ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Got7]Vampires Descent - รักอันตรายสายพันธุ์อมตะ [MarkBam]

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 : จุดจบแห่งนิรันดร์กำลังเริ่มต้น

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ค. 58




     

    บทที่ 1 : จุดจบแห่งนิรันดร์กำลังเริ่มต้น


     

                ..........เสียงเปาะแปะของหยดน้ำที่ค้างตามใบไม้ กันสาด และขอบประตูหน้าต่าง ยังคงหลงเหลือหยดลงกระทบพื้นเป็นเสียงให้ได้ยินยามที่ร่างบางก้าวเดินไปบนฟุตบาทปูด้วยอิฐบล๊อก ของถนนที่ทอดยาวสู่เนินด้านบนเบื้องหน้า   ในตอนนี้แม้จะเป็นช่วงเที่ยงวันแล้วแต่ท้องฟ้ากลับขมุกขมัวเต็มไปด้วยเมฆครึ้มมีแสงส่องสลัวไม่ต่างกับเวลาเย็น  ฝนที่เพิ่งจะหยุดตกไป ได้ทิ้งไอความชื้นไว้ในบรรยากาศ ให้อบอวล อยู่รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิภายนอกที่ต่ำลงกว่าปรกติของฤดูใบไม้ผลิในประเทศเกาหลีใต้





                  เชอร์รี่บอสซั่มไม้ยืนต้นที่ออกดอกเบ่งบานสวยงามเป็นพุ่มใหญ่ตามถนน สองข้างทางเมื่อวันก่อน  เมื่อโดนละอองฝน และลมพัด ก็ทิ้งกลีบสีชมพูอ่อนพลิ้ว ปลิดปลิวตามสายลม และหยดน้ำ ลงสู้พื้นเบื้องล่าง ถึงจะดูสวยไปอีกแบบ แต่มันก็อดแซมด้วยความรู้สึกหดหู่ดูไม่ได้อยู่ดี  ตอนนี้อุณหภูมิ 7 องศาเซลเซียสนิดๆ  มันก็ไม่ได้หนาวมากแต่ก็หนาวพอที่จะต้องใส่เสื้อผ้า 2 ชั้นมากกว่าเสื้อแขนสั้นบางๆที่เขามีอยู่อย่างตอนนี้   สองขาของคนตัวเล็กจ้ำอ้าวอย่างรวดเร็วด้วยความเร่งรีบจนปวดตึงไปหมด  แม้ภารกิจที่เพิ่งจัดการก่อนหน้าจะสำเร็จตามเป้าหมายได้ด้วยดีในขั้นแรก  แต่ก็ยังวางใจไม่ได้เพราะนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะเตรียมทุกอย่างให้พร้อม ก่อนที่เจ้าชีวิตตัวน้อยจะลืมตาตื่นขึ้นจากนิทราอีกครั้งในรอบ 400 ปี 





                  ณ โบสถ์เก่าแก่บนเนินของถนนชองดัม  ย่านอับกูจอง กรุงโซล  ภายนอกมีกำแพงก่อด้วยอิฐเผาสีแดงสูงแข็งแรง  และมีต้นเมเปิลขนาดใหญ่อยู่เบื้องหน้าเป็นที่สังเกต สถานที่แห่งนี้เป็นที่พำนับชั่วคราวของพระคาดินัล คิม บาทหลวงชั้นผู้ใหญ่ผู้มีชื่อเสียง และมีสายสัมพันธ์อันดีกับพวกไนท์วอกเกอร์ทั้งหลาย  (Nightwalker = พวกอมนุษย์ที่ใช้ชีวิตได้ในยามสิ้นแสงตะวันเท่านั้น  ในที่นี้ก็คือพวก แวมไพร์ และมนุษย์หมาป่า ตามพันธสัญญาที่ตกลงร่วมกันอย่างสงบสุข)  เพราะมีพระคาดินัลผู้คุมกฏที่ทรงพลานุภาพและมีอำนาจมาก จึงสามารถรักษาสมดุลมาได้อย่างยาวนานจนกระทั่ง...





                  ร่างเล็กรู้สึกกระสับกระส่าย ใจไม่ดี  ถึงเขาจะไม่ได้มีพลังพิเศษถึงขั้นล่วงรู้อนาคต แต่แค่ลางสังหรณ์ของเขาก็แม่นยำไม่แพ้ใคร  ประตูของศาสนสถานที่คุ้นเคยจากการมาเยือนหลายครั้งในครานี้มันดูใหญ่โตขึ้น และหนักอึ้งอย่างช่วยไม่ได้  มือเรียวบางรวบรวมความกล้าก่อนที่เขาจะตัดสินใจใช้แรงทั้งหมดผลักเข้าไป





                  "มาช้านะ จูเนียร์" ร่างสูงเพรียว สง่า ใบหน้าหล่อคมริมฝีปากบางเรียว ประดับด้วยเขี้ยวสีแดงสดและคราบเลือดกำลังย้อยหยด ค่อยๆหันหน้ามา  บอกไม่ได้ว่าสวยงามน่าหลงใหล หรือดูเย็นยะเยือกน่าสะพรึงไปถึงขั้วหัวใจกันแน่  เจ้าของเขี้ยวคมนั่นโยนร่างหนาหนักในชุดพระคาดินัลเต็มยศลงกับพื้นไม่ต่างกับโยนตุ๊กตาผ้า ต่อหน้าแท่นพิธีใจกลางโบสถ์ ด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลเพียงปลายนิ้ว  ทำบรรยากาศที่ไม่ดีอยู่แล้วนั้นให้ดูหดหู่หนักอึ้งขึ้นไปอีก





                  "ลอร์ด นิชคุณ!!  ท่านมาที่นี่ได้ยังไง?  ท่านสังหารพระคาดินัล คิม ทำไม? ท่าน...ทำไม?.. ก่อนที่จูเนียร์เจ้าของร่างบางในชุดเสื้อเชิตแขนสั้นสีขาวยืนตัวสั่นเทาจะถามต่อ  เหล่ากองทัพมนุษย์หมาป่า เกือบ 20 ตัวก็กรูกันเข้ามาล้อมกรอบ นิชคุณกับผู้คุ้มกันฝั่งแวมไพร์ทั้ง 5 ไว้อย่างไม่ประสงค์ดี  แต่คนตรงกลางผู้ดูสูงศักดิ์เปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมี ก็หามีท่าทีสะทกสะท้านไม่  เขายกยิ้มแล้วพูดแต่เรื่องที่ตนเองสนใจต่อไป





                  "จูเนียร์ ชั้นตามหานายมาหลายร้อยปีทีเดียว  นายเอาน้องของชั้นไปซ่อนไว้ที่ไหน? บอกมาเร็วๆเข้า แบมแบมอยู่ไหน?" นิชคุณตวาดเสียงดัง และเริ่มมีร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้น  พวกแวมไพร์ชั้นสูงสามารถเปลี่ยนร่างให้มีปีกค้างคาว และเล็บยาวแหลมคมงอกออกมา  พร้อมจะต่อสู้จู่โจมแล้ว





                  "เพราะแบบนี้  ผมถึงไม่ยอมยกแบมแบมให้ไปอยู่กับท่าน  จะต่อสู้แก่งแย่งชิงดีไปเพื่ออะไรกัน  มีชีวิตอมตะอันเป็นนิรันดร์ยังโดดเดี่ยวไม่เพียงพออีกหรือไง  ทำไมถึงต้องกำจัดพวกเดียวกัน  ฆ่าฟันกันเข้าไปไม่รู้จักหยุดหย่อนแบบนี้?" ร่างบางไม่พูดเปล่า  เขาเองก็แปลงร่างและอาศัยความชุลมุนหนีหลบหนีออกมา





                  พวกมนุษย์หมาป่า  หรือที่เรียกว่าไลเคน  เดิมทีอาศัยอยู่เป็นชุมชน กลุ่มก้อน  มีนิสัยดุร้าย  ชอบก่อเรื่องรุนแรง เป็นพวกที่มีพละกำลังสูง และไม่ถูกกับพวกแวมไพร์ ที่มีสติปัญญาฉลาดหลักแหลมมาช้านาน  สมัยก่อนมนุษย์หมาป่าจะถูกแวมไพร์ใช้แรงงานเป็นทาส ถูกเอารัดเอาเปรียบทุกรูปแบบ และในที่สุดก็ทำสงครามกัน  ทั้งสองฝ่ายล้มตายเป็นจำนวนมาก  จนมีพวกมนุษย์กลางวันเข้ามาเกี่ยวข้อง   มนุษย์นั้นก็ไม่ใช่จะเป็นคนดีทั้งหมด พวกเขามีทั้งยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและยื่นมือมาปลุกปั่น ก่อความขัดแย้ง  สุดท้ายคนที่มีทั้งพลังและปัญญา คือผู้ชนะ  ฝ่ายมนุษย์เป็นผู้เจรจาหาข้อยุติได้  สงครามจึงหยุดลงและเกิดสันติขึ้น  แต่ความสงบสุขก็ไม่ได้จีรังยั่งยืน  และเค้ารางแห่งความสิ้นหวังก็ได้ประทุขึ้นมาอีก  





                  ลอร์ดนิชคุณ  กับผู้คุ้มกัน ซึ่งน่าจะเป็นแวมไพร์ชั้นทาส ของเขาดูเพลี่ยงพล้ำนิดหน่อย เพราะจำนวนฝั่งมนุษย์หมาป่ามีมากกว่าถึง 4 ต่อ 1  แถมยังเข้าสู่ร่างเดิมที่ สูงใหญ่กว่า 2 เมตร น้ำหนักตัวน่าจะมากกว่า 300 กิโลกรัม  พลังทำลายล้างรุนแรง มหาศาล  โต๊ะเก้าอี้  ตู้ ผนังปูน กำแพงอิฐ ของโบสถ์ที่ถูกแรงปะทะ ล้วนพังทลาย แตกกระจายราวกับเป็นแค่กระจกบางๆ  ถ้าพวกมันบินได้อีกอย่างนี่คงไม่ต้องสืบ แต่ความเร็วของมนุษย์หมาป่าพวกนี้ เมื่อเทียบกับแวมไพร์ลอร์ดก็ยังเป็นรองอยู่ห่างไกล  แถมความโหดเหี้ยมและสติปัญญาก็เทียบกันไม่ได้  ลอร์ดนิชคุณควักปืนสีเงินที่มีตราราชวงศ์ลายเถาว์กุหลาบหนาม  กระบอกคู่ขึ้นมา  ภายในนั้นบรรจุกระสุนเงินที่หลอมมาจากกางเขนของศาสนจักร 





                  การจะปลิดชีวิตมนุษย์หมาป่าได้ต้องยิงเข้าแสกหน้าเท่านั้น  แต่พวกมันก็เคลื่อนไหวกันอยู่ตลอดเวลาทำให้เล็งยิงได้อย่างยากลำบาก  แต่ก็ไม่เกินความสามารถที่เจนจัดในการต่อสู้ตลอดหลายร้อยปีของพวกเขา  พวกหมาป่าถูกกระสุนเงินตัวแล้วตัวเล่า  จนกระทั่งมีแวมไพร์ทาสตนหนึ่งกำลังเสียท่า ถูกหมาป่า 3 ตัวรุม  และลอร์ดนิชคุณก็ยิงกระสุนเงิน ทะลุตัวแวมไพร์ทาสของตนเองผ่านเข้าไปยังเจ้ามนุษย์หมาป่านั่น  ก่อนจะตามเข้าไปใช้กรงเล็บคมปาดคอเจ้ามนุษย์หมาป่าตัวที่หนึ่ง และจ่อยิงศีรษะเจ้ามนุษย์หมาป่าตัวที่สอง  แล้วลากศพเจ้ามนุษย์หมาป่าตัวที่สามที่โดนกระสุนทะลุมาออกจากร่างแวมไพร์ทาสที่โดนทับอยู่ข้างล่าง  จากนั้นเขาก็ฝังเขี้ยวเข้าที่ซอกคอของแวมไพร์ทาสแล้วสูบเลือดจากร่างแวมไพร์ทาสจนหมดอย่างสยดสยอง  นัยย์ตาคู่นั้นแดงก่ำแวววาวกว่าปรกติ ก่อนจะเข้าตะลุมบอนกับพวกมนุษย์หมาป่าที่เหลือ





                  ร่างบางของจูเนียร์มีปีกงอกออกมาไม่ต่างจากพวกแวมไพร์ชั้นสูง  ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง มีพละกำลังเพิ่งขึ้นมหาศาล เคลื่อนไหวรวดเร็วว่องไว  มีกรงเล็บแกร่งคม ทรงประสิทธิภาพ เหมือนกันตอนที่กำลังหนี  หรือเขาก็ไร้ใจไม่ต่างจากแวมไพร์ตนอื่น  เขาควักหัวใจของมนุษย์หมาป่าตัวใกล้ ที่ขวางทางหนีได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะขย้ำทิ้งอย่างไม่ไยดี  นี่สินะพลังที่ทุกคนต้องการ  พลังในการสร้างแวมไพร์ชั้นทาส  (Slave) ให้มีพลังอำนาจเทียบเท่าแวมไพร์ชั้นสูง (Noble) ซึ่งผู้ที่จะทำแบบนี้ได้ มีแต่ True blood หรือ แวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ เชื้อสายระดับกษัตริย์ หรือพระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้น  ซึ่งแบมแบมเป็นหนึ่งในนั้น  ที่มีอยู่แค่ไม่กี่ตนที่ยังมีชีวิตเหลือถึงในปัจจุบัน  





                  จะให้เจ้านายน้อยผู้แสนบริสุทธิ์บอบบาง มาเกี่ยวข้องในสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด   โลกนี้   เผ่าพันธุ์นี้   หรือชีวิตนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง  ขอแค่จิตวิญญาณที่แสนบริสุทธิ์นั้นไม่แปดเปื้อนเปลี่ยนแปลงไปเขาก็พอใจ ตอนนี้ผู้คุมกฎ คิม ถูกสังหารไปแล้ว  มนุษย์เองนั่นแหละที่จะอยู่อย่างยากลำบากมากขึ้น  พวกเจ้าคงต้องกลายเป็นอาหารของพวกเราไปจนกว่าผู้คุมกฎคนใหม่จะมาจุติและมีพลังมากพอ  หวังว่านายน้อยแบมแบมจะไม่ตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาที่ยุ่งยาก และลำบากแบบนี้หรอกนะ  พลังของทาสจะอ่อนแอลงเมื่อเจ้านายใกล้ตื่น   แปลงร่างแล้วเหนื่อยชมัด.....  ไม่ได้กินเลือดมาหลายร้อยปีแล้วด้วยสิ.....  รู้สึกเหมือนร่างกายหนักอึ้ง...แทบไม่เหลือแรงจะเดินแล้ว....นะ... 





                  เมื่อแน่ใจว่าพวกลอร์ด นิชคุณ และมนุษย์หมาป่าทั้งหลายจะไม่ตามมาแล้ว  จูเนียร์ก็ค่อยๆทิ้งร่างบางของเขาลงข้างต้นไม้ใหญ่อย่างเหนื่อยอ่อน  เขาเอนตัวพิงโคนต้นไม้แล้วหลับตาพักผ่อน  คิดว่าจะเอาแรงสักนิด  ก่อนจะกลับไปหาเจ้านายน้อยอันเป็นที่รัก  แค่นิดเดียว จริงๆนะ.....  ขอแค่งีบเดียว.............   

     

     

                  ...... 5 ปี  ต่อมา    



                  ณ เมือง ปูซาน ประเทศเกาหลีใต้  



                  "คือ...ถึงห้องชุดชั้นบนสุดนั่นจะถูกขายไปแล้ว  แต่นี่ก็ผ่านมา 5 ปีแล้วไม่ใช่เหรอที่เจ้าของไม่ได้เข้ามาอยู่หรือดูแลอะไรเลย  ทิ้งไว้ก็โทรมเปล่าๆนะคะ  แล้วทางเราก็ไม่สามารถหาที่ดีๆ ตามที่ด๊อกเตอร์ระบุไว้ได้ด้วย  ช่วยเปิดห้องให้ทางเราเช่าก่อนเถอะนะ  ถ้าเจ้าของเขากลับมาเราจะรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมดทุกสิ่งอย่างเอง  กว่าจะเชิญด๊อกเตอร์ชื่อดังจากอเมริกามาประจำโรงพยาบาลศูนย์ด้านสมองปูซานของเราได้  มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  แล้วเราก็จะดูแลอาการป่วยของหลานสาวคุณให้เป็นพิเศษด้วย" เลขาฯ มิน สาวมั่น รูปร่างเล็กผมสั้น  ทั้งหว่านล้อม ทั้งอ้างสินบน เพื่อขอเช่าห้องชุดชั้นบนสุดของแมนชั่นหรู วิวทะเลที่สวยงามเงียบสงบ  ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขการจ้างงานของศัลยแพทย์ด้านสมองอันดับ 1 จากมูลนิธิ ร๊อกกี้เฟลเลอร์ของอเมริกา ให้มาทำงานที่นี่  ...ด๊อกเตอร์ มาร์ค 





                  สัญญาคอนแท๊ก 2 ปี  แต่เงื่อนไขการจ้างยาวประมาณ 400 หน้ากระดาษ A4 สวัสดิการ การดูแลลงรายละเอียดมายิบยับ ครอบคลุมตั้งแต่วันมาจนวันกลับ จนเลขาฯมินอยากจะร้องกรี๊ดทึ้งผมตัวเอง  แล้วเผาเอกสารทั้งหมดทิ้ง  ไอ้คุณด๊อกเตอร์มาร์คนี่ แลดูจู้จี้ เรื่องมาก  ขอนู่นขอนี่ แถมทุกอย่างระบุเวลาที่ต้องการกำกับ เช่น เขาทำตารางอาหารแต่ละวันมาโดยระบุเวลาเสริฟ  ส่วนประกอบ เครื่องปรุงว่าต้องใช้อะไร  เท่าไหร่ หามาจากเมืองไหน ระยะเวลาในการปรุง  เวลาที่ต้องยกเสริฟ  อุณหภูมิของอาหารขณะเสริฟ ค่า กรดด่าง(pH) และแครอลรี่ของอาหาร และน้ำดื่มอีก  สงสัยจะเป็นสุดยอดมนุษย์ลุง ระดับบอสใหญ่ในตำนานสุดยอดอภิมหากาพย์ epic  trilogy  จนคุณเลขาฯมินคนเก่ง  กำกระปุกยาไมเกรนในมือแน่น  ก่อนจะไปเตรียมทำการบ้านกับการรับรองอิคุณหมอเทพเจ้า(ประชด) คนนี้ต่อ  หลังจากเคลียเรื่องที่พักในวันนี้ได้





                  ในช่วง 5 ปีมานี่  มีผู้ป่วยด้วยโรคประหลาดในเกาหลี และทั่วโลกเพิ่มขึ้น  โดยเฉพาะโรค ไลเคนโทรฟี่ (Lycanthropy) เป็นอาการป่วยทางประสาทประเภทหนึ่ง  โดยผู้ป่วยมักคิดว่าตนเองสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้  ทั้งที่ไม่สามารถทำได้  แต่ก็มีกิริยาอาการแบบเดียวกับหมาป่า  เที่ยวฆ่าผู้อื่นและกินเนื้อของเหยื่อที่ตนฆ่าทิ้ง แล้วไหนจะมีโรคคล้ายกันที่คิดว่าตนเองเป็นแวมไพร์  ซึ่งถ้ามีความผิดปรกติทางด้านความคิด หรือสมองมีพยาธิสภาพเปลี่ยนแปลงไปทำให้สารสื่อประสาทที่หลั่งออกมามีความผิดปรกติ และมีอาการทางจิตตามมา  ผู้ป่วยก็จะถูกนำมารักษาให้หายก่อนนำไปดำเนินคดีตามฐานความผิดที่แต่ละคนได้กระทำไป  โดยที่พวกมนุษย์ยังไม่เข้าใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้หน่ะ  ไม่ใช่เรื่องที่อธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้แบบนั้นหรอกนะ  คุณจะเข้าใจเมื่อได้สัมผัสมันด้วยตนเอง





                  ภายในเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวสุดหรู  พนักงานตอนรับกำลังรินไวน์ราคาแพงระยับสีทับทิม ลงบนแก้วทรงสูงที่มีหนุ่มหล่อ คิ้วเข้ม  จมูกโด่งคม  ริมฝีปากหยักได้รูป  มีผิวขาวเนียนละเอียดตามแบบฉบับคนเอเชีย  ดวงตากลมคมมีแววตาล้ำลึก  และมีเรือนผมสีน้ำตาลแดง เซทขึ้นเปิดหน้าผาก ช่างหล่อ ดูดี  กว่านายแบบ หรือดาราชื่อดังคนไหนๆที่เธอเคยให้บริการ  จนพนักงานคนนั้นเผลอยืนตะลึงจนสุดหล่อตรงหน้าหันมายิ้มให้





                  ด๊อกเตอร์มาร์ค รีบเบือนหน้ากลับเมื่อพนักงานหญิงที่รินไวน์ให้เมื่อครู่   หน้าแดงรีบวิ่งไปกรี๊ดกร๊าดกับเพื่อนสาวพนักงานอีกคนในห้องเคบินด้านหลังเมื่อเจอรอยยิ้มพิฆาตจอมเสแสร้งของเขาเข้าไป  มาร์คใช้มื้อเสยผมก่อนจะขยี้ๆผมหน้าที่เซทไว้ให้ผมม้าลงมาปรกหน้า เหมือนเด็กวัยรุ่นมากกว่าอย่างอารมณ์เสีย  เขาจับก้านแก้วไวน์แล้วยกดื่มรวดเดียวก่อนจะพ่นลมหายใจทำแก้มป่องเมื่ออยู่เป็นส่วนตัวคนเดียว  มือหนาพลางเลื่อนไอแพ๊ดเพื่อเช็ครายละเอียดสัญญาการว่าจ้างที่เขาร้องขอ





                  นอกจากค่าตอบแทนที่แพงมหาศาลมูลค่าสูงลิ่วแล้ว  ที่พักต้องเงียบสงบ  ถ้าไม่ได้บ้านเดี่ยวต้องเป็นห้องสูทชั้นบนสุดเห็นวิวทะเล  ห้ามมีคนพลุกพล่านเกิน 20 คนในรัศมี 1 กิโลเมตร มีลิฟท์ส่วนตัว ห้ามมีสัตว์เลี้ยงหมาแมว กระรอก กระแต กระต่าย ห้ามมีเด็ก  สตรี  และคนชรา ในบริเวณใกล้ๆ  และเงื่อนไขอีกล้านแปด  ทั้งนี้เพื่อให้ผู้จ้างตัดรำคาญยอมยกเลิกสัญญาไป  แต่เท่าที่ดู  เงื่อนไขถูกเคลียได้เกิน 80 เปอเซนต์แล้ว  ทำให้มาร์คจำใจต้องเดินทางมาทำงานที่เกาหลี  ซึ่งมีข้อดีเพียงอย่างเดียวก็คือสามารถทำงานวิจัยต่อได้  มีห้องแล๊ปวิจัยส่วนตัวและอุปกรณ์ทุกอย่างครบครันตามที่ร้องขอ  สปอนเซอร์ของโรงพยาบาลนี้ช่างน่าสงสัย  ยอมจ่ายเงินมากมายเพื่อหมอคนหนึ่งอย่างเขาเพื่ออะไร?





                  ถึงจะขัดใจนิดหน่อย  แต่ทุกอย่างถูกเตรียมไว้ดีมากตามสัญญาที่ระบุไว้  โดยมีผู้หญิงที่ชื่อว่า มิน  บอกว่าเป็นเลขาส่วนตัวของประธานกรรมการผู้บริหารโรงพยาบาลสมองปูซานยืนกอดอกยิ้มสะใจอยู่ตรงหน้า  แถมสาวคนนี้ก็ไม่มีท่าทีหวั่นไหวกับรอยยิ้มพิฆาตใจของเขา  ทำให้มินถูกขึ้นบันชีดำเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของมาร์คในเกาหลีทันที





                  "ถ้าคุณหมอมาร์คมีอะไรขาดตกบกพร่อง  กรุณาเรียกใช้ดิฉันได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมงนะคะ  หากไม่เกรงใจ" เลขาฯมินยิ้มให้ พร้อมกับรับเอกสารที่มาร์คลงลายเซนต์เรียบร้อยกลับมา  เท่านี้งานของเธอก็เสร็จไปส่วนหนึ่งแล้ว  ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้มันตี 2 แล้วก็อาจจะอยากพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบกับแขกสุดหล่อ ที่เคยนึกว่าเป็นมนุษย์ลุงอยู่หรอกนะ  แต่นาทีนี้ง่วงและเพลียมาก มินจึงโค้งให้มาร์คนิดหนึ่งก่อนจะกลับออกไปแบบเริดๆ





                  "...หากไม่เกรงใจ  นี่มันคำประชดไม่ใช่เหรอ...มาร์คทำหน้าโมโห เลิกคิ้วทำตาโตขึ้นตามหลังเลขาฯมินไป ... แต่เอาเหอะ  ใต้ตาดำโหล หัวฟูขนาดนั้นกับการต้องจัดการเงื่อนไขพวกนี้  ก็สมควรแล้วหล่ะนะที่ผู้หญิงคนนั้นจะอารมณ์ไม่ดี หึหึ" มาร์คอมยิ้ม  พร้อมกับเดินเข้าไปสำรวจบริเวณห้องชุดทั้งชั้นที่เขาจะใช้เป็นที่อยู่จากนี้ไปอีก 2 ปี





                  ภายในชั้นบนสุดของเขาถูกแบ่งเป็นสัดส่วน มี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ  1 ห้องนั่งเล่น ห้องครัว  ระเบียง  และห้องสตูดิโอ ตกแต่งเป็นห้องโฮมเทียเตอร์  และบาร์เครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยเหล้า ไวน์ มิกเซอร์นานาชนิด  ส่วนนอกตกแต่งดูทันสมัย และหรูหรา  เป็นที่พอใจของมาร์ค  แต่ยังมีอีกห้องหนึ่ง เป็นห้องสตูดิโอใหญ่เหมือนกัน  ข้างในตกแต่งแบบย้อนยุค  ไม่เข้ากับห้องอื่นๆ  แถมตรงกลางห้องมีคอกเป็นกรอบกระจกสีชา คล้ายๆตู้ครอบอะไรสักอย่างไว้บนพรมลายเถาว์กุหลาบประดับหนาม  ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่สำคัญ





                  "ตุ๊บ.. ตุ๊บ.. ตุ๊บ..!!" เสียงหัวใจของมาร์คเต้นดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาสาวเท้าเข้าไปใกล้ตู้กระจกทึบกลางห้อง  ห้องนี้เป็นของเขาแล้วหนิ  เขามีสิทธิ์จะสำรวจดูใช่ไหมว่าอะไรอยู่ตรงนั้น  ความรู้สึกของเขาบอกว่าในนั้นมีอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆอยู่  มีความโหยหาที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนตั้งแต่เกิดมา  หรือจะเป็นอะไรสักอย่างที่เขากำลังตามหาแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร  หนุ่มหล่อกลืนน้ำลายเอื๊อก  ก่อนจะแนบหน้าชิดกับตู้กระจกนั่น





                  "วูบบบ" อยู่ๆก็มีลมเย็นพัดเข้ามาในห้องวูปหนึ่ง  ทำให้มาร์คเย็นต้นคอและเสียวสันหลัง  นี่เขายังไม่ได้เปิดประตูหน้าต่างสักบานนี่นา  แล้วลมมันมาจากไหนมาร์คหันหน้าหันหลังไปมองรอบๆห้องก็ไม่พบความผิดปรกติอะไร  ก่อนจะหันกลับไปยังตู้กระจกกลางห้อง





                  แวบหนึ่งมาร์คเห็นเหมือนมีดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง สะท้อนออกมา จนเขาต้องเข้าไปจ้องใกล้ๆ  มาร์คกลั้นหายใจเกร็ง ค่อยๆย่อตัวลงแล้วยกมือขึ้นมาป้องแสงสะท้อนจากไฟเพดานด้านบน เพื่อมองทะลุไปหาอะไรก็ตามที่อยู่ในตู้กระจกสีชามืดๆข้างในนั่น   





                  "พี่ชายดูกำลังอะไรอยู่เหรอครับ  ขอผมดูด้วยได้ไหม!!?" อยู่ๆเสียงเล็กๆหวานๆก็ดังขึ้นข้างๆ   หนุ่มหล่อสะดุ้งตัวเฮือก  ยืดตัวหันมามองอย่างเร็วจนไม่ทันระวังศีรษะโขกเข้ากับตู้กระจกด้านหลัง  และทำหน้าเหวอให้





                  "คิก คิก คิก" เสียงหัวเราะใส  ดังขึ้นกับท่าทางเหรอหราของคนตรงหน้า  ก่อนจะส่งยิ้มน่ารักให้





                  "ดะ ดะ เด็ก !?  นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เข้ามาทางไหนระ ระ รีบออกไปเลยนะ!!" มาร์ครีบควักมือถือเพื่อโทรหา เลขาฯมิน  นี่
    มันผิดสัญญานะ  มีเด็ก...หรือจะไม่เด็กก็เถอะ  มีคนอื่นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
    ? ผมระบุไปแล้วนี่ว่าต้องการอยู่คนเดียว  มาร์คกดปุ่มโทรรัวๆโดยไม่ดูเวร่ำเวลา จนในที่สุดก็มีเสียงตอบรับจากปลายสาย





                  "อืมม....ฮา............โหล  ความเกรงใจสะกดเป็นไหมคะ  คุณมาร์ค " เลขาฯมิน ดูเวลาก่อนจะสไลด์จอรับสายอย่างงัวเงีย 





                  "คุณเอาใครมาอยู่ในห้องผมเนี่ย  ผมเขียนระบุไว้ชัดเจนว่าต้องการอยู่คนเดียวนะ  รีบมาจัดการเดี๋ยวนี้" มาร์คตะคอกใส่ปลายสายด้วยความเคยชินกับการสั่งงานคนอื่น (เป็นหมอขี้วีนนิดๆค่ะ 555)





                  "ตลกน่า  ไม่มีใครอยู่ที่นั่นมาหลายปีแล้ว  พวกเราเพิ่งทำความสะอาดให้เมื่อวาน และเปิดอีกครั้งก็ตอนที่คุณมา  ถ้าจะมีอะไรในนั้นก็ผีหล่ะมั้ง  แต่คุณก็ไม่น่าจะกลัวผีนี่  อาจจะเดินทางมาเหนื่อยๆ  ลองพักผ่อนก่อนพรุ่งนี้ค่อยว่ากันนะคะ  หน้าตาก็ดีไม่น่าสติไม่ดีน๊า" เลขามินละเมอตอบพึมพำ  ตัดสายเองเสร็จสรรพ  และปิดเครื่องหนีอีกด้วย





                  "Jet lag เหรอ? เราคงเหนื่อยจากการเดินทางมากไปจนเห็นภาพหลอน  หูแว่วไปแล้วสินะ ใจเย็นๆๆ easy เข้าไว้  ด๊อกเตอร์มาร์คเก็บอาการหน่อย..สูดหายใจช้าๆ ลึกๆ ดีฟ ๆ เข้า"  มาร์คพูดกับตัวเองซ้ำๆ  พร้อมกับเอามือปัดไปในอากาศทางด้านร่างเล็ก เหมือนไล่อะไรสักอย่าง  แล้วดันไปสัมผัสกับบางอย่างเข้า





                  ถ้าจับแล้วอุ่นแปลว่าเป็นคน  โอเคพอคุยได้  แต่ถ้าจับแล้วไม่เจออะไร  แปลว่าเราหลอนไปเอง  โอเคไปนอนได้  แต่ถ้า.......จับแล้วเย็นแบบนี้ !!!  Oh  my god!!!!  มาร์คไม่โอเคแล้วนะครับ    Help me pleaseeeeeeeeee!!!!!

    ©
    t
    h
    e
    m
    y
    b
    u
    t
    t
    e
    r
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×