังๆที่กำลังทำอยู่ แทบไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด จินยองเผลอลุ้น เอาใจช่วยให้เจบีควานหาสิ่งที่เขาต้องการเจอไวๆ จึงเงยหน้าตาแป๋ว จ้องคนตรงหน้า ด้วยความอยากได้เมมโมรี่ การ์ดคืนมาก ทำให้ดูน่ารักมากจนคนที่แกล้งก้มเก๊กท่าล้วงกระเป๋าลอบมองแล้วแอบยิ้ม
มือหนาคีบวัตถุชิ้นบางสีเหลี่ยมสีดำออกมาชูไว้ในมือสองนิ้ว แล้วส่งยิ้มให้คนตรงหน้า ทำทีเหมือนภูมิใจมากที่ล้วงมันออกมาสำเร็จ
จินยองตาเป็นประกาย ยิ้มกว้าง นี่แหละคือสิ่งที่เขาต้องการ โชคดีจริงๆที่ได้คืนมาก่อนจะพูดขอบคุณคนตรงหน้า
"ขอบคุณนะ" เสียงหวานกล่าวเบาๆ พร้อมยิ้มน่ารักยื่นแบมือบางรอรับของ
"ใครว่าผมจะให้คุณฟรีๆหล่ะครับ?" เจบีพลิกข้อมือกลับแล้วพับนิ้วที่คีบเมมโมรี่การ์ดอยู่มาแตะริมฝีปากตัวเอง ทำท่าส่งจูบให้จินยอง จนคนตรงหน้าเบิกตาโต อย่างไม่เข้าใจ ...
("นี่คุณเมริง ต้องการอะไร....?" จินยองขบเคี้ยว กรอด แล้วฝืนยิ้มทั้งที่ หน้าผากเริ่มชื้นเหงื่อ)
"ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลยนะครับ ถ้าไม่เป็นการรบกวนช่วยบอกชื่อของว่าที่แฟนของผมสักนิด" เจบีไม่พูดเปล่า เขาคุกเข่าลงแล้วจับมือของจิงยองขึ้นมา ก่อนจะก้มหน้าลงจูบที่หลังมือนั่นอย่างแผ่วเบา
("เสี่ยวมาก อยากจะอ๊วก!!" จินยองขนลุกกับท่าทีของคนตรงหน้า ถ้าเป็นหญิงสาวทั่วไปอาจจะอ่อนระทวยกับการที่นักร้องคนดังสุดหล่อมาทำอะไรแบบนี้ แต่สำหรับเขามันไม่มีทางที่จะตกหลุมโง่ๆแบบนั้นอีกแล้ว) จินยองจึงทำหน้าตึงๆ เฉยๆ จนคนตรงหน้าหมดความมั่นในในรอยยิ้ม แล้วปล่อยมือไปเอง
"ว๊า สงสัยเราคงไม่ได้สานสัมพันธ์กันแล้วสินะ" เจบีทำเป็นงอลเล็กๆ พร้อมกับชูเมมโมรี่การ์ดอันนั้นขึ้นสูงๆ
"ชื่อจิน...เอ้ย เจนนี่ค่ะ พอใจหรือยัง เอาไอ้นั่นมาให้ฉันได้แล้ว คุณ แจบอม.." จินยองกระโดดเอื้อมแขนไปสุดเพื่อไล่คว้าของที่อยู่สุดปลายแขนของคนที่ตัวสูงกว่า ร่างหนาก็แกล้งเอี้ยวตัวหนี เดินหมุนหลบพร้อมกับโบกแขนไปมาให้ร่างบางเขย่ง กระโดดไขว่คว้าจนเสียหลัก ทิ้งน้ำหนักทั้งตัวใส่คนตรงหน้าจนเจบีหงายหลังชนประตูห้อง ทำให้มันเปิดให้ร่างทั้งสองที่ล้มลงเสียหลักทั้งคู่เข้ามาอยู่ด้านในของห้อง โดยมีร่างบางของจินยองทับอยู่บนตัวเจบีด้านบน
"เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าไงนะ?" เจบีเอื้อมแขนไปล๊อกเอวคนที่อยู่บนตัวของเขาไม่ให้ลุกหนี โดยที่ร่างบางไม่ยินยอม จินยอง พยายามขยับดิ้นดันตัวออกจากอ้อมอกแกร่งในท่าน่าอึดอัด แต่แขนของเจบีก็ยิ่งรัดแน่นให้ตัวของพวกเขาแนบชิดติดกันมากขึ้น
("ชิบหายแล้วไง.......จินยองเอ๋ย") ตอนนี้ใบหน้าเนียนขาวกำลังมีน้ำตาคลอจะร้องไห้ ในขณะที่ใบหน้าคมเจ้าเล่ห์กำลังอมยิ้มตาหยีอย่างมีความสุข
จินยองมีทางเลือก 2 ทางอยู่ในหัว คือใช้มารยาล่อหลอกเอาเมมโมรี่การ์ดคืนมา หรือใช้กำลังซัดคนตรงหน้า ให้แน่นิ่งแล้วค่อยแย่งชิงเอามาดีกว่ากันนะ.....!!??
" ระ เรียก ว่า เจบีไง... ปะ ปล่อย เราเถอะนะ" จินยองพยายามแกะมือปลาหมึกที่เริ่มล้วงนั่นล้วงนี่ออก
( มือเหนียวชิบหายชาติก่อนเกิดเป็นตุ๊กแกป่าววะ แถมอ้อมแขนก็เสรือกรัดแน่นสัดๆ หรือว่าเป็นญาติกับงูเหลือม ...)
"อื้อออ ....มมมม อย่า..." จู่ๆมือข้างหนึ่งของเจบีก็ประครองศีรษะจินยองไว้แล้วดันหัวกลมทุยนั่นให้ริมฝีปากสีชมพูอ่อน เบียดแนบกับริมฝีปากของเขา ก่อนจะเสียท่าถูกริมฝีปากบางหยักประกบจูบครอบครองแล้วแทรกลิ้นร้อนเข้ามาบุกรุก กอบเกี่ยวลิ้มรสความหอมหวาน แทรกรสชาติที่คุ้นเคยโหยหา จนคนโดนล่วงล้ำแข็งขืนได้ไม่นาน เผลอส่งลิ้นเล็กตอบกลับอย่างลืมตัว
(จูบเก่งโคตรพ่อ ...) จินยองเริ่มเคลิ้มไปกับการปรนเปรอระดับเซียนที่คนตรงหน้ามอบให้ จนเกือบหมดลม ต้องละปากออกมาพัก แต่เจบีก็ยังไม่ยอมปล่อยคนสวยน่ารักไปง่ายๆ เขายังไล่เลียแก้มนุ่มไปจรดถึงติ่งหู หอมแล้วหอมอีก ส่งลมหายใจร้อนที่เป่ารดจุดอ่อนที่ใบหูโจมตีไม่มีเว้นช่อง จนทำให้ร่างบางอ่อนระทวยแทบละลายกลายเป็นเยลลี่แล้ว....ร้ายกาจที่สุด
"ที่รัก...." เจบีใช้เสียงกระซิบหวานแหบต่ำ ขณะไซร้ที่ข้างใบหูของจินยอง โดยที่มือซนเริ่มล้วงเข้าไปใต้กระโปรง ลูบวนเวียนกับต้นขาเนียน และเล่นดีด สายรัดถุงน่องติดลูกไม้ก่อนจะปลดมันออกอย่างช่ำชอง
และทันทีที่มือหยาบลูบไปถึงสะโพกกลมนุ่ม จินยองก็สะดุ้งเฮือก กำหมัดแน่น จินยองกัดฟันตัดสินใจชกเข้าที่ท้องน้อยของเจบีเต็มแรง จนร่างหนาจุกหยุดค้าง ก่อนจะโดน เฮดบัดซ้ำ เอาหัวสวยๆนั่นแหละโขกกับหัวของเจบี จนร่างหนาหงายหลังตึงได้แผ่หลาหมดสติไปจริงๆ ...เห็นตัวบางๆแบบนี้ แต่จินยองเคยล้มหมีขาวอลาสก้าด้วยมือเปล่ามาแล้วนะ
"...ใครที่รักของนายเหรอ ทำไม หื่นสัดๆ ขนาดนี้ สงสัยช่วงที่ไม่เจอกันนี่ นายคงมีเมียเป็นร้อยเลยสินะ ดูจากท่าทางเมื่อกี้แล้วคงไม่มีผู้หญิงคนไหนรอดอ้อมกอดนั้นไปได้ ขนาดผู้ชายอย่างชั้นยังเกือบไม่รอดเลย ...ฮึ ! " จินยองพองลมใส่แก้มกลมที่ขึ้นสีแดงจัด พร้อมกำลังคิดบางอย่างสักพัก จากนั้นเขาก็ลากร่างของเจบีให้ข้ามาในห้องเต็มตัวแล้วปิดห้องประตูให้สนิท แน่น
ร่างบางลงมือค้นเอาเมมโมรี่การ์ดที่ต้องการจากร่างหนาที่นอนนิ่งมาจนได้ และเขายังล้วงไปเจอโน๊ทเล็กๆใบหนึ่งในกระเป๋า ที่เขียนว่า
"ฝากให้ ปาร์ค จินยอง ห้อง 6804 เบอร์โทร XX-XXXX-XXXXX !!!!"
" WTF!!!" (What the fu*ck!!)
นี่เป็นอีกครั้งที่จินยองอยากเอาศีรษะโขกพื้นตาย ทำไมจินยองโง่อย่างนี้!! เขาให้ชื่อจริงตัวเองไว้กับสตาฟ แล้วเจบีก็ต้องรู้สิแล้วว่าเป็นเขา แต่ก็ยังทำเป็นมารยาตาใสซื่อไม่รู้เรื่องใส่ แถมยังมาลวนลามเขาอีก (ไม่รู้ว่าแกล้งหรือเอาจริง) โอยยยย อายโว้ยยยย ทั้งแต่งหญิง ทั้งทำท่ากระแดะไปตั้งเยอะ ว๊ากกกกกกก อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!!!
จินยองไม่รู้จะระบายความอัดอั้นนี้ที่ไหนดี ทั้งเขิน ทั้งโกรธ เขาได้แต่วิ่งไปตะโกนไปรอบห้อง อย่างกับคนเสียสติจนเหนื่อย จากนั้นก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนอน หอบแฮกๆแล้วจะกลิ้งไปกลิ้งมา ลากหมอนข้างนุ่มมาฟาดร่างหนาที่หมดสติอยู่ตรงหน้าไปรัวๆ อย่างคับแค้น จนเกิดปิ้งไอเดียบางอย่างขึ้นก่อนจะแสยะยิ้มออกมา แผนการที่จะทำให้คนอย่างเจบีไม่มายุ่งกับเขาอีกต่อไปในอนาคต คอยดูนะ
"อย่าว่าผมใจร้ายเลยนะ คุณ อิม แจบอม อ้อ ตอนนี้ต้องเรียกว่าซุปเปอร์สตาร์เจบีสินะ...ฮร่า ฮร่า ฮร่า" เสียหัวเราะชั่วร้ายดังก้องห้องสวีท ขนาดเกือบ 150 ตารางเมตร อย่างไม่ประสงค์ดี ไม่ต่างกับฉากหนึ่งในภาพยนตร์สะเทือนขวัญ ...
************************
เช้าวันถัดมา
จินยองอาบน้ำแต่งตัวใหม่ถอดคราบสาวงามออกไม่เหลือ ผมสั้นเปียกชื้นเพราะเพิ่งสระหอมแชมพูอ่อนๆ ใส่เสื้อยืดแขนยาวสีขาวตัวหลวมคอกว้าง แขนเสื้อยาวจนเหลือนิ้วเรียวโผล่ออกมาเพียงปลายนิ้วเท่านั้น เขากำลังปาดแยมลงบนขนมปังปิ้งอุ่นๆหอมฉุยที่รูมเซอวิสเพิ่งมาส่ง โดยมีสลัดจานโตเต็มไปด้วยผักสดน่ารับประทานวางอยู่ข้างๆ อย่างสบายใจเฉิบ แต่ไม่นานนักก็มีเสียง กุ่กๆ กั่กๆ จากห้องนอนดังขึ้นก่อนที่ร่างหนาของซุปเปอร์สตาร์เจบีสุดหล่อจะโผล่ออกมาด้วยชุดเดิมแต่ยับยู่ ผมเผ้ากระเซิงชี้โด่ชี้เด่ ถึงกระนั้นก็ยังดูดี
"เมื่อคืนเรา...เอ่อ.." เจบีส่งยิ้มมาแต่ไกลพร้อมกับเกาคอเก้อๆแก้เขิน แล้วเดินมาทำท่าจะกอดร่างบางที่อยู่บนโต๊ะอาหาร
"ถอยไปไกลๆเลย" จินยอง ยกมีดที่ใช้ปาดแยมไปทางคนที่เดินเข้าหา ทำแก้มพองสบัดมีดขู่ฟ่อใส่ น่ารัก เหมือนเมื่อ 4 ปีก่อนไม่มีผิด
"จิน..เอ๊ย เจนนี่อ่า ผมแค่อยากจะจูบอรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนหลับสบายดีไหมครับ?"
"แหวะ ทำเป็นพูดเพราะ" จินยองแยกเขี้ยว แล้วยัดเจ้าขนมปังปิ้งทาแยมเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ มีแยมสีชมพูบางส่วนเลอะมุมปากออกมา เขาก็ทำเป็นแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองเพื่อจงใจยั่วอีกคนที่ยืนทำตาตี่อยู่ใกล้ๆ
"ผมเกือบให้ออสการ์ พี่แล้วนะ ...ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นผม ก็ยังแกล้งจำกันไม่ได้" ร่างบางก้มหน้านิ่งไป ปล่อยให้ทั้งห้องเงียบ เงียบจนได้ยินเสียงหายใจของคนใกล้ๆ
"อ่า .. ความแตกแล้วสินะ ตอนแรกพี่จำจินยองไม่ได้จริงๆ ทำไมแต่งชุดผู้หญิงหล่ะ แต่ก็ดีนะ สวย สวยมาก น่ารักมาก พี่นึกตั้งนานว่าเคยเจอกันที่ไหน จนสตาฟ มาบอกว่ามีคนสวยตามหาของ แล้วเขาเอาชื่อที่นายทิ้งไว้มาให้ พี่ถึงนึกออกทันที นี่ลงทุนประกาศหน้างานเลยว่าใครเก็บเจ้าเมมโมรี่การ์ดของนายได้ พี่จะไปทานข้าวด้วย 2 ต่อ สอง จนเกิดจลาจลใหญ่ในงานเลยนะ แต่ก็ได้ของที่จินยองต้องการมาแล้วไง" เจบีทำตายิ้มใส่ หวังว่าอีกคนจะเห็นใจในความทุ่มเท ทุ่มทุนสร้างของเขา
"ฮึ ก็ไม่ได้หาเองเสียหน่อย แต่จะขอบคุณก็ได้ พี่กลับไปได้แล้ว" จินยองออกปากไล่แขกผู้กำลังขอความเห็นใจอย่างไม่ไยดี
"นายกลับมาเกาหลีเมื่อไหร่ ทำไมไม่ส่งข่าว แล้วเป็นมายังไงถึงมางานไซน์พี่ได้ ทั้งๆที่สมัยก่อนลากยังไงก็ไม่เคยยอมมา" เจบีเดินอ้อมไปนั่งโต๊ะกินข้าวฝั่งตรงข้ามจินยอง แล้วเทน้ำเปล่าใส่แก้ว สองแก้ว แก้วหนึ่งส่งให้คนตรงข้าม อีกแก้วยกดื่มเองเพราะรู้สึกน้ำลายเหนียวคอจากท่าทีไม่เป็นมิตรของคนตรงหน้า ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ดูไม่เข้าหูไปซะหมด แต่ใบหน้าหวาน ปลายจมูกรั้น ริมฝีปากสีชมพูนั่นก็ยังน่ารักเสมอ
"ทำไมผมต้องบอก เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นแล้ว" จินยองถือส้อมขึ้นมาเขี่ยผักสลัดในจานเล่น โดยไม่มีทีท่าว่าจะรับประทานผักสวยๆนั่นเข้าไปจริงๆจังๆ
"พี่ขอโทษนะจินยอง พี่คิดถึงนายตลอดมา คิดว่าทำไมเราถึงต้องแยกกัน พี่ควรจะอยู่กับนายในเวลาที่แย่ในวันนั้นมากกว่ามาเป็นคนดังแบบตอนนี้ เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม พี่จะชดเชยให้นายทุกอย่าง พี่รักจินยองมากนะ รักเสมอ รักมาตลอด ..." แจบอมเอื้อมมือสองข้างของเขาไปกุมมืออีกข้างที่ไม่ได้ถือส้อมของจินยองไว้
สัมผัสแค่ปลายนิ้วกลับรู้สึกเหมือนถูกไฟช๊อทไปทั้งร่าง รู้สึกเหมือนกระแสไฟแล่นเข้าไปถึงหัวใจ จนจินยองน้ำตารื้นขึ้นมาคลอเบ้า ... วันคืนที่ย่ำแย่พวกนั้น เมื่อนึกถึงมันก็ขำนะ เค้ารู้สึกตลกตัวเองที่เกือบจะคิดสั้นเพราะเรื่องผิดหวังในความรัก พวกเขาถูกขอให้เลิกกันทั้งๆที่ยังรักกันมาก เพราะมันจะเป็นอุปสรรค์ต่อชีวิตในวงการบันเทิงของเจบี แล้วเจ้าตัวก็ไม่มีท่าทีปฏิเสธเสียด้วย เมื่อก่อนโลกของจินยองนั้นมีแต่เจบีคนเดียว พี่ชายข้างบ้านที่คอยดูแลเขาหลังจากครอบครัวของเขาจากไปเพราะอุบัติเหตุ พี่ชายที่ตัวติดกันตลอด24 ชั่วโมง หรือถ้าวันหนึ่งมีเวลามากกว่านั้น ก็คงจะติดกันมากกว่านั้นนั่นแหละ จากความรักแบบพี่น้องก็แปรเปลี่ยนเป็นแบบคนรักลึกซึ้งมากขึ้นเมื่อย่างเข้าวัยรุ่น ผูกพันเกินกว่าจะแยกจาก มันจึงเหมือนโลกทั้งใบถล่มทลายลงมาเมื่อถูกพรากออกจากกัน จะโทษเจบีก็ไม่ได้เมื่อเขาเลือกโอกาสมีอนาคตที่ดีกว่าในวงการบันเทิง การเป็นนักร้องคือความใฝ่ฝันของเจบีตั้งแต่เด็กๆ ในขณะที่เขาไม่มีอะไรเลย.....ตอนนั้น...ทั้งๆที่เขาเสียใจแทบบ้า ทำร้ายตัวเองจนไม่เป็นผู้เป็นคน กลับไม่มีสัญญาณตอบรับหรือแม้แต่คำบอกลาจากอีกคน
"บางอย่างเมื่อเสียไปแล้วก็ไม่มีทางกลับคืนมาได้หรอกครับ เหมือนชิ้นแก้วเลนซ์ของกล้องถ่ายรูป ถ้าลองมีตำหนิแล้วก็หมดค่าไร้ความหมาย ถ่ายรูปออกมายังไงก็ไม่มีทางสวยเหมือนเดิมได้ ความรักของผมกับพี่ก็เหมือนกัน"
...นั่นเป็นคำตอบที่เจบีเข้าใจดี เขาไม่โกรธ ไม่มีสิทธิ์นั้นสักนิดถ้าจินยองจะไม่ยกโทษให้ เรื่องทุกอย่างที่เกิดกับจินยองเมื่อ 4 ปีก่อน เข้าถึงหูของเขาตลอด การที่เขาไม่สามารถยื่นมือออกไปทั้งๆที่ใจอยากจะทำแทบตายนั้นมันก็ทรมานไม่ต่างกันไม่ใช่เหรอ เขาก็ใจสลายไม่แพ้จินยองนะ เขาต้องการมุ่งมั่นเพื่อประสบความสำเร็จ รีบสร้างอนาคตแล้วกลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด เจบีไม่เคยพูดว่าเลิกกันเลยนะ ไม่เคยแม้แต่จะคิด แต่ก็ไม่ได้บอกไป จนในที่สุดเมื่อเขาอดทนเพียรพยายามทำตามความฝันสำเร็จ จินยองก็ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว คนรักกลับทิ้งทุกอย่างไปต่างประเทศโดยไม่บอกใคร รู้สึกน้อยใจเหมือนกันที่จินยองทิ้งเขาและลืมเรื่องของเราไปได้ง่ายๆ
(โดนแบบนั้นใครจะไปทนไหว แล้วก็นายมันเป็นฝ่ายไม่ชัดเจนเองไม่ใช่เหรอ - คำพูดของมาร์ค ที่คอยเป็นที่ปรึกษาเรื่องความรักให้กับเขามาตลอดลอยเข้ามาในสมอง)
"พี่ไม่เคยบอกว่าเราเลิกกันนะ และพี่ก็คิดเสมอด้วยว่านายยังเป็นคนรักของพี่ พี่ก็อดทนและรู้สึกแย่ไม่แพ้นายหรอก เชื่อสิ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จใดๆ รางวัลไหนๆ มันก็ทดแทนรอยยิ้มของนาย และช่วงเวลาที่เราเคยอยู่ด้วยกันไม่ได้ พี่เสียใจจริงๆที่ไม่ได้อยู่ข้างๆนาย ไม่ได้กอดนายไว้แล้วบอกความรู้สึกจริงจริงข้างในออกไป พี่มันเห็นแก่ตัว และเฝ้าหลอกตัวเองว่านายจะรอได้ โดยที่พี่ไม่ต้องเอ่ยปากขอ.....พี่ไม่เคยฉลาดเลยในเรื่องของนายเลย ...จินยอง..." มือหยาบหนากำมือบางนุ่มนั้นไว้แน่น พร้อมกับมีน้ำตาไหลเป็นสาย ทั้งๆที่ใบหน้าคมนั่นยังหล่ออยู่ไม่เสียทรง
"พี่นึกว่าแสดงหนังอยู่หรือไง ร้องไห้ด้วยใบหน้าที่ดูดีขนาดนี้ ...อยากน้อยหน่ะ มันต้องมี ........ขี้มูกแบบผมสิ" จินยองไม่พูดเปล่า เขาวางส้อมลงแล้วยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดขี้มูกจนแขนเสื้อเปียก แล้วก็เอามือ ข้างนั้นป้ายเช็ดน้ำตาที่ร่วงเผาะเป็นเม็ดถี่อย่างช่วยไม่ได้ต่อ กับคำสารภาพน่าสะเทือนใจ พร้อมเบื่ยงเบนประเด็น ความรู้สึกในอดีตที่ไม่อยากพูดถึง
แต่เจบีก็รู้ทัน นิสัยชอบเปลี่ยนประเด็นกลางอากาศของคนรักเวลาเขิล แอบยิ้มในใจเงียบๆที่จินยองยังมีความรู้สึกหลงเหลือไว้
"เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะครับ ผมมีชีวิตใหม่ที่ดีแล้ว ตอนนี้ผมคิดว่าผมสามารถพูดมันออกมาได้เต็มปากแล้วหล่ะว่า ... ขอบคุณพี่แจบอมสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ผมมาถึงตรงนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีพี่ ถ้าไม่มีความเจ็บปวดในวันนั้น...ผมก็คงไม่มีความสุขเหมือนในวันนี้ พวกเราเลิกกันอย่างเป็นทางการเถอะนะครับ" จินยองคอยๆหดมือข้างที่โดนเจบีกุมไว้ออกมา ตอนแรกเจบีเหมือนจะไม่ยอมปล่อย แต่เมื่อมองหน้าหวานที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา และขี้มูกงอแง สะอึกสะอื้นไม่ต่างกับเด็กน้อยในวันวานต่อหน้า มันช่างเจ็บปวด.....หากการไม่รั้งมือนั้นไว้จะทำให้คนตรงหน้านี้รู้สึกดีขึ้นแล้วหล่ะก็ ...เขาคงจะต้องปล่อยมือแล้วจริงๆ......
*************************
2 อาทิตย์ต่อมา
ณ งานแฟนไซน์ของ GOT7 ที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่งที่ปูซาน
"ทำไมถ่ายแต่รูปมัน ทั้งๆที่ฉันหล่อกว่าตั้งเยอะ" เจบียืนยื่นจมูกมาดมหูตากล้องฮูดขาว ใส่กระโปรงยีนส์สั้น มีบูทหนังยาวครึ่งน่องและถุงน่องสีดำ หุ่นเพรียวสูงเหมือนนางแบบ ที่เอาแต่พองแก้ม ยู่ริมฝีปากไม่พูดไม่จา ร่างบางตั้งอกตั้งใจถ่ายรูปมาร์ค ต้วนอย่างเอาเป็นเอาตายโดยพยายามไม่สนใจการก่อกวนจากซุปเปอร์สตาร์สุดหล่อข้างๆ ที่มีสายตาแฟนคลับ และแฟนไซน์บ้านอื่นๆนับสิบคอยมองและเก็บภาพอยู่ล่างเวที กับเขา
"ไม่พูดกับชั้นเหรอ นี่แหนะ!! ฟู่!!" แจบอมเป่าลมเข้าหูแรงๆทำให้จินยองต้องหยุดถ่ายรูปแล้วหดคอหลบ เพราะมันขนลุกจนต้องหันหน้าไปทำตาโตถมึงทึงดุใส่ แต่ก็ไม่ได้ผล เจบียิ้มตาเป็นขีดชอบใจแล้วก็ยังเข้าไปนัวเนียจินยองต่อหน้าธารกำนันโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
"พี่กำลังจะทำให้ผมลำบากนะ ดูสายตาคนรอบๆตัวพี่สิ" จินยองแอบกระซิบเสียงเบาพอให้เจบีได้ยิน พร้อมกับทำหน้างอ
"ช่างสิ ถ้าเป็นแฟนคลับพี่จริงก็น่าจะดีใจมากกว่าที่เห็นพี่มีความสุข" เจบีไม่พูดเฉยๆเขาเอาคางเกยไหล่ของร่างบางตรงหน้าแล้วแบ๊คฮัก สวมกอดจากด้านหลัง พร้อมกับทำหน้ายิ้มพริ้มมีความสุข ใบหน้าที่ไม่มีใครเคยเห็นบ่อยนักนอกจากมาดชิค ดาร์ค ที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกตัวเองและผู้คนเมื่อเข้ามาอยู่ในวงการมายา แต่ตอนนี้เขาอยู่ในฐานะซุปเปอร์สตาร์ที่มีพร้อมทุกอย่างทั้งชื่อเสียงเงินทอง ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำภาพลักษณ์เย็นชาอีกต่อไป เขาก็มีหัวใจเหมือนกันนะ แถมมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะมาทำเหนียมอาย แสดงท่าทีปิดบังไม่ชัดเจนเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เขากำลังจีบ ขอความรักจากคนตรงหน้าใหม่อยู่ เขายอมรับที่จะเลิกกับจินยองได้ ดังนั้นจินยองก็ต้องยอมรับที่เขาจะมาเริ่มต้นจีบจินยองใหม่ได้เช่นกัน
หลังจากงานไซน์จบ เจบีก็ไปหาจินยองที่ห้องอีก สุดหล่อทำหน้ามึนไม่สนใจคำทัดทานอะไรของเจ้าของห้องทั้งสิ้น เขาจะต้องทำทุกวิถีทางไม่ให้จินยองหลุดมือไปอีกให้ได้ ตื้อเท่านั้นที่จะครองโลก
"พี่แจบอม ...ผมมีเรื่องจะสารภาพ .....ผม...ไม่เหมือนเดิมแล้ว จริงๆนะ" จิงยองทิ้งตัวจมลงบนโซฟาใหญ่ ในห้องสูทกว้างที่แจ๊กสันจัดการให้เป็นที่พักเวลามาถ่ายรูปเหมือนเคย
"ไม่เหมือนตรงไหน ขอสำรวจหน่อย" เจบีได้โอกาสตามเข้าไปนั่ง แล้วโอบไหล่ถึงเนื้อถึงตัว จู่โจมใส่อย่างไม่ปิดบัง
"ผมไปแปลงเพศมาแล้ว ฮยองรังเกียจกระเทยไม่ใช่เหรอ? นี่เป็นสาเหตุให้ผมแต่งหญิงตลอดเวลาไงหล่ะ" จินยองงัดมุกแรกมาใช้ ไล่เจบีให้เลิกมายุ่งกับเขาสักที และดูหลังจากได้ฟัง เจบีก็อึ้งไปเลยนะ...
"......ถ้าเป็นนายได้หมด ไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่านายจะเป็นอะไรฉันก็ชอบ แต่...ขอดูหน่อยนะ แปลงแล้วเป็นไงมั่ง? ใช้งานได้ไหม? เจบีไม่พูดเปล่าเขารีบวางมือบนขาอ่อนแล้วเลื่อนเข้าใต้กระโปรงยีนส์สั้นของจินยองแทบจะทันที
"อิเหี้.ย!! " คำสบถหยาบหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ นาทีนี้จินยองนึกถึงบทสนทนาของเขากับแจ๊กสันทางโทรศัพท์เมื่อคืนก่อน
("มันคงไม่ปล้ำมึงหรอกมั้ง.... หรือ ว่า...ก็ไม่แน่ ถ้ามันหน้ามืดขึ้นมาเมิงก็บอกว่า เมิงเป็นกระเทยแปลง มันคงไม่กล้าหรอก มันแอนตี้พวกตุ๊ดจะตาย "
"ไอ้เหรี้ย กูก็ไม่ควรแต่งหญิงไปยั่วมันป่ะ มันเป็นนักร้องดัง ไม่ควรหื่นกามไปทั่วเปล่าวะ?"
"ไม่นะ 4 ปีที่ผ่านมานี่ มันไม่เคยมีข่าวเสียหายอะไรเลย มันก็แค่รักแต่มึงอ่ะหละ"
"มึงรู้ได้ไง?"
"ก็น้องกูอ่ะ ไปตามถ่ายรูปพวกมันบ่อย นานเข้ากูก็เลยฝากมันดูแลน้องกูด้วยเลย น้องกูก็เลยรู้อะไรหลายๆอย่างแล้วก็มาเล่าให้กูฟัง")
ไม้ตายแรกไม่ไหว เจบีไม่สะทกสะท้านกับการแปลงเพศของผมเลยอ่ะ (ก็เล่นน่ารักซะขนาดนั้น จะชาย หรือ หญิง หรือกระเทย เจบีก็ไม่สนหรอกครับ ขอแค่เป็นจินยอง - แต่จริงๆไม่ได้แปลงนะคะ แค่แต่งหญิงเพราะแบมแบมขอไว้) งั้นคงต้องไม้ตายต่อไป จินยองผลักร่างหนาที่ไม่น่าไว้ใจให้ออกห่าง
"ต่อไปนี้พี่ไม่ต้องมายุ่งกับผมจะดีกว่านะครับ จำวันนั้นที่เรากลับมาเจอกันอีกทีได้ไหมฮะ คืนนั้นตอนที่พี่ไม่ได้สติ ผมอัดคลิปเรื่องไม่ดีที่เราทำกันไว้ทั้งหมด ดังนั้นพี่แจบอมช่วยไปไกลๆผมจะดีกว่านะครับ ไม่งั้นผมจะเอาคลิปอย่างว่านั่นไปให้นักข่าว" จริงๆคืนนั้นเจบีโดนตุ้ยท้อง แล้วก็เฮดบัดจนสลบแล้วจินยองก็แค่แก้ผ้าเขาแล้วถ่ายคลิปไว้ไม่ได้มีอะไรอย่างที่ขู่ไปสักนิด แต่ปฏิกิริยาการตอบรับของเจบีกลับเป็นตรงข้าม
"เห้ย จริงดิ!? ดีเลยขอพี่ดูอีกทีได้ไหม จำไม่ค่อยได้อ่ะว่าคืนนั้นทำอะไรไปบ้าง" เจบียิ้มกว้างอย่างไม่รู้ว่าจะด่าคำไหน
"หน้าด้านนนนนน!!!! " เป็นคำแรกที่จินยองนึกออก ไม่รู้จะเถียงกับคนแบบนี้ให้ชนะได้ยังไง ตอนนี้รู้สึกร่างกายจะโดนลุกรานด้วยการเริ่มโดนมือสากสอดเข้าไปลูบไล้ผิวกายเนียนลื่นใต้เสื้อแล้ว
"อ่อ แล้วถ้าอยากบอกนักข่าวก็ไม่เป็นไรนะ พี่ก็อยากประกาศให้โลกรู้เหมือนกัน ว่า ปาร์ค จินยองเป็นของพี่ เรากำลังจะเป็นแฟนกันอีกทีใช่ไหมครับ?" ตอนนี้จินยองโดนร่างหนาประทับจูบหนักๆ ร้อนๆเข้าที่ซอกคือ แล้วรวบแขนสองข้างของเขาขึ้นไว้ในอากาศ
"มีใครสักคนเคยบอกว่า "พบกัน - เพราะ - วาสนา จากกัน - เพราะ - โชคชะตา และกลับมา - เพราะ - พรหมลิขิต" นายไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้เหรอ..." เจบีทำเป็นพูดแคปชั่นปรัชญา ในขณะกำลังลงมือถอดเสื้อผ้าของจินยองออกไปจนเกือบหมดแล้ว
"เห้ย ทำไมเป็นงี้อ่ะ แล้ว 4 ปีที่ผ่านมาของผมมันคือ ...อะไร.....อะไร......อะไร.......อะไร!!?? " ( echo )
*********************
End.
ความคิดเห็น