ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF KAIBAEK] Imagination with KaiBaek

    ลำดับตอนที่ #13 : [FIC] White Wolf (KaiBaek) - 4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.88K
      8
      27 เม.ย. 57








    White wolf

    Pairing : Kai x Baekhyun
    ft.KrisHo , TaoHun 

    Rate : NC – 17

    Story and Art : Gornhai







    130616
    - Part 4 -



     

          ฤาคำสาปนั้น เป็นเพียงเรื่องเล่า แล้วตัวข้าล่ะ ...

     

    แพคฮยอนสะดุ้งขึ้นมาจากเตียงหลังจากที่เผลอหลับไปได้ไม่กี่นาที นี่เพิ่งหัวค่ำเท่านั้นเอง ทั้งที่อยากจะรีบนอนแต่พอจะเผลอไปในหัวก็สั่งให้หนีออกมา ราวกับว่ากลัวห้วงนิทรานี้เหลือเกิน

     

    “อึก.....” ความร้อนในกายเริ่มแผดเผามาถึงลำคอ ชายหนุ่มรู้สึกหายใจไม่ออก เขาไม่นึกมาก่อนว่าเหตุการณ์เดิมมันจะกลับมาซ้ำเอาในเวลาอย่างนี้ ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าคงอีกไม่นาน

     

    ร่างเล็กเดินลงจากเตียงมานั่งก้มหน้าอยู่กับพื้น หายใจไม่ออก ใบหน้าน่าสงสารหลุบดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำใสๆอย่างกำลังอดกลั้น น้ำตาที่เอ่อล้นหยดแหมะลงที่พื้นห้อง

     

    ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดทางกาย แต่เป็นทางความรู้สึกมากกว่า ชายหนุ่มอายุยี่สิบปีเต็มแม้ว่าไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไปแต่กับเรื่องที่พบพานมีแต่จะบอกว่าโชคชะตาช่างใจร้าย สิ่งที่เก็บเอาไว้คนเดียว แม้ยามเผชิญก็ต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย

     

    “ฮึก ....ฮือ อย่านะ ข้าไม่ต้องการ.....”

     

    ร่างกายเล็กขดงอไปกับพื้น เม็ดเหงื่อผุดพรายไปทั่วทั้งร่าง รู้ตัวดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น ความทรงจำทั้งหมดหวนกลับมาย้ำเตือนอีกครั้ง แพคฮยอนตัวสั่นงันงกกกกดร่างที่ไม่ยอมเชื่อฟังเอาไว้ เขาตะเกียกตะกายมาที่หน้าต่างทั้งที่ไม่มีแรงแม้แต่จะยืน

     

    เมื่อร่างกายที่ดิ้นไปมาสงบลงข้างผนังห้อง ยามเมื่อเงยมองออกไปบนท้องฟ้า หมอกเมฆจางหายเหลือไว้เพียงแสงนวลผ่องที่กระทบลงมาในดวงตาทั้งคู่

     

    “... อึก”

     

    สวยเหลือเกิน .. พระจันทร์ดวงใหญ่ดวงนั้น

     

    จิตใต้สำนึกที่หลุดคิดออกมาทำเอาความเป็นตัวเองต้องตกใจ ไม่ใช่ว่าจะถูกครอบงำเพราะทุกอย่างเขาเคยรับรู้ทั้งหมด แต่ปฏิเสธได้หรือว่าตอนนี้กำลังปรารถนาจะมีความสุขอย่างที่สุด หัวใจอยู่นอกเหนือการควบคุมไปแล้ว อยากจะวิ่งโผออกไปรับแสงจันทร์อันงดงาม

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “แย่แล้วสิ ข้าอุตส่าห์จะไปหาน้องที่เรือนท่านไค นี่มืดแล้วด้วย แพคฮยอนจะนอนหรือยังนะ” จุนมยอนเอ่ยขณะที่บดสมุนไพรในถ้วยใบเล็กๆอยู่ภายในห้องครัว เขานั่งก้มหน้าก้มตากับมันบนแคร่ไม้มุมหนึ่งจนลืมเวลาไปเลยเชียว

     

    คนที่นั่งมองอยู่ข้างกันระบายยิ้มออกมาน้อยๆ

    “อย่าห่วงไปเลยน่ะ ท่านไคไม่อยู่ แถมยังให้เข้าไปเรือนท่านได้ก็ดีแล้วนี่นา”

    “ข้าก็คิดอย่างนั้น แต่ข้าอยากไปพบแพคฮยอนให้เร็วที่สุด ข้าอยากถามน้องเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่สบายใจอยู่ตอนนี้” ใบหน้าขาวๆเงยสบตากับคนข้างกาย อี้ฟานไม่ตอบอะไรนอกจากเอื้อมมือมารั้งร่างนั้นไว้ข้างกาย เป็นจังหวะเดียวกับที่จุนมยอนประหม่าขึ้นมาจึงดึงตัวออก มือข้างหนึ่งวาดออกไปโดนเข้ากับถ้วยยา

     

    เพล้ง!

     

    ถ้วยยาที่กำลังบดละเอียดได้ที่ตกลงแตะกระจายที่พื้นห้องครัว

     

    “ขะ ข้าขอโทษ” ชายหนุ่มรีบก้มลงไปเก็บเศษแก้วพวกนั้นอย่างรีบร้อน เขารู้สึกผิดที่ทำตัวไม่เอาไหนทั้งที่ยานี่สำคัญกับอี้ฟานมาก คนเจ็บรีบนั่งลงข้างกัน

    “ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไม่ได้ตั้งใจ”

    “เดี๋ยวข้าจะรีบทำให้ใหม่นะ”

    “อย่าเลยจุนมยอน ตอนนี้ใจเจ้ากำลังเป็นกังวลเรื่องน้องชาย รีบไปหาแพคฮยอนเถอะ” อี้ฟานบอกอย่างเข้าใจ คนฟังก้มมองแผลที่เลือดกลับซึมออกมาจากผ้าพันแผลสีขาว ใบหน้าขาวใสเงยมองกับคนข้างกาย

    “แต่ .. ท่านต้องการยาเดี๋ยวนี้”

    “ข้ารอได้ แค่นี้ไม่เป็นไร”

    “แต่......”

     

    จุนมยอนชั่งใจกับความรู้สึกของตัวเอง เขาเป็นกังวลเรื่องของแพคฮยอน แต่อีกคนที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้กำลังต้องการความช่วยเหลือจากเขา

    “ช่างมันเถอะ เดี๋ยวข้าให้ท่านหมอของพวกเรามาทำต่อ....”

    “ไม่เป็นไร ท่านช่วยข้าเอาไว้ ข้าไม่เคยคิดว่าจะไม่รับผิดชอบ”

     

    จุนมยอนเอ่ยอย่างแน่วแน่เล่นเอาอี้ฟานไม่สามารถขัดอะไรออกไปได้ สำหรับความเป็นห่วงน้องชาย มนุษย์ธรรมดาอย่างเขาจึงเลือกเอาไว้ต่อจากเรื่องที่คิดว่ารอไม่ได้

     

     

    .. รอพี่ก่อนนะ เจ้าคงยังไม่มีอะไรใช่ไหม

     

     

    หลังจากใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงปรุงยาถ้วยใหม่ขึ้นมาแล้ว จุนมยอนจึงรีบจัดการกับบาดแผลที่ยังไม่หายดีของอี้ฟาน มือบางพันผ้าปิดเอาไว้ตามเดิมก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนจากเตียงคนเจ็บ มือหนาคว้าเข้าที่เรียวแขนเอาไว้

    “ท่านอี้ฟาน....”

    “ข้าเองก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ให้ข้าไปด้วยนะ”

    จุนมยอนพยักหน้าให้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้ไม่สบายใจเพียงนี้ แม้ว่าไม่อยากให้อีกคนลำบากไปกับเขาแต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว

     

    ระหว่างที่ทั้งสองเดินมาตามทางในหมู่บ้านยามค่ำคืน พวกเขาชะงักไปเล็กน้อยกับแสงจันทร์ที่อาบลงมาตามพื้นหญ้า คนตัวเล็กกว่าเงยขึ้นมองท้องฟ้าช้าๆด้วยใจที่เต้นระรัว พระจันทร์เต็มดวงงดงามไร้หมู่เมฆบัง ...

     

    “อี้ฟาน......” จุนมยอนหยุดเดินแล้วยืนนิ่ง คนถูกเรียกมองขึ้นไปบนท้องฟ้าบ้าง

     

    คำพูดของท่านยายที่เคยบอกเอาไว้ย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง น้ำตาของคนเป็นพี่ชายคลอเต็มหน่วยอย่างสุดจะกลั้น

     

    “.. เมื่อน้องชายของเจ้าอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์เมื่อไหร่ คืนวันพระจันทร์เต็มดวง ร่างกายก็จะเปลี่ยนไป ทุกอย่างจะเริ่มเป็นไปตามที่นางได้สาปเอาไว้......”

     

     

     

     

     

    ทั้งสองรีบรุดมาที่เรือนหัวหน้าเผ่าแต่กลับไม่พบใคร แม้ว่าเรื่องของแพคฮยอนนั้นเขากับท่านยายจะไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์ตามคำสาปที่ว่า แต่ก็พอจะนึกได้ว่ามันต้องทำให้น้องชายที่เขารักของทุกข์ทรมานแน่ๆ

    “แพคฮยอน แพคฮยอนไม่อยู่ ข้าไม่เห็นเค้าเลยไม่ว่าตรงไหนของเรือน...”

    “ใจเย็นๆนะจุนมยอน เจ้าตั้งสติก่อนได้ไหม”

    “ไม่ .. ข้า ข้ากลัว”

    “อย่ากลัวไปเลย เซฮุนไง เผื่อแพคฮยอนอาจอยู่กับเซฮุน”

     

    อี้ฟานเสนอความคิด แต่แล้วก็ผิดคาดเมื่อตามเซฮุนมาที่นี่แล้วอีกฝ่ายกลับแปลกใจเช่นกันที่ไม่เห็นแพคฮยอน

    “ตั้งแต่หัวค่ำแล้วที่แพคฮยอนเดินมาส่งข้าที่หน้าเรือน เค้ากลับเข้าไปแล้วนะ ข้าไม่คิดว่าเค้าจะออกไปไหนอีก” เซฮุนอธิบายด้วยใบหน้าหวั่นวิตกเช่นกัน และหลังจากที่อี้ฟานให้กำลังคนออกตามหาทั่วหมู่บ้าน ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เห็นหัวหน้ากองกำลังย่อยก็เดินเข้ามารายงานอย่างทันท่วงที

     

    “ท่านอี้ฟาน คนของเราตามหาจนทั่วแล้ว แต่ก็ไม่พบชายผู้นั้นเลยครับ”

    “อย่างนั้นหรือ แน่ใจว่าหาดีแล้ว” อี้ฟานเอ่ยเสียงเข้ม

    “ใช่แล้วครับ .. เว้นก็แต่ว่า...”

    “แต่ว่า แต่ว่าอะไร”

    “เอ่อ ... ไม่รู้ว่าจะเชื่อได้ไหม แต่มีคนในหมู่บ้านบางคนบอกมาว่าเห็นหมาป่าขนสีขาวรูปร่างกลางๆวิ่งผ่านออกไปทางปากทางที่หน้าหมู่บ้าน”

    ทั้งสามคนที่ได้ยินอย่างนั้นต่างก็อึ้งกันไป พวกเขามองหน้ากันอย่างวิตก

     

    “... แล้วพวกที่เฝ้ายามว่าอย่างไร”

    “ยังไม่ได้ถามครับ”

    “ให้มันได้อย่างนี้สิ พวกเจ้าทำงานยังไงไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ กลับออกไปถามพวกนั้นว่าพบเบาะแสอะไรเพิ่มมั้ย แล้วรีบมารายงานข้า”

    “ครับ!!

     

    ชายคนนั้นก้มหน้ารับคำสั่งแล้วรีบวิ่งออกไปจากเรือนทันที จุนมยอนเพิ่งเคยเห็นอี้ฟานในภาพลักษณ์ที่แสดงต่อลูกน้องก็ครั้งแรกนี้เอง คนสนิทของท่านหัวหน้าเผ่าหันกลับมาหาคนทั้งสองที่ยืนข้างกัน

    “นั่น อย่าบอกนะว่าเป็นแพคฮยอน” เซฮุนถาม

    “ยังสรุปไม่ได้”

    “ได้สิ ... ข้าสรุปได้ คำสาปที่ติดตัวน้องชายของข้ามาจากนายหญิงของเผ่าพวกท่าน เรื่องนั้นที่เห็นเงื่อนไข มันไม่แปลกเลยหากน้องของข้าจะกลายร่างเป็นหมาป่า”

     

    จุนมยอนเอ่ยช้าๆด้วยเสียงสั่นเครือ ชายหนุ่มเข่าอ่อนอย่างแรง เซฮุนจึงช่วยประคองให้นั่งลง

    “ใจเย็นๆนะ ข้าว่าต้องมีทางออกสิ”

    “ลำพังข้า จะทำอะไรได้ ....”

     

    พี่ชายที่ห่วงแสนห่วงน้องชายไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากนั่งก้มหน้า

    “ลำพังเจ้าที่ไหนล่ะจุนมยอน ยังไงเรื่องใหญ่แบบนี้ก็ต้องพึ่งท่านหัวหน้าเผ่าอยู่ดี”

    ทั้งสามมองหน้ากันอย่างคนไม่มีทางเลือก และทางเดียวที่จะเรียกให้คนๆนั้นกลับมาในเวลานี้ก็มีทางเดียว อี้ฟานนั่งลงกับพื้นก่อนจะหลับตาลงแน่น ริมฝีปากพึมพำอะไรสักอย่างเบาๆที่จุนมยอนไม่เข้าใจ

    “อี้ฟาน ท่าน...”

    “ชู่ว .. เงียบๆสิพี่จุนมยอน ตอนนี้พี่อี้ฟานกำลังส่งกระแสจิตถึงท่านไคยังไงล่ะ” เซฮุนอธิบายให้คนที่ทำหน้าฉงนได้เข้าใจ

     

    เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้นที่อี้ฟานลืมตาขึ้น เหงื่อเม็ดโตผุดพรายไปทั่วใบหน้า จุนมยอนเดินมานั่งลงข้างๆพลางเอื้อมมือไปสัมผัสที่หน้าผากนั้น

    “เหงื่อท่านออกมากเลย”

    “ไม่เป็นไร...เดี๋ยวท่านไคก็มาถึง”

    “อ๊ะ ... เดี๋ยวก่อน เลือดจากแผลของท่าน” ผ้าพันแผลสีขาวที่เพิ่งพันมาใหม่เริ่มมีสีเลือดซึมออกมา จุนมยอนตกใจกับสิ่งที่เห็น อี้ฟานระบายยิ้มน้อยๆเท่านั้น

    “อย่าตกใจเลย การส่งกระแสจิตต้องใช้พลังมาก ร่างกายข้ายังไม่หายดีเลยเป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวก็หาย” เสียงทุ้มเอ่ยบอก แต่ทุกครั้งที่จุนมยอนเห็นว่าอีกฝ่ายเจ็บแค่ไหน สิ่งที่ตอบกลับมาก็เป็นเพียงแค่รอยยิ้มให้อุ่นใจก็เท่านั้น

    “ท่านชอบเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย รู้ไหมว่าข้ารู้สึกผิด”

    “แต่ข้าจะดีใจมากกว่านะ ถ้าเจ้าเปลี่ยนจากคำว่ารู้สึกผิดเป็นบอกข้ามาตรงๆว่าเป็นห่วง”

    “..................”

     

    คนฟังไม่ตอบอะไรเพราะไม่รู้จะเลือกคำไหนมาอธิบายดี เขาเป็นผู้ชายเต็มตัว อีกฝ่ายไม่ควรจะเอ่ยอะไรอย่างนี้ออกมา ถึงอย่างนั้นก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าตัวเองก็เป็นห่วงจริงๆ

    “ลุกมานั่งพักทางนี้ดีกว่า....” ชายหนุ่มเอ่ยโดยไม่มองหน้าแล้วพยุงร่างสูงให้ขึ้นนั่งพักที่เก้าอี้อีกมุม

     

    เซฮุนนั่งมองคนทั้งสองห่างๆ ในแววตาของอี้ฟานที่จ้องมองจุนมยอนนั้นเซฮุนรู้ดี พี่อี้ฟานที่เขารู้จักไม่เคยจ้องมองใครแบบนี้มาก่อน

     

     

    เวลาล่วงเลยมาถึงกลางดึก สองคนที่นั่งข้างกันแทบจะเผลอหลับไป อี้ฟานสะกิดเซฮุนและจุนมยอนให้รู้สึกตัวเมื่อประตูเรือนด้านหน้าเปิดออก ท่านไคเดินเข้ามาพร้อมกับร่างของจื่อเทาที่ตามหลังมาอีกที และทันทีที่คนเดินตามหลังจะมองเข้ามาพบอีกคน ความเป็นห่วงก็พุ่งขึ้นมา จื่อเทาสบตากับเซฮุนเป็นเชิงถามว่าไม่ได้นอนพักอยู่ที่เรือนหรอกหรือ เซฮุนยิ้มตอบเพื่อจะสื่อว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเขาคงแอบไปพักคนเดียวไม่ลง

     

    “บอกข้าใหม่ซิว่าเกิดอะไร” ใบหน้าเคร่งเครียดของท่านหัวหน้าเผ่าเอ่ยถามสั้นๆ

     

    และเมื่อเรื่องทั้งหมดไม่กี่ประโยคออกจากปากของอี้ฟาน คนฟังก็เอาแต่เงียบไม่พูดอะไร ไคมีสีหน้าที่ทุกคนไม่สามารถเข้าใจได้ว่ากำลังคิดอะไร

    “แค่คนหาย ทำไมไม่ตามหา”

    “ก็ข้าบอกท่านแล้วไงว่าหาไม่พบ”

    “หึ หมาป่าขนสีขาวงั้นหรือ หมู่บ้านเรามีที่ไหน” ไคส่ายหน้าราวกับที่ฟังมานั้นเป็นเรื่องตลกหลอกเด็ก จื่อเทามองหน้ากันกับอี้ฟานอย่างเพลียใจกับความรั้นของท่านหัวหน้าเผ่า จุนมยอนที่กำลังจะเข้าไปอ้อนวอนขอให้ไคช่วยก็ถูกอี้ฟานกันเอาไว้ก่อน

     

    บรรยากาศภายในเรือนที่นั่งรวมกันพร้อมหน้ามีเพียงแค่ความเงียบเท่านั้น ไคลุกขึ้นยืนทำเอาทุกคนมองตาม

    “กับอีแค่คนหาย คนของเราที่หาไม่พบนั้นมันไม่ได้เรื่องใช่ไหมอี้ฟาน ถ้างั้นจื่อเทา .. เจ้าออกไปตามหาพยอนแพคฮยอนให้ทั่วหมู่บ้านเลยนะ ดูซิว่าจะได้เรื่องกว่าคนพวกนั้นหรือไม่ แค่ผู้ชายตัวเล็กๆคนเดียวจะหายไปไหนได้”

    “ครับ ท่านไค” ร่างสูงของหนึ่งในคนสนิทยืนขึ้นรับคำสั่งแล้วรีบรุดออกไปทันที

    “ว่าไงอี้ฟาน มีอะไรข้องใจ”

    “แต่เรื่องหมาป่าสีขาวที่คนในหมู่บ้านบอก ..”

    “เหลวไหล”

     

    พูดจบก็หันกลับไปอีกทาง ไคเดินออกห่างมาจากกลุ่มของพวกอี้ฟานที่มองตามเขาไม่วางตา แต่ทางที่คิดจะไปยังห้องนอนกลับเปลี่ยนเป็นอีกทาง อี้ฟานตะโกนถามด้วยความข้องใจ

    “ท่านจะกลับเข้าเมืองไปคนเดียวหรือ”

    “เปล่าหรอก ..”

     

     

     

     

     

    ลึกเข้าไปในป่าดิบชื้น ความมืดมนทับถมลงมาไม่ขาด ร่างกายของสัตว์สี่เท้าขนสีขาวยาวงดงามกระโจนแล่นตรงไปด้วยหัวใจอันรุ่มร้อน แสงเหลืองนวลสาดกระทบลงมาคราใดราวกับใจจะขาดรอนๆ

     

    ต้องออกแรงแค่ไหนถึงจะได้พระจันทร์ดวงนั้นมาอยู่ในมือ

     

    ความสุขล้นปรี่ตีตื้นจนแทบทะลัก จิตใต้สำนึกกำลังเริงร่ายามวิ่งตามแสงทอง

     

    “โบร๋วววววว......”

     

    เสียงหอนก้องอยู่อย่างเดียวดายท่ามกลางลานกว้างบนหุบเหวไร้ซึ่งสัตว์ใหญ่ใดๆ หมาป่าสีขาววิ่งวนอยู่ใต้แสงจันทร์อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย

     

     

     

    หลายชั่วโมงผ่านไปด้วยมนต์ตราที่ยาวนาน แสงจันทร์อ่อนลงพร้อมความอ่อนแรง สี่เท้าของหมาป่าตัวนี้ก้าวลงเป็นจังหวะช้าๆ ร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยขนสีขาวหมอบนอนลงกับพื้นหินในลานกว้าง ดวงตาสีฟ้าสุกใสตวัดมองพระจันทร์ลอยเด่นอย่างโหยหา รอบกายช่างอ้างว้างเหน็บหนาวไม่รู้จบ

     

    แพคฮยอนรู้สึกดำดิ่งลงไปเมื่อมนต์ตราของร่างหมาป่าคลายลง ความหวาดกลัวเข้าแทนที่ในทันใด ร่างกายของสัตว์สี่เท้าดันกายลุกขึ้นเพื่อหาทางกลับไปยังที่ซึ่งจากมา วิ่งผ่านต้นไม้ทึบเข้าไปในความมืดอย่างไร้หนทางชัดเจน

     

    “อิ๋ง ......”

     

    รอบกายไร้ซึ่งทางที่เคยผ่านมา มองวนไปแค่ไหนก็เจอแต่ความมืดมิดและต้นไม้หนา เขาถอยหลังกลับไปอีกก่อนที่จะพบว่าแท้ที่จริงแล้วเขาไม่ได้อยู่กลางป่านี้แต่เพียงตัวเดียว

     

     

     

    “กรรรรรร......”

     

    ไม่ใช่เสียงของร่างสีขาวแต่อย่างใด แต่รอบกายอันสั่นเทากลับถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงสัตว์ชนิดเดียวกัน ดวงตาน่ากลัวสะท้อนออกมาท่ามกลางความมืด ด้วยสัญชาตญาณกำลังบอกว่าสัตว์เหล่านี้ไม่ได้มาดี

     

    ด้วยสัญชาตญาณที่คิดว่าต้องหนีให้เร็วที่สุดพาให้ร่างสีขาวที่ถอยกรูดจนมุมต้องออกวิ่งหลบไปอีกทาง เขากำลังวิ่งอยู่ในร่างของหมาป่าอย่างไม่คิดชีวิต หากเป็นก่อนหน้านี้สักชั่วโมงร่างกายคงเต็มไปด้วยพละกำลัง แต่หลังจากที่ถูกใช้เกินการควบคุม ไม่สิ .. ร่างกายนี้เขาไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างมนุษย์หมาป่าทั่วไป

     

     

    จิตสำนึกของชายหนุ่มในร่างของสัตว์กำลังตื่นขึ้นเต็มตัว ความหวาดกลัวล้นปรี่ในหัวใจ อุ้งเท้าหนาตะกุยทางวิ่งไปข้างหน้าสุดชีวิต ข้างหลังที่ตามติดมาด้วยหมาป่าหลายตัวทั้งฝูงนั้นทำเอาอยากตายเสียให้พ้น

     

    เสียงฝีเท้าของสัตว์หลายตัวดังก้องไปทั้งป่า หมาป่าสีขาวโดดเด่นกดเท้าลงที่แผ่นหินริมหน้าผาในที่ซึ่งก่อนหน้ากำลังวิ่งวนหยอกล้อกับแสงจันทร์ ไม่นึกเลยว่าจะกลับมาอีกครั้งในความรู้สึกที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว .... ดั่งเหวที่เขายืนอยู่ขอบทางอย่างนี้

     

     

    ฝูงหมาป่าตัวใหญ่กว่าเขาเล็กน้อย ขนหนาสีดำกับท่าที่เตรียมจะพุ่งเข้ามาทำเอาหมดทาง จะหนีได้อย่างไรนอกจากโดดลงไปจากเหวนี่ แพคฮยอนคิดถึงเรื่องนั้นที่เคยประสบพบมา เขารู้ดีเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความกลัวกลบความสงสัยที่ว่าแล้วทำไมสัตว์พวกนี้จึงจ้องกระโจนเข้ามาทั้งที่เขาก็เป็นหมาป่าตัวผู้เช่นเดียวกัน

     

    “อิ๋ง อิ๋ง .........”

     

     

    “กรรรรรรรร”

     

    สองอุ้งเท้าเหยียบถอยไปจนหมิ่นเข้ากับขอบเหว เสียงลำธารไหลเชี่ยวจากเบื้องล่าง หากตกลงไปคงไม่มีทางรอดแน่ๆ คมเขี้ยวชุ่มน้ำลายไหลย้อยของหลายชีวิตที่ปรากฏขึ้นตรงหน้ากำลังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา ....

     

    ครึก ครืดดดดดดดดดด

     

    “........อิ๋ง”

     

    เม็ดหินหล่นกลิ้งลงเหวไปตามแรงเหยียบ กายสีขาวสั่นระริก แต่แล้วทันใดนั้นเอง

     

     

    “โบร๋วววววววว............”

     

    เสียงก้องกังวานดังมาจากที่ไหนสักแห่ง หมาป่าสีดำหลายตัวตวัดมองไปข้างหลัง ทางที่เปิดออกทำให้เหยื่อที่กลัวแทบตายมองตามออกไป

     

    ร่างของหมาป่าขนสีดำขลับที่ไม่เคยพบปรากฏขึ้นท่ามกลางฝุ่นคลุ้งที่ค่อยๆเลือนหายไป ดวงตาสีแดงฉานวาววับจ้องกวาดไปยังหมาป่าฝูงตรงหน้า ท่อนขาทั้งสี่ยาวใหญ่กว่านัก และด้วยขนาดตัวที่สูงกว่าจึงทำให้หมาป่าตัวนี้น่าเกรงกลัวกว่าเป็นไหนๆ

    ไร้ซึ่งเสียงคำรามขู่ หากแต่เพียงแค่สายตาสีแดงคู่เรียวยาวจ้องกลับมาก็ราวกับมีมนต์ขลัง หมาป่าฝูงเดียวกันนั้นถอยออกเป็นวงกว้างกว่าเก่า ก่อนจะวิ่งหนีหายเข้าไปในป่าลึกทันที

    ดวงตาสีฟ้าสุกใสเอ่อคลอไปด้วยน้ำ อุ้งเท้าหลังครูดไปกับขอบหินผา ดวงตาสีแดงวาวโรจน์จ้องกลับมาอย่าน่ากลัว แพคฮยอนไม่รู้ว่าสัตว์สี่เท้าตัวนี้มาจากไหน แต่ถ้าอยากจะทำร้ายก็คงไม่คิดไล่เรื่องน่ากลัวออกไป แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ ถ้าอีกฝ่ายเห็นเขาเป็นเหยื่อ .....

     

    จิตสำนึกของมนุษย์ในร่างหมาป่านั้นสับสนจนวุ่นวาย ทันใดนั้นเองที่เท้าหลังซึ่งหมิ่นอยู่ขอบเหวจะเผลอพลาดลงในที่สุด

     

    ครืด....

     

    อุ้งเท้าหน้าตะกุยขอบหินด้วยความตกใจสุดขีด แต่แล้วทั้งร่างก็พลัดตกลงมาจนได้ จังหวะเดียวกันนั้นเองที่สัตว์อีกตัวจะเร่งฝีเท้าวิ่งปรี่เข้ามา อุ้งเท้าใหญ่เอื้อมออกหมายจะตะปบเอาไว้แต่ไม่ทันแล้ว ร่างนั้นร่วงลงไปจากขอบเหวอย่างรวดเร็ว หมาป่าตัวใหญ่คำรามลั่นก่อนจะกระโจนกายลงไปด้วยกัน

     

    เสียงธารน้ำไหลเชี่ยวห่างออกไปแค่ไม่กี่เมตร ร่างกายสั่นเทาของถูกทับด้วยร่างขนหนาที่ทับคร่อมเอาไว้ แพคฮยอนตกใจอย่างหนักกับหมาป่าขนดำตัวใหญ่ที่เขาไม่เคยพบ โชคยังดีที่ได้มันกระโจนโฉบเอาร่างของเขาให้ตกออกมาห่างจากธารน้ำ และโชคยังดีอีกที่ภายล่างของผาหินใหญ่จะมีโพรงถ้ำเล็กๆพอให้ซุกกายหลบ

    ขนสีขาวเปรอะเปื้อนไปหมด ท่าทางหวาดกลัวปรากฏแก่สายตาคู่เดิมสียังคงไว้ซึ่งสีแดงฉาน ร่างใหญ่ถอยกายออกเมื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังดิ้นถอยหนี หมาป่าตัวสีดำยืนสี่เท้าขึ้นเต็มความสูง ความใหญ่โตของร่างกายหากมองจากพื้นดินช่างน่ากลัวนัก แพคฮยอนครางเบาๆในภาษาของหมาป่า ทันใดนั้นเองที่ภาพเบื้องหน้าค่อยๆเปลี่ยนไป แสงสีขาวโอบล้อมร่างของหมาป่าตัวนั้นเอาไว้ก่อนจะจางหายไป

     

    เหลือไว้เพียงแต่ชายหนุ่มร่างสูงในโค้ทสีดำเข้มที่ยืนอยู่

     

    ... ท่านไค

     

    แพคฮยอนในร่างของหมาป่าครางในลำคอ ร่างกายสีขาวหยัดขึ้นช้าๆ พวงหางขยับไปมาราวกับกำลังดีใจ ดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยน้ำใส ไคเดินตรงเข้ามาพลางนั่งลงข้างหน้าของหมาป่าสีขาวตัวที่เขามั่นใจว่าต้องใช่ ใบหน้าคมจดจ้องภาพตรงหน้าอย่างไม่วางตา มือหนาเอื้อมออกไปลูบอยู่กับขนหนาๆ

     

    “เจ้า ... แพคฮยอนใช่ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ดวงตาทั้งคู่จดจ้องลึกลงไปในตาของหมาป่าที่น้ำตาคลอหน่วย ขนปุกปุยเบียดเข้าหาร่างของชายหนุ่ม

     

    “อิ๋ง อิ๋ง ......”

     

    ไคลูบหนักๆลงที่หัวของหมาป่าพลางนึกหาคำตอบอยู่ในใจ นี่คือร่างหมาป่าของชายหนุ่มที่เขารู้จัก แต่นี่มันคือหมาป่าตัวเมีย ดวงตาน่าสงสารจ้องกลับมาอย่างไม่รู้อะไรเลย ไคสะเทือนใจไม่น้อยกับเรื่องที่เขาพบเจอ แล้วแพคฮยอนล่ะ อีกฝ่ายต้องเจอเรื่องประหลาดแบบนี้กับตัวมามากเท่าไหร่แล้วนะ ไม่แปลกเลยที่เขาจะแทบไม่เคยเห็นรอยยิ้มสดใสจากชายหนุ่มในวัยที่ควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป

    เขาไม่รู้หรอกนะว่าทั้งหมดมันคืออะไร ตอนนี้ทำไดพียงแค่แนบใบหน้าลงกับขนนุ่มแล้วหลับตาลงช้าๆ อ้อมแขนทั้งหมดโอบกอดหมาป่าตัวนี้ที่แม้ว่าเขาจะแทบไม่เชื่อสายตา แต่ทั้งหมดคือความจริง

    ไคกำลังคิดประมวลอีกครั้งกับสิ่งที่ไม่คาดคิด เขาไม่เข้าใจว่าแพคฮยอนกลายเป็นหมาป่าตัวเมียไปได้อย่างไร ตั้งแต่วิ่งเข้ามาในป่าก็มีเพียงแค่ลางสังหรณ์เท่านั้นที่เป็นตัวนำทาง กลิ่นของแพคฮยอนที่เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆทำให้ร่างหมาป่าของเขาวิ่งเข้าป่าลึกมาจนพบ และแน่นอน นี่เป็นแพคฮยอนแน่ๆ

     

    ร่างของชายหนุ่มที่นั่งกอดหมาป่าเอาไว้ต้องสะดุ้งออกเมื่อบางอย่างกำลังเปลี่ยนไป ใบหน้าคมก้มมองสัตว์สี่ขาที่เริ่มส่งเสียงครางแล้วดีดตัวออกห่าง ไคจับร่างนั้นเอาไว้ไม่ปล่อย

    “นี่มัน............”

     

    ร่างของหมาป่าสีขาวเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาที่จ้องมองไม่กระพริบ แล้วร่างของหญิงสาวผิวขาวไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆปกปิดก็อยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างสมบูรณ์

    ผมดำขลับยาวเป็นลอนสยายออกก่อนที่เจ้าของมันจะช้อนใบหน้ามองขึ้นมา ดวงตาคู่เดิมสบเข้ากับเขาอย่างโหยหา แม้ร่างกายจะเป็นหญิงแต่ใบหน้ายังคงไว้ซึ่งเค้าเดิม .. คนๆเดิม

     

    พยอน แพคฮยอน

     

    “นี่เจ้า......”

    “ฮึก ... ช่วยข้าด้วย ข้ากลัวเหลือเกิน”

     

    ชายหนุ่มในร่างของหญิงสาวโผเข้ากอดคนตรงหน้าเอาไว้แน่น แพคฮยอนซบหน้าลงกับไหล่กว้าง เขาอยากบอกเหลือเกินว่าดีใจแค่ไหนที่เจออีกฝ่ายในเวลานี้ ไคที่นั่งคุกเข่ากับพื้นดินไม่สามารถขยับกายได้เลยกับเรื่องที่ไม่น่าเชื่อทั้งหมด หัวใจที่แสนด้านชาเริ่มเคลื่อนไหวอย่างคนมีความรู้สึก

     

    มือหนารัดร่างนั้นเข้าหาตัวเช่นกัน

     

    “ฮึก ... ฮือ”

    “ข้าอยู่นี่แล้ว อย่ากลัวไปเลย”

    “ข้า .. ข้า คิดว่าจะต้องตายไปเสียแล้ว ข้ากลัว เหมือนในฝัน มะ ไม่สิ ... เหมือนวันนั้น เหมือนคืนนั้น ข้า ข้า ...ฮึก”

    “รู้แล้ว ข้ารู้แล้ว เงียบซะ....” เสียงทุ้มปลอบปละโลมอยู่ข้างหู เขากอดร่างที่สั่นเทาเอาไว้ ความอบอุ่นของคนทั้งสองแผ่ซ่านถึงกัน

    “เจ้าเป็นใครกันแน่แพคฮยอน ทำไมถึงได้เป็นอย่างนี้”

    “ฮึก .. ข้าไม่รู้ ไม่รู้เหมือนกัน ข้าเคยเป็นหมาป่าแล้วก็กลับมาเป็นผู้หญิง เหมือนวันนั้นที่เจอท่าน”

    “งั้นแสดงว่าก่อนเจอข้า เจ้าเคยกลายร่างมาแล้ว”

    “อืม” แพคฮยอนพยักหน้าช้าๆทั้งที่ยังกอดไคเอาไว้ไม่ปล่อย  ความจริงที่พรั่งพรูออกมาทำเอาคนฟังต้องประหลาดใจเข้าไปอีก

    “แล้วทำไมไม่เคยเล่า”

    “ก็ ข้าไม่กล้า ข้ากลัว”

    “กลัวอะไรเล่า เจ้าควร....”

    “กลัวทั้งหมดนั่นแหละ แม้แต่ท่านเอง ที่ข้ายังกลัวแทบตาย” ใบหน้าของหญิงสาวก้มแนบลงไปที่ไหล่กว้างกว่าเก่า ไคมองดูอาการแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ยอมรับอยู่หรอกว่าตั้งแต่เจอกันเขาก็มีแต่ท่าทีร้ายกาจไปให้ แต่ก็ยอมรับอีกเช่นกันว่าก็ไม่เคยให้ใครที่ไหนมาพึ่งพิงแบบนี้มาก่อน แล้วคนๆนี้เป็นใคร

     

    มือหนาดันอีกฝ่ายออกให้เผชิญหน้ากัน ดวงตาชื้นๆมองกลับมาที่เขาอย่างไม่เข้าใจ ร่างกายที่เว้นระยะห่างกันนั้นทำให้เจ้าของอ้อมกอดต้องอดจะมองลงไปไม่ได้

    “สวมนี่ไว้ดีกว่านะ” เขาถอดเสื้อโค้ทตัวนอกออกแล้วคลุมร่างของแพคฮยอนเอาไว้ คนที่เอาแต่ร้องไห้เมื่อตั้งสติได้ใบหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง แพคฮยอนดึงชายเสื้อโค้ทปิดร่างเอาไว้ให้มิดชิดอย่างรวดเร็ว

    “นี่ ข้า เป็นแบบนี้อีกแล้วหรือเนี่ย” เสียงหวานเอ่ยอย่างตกใจ ไคพอจะเดาเหตุการณ์ได้จึงพูดออกไปอีก

    “ไม่ใช่แค่ร่างมนุษย์ของเจ้าหรอกนะที่เป็นหญิง ร่างหมาป่าของเจ้าก็เป็นเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นเหตุการณ์ที่ถูกเจ้าพวกนั้นรุมมันจำซ้ำรอยหรือ”

    “ว่าไงนะ...”

    “ก็ใช่น่ะสิ ร่างของเจ้าคือหมาป่าตัวเมีย”

    “ไม่จริง แล้วข้าก็ไม่ใช่มนุษย์หมาป่าด้วย”

     

    แพคฮยอนเครียดหนักกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่อยากจะรับรู้ แล้วต่อไปจะมีอะไรอีกไหมที่จะเหนือความคาดหมายแบบนี้อีก

     

    ไคยิ่งคิดตามก็ยิ่งสับสนเช่นกัน เขากระแอมไออย่างไว้ท่าเช่นเคย ร่างสูงขยับออกห่างแล้วนั่งพิงขอบหินเอาไว้ แพคฮยอนในร่างของผู้หญิงก้มซ้ายแลขวาอย่างกระวนกระวาย ใบหน้าเปื้อนน้ำตาอย่างนั้นทำเอาคนมองไม่สามารถละสายตาไปได้ ท่านหัวหน้าเผ่าหงุดหงิดใจกับเรื่องอย่างนี้เป็นที่สุด แล้วนี่เขาต้องถูกคนๆนี้ปั่นหัวอีกไปถึงเมื่อไหร่กัน

     

    ร่างกายที่ไม่เชื่อฟังจึงขยับกลับไปที่เดิมอย่างง่ายดาย แพคฮยอนมองคนตรงหน้าที่เข้ามานั่งใกล้ๆ

    “ไหนเล่ามาซิ เจ้าเจออะไรมา”

    “อย่างที่ข้าบอกไป ข้ากลายร่างเป็นหมาป่า แล้วจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็กลับเป็นมนุษย์ ... แบบนี้” แพคฮยอนก้มหน้าลงกับฝ่ามือของตัวเอง ปลายโค้ทที่แหวกออกถึงต้นขาเผยให้เห็นร่างที่ยังสั่นระริกไม่หาย

    “หนาวเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถามขณะที่เข้าไปใกล้กว่าเก่า เขาดึงมือคู่นั้นออกก็พบว่าน้ำตามากมายหลั่งไหลออกมาเต็มแก้มของอีกฝ่าย ไคใช้มือเช็ดมันออกเบาๆ

    “เจ้านี่ชอบร้องไห้เป็นเด็กไปได้”

    “ฮึก .. ก็ข้ากลัวนี่นา เวลาสั้นๆแต่กลับต้องเจอแต่เรื่องร้ายๆ เป็นท่านเองจะรู้สึกอย่างไร” สายตาตัดพ้อส่งมาให้ ไคกุมมือคู่นั้นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย แพคฮยอนจึงรีบดึงมันออกมาแล้วก้มหน้าอยู่ตามเดิม

     

    ปัญหาอย่างนี้คนที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างท่านไคจะต้องทำอย่างไร เขาไม่ใช่คนที่สามารถล่วงรู้อดีตหรือพยากรณ์อนาคตอะไรได้ นอกจากเรื่องมนต์ตราที่ร่ำเรียนมาแล้วจึงไม่มีข้อมูลมาอธิบายถึงเรื่องประหลาดอย่างนี้ได้เลย

     

                       แพคฮยอนนั่งกอดเข่าโดยมีเพียงเสื้อของไคที่คลุมเอาไว้ เจ้าของเสื้อหยุดคิดทุกอย่างเมื่อพบว่าคนตรงหน้าของเขาคงกำลังหนาวจะแย่ แต่ก็ไม่ยอมปริปากอะไร ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปดึงร่างนั้นเข้ามากอดไว้


    “อ๊ะ.....”

    “นิ่งๆน่ะ หนาวไม่ใช่รึไง”

    “.........”

     

    แพคฮยอนไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าอบอุ่นแค่ไหนเวลาที่ไคกอด กลิ่นประหลาดอบอวลรอบกายของทั้งสองอีกครั้ง ไคกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน เพียงแต่เวลานี้ที่แปลกไปคือความรู้สึกที่เปลี่ยนไป นอกจากแค่อยากจะครอบครองไปตามอารมณ์แล้ว เขากลับอยากจะปกป้องขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ

     

    ความคิดแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอกว่าให้ทำตามความถูกต้อง แต่อีกใจกำลังยุให้ทำในสิ่งที่ปรารถนา

     

    แพคฮยอนมองหน้าของไคอย่างฉงนสงสัย

    “ท่านไค ท่านเป็นอะไรรึเปล่า”

    “ปะ เปล่าหรอก ช่างข้าเถอะ”

    “แต่หน้าท่านแดงมากเลยนะ ร้อนหรือ” แพคฮยอนทำท่าจะดันตัวเองออกเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายอาจกำลังร้อนที่ต้องมาเบียดอยู่กับเขาแบบนี้ แต่แล้วไคก็ไม่ยอมปล่อย

    “บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร”

    “แต่....”

    “เงียบนะ ข้าไม่อยากฟัง” เสียงเข้มเอ่ยดุทำเอาอีกคนต้องเงียบไป

     

    เขาอยากบอกเหลือเกินว่าอย่ามาทำหน้าตาไม่ประสาแล้วเซ้าซี้เรื่องอะไรอย่างนี้จะได้ไหม เกิดเป็นผู้ชายเหมือนกันไม่เคยรู้อะไรเลยหรืออย่างไร

     

    แม้ปากจะบอกว่าไม่แต่ร่างกายกลับทำตรงกันข้าม  ไคหลับตานิ่งให้กลบความต้องการเอาไว้ แพคฮยอนที่แนบหน้ากับอกกว้างรู้สึกได้ถึงแรงเต้นของหัวใจ ไม่ใช่แค่อีกฝ่ายหรอกนะ เขาเองก็เหมือนกัน

    ใบหน้าสวยหวานของหญิงสาวเงยขึ้นอีกครั้ง ริมฝีปากหนาที่อยู่ใกล้ทำให้หัวใจสั่นไหวอย่างสุดจะทน แสงจันทร์ทอลงมากระตุ้นให้เลือดในกายเริ่มไหลเวียน

     

    แพคฮยอนรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่กรุ่นอยู่ในกาย และกว่าที่จะรู้ตัวพวงแก้มที่เปื้อนน้ำตาก็ถูกจุมพิตอุ่นๆแนบทับลงมา ไคกำลังทำในสิ่งที่เขาไม่อยากจะปฏิเสธมัน ใบหน้าคมก้มจูบซับน้ำตาให้หมดไปจากใบหน้าของแพคฮยอน

    “ทะ ท่านไค”

    “อะไร”

    “เดี๋ยวก่อน .. ข้า อยากถามอะไรสักอย่าง”

    “ว่ามาสิ” ใบหน้าคมยั้งตัวเองให้รอฟังสิ่งที่คนในวงแขนของเขาอยากจะเอ่ย ใบหน้าหวานหลุบตาลงอย่างคนไม่มั่นใจ แพคฮยอนไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไร แต่หัวใจมันเจ็บแปลบอย่างที่ไม่สามารถทนได้แล้วเหมือนกัน

    “ข้าเกลียดท่านมาตลอด แล้วท่านเองก็เกลียดข้า”

    “.....................”

    “แล้วทำไม แล้วตอนนี้ท่านช่วยข้าไว้ทำไม.. ท่านแค่มีน้ำใจ หรือเพราะถูกใครขอร้องมาใช่ไหม .. ตอบข้าที.....”

     

    น้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นมาตามแก้มอีกครั้ง คนฟังกลืนก้อนสะอึกลงคอไปจนหมด ไคไม่รู้จะตอบว่าอะไรได้อีกเมื่อเห็นน้ำตาของอีกฝ่าย รู้เพียงแค่ไม่อยากให้มันไหลออกมาก็เท่านั้น

     

    “ไม่ใช่อะไรทั้งนั้นแหละ แต่ที่ข้าไม่ชอบใจที่สุดคือ ไม่อยากจะเห็นน้ำตาของเจ้า”

     

    หัวหน้าเผ่าผู้ซึ่งไม่เคยอ่อนข้อให้ใครกำลังเอ่ยออกไปในสิ่งที่เขาไม่จำเป็นต้องกลั่นกรอง ใจดวงน้อยที่แม้ไม่ได้คำตอบชัดเจนแต่เพียงเท่านี้มันก็พองโตคับอกอย่างยากจะอธิบายแล้ว

     

    “เงียบซะ....” สันจมูกโด่งคลอเคลียไม่ห่างจากพวงแก้มที่เขาเคยเป็นเจ้าของมันมาแล้ว เรียวปากอิ่มถูกฉกฉวยอิสรภาพอีกครั้งอย่างแนบแน่น เรียวลิ้นร้อนค่อยๆดุนดันเข้าไปช้าๆ ไม่ถึงกับอ่อนโยนแต่ไม่รุนแรงก้าวร้าวอย่างเช่นทุกที

     

    “อืม .....”

     

    ไร้ซึ่งแรงขัดขืน มีเพียงร่างกายที่โอนอ่อนไปตามความต้องการของหัวใจที่ไม่ต่างกัน

     
     

     

                                                        - ฉากต่อไปนี้เป็นฉากถูกตัดค่ะ -

     สามารถขอได้โดย
    1. เมนชันมาถามที่ @gorn_dbsk
    2. อีเมล์มาขอ alivegorn_no@hotmail.com

     

     

     

    ◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇

     

     

     

    หลังจากที่กลับออกมาจากป่าลึกในยามเช้า ไคก็พบว่าทุกคนรอเขาอยู่ที่นี่ แพคฮยอนกลับมาอยู่ในร่างเดิมแล้วแต่ยังไม่ได้สติจึงกำลังนอนหลับอยู่ในห้องนอนโดยมีแม่บ้านคนหนึ่งดูแลอยู่ ดูท่าว่าจะเหนื่อยล้าเกินไปทั้งเรื่องร้ายๆที่ต้องพบเจอ .. และเรื่องนั้นที่เขาเป็นคนทำ

     

     

    แสงอ่อนส่องกระทบเรือนไม้ใหญ่ของท่านหัวหน้าเผ่าในเช้าที่ไม่สดใสนัก เก้าอี้ทุกตัวในห้องกลางเรือนแทบไม่มีตัวเว้นว่างเพราะการอยู่พร้อมหน้าของทุกคนในวันนี้ ระหว่างทางที่กลับมานั้นท่านหัวหน้าเผ่าใช้เวลาคิดอยู่ในหัวเพื่อจะเอาคำตอบให้ได้ และเมื่อกลับมาก็พบว่ามีใครสักคนที่จะสามารถตอบคำถามเขาได้

     

    อี้ฟานนั่งนิ่งติดกับจุนมยอนด้วยกลัวว่านายของตัวเองจะเค้นถามด้วยความรุนแรง ตามด้วยเซฮุนที่นั่งถัดมาด้วยใบหน้าเหนื่อยล้าเพราะยังไม่ได้พักผ่อนแต่ด้วยความเป็นห่วงอาการของเพื่อนใหม่ที่เขาเห็นมากับตาจึงอยากจะฟังคำตอบให้ได้เหมือนกัน

     

    จื่อเทามองเซฮุนด้วยสายตาเป็นห่วงจากฝั่งที่เขายืนอยู่ข้างกับร่างของนายตัวเอง ไคนั่งเผชิญหน้ากับทุกคนด้วยแววตานิ่งที่เอาแต่จ้องพี่ชายของแพคฮยอน จุนมยอนตั้งสติและเอ่ยออกมาก่อน

     

    “ขอบใจท่านมากที่ช่วยเหลือน้องชายของข้า ที่เล่ามาทั้งหมดข้าพอจะเห็นภาพแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับแพคฮยอน แม้ว่าบางอย่าง.....”

    ชายหนุ่มเงียบไปพลางจ้องตากับคนที่ถูกกังขาว่าทำอะไรลงไป ไคเงียบไปกับทุกสายตาที่จ้องเขาราวกับว่าเป็นฆาตรกร แม้แต่ลูกน้องตัวเองทั้งสองคนก็ไม่ต่างกัน เซฮุนเป็นคนที่กล้าจะพูดออกมามากกว่าใคร


    “ท่านไค ข้าถามตรงๆนะ ท่านกับแพคฮยอน.....”

    “ทำไม”

    “ตามที่ข้าสังเกตทุกอย่าง ท่านกับแพคฮยอน มีอะไรกันหรือเปล่า”

     

    ถึงตรงนี้ทุกคนก็เงียบไปเพื่อรอฟังคำตอบ ไคถอนหายใจเบาๆ ถึงเขาจะเป็นคนที่ดูร้ายกาจและไม่เป็นมิตรกับใคร แต่ทุกเรื่องที่ทำลงไปเขาก็พร้อมจะยืดอกรับเสมอ ... แม้ว่าเรื่องที่ว่านั้นจะยังไม่ได้กล่าวเล่าอะไรให้ชัดเจนก็ตาม

    “อืม ..”

     

    คำตอบรับสั้นๆนั้นคนฟังไม่เข้าใจหรอกว่ามีเรื่องอะไรกันแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมานอกจากอึ้งไปเล็กน้อย รายละเอียดมากมายนั้นท่านหัวหน้าเผ่าไม่อยากจะหยิบยกมาพูดในวันนี้ แต่ที่เขาอยากจะถาม

    “สิ่งที่ข้าต้องการรู้คือเรื่องของน้องชายเจ้ามันเป็นมาอย่างไรจุนมยอน” ไคถามอย่างจริงจัง

     

    จุนมยอนมองหน้าอี้ฟานก่อนจะมองหน้าทุกคนแล้วเริ่มเอ่ยช้าๆ

    “ข้าก็ไม่รู้อะไรมากหรอกนะ แต่จะเล่าเท่าที่เข้าใจก็แล้วกัน  ... ท่านยายของข้าเคยเล่าให้ฟังตอนเด็กๆที่ข้าเริ่มจะรู้ประสา ท่านยายบอกว่าแพคฮยอนถูกสาปมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ของพวกเรา”

    “ใครกันที่ทำเรื่องอย่างนั้น”

    “ท่านยายบอกข้าว่า .. คนๆนั้นคือนายหญิงของเผ่าพวกท่าน”

    “ว่าไงนะ นายหญิงงั้นเหรอ”

     

    ไคขมวดคิ้วแน่นเช่นเดียวกับจื่อเทาที่จ้องตากับอี้ฟานซึ่งยิ้มมาให้ราวกับพอจะรู้เรื่องก่อนแล้ว เซฮุนเองก็ไม่ต่างกัน ใบหน้าน่ารักอึ้งไปเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน นึกย้อนไปกับท่าทีของแพคฮยอนที่เจอกันทุกครั้ง เหมือนอีกฝ่ายอยากจะเล่าอะไรหรือมีเรื่องทุกข์ใจแต่ก็เก็บเงียบเอาไว้

     

    “นายหญิงที่เจ้าว่า หมายถึงท่านแม่ของท่านไคใช่ไหมจุนมยอน” อี้ฟานหันมาถาม

    “ข้าไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าเป็นนายหญิงของพวกท่าน”

    “ถูกแล้วล่ะอี้ฟาน ถ้าช่วงยี่สิบปีก่อน ตอนที่พวกเรายังเป็นเด็ก นายหญิงของเผ่าเรามีคนเดียว และไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้นอกจากท่านแม่ของข้า” ไคเอ่ยเสียงเข้มก่อนจะสบตากับคนเล่าอีกครั้ง

     

    “แต่ข้าขอถามหน่อยเถอะ เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเป็นท่านแม่ของข้า ถ้าไม่มีหลักฐานก็ไม่ควรปรักปรำกันเช่นนี้”

    “หลักฐานงั้นเหรอ ข้า .. ข้าไม่มีหรอก.....” จุนมยอนเอ่ยตรงๆ เขาแค่จะเล่าให้ฟังในเรื่องที่ได้ยินมาแต่เมื่ออีกฝ่ายยืนกรานแบบนี้

     

     





     

    “หลักฐานน่ะไม่มีหรอก แต่ถ้าเรื่องราวจากปากแม่ของเจ้าน่ะ ปู่มี”

    เสียงแหบพร่าดังขึ้นท่ามกลางทุกสายตาที่หันไปมอง ร่างสูงของชายชราในชุดคลุมยาวสีเทาเข้มเดินย่างเข้ามาพร้อมกับไม้เท้าในมือข้างหนึ่ง ไคลุกขึ้นยืนแล้วตรงเข้าหาชายคนนั้นทันที

     

    “ท่านปู่ ท่านมาได้อย่างไร แล้วเด็กพวกนั้นหายไปไหนหมด” ไคมองไปด้านหลังแล้วไม่พบบริวารของท่านปู่ ใบหน้าคมทำทีจะคาดโทษคนพวกนั้น

    “อย่าไปโทษใครเลย ข้าห้ามไม่ให้ตามมาเองแหละ” ชายชราเอ่ยอย่างใจเย็น ไคประคองแขนนั้นให้เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ข้างกับเขา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของอดีตท่านหัวหน้าเผ่ารุ่นก่อนจากพ่อของเขาจ้องมองทุกคนที่ค้อมศีรษะให้อย่างเคารพ

     

    “ข้าพอจะเห็นว่าพวกเจ้ากำลังมีเรื่องวุ่นวายเข้ามาให้แก้ไขกัน และอยากจะบอกเรื่องบางอย่างที่ข้าก็รู้มาเช่นกัน”

    “แล้วที่ท่านปู่พูดเมื่อกี้นี้หมายความว่าอย่างไรครับ” ไคถาม

    “อย่างที่มนุษย์ผู้นี้ ..เจ้าชื่ออะไรนะ” ท่านอดีตหัวหน้าเผ่าเอ่ยถามคนที่นั่งทำหน้าวิตกอยู่

    “จุนมยอนครับ”

    “อืม .. อย่างที่ข้าได้ยินตอนเข้ามา จุนมยอนพูดไม่ผิดหรอกเรื่องที่แม่ของเจ้าเป็นคนสาปน่ะจงอิน” ชื่อจริงของไคหลุดออกมาจากปากท่านปู่ของเขา ผู้เป็นหลานขมวดคิ้วแน่น

     

     

    มนุษย์หมาป่าในวัยชราถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาอีก

     

    “เจ้าบอกว่าท่านยายของเจ้าเล่าให้ฟังใช่ไหมจุนมยอน”

    “ครับ ท่านยายของข้าฟังมาจากท่านพ่อและท่านแม่ของข้าอีกที และก็เล่าให้ข้าฟังโดยที่เรายังไม่กล้าจะบอกกับน้องชาย”

    “อืม .. ข้าเองก็รู้มาจากนายหญิงของเผ่าที่เจ้าพูดถึงเช่นกัน ลูกสะใภ้ของข้าเล่าเรื่องทุกอย่างที่แม้ว่าจะเป็นความผิดมหันต์ของเธอแต่ก็ทำลงไปโดยไม่มีทางเลือก”

     

    ทุกคนนั่งจ้องตรงมาที่แหล่งข้อมูลทั้งสองอย่างใจจดใจจ่อ โดยเฉพาะท่านหัวหน้าเผ่าที่ยังหนุ่มแน่นที่รอฟังอย่างตั้งใจ

     

    เรื่องราวเร้นลับและคำตอบทั้งหมดถูกร้อยเรียงจากคำเล่าของจุนมยอนและอดีตหัวหน้าเผ่ามนุษย์หมาป่า

     

     

     

     

    .

    .

    ยี่สิบปีก่อน

     

     

    ในยุคสมัยที่มนุษย์บางกลุ่มเริ่มออกล่าล้างเผ่าพันธุ์ของมนุษย์หมาป่าอย่างจริงจังเพราะความโกรธแค้นที่เคยถูกจู่โจม

     

     

    ลึกเข้าไปในป่าดิบชื้นยามพลบค่ำ สามีภรรยาคู่หนึ่งวิ่งหนีตายจากการตามล่าของมนุษย์กลุ่มหนึ่งในเมืองหลวง พละกำลังทั้งหมดไม่เหลือพอจะเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์สี่เท้าอย่างทุกที ทั้งสองปล่อยให้คนคุ้มกันต่อสู้อยู่ตามทางที่จากมา  

    “เยอิน เจ้าล่วงหน้าไปที่หมู่บ้านก่อนเถอะ กองกำลังของเราที่ต้านพวกนั้นอยู่ดูท่าจะไม่มีใครเหลือรอดแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยกับคนรักที่เขาไม่อยากให้ต้องบาดเจ็บไปมากกว่านี้ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลลึกนั้นยังไม่เท่าไหร่ แต่อีกฝ่ายจะต้องไม่เป็นอะไร นายหญิงของเผ่าจะต้องอยู่รอดปลอดภัย

    “ไม่ได้นะท่านพี่ เราต้องกลับไปพร้อมกัน”

    “แต่มันไม่มีเวลาแล้ว เจ้าต้องรีบหนีกลับไปไม่อย่างนั้นอาจเสียเลือดไปมากกว่านี้”

    “แล้วท่านล่ะ ท่านจะไม่ไปด้วยงั้นหรือ” ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของหญิงสาวเอ่ยอย่างทรมานใจ เธอไม่มีวันทิ้งเขาเอาไว้ได้ ร่างสูงของหัวหน้าเผ่าหมนุษย์หมาป่าดึงภรรยาเข้ามากอดไว้แน่น

    “ข้ารักเจ้านะ รักมากกว่าใครทั้งนั้น เพราะฉะนั้นแล้วข้าจะไม่มีวันให้เจ้าต้องมาตกอยู่ในอันตรายดังเช่นวันนี้อีก”

    “ฮึก ... ไม่นะ ข้าไม่ไป”

    “ฟังข้านะคนดีของพี่ สำหรับข้าแล้วเจ้าคือผู้หญิงที่ข้ายอมแลกได้แม้แต่ชีวิต แต่สำหรับทุกคนแล้วเจ้าคือผู้หญิงคนเดียวของเผ่าเราที่จะสามารถสืบทอดทายาทต่อไปได้”

    “ไม่ ข้าจะไม่มีใครนอกจากท่าน”

    “เพราะอย่างนั้นไงเจ้าจึงต้องตามหามนุษย์หมาป่าตัวเมียที่ยังมีชีวิตรอดจากการล่าล้างของคนพวกนั้น”

    “แต่ทุกคนตายหมดแล้ว”

    “ฟังนะเยอิน ... ตอนนี้เจ้าต้องกลับไปที่หมู่บ้าน ทุกคนรอเจ้าอยู่ แล้วจงอินลูกของเราก็รอเจ้าเช่นกัน เจ้าต้องกลับไปหาเค้า เลี้ยงดูเค้าให้เติบใหญ่เป็นที่พึ่งพาของเผ่าเราแทนข้า” เขาเอ่ยเสียงสั่นขณะที่น้ำตาลูกผู้ชายจะร่วงลงมาเช่นกัน

     
     

    ร่างของชายหนุ่มพูดได้เท่านั้นก็ต้องจำใจผละออกจากภรรยาที่รัก หญิงสาวแทบขาดใจเมื่อเลือดทั้งหมดทะลักออกมาจากปากของคนตรงหน้าเพราะบาดแผลที่เพิ่งเจอ

    “ท่านพี่ ท่านพี่....”

    “ถอยไปเยอิน พวกนั้นกำลังใกล้เข้ามาแล้ว”

    “แต่ข้า...”

    “ถอยไป ข้าบอกให้ถอยไปไง แล้วรีบหนีไปซะ!!” ไม่ทันขาดคำเสียงฝีเท้าของมนุษย์พร้อมอาวุธครบมือก็ปรากฏใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ท่านหัวหน้าเผ่าซึ่งไร้ลูกน้องคู่กายหยัดยืนขึ้นด้วยร่างที่เต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ใบหน้านั้นหันมาหาภรรยาที่รักที่ยืนมองด้วยหัวใจที่ทรมาน

     

    ยิ้มสุดท้ายส่งมาให้เธอพร้อมน้ำตาที่หลั่งไหลก่อนที่ความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าเผ่าจะทำให้ต้องหันออกไปต่อสู้กับมนุษย์ใจยักษ์เพื่อปกป้องชนเผ่าเอาไว้ เยอินหัวใจขาดสะบั้นลง ทุกย่างก้าวที่เธอวิ่งจากมานั้นเมื่อหันหลังไปมองจะเห็นว่าร่างของผู้เป็นที่รักกำลังล้มลงครั้งแล้วครั้งเล่า

     

     

     

     

     

    “ฮึก ... ฮือ” ใบหน้างดงามของผู้เป็นถึงนายหญิงกำลังเดินร่ำไห้อยู่ท่ามกลางป่าลึก ร่างเพรียวบางในชุดสีขาวย้อมแดงไปด้วยเลือดของผู้ซึ่งเป็นที่รักและเลือดจากบาดแผลของเธอเอง น้ำสีแดงหยดแหมะลงตามพื้นดินที่เดินผ่านอย่างอ่อนแรง


    “อึก ... ข้าไม่ไหวแล้ว ท่านพี่ ท่านจะมาพาข้าไปอยู่ด้วยแล้วใช่ไหม” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เมื่อใบหน้าของลูกชายวัยแปดขวบปรากฏขึ้นมา หญิงสาวจึงหยัดกายเพื่อหาที่พักเอาแรงให้พ้นจากมนุษย์พวกนั้น

     

    ที่ตรงนี้เป็นโขดหินซึ่งห่างจากลำธารไปไม่ไกล แผ่นหลังบางพิงแนบลงพลางหายใจรวยริน พลังของเธอแทบจะไม่มีแล้ว เวทย์ที่จะใช้รักษาจึงได้แค่พอบรรเทาปากแผลที่ช่วงท้องเอาไว้ไม่ให้เลือดไหลหนักกว่าเดิม

     

    มีเพียงเสียงจั๊กจั่นร้องระงมท่ามกลางความเงียบที่เหยียบลงมาในหัวใจ น้ำตาเม็ดโตไหลอาบแก้มเมื่อนึกถึงคนที่จากมา

     

    แต่แล้วเมื่อความรู้สึกบางอย่างกำลังบอกเธอว่าไม่ได้อยู่คนเดียว ....

     

     


     

    ห่างออกไปจากโขดหินไม่ไกลนัก

     

    “ฮึก ... เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ อย่าทิ้งข้ากับลูกไปนะ” หญิงสาวในชุดคลุมตัวยาวที่ตั้งครรภ์ได้หลายเดือนแล้วกำลังนั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่กับร่างของสามีที่อาบไปด้วยเลือด โดยมีลูกชายวัยสามขวบนั่งร้องไห้อยู่อย่างไม่เข้าใจอะไรนัก

    “พ่อ......”

    ชายหนุ่มกุมมือตัวเองกับบาดแผลที่ได้จากพวกมนุษย์ที่บุกจู่โจมทำร้ายพวกเขาระหว่างที่เดินทางกลับจากเมืองเพื่อตรงไปยังหมู่บ้านในป่า คนพวกนั้นบุกโจมตีมนุษย์ด้วยกันเพียงเพื่อตามล่าหามนุษย์หมาป่าที่แยกแยะไม่ออกว่าใครจะใช่หรือไม่ใช่  เป็นมนุษย์ด้วยกันแท้ๆแต่กลับทำได้ลงคอ ชายหนุ่มพาครอบครัวหนีตายเข้ามาในป่าลึกโดยไม่รู้ทิศทาง แต่ระหว่างที่ต่อสู้กันเขาก็ได้รับบาดแผลขาดใหญ่ที่ดูท่าว่าจะทำให้เดินต่อไปไม่ไหวแล้ว

     

    “ฮึก .. เจ้าทำใจดีๆไว้นะ ขะ ข้าจะปิดแผลให้ก่อน” ร่างของหญิงสาวที่ตั้งครรภ์พยายามจะลุกขึ้นเพื่อตรงไปยังลำธาร แต่เธอกลับถูกสามีรั้งเอาไว้ มือหนาดึงภรรยาให้นั่งลงข้างกายก่อนจะรวบร่างของลูกชายมากอดเอาไว้

    “พ่อ พ่อเลือดไหล ....” เด็กน้อยขยับยุกยิกเหมือนจะงอแงกับผู้เป็นพ่อ

    “อย่าดื้อกับพ่อสิจุนมยอน”

    “อย่าดุลูกเลยจินยอน .. อึก” พูดไม่ทันขาดคำ เรี่ยวแรงทั้งหมดก็พลันหายไป มือที่กอดร่างของลูกชายเอาไว้ต้องตกลงไปข้างกาย

    “มะ ไม่นะ เจ้าอย่าขยับสิ เลือดไหลไม่หยุดเลยเห็นมั้ย ...ฮึก” ใบหน้าสวยหวานน้ำตานองหน้า เด็กน้อยเห็นคนเป็นแม่ร้องไห้ก็เริ่มจะงอแงขึ้นมาอีก ใบหน้าน่ารักเบะปากขึ้นมาทันที

    “แง๊ ......”

    “อย่าร้องสิลูก อย่าร้องนะ”

     

    คนเป็นหัวหน้าครอบครัวมองดูลูกเมียตัวเองที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ข้างกาย อยากจะเอื้อมแขนเข้าไปกอดไว้แนบอกแต่กลับหมดเรี่ยวแรง

    “ดูแลตัวเองและลูกให้ดีที่สุดนะจินยอน .. อึก”

    “ไม่นะ ไม่.. ใครก็ได้ช่วยที ช่วยสามีของข้าด้วย”

     

    เสียงของหญิงตั้งครรภ์ร้องขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก เธอกอดลูกชายเอาไว้ข้างกายคนรักที่หายใจรวยริน

     

    ทันใดนั้นเงาดำที่เผยกายออกมาจากโขดหินก็ทำให้ทั้งครอบครัวต้องหันไปมอง ร่างเพรียวในชุดขาวยาวที่เปื้อนสีเลือดย่างก้าวเข้ามายังที่พวกเขาอยู่ ใบหน้างดงามมองลงมายังเบื้องล่าง เยอินเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ทั้งที่ทำอะไรไม่ถูก เห็นแล้วช่างน่าเวทนาไม่ต่างจากตัวของเธอเองเลยแม้แต่น้อย

     

    “ทะ ท่าน ได้โปรดช่วยสามีของข้าด้วยเถิด” จินยอนสะอึกสะอื้นขอร้องทั้งที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นใครมากจากไหน แต่เพราะไม่มีทางเลือกแล้วจึงต้องคว้าเอาไว้แม้ความหวังจะริบหรี่เต็มที

     

    มนุษย์หมาป่าสาวฝืนยืนนิ่งเข้าไว้ทั้งที่กำลังเจ็บเจียนตาย ภาพของครอบครัวตรงหน้าทำเอาเธอแสนสงสาร เรียวปากอิ่มเอื้อนเอ่ยออกไปสั้นๆ

    “ข้าไม่ใช่ผู้วิเศษ ข้าช่วยสามีของเจ้าไม่ได้จริงๆ”

     

    หญิงงามแม้จะอยู่ในชุดสีขาวเปื้อนเลือด หากแต่ในสายตาของคนจนตรอกนั้นมันช่างราวกับนางฟ้า ใบหน้าสวยหวานของหญิงที่อุ้มท้องลูกของเธอนั้นเงยมองคนที่ยืนอยู่อย่างหมดความหวัง

    “ฮึก .. สามีของข้ากำลังจะตาย แม้แต่ในเวลานี้ ตองแลกกับอะไรข้าก็ยอม”

     

     

    นายหญิงแห่งเผ่ามนุษย์หมาป่าก้มหน้ามองเธออีกครั้ง มนต์ตราที่พอจะมีนั้นแค่เอาตัวรอดอาจจะยังไม่ไหว นึกถึงคำที่คนรักบอกเอาไว้ แล้วไหนจะเรื่องราวในเผ่าที่ถูกล่าล้างด้วยมนุษย์อีก มนุษย์หมาป่าสาวถูกเข่นฆ่าเพื่อไม่ให้เผ่าของพวกเธอมีทายาทสืบกันมา แล้วแผ่นดินนี้จะมีใครที่ไหนอีก หรือเผ่าพันธุ์นี้จะต้องดับสูญเข้าจริงๆ

     

    ดวงตาคู่สวยหรี่ลงมองคนเบื้องล่างที่กุมมือสามีของเธอเอาไว้ เสียงเด็กน้อยร้องงอแงอยู่ข้างกับร่างที่เต็มไปด้วยเลือด แววตาเย็นชามองนิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนที่สายตะจะเลื่อนลงไปที่ท้องของหญิงมีครรภ์

     

    ทั้งที่รู้ตัวดีว่าตัวเองคงจะไม่รอดเป็นแน่ แต่ด้วยภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของนายหญิงแห่งชนเผ่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ด้วยแล้ว ทางไหนดีที่เธอควรจะเลือก ความถูกต้องหรือความผิดมหันต์ .. แต่ถ้าต้องแลกกันกับทั้งหมด เธอก็ยอมเลือก

     

    “นี่ .. ข้าอาจจะพอช่วยสามีของเจ้าได้นะ”

     

    หญิงสาวที่เอาแต่ร้องไห้เงยขึ้นมองคนที่ยืนอยู่

     

    “ท่าน หมายความว่ายังไง”

    “ข้าอาจจะช่วยสามีของเจ้าได้”

    “จริงหรือ ท่านจะช่วยได้จริงๆหรือ ท่านมียาใช่ไหม หรือท่านเป็นหมอ”

    “ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละ” ใบหน้างดงามเอ่ยสั้นๆ เธอนั่งลงข้างกับหญิงสาวที่ดูจะขวัญเสียพอตัว เด็กน้อยยังคงร้องไห้โยเยอยู่ข้างกายของผู้เป็นแม่ เธอหันหน้าสบตากับคนที่จ้องกลับมาอย่างมีความหวัง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย

    “ละ แล้ว ท่านจะช่วยสามีของข้าอย่างไร”

    “ข้าช่วยได้แล้วกัน แต่มีข้อแม้อยู่หนึ่งข้อ”

    “ข้อแม้ ......”

    “ใช่ ข้าชื่อคิมเยอิน นายหญิงเพียงหนึ่งเดียวของเผ่ามนุษย์หมาป่าที่คนธรรมดาอย่างพวกเจ้ากลัวนักกลัวหนา” ถึงตรงนี้คนฟังก็เงียบไป จินยอนถดกายออกห่างพลางกอดร่างลูกชายเอาไว้แน่น

    “มะ หมายความว่ายังไง ท่านจะทำอะไร”

    “หญิงในเผ่าของข้าถูกล่าล้างจนหมดไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเพราะมนุษย์กลุ่มนั้น”

    “.....................”

    “ข้าเองก็อาจจะไม่สามารถรอดพ้นคืนนี้ไปได้เช่นเดียวกับสามีของเจ้า เพราะฉะนั้นแล้ว ... แลกกับเงื่อนไขเพียงข้อเดียว ข้อเดียวเท่านั้น สามีของเจ้าจะหายจากบาดแผลทั้งหมดด้วยมนต์ตราที่ข้ามี”

     

    สองสายตาสบกันครู่ใหญ่ คำตอบเดียวที่หญิงสาวตั้งครรภ์เลือกจึงได้เปลี่ยนแปลงชีวิตลูกในท้องของเธอไปตลอดกาล

     

     

     

     

                       คืนนั้นเองที่นายหญิงของเผ่ามนุษย์หมาป่าใช้มนต์ตราทั้งหมดรักษาชายคนนั้นจนร่างกายของตัวเองไม่สามารถทานทนกับบาดแผลเดิมไหว คำสาปต้องห้ามสุดท้ายที่เธอใช้ไปกับเด็กในท้องของหญิงคนนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจ

     

                   “เมื่อเด็กคนนี้ลืมตาขึ้นมาดูโลกจนครบยี่สิบปีบริบูรณ์เมื่อใด ในคืนพระจันทร์เต็มดวงคืนแรก คำสาปของข้าจะบังเกิดผลเมื่อนั้น .. โชคชะตาจะเปลี่ยนไป ลูกของเจ้าจะต้องเป็นผู้ให้กำเนิดทายาทของชนเผ่ามนุษย์หมาป่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ... และหลังจากที่ทุกอย่างสัมฤทธิ์ผล คำสาปของข้าที่ติดตัวเค้ามาตั้งแต่เกิดก็จะค่อยๆจางหายไปเอง ที่เหลือก็แล้วแต่โชคชะตาจะนำพา”

     

     

     

     

    เรื่องราวทั้งหมดที่แสนไม่น่าเชื่อถูกถ่ายทอดออกมาให้ทุกคนในเรือนได้ฟังกัน

    ความเงียบปกคลุมลงมาพร้อมบรรยากาศที่ยังอึ้งกันอยู่อย่างนั้น ชายชราอดีตหัวหน้าเผ่าจึงเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น

     

    “หลังจากนั้น เยอินก็ซมซานกลับมาที่หมู่บ้านในยามเช้า เธอกลับมาด้วยสภาพที่ปางตายโดยไร้ร่างของหัวหน้าเผ่าที่น่าจะกลับมาด้วยกัน ข่าวร้ายคือพ่อของจงอินตายด้วยน้ำมือมนุษย์พวกนั้น แต่ข่าวดีก็คือแม่ของจงอินที่รอดมาได้และพบกับลูกชายของเธออีกครั้ง”

     

    ไม่มีใครเอ่ยขัดอะไรออกมา

     

    “แต่ไม่กี่วันเท่านั้นที่ลูกสะใภ้ของข้าได้นอนป่วยอยู่บนเตียง เธอเล่าทุกอย่างให้ข้าฟังจนหมดพร้อมกับร่ำไห้ที่ทำให้ชีวิตของคนๆหนึ่งนั้นต้องคำสาปต้องห้ามของเธอ และใครก็ตามที่ใช้คำสาปนี้แล้วก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน .. หลังจากนั้น นายหญิงเพียงคนเดียวของเผ่าเราก็เสียชีวิตลง”

     

    “..................”

     

    ทุกคนเงียบกันอีกครั้งกับเรื่องเล่าอันน่าสลดใจนี้ จุนมยอนปาดน้ำตาของตัวเองออกแล้วเอ่ยตามอีกที

     

    “แต่นายหญิงคนนั้นก็ได้ช่วยชีวิตพ่อของข้าเอาไว้ และหลังจากที่ครอบครัวข้ากลับไปที่หมู่บ้าน ไม่กี่เดือนต่อมาแม่ก็คลอดน้องชายของข้า ไม่มีเรื่องผิดปกติอะไรเกิดขึ้นกับแพคฮยอน นอกจากต้องรอดูในวันที่อายุของเค้าครบยี่สิบปี พ่อกับแม่เก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับยกเว้นกับท่านยายที่แม่เล่าให้ฟัง แม่ที่เป็นคนตัดสินใจรับเงื่อนไขนั้นมารู้สึกผิดจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต แม่เคยบอกข้าเอาไว้แค่สั้นๆว่าให้ดูแลน้องดีๆ ห้ามทิ้งน้องเด็ดขาด ตอนนั้นข้ายังไม่เข้าใจนักแต่ตอนนี้ข้ารู้แล้ว .. จากนั้นต่อมาหลายปีพ่อกับแม่ก็เสียชีวิตไปเพราะอุบัติเหตุระหว่างทำงาน ท่านยายเลี้ยงพวกข้าให้เติบโตมาโดยที่เล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังเมื่อตอนอายุสิบหก เราไม่เคยบอกอะไรกับแพคฮยอนเลยนอกจากเฝ้าดูเขามาตลอดเวลา รอดูการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น .. จนถึงตอนนี้ที่เรื่องกลายมาเป็นอย่างที่พวกเราเห็น”

     

    ทุกคนมองมาที่จุนมยอนเป็นตาเดียวกัน ชายหนุ่มเอ่ยสั้นๆอีกครั้ง

     

    “และการที่แพคฮยอนกลายร่างเป็นหมาป่าตัวเมีย และอยู่ในร่างของหญิงสาวเป็นชั่วโมง นั่นอาจเพราะว่าตอนที่ร่ายคำสาปนั้นไม่มีใครเอะใจเรื่องเพศของเด็กในท้อง .. และถึงแม้จะรู้ข้าก็ขอเดาเอาเองว่านายหญิงของพวกท่านก็คงไม่เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจอยู่ดี”

     

     

    “แบบนี้นี่เอง...” เป็นท่านไคบ้างที่หลุดคำพูดออกมา ชายหนุ่มก้มหน้าอย่างใช้ความคิด

     

    เรื่องกลิ่นประหลาดนั่นเขายอมรับว่าจะสัมผัสได้ก็ต่อเมื่อเป็นคู่ของตัวเองจริงๆ แต่ที่ปฏิเสธมาตลอดเพราะคิดว่ามันไม่น่าจะใช่ ส่วนเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับคนๆนั้นมันก็คือเรื่องที่ท่านแม่พลิกแพลงโชคชะตาเอาไว้อย่างนั้นสินะไคส่ายหน้าช้าๆโดยที่ทุกสายตาไม่สามารถคาดเดาได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

     

     

    สักพักเมื่อบรรยากาศเริ่มคลายลง ทุกคนก็เริ่มพูดคุยกับคนข้างกาย ยกเว้นก็แต่ท่านไคที่เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา ครู่ใหญ่เท่านั้นก่อนที่ห้องกลางเรือนจะมีร่างของใครสักคนปรากฏขึ้น จุนมยอนมองไปยังผู้มาใหม่

    “แพคฮยอน ...”

    “พี่” แพคฮยอนยิ้มกว้างอย่างดีใจที่ได้เจอกัน

    “โธ่ นี่เจ้าตื่นแล้วหรือ” พี่ชายลุกเดินเข้าไปหาน้องด้วยความเป็นห่วง ท่ามกลางสายตาของคนทั้งหมด

    “ใช่ เมื่อกี้นี้เอง แล้ว....” ใบหน้าที่ยังดูเหนื่อยล้ากวาดมองหาใครสักคนในห้องนี้ ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ส่วนคนที่เขาอยากจะเอ่ยอะไรด้วยกลับนั่งนิ่งอยู่อีกมุม แพคฮยอนแค่รู้สึกว่าอยากพบหน้า อยากเจอก็เทานั้น และที่สำคัญเขาอยากจะเอ่ยคำขอบคุณจากใจสำหรับทุกเรื่องที่อีกฝ่ายได้ช่วยเอาไว้

     

     

    ไคลุกเดินเข้ามาทางเขาที่ยังยืนอยู่หน้าประตูกว้าง แพคฮยอนยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยบางอย่างออกไป

    “ท่านไค ขอบคุณท่าน.......” ประโยคจากใจนั้นขาดห้วงไปเมื่ออีกฝ่ายเดินผ่านเลยราวกับไม่เห็นว่าเขามีตัวตน

     

     

    ไคเดินออกประตูไปอย่างไร้เยื่อใยใดๆท่ามกลางความสงสัยของทุกคน จุนมยอนมองหน้าน้องชายที่ปิดอาการผิดหวังเอาไว้ไม่มิด ท่าทีระหว่างคนทั้งสองชวนให้หลายคนเกิดคำถามในใจว่ามันคืออะไรกัน

     

     

    ใจดวงน้อยที่ยังไม่รู้อะไรกำลังปวดแปลบกับท่าทีหมางเมินเช่นนั้น ถ้าเป็นแต่ก่อนเขาเองก็ไม่คิดจะสนใจ แต่นี่มันคืออะไร... กับคนที่แสนเกลียด ทำไมถึงได้ปวดใจเพียงนี้

     

     

     

     

    ... สรุปแล้ว ข้ามันก็แค่ตัวภาระอย่างนั้นสินะ ท่านคงเหนื่อยและไม่อยากจะอดทนอะไรกับข้าอีกแล้ว

     

     

     

     

     

    .

    .

    Tbc. Ending Part  

     

     











     

    สวัสดีค่ะ ไม่รู้จะทอล์คอะไรนอกจากกรีดร้องเบาๆ .. ฟิคเรื่องนี้คืออัลไลคระ?? =v=

     

    น้ำเน่าๆ แต่ก็เห็นเงาจันทร์ (เต็มดวงเลยล่ะค่ะ)
    ไอ้ฉากเปลี่ยนร่างไปมานี่คนอ่านคงแบบ ตรูจิ้นไม่ทันแล้ว
    ในตอนนี้ก็เฉลยปมกันจนหมดแล้วนะคะ ทุกอย่างวกกลับมาเข้าคำว่าน้ำเน่าเช่นเดิม ....
    พาร์ทนี้หวังว่าจะโอเคนะ มันเร่งด้วยแหละไม่งั้นอาจจะดีกว่านี้ นี่อะไรไม่รู้อิรุงตุงนังจนเวียนหัว รีบปั่นรีบลง
    ว่าแต่เรื่องที่เฉลยมาคงไม่งงกันนะคะ มันน่าผิดหวังป่ะ มันไม่ได้ยิ่งใหญ่สมการรอคอยเล้ยยย
    #ยอมรับผิดแต่โดยดี


    ส่วนฉากจุดจุดจุด ขอโทษที่ไม่เต็มที่นะคะ เอาพอประมาณดีกว่าเนอะ (คือล้ามากอ่ะTT)

     

    น้องแพคจะแมนจะอะไรไม่ห่วง เราจิ้นน้องป๋ายแทนได้ นางมีหลายมิติ
    แต่เรื่องลำบากอีกอย่างคือช่วงนี้กัมจงมันสาวมาก เลยเขียนลุคท่านไคลำบ๊าก ลำบาก (นี่คนเขียนไม่ได้อ้างนะ
    55555)

     

    ฉากสุดท้ายสงสารน้องป๋ายมากง่ะ นึกหน้ามันตอนเหวอแบบผิดหวังมากๆ ...โอย โดดเข้ากอดเลยได้ไหม

     

     

    ขอบคุณที่ติดตามค่ะ พาร์ทหน้าตอนจบแล้วน้า ~~ (จากนั้นจะได้กลับมาเป็นคนปกติใน Just  A Beat เสียที) ;__;



    เจอกันพาร์ทหน้าคร่า !!

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×