ตำนานสุพัตราเทวี ผู้ทรงโฉมประโลมสามโลก - ตำนานสุพัตราเทวี ผู้ทรงโฉมประโลมสามโลก นิยาย ตำนานสุพัตราเทวี ผู้ทรงโฉมประโลมสามโลก : Dek-D.com - Writer

    ตำนานสุพัตราเทวี ผู้ทรงโฉมประโลมสามโลก

    แม้แต่คนที่อาจจะสวยที่สุด... ก็อาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จในความรักเสมอไป... สิ่งที่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นการที่เกิดมาแล้วได้เป็นของคนที่เรารัก และการที่ได้รับรักนั้นคืนกลับมา

    ผู้เข้าชมรวม

    1,143

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    8

    ผู้เข้าชมรวม


    1.14K

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 ม.ค. 52 / 21:05 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    (***เรื่องนี้แต่งขึ้นเองนะคะ
    ทั้งชื่อสถานที่ ชื่อตัวละคร
    ถ้าไปบังเอิญซ้ำกับใครหรือสถานที่จริง
    ขอเรียนว่าไม่ได้ตั้งใจนะคะ***)

    เรื่องนี้เป็นการเขียนแรกๆเลยค่ะอยากให้ช่วยวิจารณ์ด้วย
    ให้เพื่อนอ่านแล้ววิจารณ์กันแบบรักษาน้ำใจ
    เลยไม่รู้สักทีว่าต้องปรับต้องแก้ยังไง

    ช่วยกรุณาติ-ชมด้วยนะคะ กำลังศึกษาการเขียนอยู่
    ศึกษางานเขียนหลายๆท่านอยู่แต่ก็ต้องการคำวิจารณ์
    ผลงานของตัวเองด้วย ทุกๆคนช่วยกรุณาด้วยนะคะ

    ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

    ***ถ้าหากว่าจะวิจารณ์แบบละเอียด
    ก็สามารถส่งอีเมล์มาได้นะคะ อีเมล์โชว์อยู่ข้างบนแล้ว
    จะเป็นประโยชน์มากๆเลยค่ะ 

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ตำนานสุพัตราเทวี ผู้ทรงโฉมประโลมสามโลก

      ในสมัยอดีตกาลเมื่อหลายร้อยปีก่อน มีเมืองเก่าแก่มากมายที่เจริญรุ่งเรืองในบริเวณ
      สุวรรณภูมิ หนึ่งในนั้นมีนามว่าสูรยปุระ มีกษัตริย์ครองเมืองพระนามว่า อยุทธาธิราชเจ้า สูรยปุระนี้
      มีเมืองวัชรปุระเป็นเมืองพี่เมืองน้องมีอาณาเขตอยู่ชิดกันและคั่นกันไว้ด้วยแม่น้ำสายหนึ่ง ชื่อแม่น้ำศรีเทวะ วัชระปุระแห่งนี้มีกษัตริย์ผู้ครองเมืองพระนามว่า บรมนารถเจ้า ทั้งองค์ อยุทธาธิราชเจ้ากับบรมนารถเจ้าต่างเป็นพระสหายต่อกันและครองเมืองของตนโดยถือว่าเมืองของพระสหายเป็นเมืองมิตรที่จะไม่รุกรานกันเป็นเด็ดขาด ซึ่งถือกันมาแต่รุ่นก่อนหน้าทั้งสองพระองค์มาแล้วช้านาน

      องค์อยุทธาธิราชทรงมีพระราชธิดาพระองค์หนึ่งซึ่งทรงสิริโฉมงดงามยิ่งกว่าพระราชธิดาพระองค์ใดทั้งสิ้นในพระราชวัง ทรงพระนามว่า สุพัตราราชบุตรี หรือ สุพัตราเทวี ทรงเป็นที่รักยิ่งแห่งองค์พระราชบิดาและข้าราชบริพารรวมถึงไพร่ฟ้าประชาชนผู้ได้ยินกิตติศัพท์ทั้งหลาย กล่าวกันว่าพระรูปพระโฉมแห่งพระนางถือว่าเป็นยอดแห่งความงามทั้งปวง อีกทั้งมิใช่เพียงดวงพัตร์ที่งาม ยังทรงงดงามทั้งวรองค์ ตั้งแต่เกล้าจรดลงเบื้องพระบาท ล้วนแต่งดงามทั้งสิ้น บรรดาขุนนางหนุ่มก็ให้ใหลหลง กระทั่งประชาชนก็ยังแอบใฝ่ปอง บางครั้งรูปวาดพระนางที่ข้างในราชสำนักนำมาเผยแพร่ ก็ทำให้คนทั้งหลายพากันหลงในรูปนั้นจนหมดสิ้น ทุกแคว้นทุกแดนพากันได้รับทราบถึงกิตติศัพท์แห่งความงามอันเป็นที่สุดของพระนางจนสิ้น ราชบุตรจนกระทั่งท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลายก็ให้เคลิ้มฝันใคร่จะได้พระนางเป็นชายา หลายเมืองพากันมาขอสวามิภักด์ด้วยเพียงเพื่อจะได้ยลโฉมพระนางสักครั้ง โฉมอันเลิศล้ำที่กล่าวกันว่าเป็นพรแห่งทวยเทพที่ทำให้เกิดเป็นพระนาง ทำให้พระนางสุพัตราเป็นผู้ทรงโฉมอันประโลมทั้งสามโลก คือสวรรค์ โลก และบาดาล ผู้ได้ยินกิตติศัพท์นั้นก็พากันเล่าขานกันต่อๆไปและพากันเฝ้าหลงใหลไม่สิ้นสุด

      แต่ในส่วนลึกของพระนางสุพัตราเทวีนั้น ทรงมีพระทัยประดิพัทธ์ในองค์ภัทระราชบุตร ราชบุตรผู้ทรงโฉมงดงาม ดังมีคำเปรียบว่า ฉวีผ่องเพียงเพ็ญฉาย สุกสว่างดังทองคำ เลิศล้ำลักษณาดังเทพเลขา ประไพพักตร์ยิ่งกว่ายุพราชพระองค์ใดในแคว้นนั้นทั้งหมด องค์ภัทระราชบุตรเคยโดยเสด็จมากับพระราชบิดาในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์พระราชบิดาของพระนาง พระนางจึงได้ยลพระโฉมอันแสนพริ้มพรายนั้นและกลายเป็นรักแรกพบ แต่พระนางได้เพียงแต่ทรงแอบรักไปฝ่ายเดียว อีกทั้งองค์ภัทระราชบุตรยังไม่เคยพบพระนางเลย เพราะครั้งนั้นพระนางถูกบดบังด้วยม่านลับแลตามกฎมณเทียรบาล พระนางสุพัตราได้แต่ทรงหวังว่า ในสักวันองค์ภัทระจะมาสู่ขอพระนางและเพียรปฏิเสธคำขออภิเษกจากราชบุตรอื่นใดและกษัตริย์ทั้งหลายด้วยใจหวังและเฝ้ารอ

      แต่แล้วเมื่อองค์ภัทระได้เสวยราชย์ เป็นพระภัทราธิราชเจ้า ก็ได้ทรงอภิเษกกับราชบุตรีในวัชรปุระ ทำให้พระนางสุพัตราทรงช้ำพระทัยเป็นอย่างยิ่งและนึกน้อยพระทัยที่แม้จะทรงโฉมเลิศล้ำเพียงนี้แล้ว ก็ยังมิเป็นที่ปรารถนาของผู้ที่พระนางรัก และแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน พระราชบิดาของพระนางก็ไม่ยอมจะฟังเสียงทัดทานอีก ทรงรับคำสู่ขอของราชบุตรแห่งเวียงมณีผู้ทรงเลิศด้วยพระรูปโฉมเช่นกัน พระนางทรงเสียพระทัยหนักขึ้นและตัดสินพระทัยจะหนีไปเสีย ซึ่งในคืนที่พระนางทรงตัดสินพระทัยและตรัสอย่างท้อพระทัยในชะตาชีวิต พี่เลี้ยงสาวได้ตรัสทัดทานและกล่าวว่าพระนางเป็นผู้ทรงเลิศในโลกหล้า เป็นเอกกว่าหญิงใดทั้งปวง พระนางก็ตรัสตอบพร้อมกับน้ำพระเนตรที่ไหลอาบพระปรางทั้งสองข้าง

      เราไม่ต้องการเป็นหญิงที่เขากล่าวกันว่า... มีโฉมประโลมทั้งสามโลก เกิดจากพรแห่งทวยเทพ เป็นยอดแห่งความงามทั้งมวล เราเพียงแค่อยากเป็นหญิงที่จะเป็นที่รักของผู้ที่เรารัก เป็นที่ปราถนาของเขาผู้นั้น หาได้ต้องการเป็นที่ปรารถนาของทุกคน แต่....... ผู้ที่เรารักกลับไม่ต้องการ หึ แท้จริงแล้วรูปโฉมของเรานี้มันก็เพียงคำสาป คำสาปที่กีดเราเอาไว้ เราไม่เคยประสบกับความสุขเลยด้วยรูปโฉมเช่นนี้ เราเพียงปราถนาในความรักอันเป็นบ่อเกิดแห่งความสุข หากมีรูปโฉมเป็นเอกแล้วต้องเป็นเยี่ยงนี้แล้ว เราคงจะขอเกิดมาขี้ริ้วขี้เหร่เสียให้มันรู้กันไปดอก

      เมื่อนางพี่เลี้ยงได้ฟังก็สงสารจับใจ และตกลงจะยอมช่วยให้พระนางเสด็จหนี และในคืนต่อมา พระนางพร้อมด้วยพระพี่เลี้ยง ข้าราชบริพารรับใช้ในวังของพระนาง รวมถึงราชองครักษ์ที่จงรักภักดีในพระนางจำนวนหนึ่งที่ไว้ใจได้ ก็ลอบออกจากพระราชวังในเวลาดึกสงัด พระพี่เลี้ยงทรงแนะว่าป่าทึบบริเวณเทือกเขาศรีเทวะอันเป็นจุดกำเนิดแม่น้ำศรีเทวะที่เป็นพรมแดนกั้นสองนครนั้นเหมาะที่สุดที่จะทรงหลบเร้นซ่อนพระองค์ได้ พระนางจึงได้เดินทางไปยังที่แห่งนั้นตามคำแนะของพระพี่เลี้ยง ข้าราชบริพารและราชองครักษ์ได้มองหาจุดที่จะทรงประทับจนพบกับถ้ำๆหนึ่งเข้า เห็นว่าถ้ำนั้นปราศจากสัตว์ร้ายใดๆจึงเลือกเป็นจุดสำหรับพระนางจะประทับ รวมถึงข้าราชบริพารในวังและพระพี่เลี้ยงของพระนางพักด้วย ส่วนราชองครักษ์ที่ติดตามมานั้นก็พักอาศัยอยู่ใกล้ๆบริเวณปากถ้ำ และจะเฝ้าวนเวียนเดินตรวจตราบริเวณรอบๆถ้ำเพื่อป้องกันอันตรายต่อองค์ราชบุตรี

      วันหนึ่งขณะพระนางทรงเสด็จทอดพระเนตรป่าบริเวณใกล้ๆถ้ำที่ประทับนั้นเอง ก็ทรงพบกับภัทราธิราชเจ้านอนสลบอยู่กับพื้นป่าต่อหน้าพระนาง พระนางจึงให้ผู้ติดตามพาองค์ภัทราธิราชเจ้ากลับไปที่ถ้ำเพื่อดูพระอาการ ก็ปรากฏว่าทรงถูกทำร้ายจนสลบไป พระนางทรงเป็นห่วงอย่างมากจึงเฝ้าดูแลถวายการรักษาจนกระทั่งองค์ภัทราธิราชเจ้าทรงฟื้นจากอาการสลบ พระองค์ทรงจำพระองค์ไม่ได้และลืมทุกสิ่งทุกอย่างจนสิ้น เป็นแต่นึกได้เพียงรางๆ ครั้นเมื่อทรงทราบว่าพระนางเป็นใครก็ขอว่าจะเป็นข้ารับใช้ พระนางจะพากลับไปยังวัชรปุระก็ไม่ยอมจะขออยู่กับพระนางเพียงอย่างเดียว ทรงตรัสอย่างมั่นคงว่า

      ระหว่างที่หม่อมฉันสลบอยู่ในป่านั้น อาจถูกสัตว์ร้ายมากมายในป่าคร่าชีวิตได้อยู่ทุกเมื่อ แต่พระนางทรงช่วยเหลือหม่อมฉันอีกทั้งทรงดูแลจนกระทั่งหม่อมฉันฟื้นขึ้นมาได้ หม่อมฉันมิขอใส่ใจในการณ์เบื้องหลังอันหม่อมฉันลืมเลือนแล้วนั้น แต่จะขอใส่ใจในพระนางเท่านั้น ขอให้หม่อมฉันเป็นข้ารองพระบาทจนชีวาหาไม่ด้วยเถิด ไม่ว่าหม่อมฉันจะเคยเป็นใครก็ตาม บัดนี้หม่อมฉันคือข้ารองบาทของพระนางผู้เดียว

      พระนางสุพัตราเทวีทรงดีพระทัยแต่ไม่ต้องการจะเป็นคนเห็นแก่ตัว เก็บองค์ภัทราธิราชเจ้าไว้ จึงทรงตรัสขอร้องไปว่า

      มิได้เพคะ ทรงเป็นองค์ภัทราธิราชเจ้าอย่างไรเล่าเพคะ เป็นเจ้าแห่งวัชรปุระ เป็นผู้ครองแผ่นดินมีพระราชภาระต่อผู้คนทั้งปวงในพระราชอาณาเขต หาควรจะมาใส่พระทัยในหม่อมฉันแต่ผู้เดียว โปรดเถิดเพคะ ทรงกลับไปเป็นองค์ยุพราชผู้ยิ่งยศ เป็นองค์ภัทราธิราชเจ้าดังเดิม มิใช่ข้ารองบาทของหม่อมฉันนี้

      หม่อมฉันจะขอถวายชีวิตไว้ที่พระนางผู้เดียว และหม่อมฉันจะอยู่เคียงข้างพระนางตราบชีวิตจะสิ้นไป โปรดให้หม่อมฉันอยู่ที่นี่เถิด

      สุดท้ายองค์ภัทราธิราชก็ทรงอ้อนวอนว่าจะอยู่ให้ได้ พระนางไม่อาจทัดทานได้ไหว อีกทั้งในขั้นสุดท้ายพระองค์ถึงกับจะทรงปาดคอตัวเอง พระนางจึงทรงยอมให้พระองค์อยู่ด้วย โดยให้ทุกคนเรียกพระองค์ว่าภัทระเฉยๆและให้ปิดเป็นความลับเรื่องที่ทรงประทับอยู่ที่นี่ ตลอดเวลานั้น องค์ยุพราชเจ้าผู้ทรงพระเกียรติและพระยศกลับทำพระองค์เป็นแค่เพียงคนหาผลไม้ถวายพระนางสุพัตราเทวีเท่านั้น และพักอยู่กับราชองครักษ์ นานวันเข้า ภัทราธิราชเจ้าก็ทรงมีพระทัยประดิพัทธ์พระนางเข้าอย่างเต็มพระราชหฤทัย จนมิอาจจะถอนพระทัยได้ อีกทั้งเดิมทีแล้ว ทรงอภิเษกเพราะเหตุที่พระราชบิดาทรงขอไว้เท่านั้นหาใช่ความรัก ความรักนี้จึงเป็นรักแท้ครั้งแรกของพระองค์ ทั้งสองพระองค์ทรงพระสำราญในป่าใหญ่ด้วยวิถีชีวิตง่ายๆธรรมดาไม่หรูหรา แต่เปี่ยมด้วยความสุขอันเกิดจากการได้อยู่ใกล้ชิดคนที่รัก

      กล่าวถึงทั้งสองนคร ต่างพากันวุ่นวายตามหาทั้งสองพระองค์ที่หายไปจากนคร ด้านสูรยปุระก็ตามหาพระนางสุพัตราที่เสด็จหนีไป ด้านวัชรปุระก็ติดตามหาองค์ผู้ครองเมืองที่ทรงเสด็จประพาสต้นแล้วไม่ได้เสด็จกลับมา และยังหายพระองค์ไปอย่างไร้ร่องรอย อยุทธาธิราชธิราชเจ้าทรงให้ตามหาทั้วทั่งพระราชอาณาเขตก็ไม่พบ ครั้นทราบว่าองค์ยุพราชเจ้าแห่งเมืองข้างเคียงก็ทรงหายไป จึงเกิดมีพระราชดำริว่า สองพระองค์อาจจะอยู่ด้วยกัน ทรงดำริแล้วให้แค้นในพระทัยที่ราชบุตรีหนีไปกับผู้ชาย แม้จะเป็นยุพราชเจ้าที่ทรงรักใคร่ดังบุตรหลานก็ตาม แล้วพระองค์ก็ทรงไปเปิดดูแผนที่ เมื่อทรงพิจารณาจากสภาพภูมิศาสตร์โดยรอบแล้ว ทรงตัดสินว่าบริเวณป่าทึบแถบเทือกเขาศรีเทวะแน่นอนที่ทั้งสองพระองค์ทรงไปลอบเร้นพระองค์อยู่ จึงทรงสั่งการทหารให้ลอบเข้าไปจับพระราชบุตรีกลับมาให้ได้ โดยทรงกำชับอย่างหนักแน่นว่า จะต้องจับเป็นเท่านั้นเพราะจะทรงลงพระราชอาญาเอง อีกทั้งองค์ภัทราธิราชเจ้านั้นเป็นของอีกเมืองหนึ่งซึ่งนอกเหนือจากพระราชอำนาจของพระองค์แล้ว ทรงกำชับว่าให้ทำให้สลบแล้วพาไปส่งที่วัชรปุระ

      เมื่อทหารเหล่านั้นมาถึงบริเวณใกล้กับปากถ้ำที่พระนางประทับอยู่ ทหารที่ทรงส่งมานั้นเกิดไปพบเข้ากับราชองครักษ์ที่กำลังลาดตระเวนอยู่และเกิดปะทะกัน ราชองครักษ์ครึ่งหนึ่งรีบไปบอกให้พระนางทราบและรีบเสด็จหนีไป ภัทราธิราชทรงตกพระทัยและรีบพาเสด็จหนี ด้านพระพี่เลี้ยงและข้าราชบริพารนั้นทราบแน่แล้วว่าเป็นทหารขององค์อยุทธาธิราชธิราช จึงไม่ได้หนีและอยู่ในถ้ำนั้นต่อไป หวังใจหนึ่งว่าจะรอรับพระราชอาญา และอีกใจคือ อาจจะช่วยทำอะไรสักอย่างถ่วงเวลาเหล่าทหารที่จะมาถึงถ้ำไม่ช้านี้

      เหล่าทหารมาถึงและไม่พบทั้งสองพระองค์ที่ตามหา ก็คาดคั้นเอาความจากพวกที่อยู่ในถ้ำ เมื่อไม่ได้รับคำตอบแต่กลับถูกโน้มน้าวพูดไปเรื่อยเปื่อยต่างๆนาๆ ก็ทราบว่ากำลังถ่วงเวลา จึงขู่จะเอาชีวิตทั้งหมด ซึ่งไม่มีใครกลัวและเสียดายชีวิต ต่างชักดาบของตนออกปาดคอ เป็นการถวายความจงรักภักดีครั้งสุดท้าย เหล่าทหารตกใจแต่ไม่อาจทำอะไรได้และยังมีพระราชภารกิจต้องทำ จึงตามร่องรอยต่างๆที่เหลืออยู่ของสองพระองค์ไปจนกระทั่งตามทัน ทั้งสองพระองค์ถูกไล่กวดล้อมวงเรื่อยๆจนไปจนมุมที่หน้าผา ซึ่งเบื้องล่างนั้นเป็นแม่น้ำศรีเทวะที่เชี่ยวกราด ทั้งสองพระองค์จึงได้แต่หยุดยืนอยู่หน้าปากผานั้น ทหารผู้นำกองทหารนั้นมาได้ร้องขอให้ทรงกลับไปพร้อมกับพวกเขา และบอกให้องค์ภัทราธิราชเจ้าทรงกลับไปครองเมือง ทั้งสองพระองค์ปฏิเสธสิ้นเชิง แต่แล้ว....ในที่สุด พระนางสุพัตราก็ไม่ทรงปฏิเสธอีก ตระหนักว่าควรจะ คืนองค์ยุพราชให้กลับสู่พระนคร มิใช่เก็บไว้ข้างพระองค์เพื่อความสุขของพระนางเพียงพระองค์เดียว ทรงอ้อนวอนให้องค์ภัทราธิราชทรงกลับไปครองเมืองแล้วพระนางก็จะกลับไปรับพระราชอาญา องค์ภัทราธิราชทรงปฏิเสธและทรงสารภาพว่าทรงมีใจรักพระนางเพียงใด

      หม่อมฉันรักพระนางยิ่งกว่าชีวิต และจะไม่ขอแยกจากพระนางเป็นเด็ดขาด... อำนาจราชศักดิ์อันใดจะสำคัญกว่าความรักนั้นไม่มีอีกแล้วสำหรับหม่อมฉันนี้ อีกประการ หม่อมฉันได้บอกแล้วว่า... จะเคียงข้างพระนางตราบจะสูญสิ้นชีพไป หม่อมฉันไม่มีวันจะผิดคำพูดของตัวเองเป็นแน่

      พระนางทรงกันแสงอย่างตื้นตันพระทัยและทรงใช้วงแขนอันเรียวยาวโอบรอบพระศอองค์ภัทรา ธิราชไว้ แล้วในตอนนั้นเอง สิ่งที่ไม่ว่าใครก็คาดคิดไปไม่ถึงก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา พระนางสุพัตราเทวีทรงกระโดดจากหน้าผานั้นลงไปพร้อมองค์ภัทราธิราชในอ้อมแขนของพระนาง ทรงกระทำสิ่งนั้นไปอย่างรวดเร็วจนเหล่าทหารไม่ทันจะเข้าไปห้ามได้

      ทหารเหล่านั้นกลับไปหาอยุทธาธิราชเจ้า และกราบทูลความทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซึ่งในตอนท้ายนั้นได้ทูลว่า ทั้งสองพระองค์ที่ตกจากหน้าผาไปนั้น ไม่ทราบว่ายังทรงมีพระชนม์ชีพ อยู่หรือไม่เพราะไม่พบพระศพ แต่ก็อาจเป็นด้วยกระแสน้ำที่เชี่ยวกราดจึงไม่พบ หรืออาจจะยังคงพระชมน์ชีพอยู่ และอาจจะประทับอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งก็เป็นได้ทั้งนั้น องค์อยุทธาธิราชเจ้าทรงทราบเรื่องก็เสียพระทัยอย่างยิ่ง

      ด้านวัชรปุระ องค์บรมนารถเจ้าทรงสืบทราบว่า ทางสูรยปุระพบองค์ภัทราธิราชเจ้าที่หายไปอย่างลึกลับ พระองค์จึงเสด็จไปพบกับอยุทธาธิราชเจ้าเพื่อสอบถามความจริงในทันที แต่องค์อยุทธาธิราชเจ้าไม่ทรงกล้าจะตอบไปตามความจริงในตอนแรก ครั้นทรงถูกรบเร้ามากเข้าก็ทรงเล่าไปตามจริงเท่าที่ทรงทราบ บรมนารถเจ้าได้สดับฟังเรื่องราวก็กลับกริ้วเป็นการใหญ่ หาว่าพระสหายพระองค์นี้ทรงแต่งเรื่อง ความจริงคือพระนางสุพัตราลักพระราชบุตรของพระองค์ไป และองค์อยุทธาธิราชได้ทรงจัดการสำเร็จโทษทั้งพระนางสุพัตราเทวีกับองค์ภัทรา ธิราชเจ้าไปเสียแล้ว อยุทธาธิราชเจ้าทรงพยายามอธิบายให้เข้าใจแต่บรมนารถเจ้าไม่ทรงฟัง ทรงขอตัดสัมพันธไมตรีอันมีมาช้านานของสองนครเสียแต่บัดนั้น

      แต่ทว่าวัชรปุระไม่หยุดเท่านั้น เกิดการสืบหาพระศพของเจ้าผู้ครองนครที่เข้าใจกันว่าสิ้นพระชนม์แล้วเป็นการใหญ่ แต่ไม่มีผู้ใดได้เบาะแสหรือพบพระศพเลย บรมนารถเจ้าจึงบัญชาไปยังทหารของพระองค์ให้ไปตรวจหาที่บริเวณซึ่งอยุทธาธิราชเจ้าตรัสเล่าว่าพระราชธิดาของพระองค์ทรงกระโดดลงไปพร้อมกับพระราชบุตรภัทราธิราชเจ้า การสืบค้นไปหยุดที่ถ้ำซึ่งซ่อนตัวอยู่อย่างลึกลับในป่าบริเวณนั้น เหล่าทหารพบองค์ภัทราธิราชเจ้าและพระนางสุพัตราเทวีที่ประทับอยู่ภายในถ้ำนั้นด้วยกัน และยังมีชาวบ้านสองสามคนจากหมู่บ้านในป่านั้นมาคอยเฝ้าดูแลเพราะบรรดาชาวบ้านทราบว่าทั้งสองพระองค์เป็นใคร ทางหมู่บ้านจึงส่งคนมาดูแลทั้งสองพระองค์ให้ทรงพระสำราญอยู่ภายในถ้ำโดยไม่ต้องลำบากนัก แต่ก็ไม่สุขสบายอย่างในวังหลวง ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาใดๆอยู่แล้ว เพราะทั้งสองพระองค์ทรงปรารถนาเพียงแต่การได้อยู่ร่วมกันเท่านั้น...

      เหล่าทหารของบรมนารถเจ้าพยายามขอร้องให้ทั้งสองพระองค์กลับคืนสู่พระนคร แต่ไม่เป็นผล เหล่าทหารทั้งหมดจึงเดินทางกลับสู่วัชรปุระเพื่อถวายรายงานเพราะไม่กล้าใช้กำลังไปเนื่องจากยังไม่ได้มีพระบัญชาสั่งให้ใช้กำลังได้ องค์บรมนารถเจ้ายิ่งกริ้วหนักขึ้นเมื่อทรงทราบว่าทั้งสองพระองค์อยู่ด้วยกันและไม่ยอมเสด็จคืนพระนคร ทรงอาศัยที่ว่าองค์อยุทธาธิราชเจ้าเข้าพระทัยว่าภัทราธิราชเจ้าและสุพัตราเทวีสิ้นพระชนม์แล้วให้เป็นประโยชน์ มีพระบัญชาให้สังหารพระนางสุพัตราเทวีและทำอย่างไรก็ได้พาองค์ภัทราธิราชเจ้ากลับสู่วัชรปุระ โดยที่ไม่ให้สังหารองค์ภัทราธิราชแต่ใช้กำลังได้หากจำเป็นจริงๆ ทหารของพระองค์ก็ปฏิบัติตามทันทีที่ได้รับพระบัญชานั้น

      ทหารที่รับพระบัญชาจากบรมนารถเจ้ารีบรุดมายังถ้ำนั้นแต่กลับไม่พบทั้งสองพระองค์ เมื่อเดินทางไปถามคนในหมู่บ้านที่คอยช่วยเหลือดูแลทั้งสองพระองค์ที่มาประทับที่ถ้ำก็ปรากฏว่าไม่มีใครตอบ ทหารเหล่านั้นทราบทันทีว่าชาวบ้านคงช่วยพาหนีไปแล้วและช่วยกันปิดบังไม่ยอมบอกเสียอีกด้วย ด้วยความเกรงพระราชอาญาหากปฏิบัติหน้าที่ไม่สำเร็จจึงพยายามคาดคั้นจากชาวบ้านทุกคน ในที่สุดก็ทรมานเพื่อให้ได้คำตอบ ชาวบ้านคนหนึ่งยอมบอกว่าผู้ใหญ่บ้านกับชาวบ้านอีกสามคนพาหนีไปยังอมรปุระแล้ว แต่เพิ่งไปได้ไม่นานนัก ทหารทั้งหมดจึงรีบไปตามที่บอกทันที พวกเขาติดตามร่องรอย พยายามตามไปเรื่อยๆอย่างไม่ย่อท้อจนกระทั่งสามารถตามไปทันกันเมื่อเกือบจะเข้าเขตอมรปุระอยู่แล้ว

      ทหารทุกคนตระหนักดีว่าหากเข้าเขตอมรปุระแล้วก็ไม่อาจตามต่อไปได้ เพราะเป็นเมืองศัตรูของวัชรปุระและเป็นการรุกล้ำเข้าไปอีกด้วย อาจกลายเป็นชนวนสงครามได้ทันที ทำให้เกิดความจำเป็นต้องรีบจัดการตามพระบัญชาให้ทันก่อนจะล่วงเข้าไปในเขตอมรปุระเสียก่อน

      บรรดาทหารต่างเข้ามาปิดล้อมทั้งสองพระองค์และชาวบ้านสี่คนที่ตามมาอารักขาเพื่อไม่ให้เสด็จหนีไปไหนได้อีก ยื่นขำขาดต่อพระนางสุพัตราเทวีเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะยอมกลับหรือไม่ ซึ่งคำตอบก็คือ... ไม่ ทำให้ทหารผู้รับบัญชาให้สังหารพระนางเสียตัดสินใจทำตามพระบัญชา ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่ตามมาไม่ยินยอม เข้าต่อสู้ด้วยความจงรักภักดี แต่บรรดาทหารมีอาวุธครบมือและมีจำนวนมากกว่ามากทำให้ต้องจบชีวิตลง

      เมื่อเหลือกันแต่สองพระองค์เท่านั้น พระนางสุพัตราก็ร้องขอชีวิตขององค์ภัทราธิราชที่พระนางรักยิ่งกว่าชีวิต แต่เมื่อทหารทั้งหลายตอบว่าเป้าหมายในการสังหารคือพระนางผู้เดียว พระนางจึงยินยอม ภัทราธิราชเจ้ารีบคว้าวรกายแห่งยอดขัตติยนารีผู้ทรงรักเหนือสิ่งอื่นใดมากอดไว้ ตรัสออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวว่า

      หากจะฆ่านางก็ต้องฆ่าเราด้วย การที่จะฆ่านางแล้วละเว้นเราไว้มันก็เท่ากับฆ่าเราแล้ว ปล่อยให้เราตายทั้งเป็น มีชีวิตอย่างไร้ความหมายไปวันๆ... ท่านทั้งหลาย จงฆ่าเราทั้งสองให้ตายตกตามกันไป เพราะเราสองคนมีชีวิตเดียวกันแล้ว จะไม่มีวันแยกจากกันไปไหน แม้แต่ความตายเราก็จะไม่ยอมให้มาพรากเราออกจากกัน!! ”

      เมื่อเห็นว่าเหล่าทหารไม่กล้าลงมือ ภัทราธิราชเจ้าก็ทำท่าจะพาสุพัตราเทวีออกวิ่ง ทหารจำนวนหนึ่งก็รีบเข้าสกัด ภัทราธิราชเห็นว่าคงไปไม่รอดจริงๆแล้วจึงตัดสินพระทัยชักพระแสงขึ้นมา แทงเข้ากลางพระอุระอย่างรวดเร็วและเด็ดเดี่ยว พระนางสุพัตราเทวีที่ประทับยืนอยู่ชิดหลังองค์ภัทราธิราชเจ้าก็ถูกปลายพระแสงอันยาวแทงเข้าที่กลางพระอุระด้วยเช่นกัน ทั้งสองพระองค์สิ้นพระชมน์ทันที

      บรมนารถเจ้าเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นพระศพของสองพระองค์แล้วก็เสียพระทัยที่ตัดสินพระทัยกระทำการใดๆที่ทำร้ายสองชีวิตที่รักกันอย่างบริสุทธิ์เที่ยงแท้และน่าสรรเสริญยิ่ง ทรงร่างพระราชสาส์นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไปยังอยุทธาธิราชเจ้าและเชิญให้เสด็จมารับพระศพ ไม่กี่วันก็ทรงเสด็จมาตามคำเชิญ

      การสิ้นพระชมน์ของทั้งสองพระองค์ยังให้เกิดความเศร้าสลดมาสู่ปวงประชาชนทั้งหลายที่ได้รับการแจ้งจากทางการ เรื่องราวความรักของสองขัตติยะแห่งสองนครได้รับการเล่าขานและบันทึกไว้ต่อมายังคนรุ่นหลังไม่มีที่สิ้นสุด....

      การได้เคียงข้างคนที่เรารักและได้เดินทางร่วมกันไปในทุกแห่งหน ไม่ว่าจะทางแห่งความฝัน ทางแห่งสุขสม แห่งความทุกข์ระทม แม้จะเป็นทางแห่งความตาย แค่มีที่คนที่เรารักอย่างสุดหัวใจมาอยู่ข้างๆ ทางทุกสายก็พร้อมจะก้าวเดินไปอย่างไม่หวั่นเกรงเลย...

      อะไรจะดีไปกว่าการได้อยู่กับคนที่เรารักเล่า?

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×