คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : WHEN ? .. Chapter.[17] Up!! 100%
แอบมาลงช้าอีกแล้วค่ะ (ทำแต่งาน(เหรอ???? ..ฮา)) ทั้งที่ใกล้จบแล้วเชียว
ปีนี้ตั้งใจรีปรินท์ แต่ไม่รุตอนไหนอ่ะค่ะ .. เรื่องนี้ยังคงวุ่นวายไม่สิ้น
ทั้งที่เนื้อเรื่องเดาได้ไม่ยาก แต่กอนว่าหลายคนคงอยากรู้ตอนจบมั่งล่ะน่า^^
** พาร์ทนี้ยังคงเครียด จริงๆเห็นใจเชวมากๆเลยค่ะ แต่พอมองที่ผ่านมาแล้ว
ก็เออนะ สมควรล่ะ (ก็แหม ถึงตอนนี้ก็เข้าใจหรอกว่าเจ็บ) แค่นี้คงพอแล้วมั้ง
ถึงจะเครียดเช่นเคย แต่แอบมีมุมซึ้งๆนะถ้าลองรู้สึกไปตาม 555+
เรื่องใกล้จะจบ และคยูมินนี่ก็ช่างแย่งซีนจริง อะไรจริงๆ
------------------------------------------------
Chapter 17
เวลาที่หมุนไป ไม่ว่าจะกี่วัน หรือจะอีกกี่คืนก็ตาม คนที่เฝ้ารอก็ยังคงรออยู่ไม่ไปไหน เหตุผลงั้นหรือ .. จะมีสักกี่คนกัน ที่เลือกเหตุผลมากกว่าความรู้สึก
บ้านหลังใหญ่ในเช้าวันหยุด เงียบเหงาอยู่อย่างไรก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวลมองผ่านประตูห้องที่เปิดทิ้งไว้เข้าไปยังน้องชายและหลานสาวตัวน้อย ทั้งสองกำลังนั่งดูสารคดีอะไรสักอย่างอยู่บนเตียงนอนโดยมีพี่เลี้ยงสาวนั่งอยู่ที่เก้าอี้อีกมุมของห้อง
กว่าที่ฮันคยองจะเกลี้ยกล่อมให้ดงแฮกลับมาอยู่ที่ห้องตัวเองได้ก็ใช้เวลาพอสมควร แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับเวลาที่ผ่านไปหลายวันโดยที่ไม่มีซีวอนอยู่ที่บ้านหลังนี้อย่างเคย นับตั้งแต่ดงแฮออกจากโรงพยาบาลเขาก็เลือกที่จะไปอยู่โรงแรมแล้วไม่กลับมาที่บ้านอีกเลย และก็ไม่มีใครกล้าที่จะคัดค้านเรื่องนี้เพราะทุกอย่างมันบอกอยู่แล้วว่าทำไม อย่างน้อยตอนนี้สวรรค์ก็เข้าข้างอยู่บ้างที่ดงแฮและฮีชอลได้มีเวลาร่วมกัน แม้ว่าคนเป็นแม่ที่จำอะไรไม่ได้จะยังฝืนใจอยู่ก็ตามที
“คุณป้าฮันนี่ !” เสียงใสร้องขึ้นเมื่อเห็นร่างของใครคนหนึ่งตรงประตูห้องนอน ฮันคยองเห็นอย่างนั้นจึงต้องเดินเข้าไปหา ร่างเล็กของฮีชอลน้อยขยับออกจากหน้าตักของดงแฮเมื่อมีมืออีกคู่ยื่นมาหาแล้วอุ้มขึ้นไป แก้มทั้งสองข้างถูกหอมเข้าฟอดใหญ่ก่อนจะมีคำถามให้คนตอบลำบากใจตามเคย
“เมื่อไหร่คุณพ่อจะกลับบ้านคะ” รอยยิ้มของฮันคยองแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าลำบากใจ เขาหันมาหาอีกคนบนเตียงที่จงใจหันหน้าหนีอย่างไม่รับรู้อะไร
“ฮีชอลคิดถึงคุณพ่อ”
“จ้ะๆ คุณพ่อฝากบอกว่าไม่นานก็กลับแล้ว แต่ถ้าฮีชอลขี้แยคุณพ่ออาจกลับช้ากว่านี้นะ” ฮันคยองแกล้งบอกหลานสาวตัวน้อยที่ร่ำๆจะร้องไห้ออกมาให้พยักหน้าทำตามที่เขาบอก ดวงตาเรียบเฉยของอีกคนบนเตียงยังคงจ้องมองจอโทรทัศน์ตรงหน้าที่ยังมีรายการต่างๆฉายอยู่อย่างเดิม ท่าทางที่ไม่ได้สนใจคนที่ยืนอยู่นั้น ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
แต่จะให้เขาทำอย่างไร ในเมื่อไม่มีใครคิดจะพูดอะไร แล้วทำไมเขาจะต้องไปถามในสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้รู้ด้วยล่ะ .. กำแพงในใจหรือความทรงจำที่หายไปกันนะที่ทำให้วังวนความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองไม่กลับมาบรรจบกันอย่างเดิมเสียที
ฮันคยองเข้าใจไม่ผิดหรอกว่าดงแฮกำลังสับสน แค่มันไม่ถูกตรงที่เขาเข้าใจไปว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพราะความจำเสื่อมเพียงอย่างเดียว ฮันคยองไม่รู้หรอกว่าแท้ที่จริงแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้น ดงแฮจำไม่ได้ในตอนแรกแต่ก็เกือบจะเชื่อใจกับความอบอุ่นของซีวอนที่มีให้ในยามที่ตัวเองเหมือนคนไม่รู้ทิศทาง แต่แล้วโชคชะตาก็ไม่เลือกที่จะเข้าข้างคนผิด .. ความจริงที่แม้ว่าจะไม่มีใครตั้งใจปิดบัง แต่ก็ไม่มีใครคาด
คิดว่าคนที่จำอะไรไม่ได้จะต้องมารับรู้โดยไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน
หลังจากที่ซูยองพาฮีชอลไปอาบน้ำตามที่ฮันคยองสั่ง ในห้องจึงเหลือเพียงสองพี่น้องกับบรรยากาศที่แสนจะอึดอัด คนเป็นพี่หยิบรีโมทขึ้นมาปิดโทรทัศน์ที่แย่งความสนใจจากเขาไปจนหมด
“ทำอะไรน่ะ” ดงแฮถาม
“พี่สงสารฮีชอล”
“แล้วไง .. บอกผมแล้วเลิกสงสารมั้ย”
“ดงแฮ !!” ฮันคยองขึ้นเสียงทันทีเมื่อเริ่มจะหมดความอดทน
แต่คนตรงหน้าที่มองมาโดยไม่พูดอะไรก็ทำให้เขารู้ว่าไม่ควรจะพูดไม่ดีออกไป
“พี่ต้องการอะไร”
“คุยกันดีๆได้รึเปล่า” คนเป็นพี่ขอร้องอย่างจนปัญญา ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้คัดค้านอะไรออกไป
“นายเห็นใจคนอื่นบ้างได้มั้ย แม้แต่กับฮีชอล นายเห็นมั้ยว่าลูกกำลังต้องการพ่อ แกยังเด็กนะดงแฮ พี่ไม่อยากให้นายทำแบบนี้ ..”
“ทำแบบไหน ความจำเสื่อม ลืมทุกอย่าง..”
“ไม่ใช่อย่างนั้น พี่หมายถึงว่าน่าจะให้โอกาสซีวอนบ้าง”
“ให้โอกาส .. ให้แบบไหนล่ะ ต้องออกไปขอร้องให้กลับมาอยู่ที่นี่เพราะว่าลูกสาวคนเดียวกำลังร้องไห้หาพ่องั้นเหรอ”
“ดงแฮ อย่าดื้อสิ..”
“ผมไม่ได้ดื้อ”
“เฮ้อ .. เอาล่ะ งั้นก็ตามใจนาย แค่ที่บอกเพราะสงสารซีวอนกับฮีชอล”
“............”
“พี่ไม่อยากให้ครอบครัวของพวกนายต้องเป็นแบบนี้ ไม่อยากให้เค้าสองคนต้องเสียนายไป” พูดจบฮันคยองก็หวังว่าอีกฝ่ายจะรับฟังและเข้าใจที่เขาบอกไปบ้าง แต่เปล่าเลย
“เสียดายนะ .. พี่น่าจะคิดแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว” น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยออกมา แต่กลับชัดเจนในใจคนฟัง ได้ยินดังนั้นฮันคยองก็อึ้งไป เขากลืนทุกประโยคที่อยากจะพูดต่อลงไปในคอจนหมด แค่สั้นๆที่ได้ยินพร้อมกับสายตาต่อว่าที่มองมานั้นทำให้คนผิดคิดไปไกลจนรู้สึกกลัว
“หมายความว่าไง ..” ฮันคยองกลั้นใจถามออกไปโดยที่ดงแฮมีเพียงสายตาตัดพ้อต่อว่าส่งมา
“เปล่าหรอก ขอโทษนะ ผมนึกไม่ออกจริงๆ” ว่าแล้วก็รีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วออกจากห้องนอนตัวเองไป
.. ก็ถ้าพี่คิดแบบนี้แต่แรก มันคงไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหมล่ะ หรือว่าคิด ถ้าคิดแล้วทำทำไม
คนที่ยืนอึ้งได้เพียงแต่เก็บทุกอย่างไว้ในใจอย่างเดิม มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่ออีกฝ่ายความจำเสื่อม เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะถ้าดงแฮจำได้คงไม่ยอมอยู่แบบนี้หรอก ฮันคยองนึกย้อนไปถึงตอนที่มีปัญหาแล้วอีกฝ่ายมีแต่จะไปอย่างเดียว
ใช่แล้ว ถ้าจำได้มีหรือที่จะอยู่เฉยแบบนี้ ที่สำคัญกว่านั้นคือเขามั่นใจว่าน้องชายตัวเองรักซีวอนมากเกินกว่าจะยอมรับได้
.. ไม่หรอกมั้ง สงสัยพูดไปเพราะโกรธ ไม่ก็เข้าใจผิดที่เห็นเรากับซีวอนในห้องน้ำวันนั้น .. บ้าน่าฮันคยอง คิดมากไปได้ ถ้าน้องจำได้เมื่อไหร่ก็ถึงเวลาที่นายจะพูดความจริง แล้วจะได้หลุดจากการเป็นคนหลอกลวงเสียที .. แล้วถ้าเวลานั้นมาถึงล่ะ นายจะกล้าจริงงั้นเหรอ
ฮันคยองนึกถึงเรื่องเก่าๆ นึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำ นึกถึงดงแฮเวลาที่ต้องร้องไห้คนเดียวเพราะรู้ทุกอย่างมาตลอด .. พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ
**********************
ทางเดินที่ทอดไปยังส่วนบริหารของต่างแผนกในอีกชั้นของตึกสูงกลับไม่ค่อยจะมีพนักงานเดินผ่านไปมาเหมือนกับแผนกของตัวเองเลย
“อยู่ไหนล่ะเนี่ย” เสียงทุ้มกล่าวพลางรีบสาวเท้าทั้งคู่ไปตามทางเดิน
ที่ยาวไปจนสุด ก่อนจะพบกับโต๊ะของประชาสัมพันธ์ฝ่ายที่มีพนักงานสาวนั่งประจำอยู่ไม่กี่คน ทุกสายตาจ้องมองมาที่ร่างสูงราวกับว่าพบของมีค่า
“เอ่อ..” ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรออกไป คนที่ต้องตอบคำถามกลับเป็นตัวเองเสียอย่างนั้น
“สวัสดีค่ะ คุณคยูฮยอนใช่มั้ยคะ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรให้ช่วยรึเปล่าคะ” หนึ่งในนั้นลุกขึ้นถามอย่างสุภาพต่างกับแววตาของหล่อนที่เป็นประกายออกนอกหน้าจนคนถูกมองรู้สึกได้ แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรนัก เพราะมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว นึกแล้วคยูฮยอนก็อยากจะบอกกับคนที่เขามาหาเสียเหลือเกินว่าใครต่อใครต่างก็อยากเจอเขาทั้งนั้น แล้วอีกฝ่ายเป็นใครกันถึงได้หนีหน้าอยู่แบบนี้ ไปหาที่บ้านทุกวันก็ไม่ยอมออกมาเจอเลย ดักรอที่หน้าบริษัทก็หายตัวไปเร็วอย่างกับรู้ล่วงหน้า
.. วันนี้แหละ มาหาถึงที่แล้วจะวิ่งหนีก็ให้มันรู้ไป
ซองมินจะรู้หรือเปล่านะ ว่าทำให้คนอย่างโจว คยูฮยอนร้อนใจได้ขนาดนี้
กองเอกสารมากมายถูกกองไว้บนโต๊ะหน้าห้องทำงานของหนึ่งในผู้บริหาร ร่างเล็กของเจ้าของโต๊ะซึ่งมีตำแหน่งเป็นเลขาคนสำคัญนั้นตระหนักดีว่าหน้าที่ต้องมากก่อนเรื่องส่วนตัว ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเจ้านายตัวเองจะเป็นเหมือนกันหรือไม่ แต่จะว่าไปก็พอจะเข้าใจอยู่บ้างในเมื่อเรื่องไร้สาระบางอย่างที่พยายามจะลืม มันกลับยังไม่ยอกหลุดออกจากหัวตัวเองไปได้เลย
“โอ๊ย !! จะทันมั้ยเนี่ย” เสียงเล็กบ่นกับตัวเองขณะที่มือข้างหนึ่งกำลังพรมนิ้วทั้งหมดลงไปที่แป้นคีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์เครื่องบางตรงหน้า ส่วนมืออีกข้างก็ทำหน้าที่เปิดเอกสารในแฟ้มขนาดใหญ่ไปทีละหน้าอย่างรีบร้อน ใบหน้าน่ารักที่มีแต่ความยุ่งยากหันมองสองสิ่งสลับกันไปมาจนตาแทบจะมองไม่ทันอยู่แล้ว
“เดี๋ยวคอเคล็ดมาแล้วจะทำยังไงฮะ” จู่ๆเสียงที่ไม่นึกว่าจะได้ยินก็ดังขึ้นตรงหน้าเรียกให้ซองมินต้องหยุดทุกอย่างลงแล้วเงยหน้าขึ้นมอง แต่ยังไม่ทันขาดคำที่อีกฝ่ายพูดเขาก็ต้องร้องออกมาเพราะว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มือเล็กประคองใบหน้าตัวเองด้วยความเจ็บปวดที่ตั้งรับไม่ทัน
“นั่นไง .. บอกแล้วว่าเดี๋ยวจะแย่เอา” ใบหน้าของคนเจ้าเล่ห์หัวเราะออกมาพลางยืนกอดอกมองคนตรงหน้าที่ดูท่าว่าจะโอเคขึ้นแล้ว
“นายมาได้ไง แล้วมาทำไม” ซองมินส่งสายตาไม่พอใจไปเต็มที่ให้รู้ว่าเขาไม่ต้องการเห็นหน้าแม้แต่นิด .. แต่ปฎิเสธลงที่ไหนล่ะ ว่าจริงๆก็แอบพอใจอยู่บ้าง
คยูฮยอนรู้สึกร้อนใจแต่กลับต้องมาเป็นใบ้เอาตอนที่อยู่ต่อหน้ากันจริงๆ ชายหนุ่มเอาแต่จ้องมาอย่างเดียวโดยไม่ตอบอะไรจนคนถามชักจะโมโห
“มีธุระรึไง” ซองมินรีบออกตัวเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเขาคิดว่ามาหาตัวเอง เพราะอันที่จริงคยูฮยอนอาจมีธุระที่นี่ก็ได้ คนถูกถามไม่ตอบอะไรเพราะความจริงก็ตั้งใจมาหาเลยด้วยซ้ำ แต่จะให้พูดยังไงดีล่ะ
“ก็ เอ่อ..”
“ทำไม มีอะไรก็ว่ามา ก็ดีแล้วจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายอะไรกันอีก” เมื่อแน่ใจว่าคยูฮยอนไม่ได้มาหาคิบอม ซองมินจึงถือโอกาสรีบตัดบทออกไปจะได้ไม่เสียเวลาทั้งที่ในใจมันแอบลุ้นบางอย่างอยู่โดยไม่รู้ตัว คยูฮยอนเมื่อถูกจ้องกลับมาก็เพิ่งจะรู้ตัวเองว่าไม่แน่จริงอย่างที่ตั้งใจเลย จะให้เขาพูดแบบไหนดีล่ะ ในเมื่อจะมาถามแค่ว่าทำไมต้องหนีหน้า แล้วเขากับซองมินเป็นอะไรกันล่ะถึงต้องถามแบบนี้ นั่นสิ ..
“นี่ ! มีอะไรก็รีบว่ามา ไม่เห็นเหรอว่ากำลังยุ่ง” เสียงของซองมินดังขึ้นจนประตูห้องที่ถัดออกไปด้านหลังเปิดออกตามมาด้วยร่างของคนเป็นเจ้านายที่มองมาอย่างไม่เขาใจ
“อะไรกันน่ะ เสียงดังเชียว” คิบอมเดินออกมาถามก่อนที่เขากับคยูฮยอนจะโค้งให้กันตามมารยาท ซองมินหน้าเจื่อนไปเมื่อนึกได้ว่าไม่ควรจะเสียงดังขนาดที่คิบอมต้องออกมาถามเลย
“ขอโทษครับบอส ไม่นึกว่าจะเสียงดังไปถึงข้างในห้องทำงาน” ซองมินรีบ
ยืนขึ้นขอโทษอย่างยอมรับผิด คยูฮยอนเห็นท่าทางซีเรียสของคิบอมก็ตั้งใจว่าจะอธิบายให้ฟังว่าเป็นเพราะตัวเอง แต่แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยออกมาเองเสียก่อน
“เปล่าหรอก ฉันเดินออกมาพอดีน่ะ” เสียงทุ้มพูดมาง่ายๆแล้วหันไปสั่งงานกับเลขาของตัวเองที่เปลี่ยนอารมณ์มาเป็นอยากจะบ้าตายแทน ที่แท้แล้วคนเป็นเจ้านายก็ไม่ได้มีอะไรอย่างที่คิดกันเลย คิบอมเดินออกไปแล้วคยูฮยอนจึงค่อยๆหัวเราะออกมาเบาๆ ใบหน้าน่ารักสูดหายใจเข้าออกอย่างพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง นี่เจ้านายก็ไม่ได้ดั่งใจ แล้วยังมาเจอไอ้ตัวปัญหาคอยกวนประสาทอีก มันอะไรกันนักหนาเนี่ย
“ไม่ถูกว่าก็ดีเท่าไหร่แล้วครับคุณเลขา กรุณาทำหน้าให้สดชื่นหน่อยสิครับ”
“นี่ .. หุบปากเลยนะ เพราะนายนั่นแหละ แล้วนี่อะไร เห็นมั้ยว่างานฉันกองอยู่มากมายแค่ไหน” ซองมินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบกว่าเดิมแต่มันก็เย็นกว่าเดิมเสียด้วย
“เออน่ะ แค่นี้จะบ่นทำไม”
“ก็ฉัน..” ซองมินกำลังจะเถียงออกไปแต่ก็ต้องสะดุดกับสายตาแปลกๆของคยูฮยอนที่จ้องกลับมา แววตาจริงจังแบบนี้เขาแทบจะนับได้ว่าเห็นมันกี่ครั้ง ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมก่อนที่จะพูดออกไปโดยที่ตัวเองก็ไม่ได้คิดเหมือนกัน
“ขอร้องล่ะ อย่าแกล้งลืมได้มั้ย”
“.............” ซองมินพูดไม่ออก ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
“วันนั้นฉันขอโทษนะที่ผิดนัด พอไปถึงนายก็กลับไปแล้ว”
“ก็ .. เปล่าหนิ ฉันไม่ได้โกรธ” ซองมินโกหกไปพลางทำท่าไม่ใส่ใจ แต่จู่ๆความผิดหวังก็ตีขึ้นมากลางใจทันที เมื่อคนตรงหน้ายิ้มออกมาเสียกว้างพร้อมกับที่ท่าทางแบบเดิมจะกลับมา
“นั่นไง ไม่โกรธแล้วงั้นสินะ”
“ก็ อืม ..”
“เอางี้แล้วกัน นี่ก็เที่ยงแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่านะ” จู่ๆคยูฮยอนก็เปลี่ยนเรื่องมาแบบเดิมๆจนซองมินปรับสีหน้าไม่ทันอีกแล้ว ร่างสูงดึงให้คนที่ยังทำอะไรไม่ถูกให้ออกไปด้วยกันโดยไม่ถามอะไรเลยสักคำ แถมยังไม่ฟังคำคัดค้านอีกด้วย
ซองมินก้มมองมือตัวเองที่ถูกคยูฮยอนดึงให้เดินตามไป ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าสรุปแล้วเรื่องที่คาใจตัวเองอยู่ เรื่องที่ถูกอีกฝ่ายจูบวันงานเลี้ยง เรื่องที่ถูกผิดนัด แล้วก็ที่คอยจะมาเจอให้ได้อยู่ทุกวัน สรุปแล้วมันไม่มีอะไรเลยใช่ไหม เขารู้สึกไปเองใช่หรือเปล่า .. แม้จะคิดอย่างนั้นแต่ซองมินไม่รู้หรอกว่าภายใต้ใบหน้าเจ้าเล่ห์ที่คอยมากวนอารมณ์อยู่นั้น แท้ที่จริงแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้นที่ซ่อนอยู่ในใจ คยูฮยอนไม่เคยแน่ใจตัวเองเท่านี้มาก่อนว่ากำลังรู้สึกอะไรบางอย่างที่มันมากกว่าคำว่าชอบอย่างที่เคยเป็นมา
“ว่าไง ไม่คิดถึงเลยรึไงวะ” เสียงทุ้มของคนเป็นเพื่อนเอ่ยถามขณะที่นั่งอยู่ตรงข้ามเจ้าของห้องทำงาน คิบอมรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ตัวเองถามอะไรโง่ๆแบบนี้ออกไป แต่แล้วคนฟังก็ไม่ตอบอะไร มีเพียงสีหน้าลำบากใจเท่านั้นที่ส่งผ่านโต๊ะทำงานมาให้เขา
“คิดว่าออกมาแบบนี้มันดีรึไง ฉันว่านายดูเหมือนคนไม่รับผิดชอบเลยว่ะ”
“เออ .. คนแบบนี้สมควรแล้วไงกับที่เป็นอยู่” ว่าแล้วก็ก้มหน้างานตัวเองต่อไป ซีวอนไม่ได้สนใจคิบอมเลย ไม่ใช่ไม่รู้หรอกนะว่าตัวเองทำผิดมาทุกอย่าง แต่ ณ เวลานี้ บางทีคนไม่ดีอย่างเขาน่าจะต้องเป็นฝ่ายจากมามากกว่า คิบอมพูดไม่ผิด แต่สำหรับซีวอนแล้วการที่ออกมาจากบ้านแบบนี้มันไม่ใช่ว่าไม่ต้องการรับผิดชอบปัญหาที่เกิด แต่เขาเพียงแค่มองว่าเพราะตัวเองทั้งนั้นที่ทำให้แย่ลงกว่าเดิม หลายวันก่อนที่ดงแฮเป็นลมเข้าโรงพยาบาลก็เพราะตัวเอง ทั้งหมดก็เพราะตัวเอง แล้วแบบนี้ใกล้กันเท่าไหร่ก็มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดกว่าเก่า
“ใครบอกว่าฉันไม่คิดถึง รู้อะไรมั้ยคิบอม ..”
“อะไร”
“ไม่เห็นหน้าแค่วันเดียว ก็นอนแทบไม่หลับ”
“...........” นั่นสินะ คิบอมรู้ดีและก็เข้าใจดีด้วยกับเรื่องแบบนี้ ทั้งสองมองหน้ากันทั้งที่ไม่รู้จะแก้ไขทุกอย่างยังไง ไม่รู้ว่าควรจะทำแบบไหน
เหมือนกับปมเชือกที่ผูกไปมาหลายชั้นจนแก้ไม่ออก จะย้อนเวลาไปตั้งแต่เริ่มผูกก็ทำไม่ได้ จะคลายออกให้ตรงอย่างเดิมก็จนปัญญา ครั้นจะตัด .. ก็มีแต่จะขาด
“นายเคยได้ยินมั้ยซีวอน เรื่องปมเชือกที่แก้ไม่ได้อะไรนั่นน่ะ” คิบอมถามขึ้นหลังจากที่เอาแต่นั่งดูอีกฝ่ายทำงานของตัวเองไปแล้วก็พลางคิดอะไรในหัวไปด้วย
“อืม ทำไมล่ะ” ซีวอนเงยหน้าขึ้นถามอย่างไม่ได้สนใจนัก
“รู้สึกแบบนั้นมั้ยล่ะ หาทางออกไม่ได้”
“แน่นอน แต่ฉันเห็นแก่ตัวเกินว่าจะกล้าตัดว่ะ”
“นั่นสินะ .. นี่มันชีวิตจริง ไม่ใช่เชือก”
**************************
ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ยังคงมีดาวไม่กี่ดวงที่เปล่งประกายสว่างให้มองเห็นเป็นเพียงจุดเล็กๆท่ามกลางความมืดมิดของท้องฟ้าที่ไร้ก้อนเมฆ ดวงตาคมของร่างสูงที่ยังอยู่ในชุดทำงานเหม่อมองออกไปจากทางระเบียงห้องของโรงแรมที่มาพักอยู่นานแล้ว ความหว้าเหว่ที่มีกำลังกัดกร่อนหัวใจดวงนี้ให้ทรมานลงไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่มันจะหายไปในไม่ช้าหากว่าเขาทำสำเร็จ ไม่สิ .. ต่อให้สำเร็จจริง หากเวลานั้น
มาถึง สิ่งที่น่าจะต้องหายไปจากชีวิตของเขา คงเป็นคนที่สำคัญที่สุด
“เรื่องไปสัมมนาที่ไซปันน่ะ รู้ไม่ใช่เหรอว่าฝ่ายจัดเตรียมทำตามแผนที่ส่งให้นานแล้ว .. แล้วก็เรื่องนั้น พี่ฮันเค้าจะจัดการให้อีกที”
ซีวอนนึกถึงเรื่องที่คุยกับคิบอมเมื่อตอนกลางวันในห้องทำงานของตน รวมไปถึงเรื่องที่ทั้งสองคนอยากจะช่วยให้ทุกอย่างระหว่างเขากับดงแฮดีขึ้น เห็นอย่างนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เขลาเสียเหลือเกิน ถ้าไม่มีคนอื่นแล้วจะทำอะไรได้ อีกอย่างการที่ทุกคนดีด้วยขนาดนี้ มันทำให้เขาอยากจะดึงเอาความผิดที่เคยทำไว้กลับมาให้หมด
เข็มของนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือกำลังหมุนไปเรื่อยๆต่างกับเจ้าของมันที่ยังคงยืนมองไปยังท้องฟ้าอยู่ที่เดิมในค่ำคืนนี้ ลมเย็นพัดมาให้นึกถึงความอบอุ่นในยามที่ได้กอดร่างของใครบางคนเอาไว้ในอ้อมแขน
“เธอจะคิดถึงฉันบ้างรึเปล่า .. ดงแฮ”
หากความรู้สึกมันห้ามกันได้ มนุษย์เราก็คงไม่ต้องมีความเจ็บปวดอย่างที่กำลังเป็นอยู่ แน่นอน .. รวมถึงความคิดถึงที่ไม่อยากจะให้มีเลยด้วยซ้ำ
ความเงียบในคืนนี้ทำให้เจ้าของร่างในชุดนอนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่ถอนหายใจกับตัวเองอยู่หลายครั้งตรงระเบียงห้องนอน
ดงแฮก็ยืนกอดอกพลางมองออกไปยังท้องฟ้าด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่าง ใบหน้าของใครบางคนผุดเข้ามาในความคิดหลายต่อหลายครั้ง อยากจะเลิกนึกถึงแต่มันก็ทำไม่ได้เสียที และบางทีก็เพิ่งจะรู้ว่าตั้งแต่รู้จักกับคนๆนี้มา ไม่มีตอนไหนสักครั้งเลยที่ห่างกันแม้แต่วันเดียวก็ตาม แล้วนี่มันกี่วันแล้ว
“คงพอใจล่ะสิถ้ารู้ว่าฉันเป็นแบบนี้ .. ถึงจำไม่ได้ก็แพ้คนอย่างนายอยู่ดีใช่มั้ยล่ะ” ความเจ็บปวดในใจยามที่ต้องอยู่คนเดียวทำให้ดวงตาที่มีแต่ความโกรธแค้นกำลังอ่อนลงจนเหลือแค่น้ำตาของคนเสียใจ มือบางทั้งคู่ยกขึ้นปาดมันออกอย่างไยดีแม้ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองก็เป็นฝ่ายเสียใจเหมือนเคย
เมื่อไหร่จะจำได้ เมื่อไหร่จะนึกออก .. คำถามเดิมๆเวียนวนตอกย้ำเพื่อรอคอยคำตอบ ที่ไม่รู้ว่าจะมีอยู่จริงหรือเปล่า
เวลาหมุนไปไม่เคยรอใคร แต่สำหรับเชวซีวอนแล้ว เขาสามารถใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อรอคอยใครบางคนได้ .. มือข้างหนึ่งที่พาดอยู่กับราวระเบียงหินอ่อนชั้นดีนั้น บัดนี้กลับเปลี่ยนตำแหน่งมาอยู่ที่ใบหน้าของตัวเองแทน ซีวอนลูบน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างจนปัญญา ยิ่งค่ำลงก็ยิ่งรู้สึกว่ามืดมนมากกว่าเดิม ความกระวนกระวายในหัวใจมันประดังอยู่ในอกจนจะระเบิดอยู่แล้ว ทุกคืนไม่เคยหลับสนิทเลยกับเรื่องเก่าๆที่ผ่านมา เขาทำให้ฮันคยองต้องเป็นคนผิดไปด้วย ทำให้ฮันคยองต้องเจ็บปวดกับคนไม่มีค่าอย่างตัวเอง และคนสำคัญที่เฝ้าถนอมกลับต้องมาร้องไห้ตลอดเวลาที่ตัวเองสนุกอยู่คนเดียว
.. สมควรแล้ว สมควรแล้วจริงๆใช่ไหมดงแฮ
ใจสองดวงที่นึกถึงกัน เหมือนมีเส้นใยบางๆมากั้นให้สื่อถึงกันไม่ได้ .. สำหรับซีวอนและดงแฮ ทุกอย่างไม่ใช่เพียงคำว่ารัก ไม่ใช่แค่คำว่าหลง แต่ทุกอย่างระหว่างเขาทั้งสองมันยิ่งกว่าความผูกพัน ทุกอย่างที่ผ่านมาด้วยกันมันยิ่งกว่าอะไร
ทั้งหมดที่คิดว่ามีค่าแล้วในชีวิตนี้
ชีวิตของคนธรรมดาสองคน .. ที่มากกว่าความเหมาะสมของเจ้าหญิงผู้เลอโฉมกับเจ้าชายที่แสนหล่อเหลาในเทพนิยาย .. ก็แค่ ความรัก ของคนเพียงสองคนที่ไม่อาจมีใครมาแทนที่
********************************
หนึ่งสัปดาห์เต็มผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกินในความรู้สึกของบางคนที่เฝ้ารอคอยอะไรบางอย่าง มื้อเช้าที่โต๊ะอาหารมีเพียงเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กสาวตัวน้อยที่พอจะทำให้แต่ละวันของบ้านหลังนี้มีความสดชื่นขึ้นมาบ้าง
“อย่าซนสิฮีชอล พี่ซูยองเค้าเหนื่อยแล้วรู้มั้ย” ดงแฮเตือนร่างเล็กข้างกายก่อนที่จะเอื้อมมือไปเก็บเอาส้อมที่ตกอยู่ข้างจานเพราะมือเล็กๆที่ไม่ยอมอยู่กับที่เสียที ภาพของสองแม่ลูกนั้นกำลังถูกมองด้วยสายตาคู่อื่นของคนที่นั่งร่วมโต๊ะด้วย ฮันคยองเขี่ยอาหารในจานไปมาเงียบๆขณะที่ป้ายุนฮีก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเช่นกัน
“ฮีชอลไม่ได้ซนซักหน่อย” เสียงเล็กค้านขึ้นมาเป็นประโยคตามประสา
เด็กน้อยวัยกำลังพูด ดวงตากลมมองคนเป็นแม่อย่างไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่นัก
“ก็เวลากินน่ะอย่าให้เปื้อนสิ”
“ทีคุณพ่อไม่เห็นดุฮีชอลเลย”
“ก็แม่ ...” จู่ๆดงแฮก็เงียบไปกับประโยคของตัวเองที่กำลังจะพูดออกมา สรรพนามแทนตัวที่ไม่ยอมใช้และไม่นึกจะใช้มันเลยนั้นกำลังจะหลุดออกมาตามความเคยชินอย่างที่เคยเป็น เขาถอนหายใจเบาๆอย่างจนปัญญากับชีวิตนี้แล้ว ก่อนที่จะเอื้อมไปรับผ้าเช็ดปากจากมือพี่เลี้ยงสาวมาจัดการกับเม็ดข้าวที่ติดอยู่ที่แก้มกลมๆของเด็กน้อยที่เอาแต่ยู่ปากให้คนเป็นแม่ เวลาที่ผ่านมาหลายวันเริ่มจะ
คืนคุณหนูดงแฮคนเดิมมาให้กับบ้านหลังนี้ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวในความเป็นจริงก็ตาม .. ฮันคยองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะลอบมองการกระทำพวกนี้ด้วยสายตาที่แอบพึงพอใจอยู่ไม่น้อย พอใจที่น้องชายตัวเองไม่ได้ผลักไสเด็กน้อยคนนี้อย่างแต่ก่อนที่เคยเป็น และคงเป็นเพียงแค่เรื่องเดียวที่ทำให้พอใจได้ในเวลานี้
“ดงแฮ” จากที่หาจังหวะอยู่นาน ฮันคยองก็เอ่ยออกมาเสียที คนถูกเรียกได้เพียงแต่เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไรขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาทานอาหารของตัวเองเพราะก่อนหน้านี้วุ่นวายกับฮีชอลอยู่ไม่ใช่น้อย
“อาทิตย์หน้า บริษัทมีสัมมนาที่ไซปัน ไปเที่ยวด้วยกันมั้ย” พูดจบก็รอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ และเขาก็ทำใจไว้แล้วว่าคงไม่ได้คำตอบที่ตกลงเลยอย่างแน่นอน คนฟังชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ฟังแต่ก็ไม่ยอมตอบอะไรออกไปมีเพียงท่าทางเหมือนไม่รับรู้เลยด้วยซ้ำ ฮันคยองนึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
“ขอร้องนะ พี่แค่อยาก ..”
“ไปก็ไปสิ แล้ววันไหนล่ะ” พูดจบมือข้างหนึ่งก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ขณะที่คนตรงหน้ากำลังอึ้งเพราะไม่คาดคิดกับสิ่งที่ได้ยิน ฮันคยองยิ้มออกมาอย่างพอใจพร้อมด้วยป้ายุนฮีและพี่เลี้ยงซูยองที่แอบยิ้มไปตามๆกันเพราะก็หวังอยากจะให้เรื่องทุกอย่างในตอนนี้เป็นไปได้ด้วยดีเหลือเกิน จะมีก็แต่เพียงหนูน้อยฮีชอลเท่านั้นที่ไม่ได้รู้เรื่องของผู้ใหญ่เอาเสียเลย
ดงแฮรู้ดีว่าทุกคนต้องการอะไร เขารู้อยู่แก่ใจว่าทำไมจะต้องอยากให้ไป
.. ก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป
********************************
ไม่ได้เห็นหน้าวันเดียว ก็ปานจะขาดใจ
.. หากความรักเป็นเพียงแค่การหลงใหล แล้วเหตุใดคนเราถึงยอมโง่เขลาเพียงนี้
แสงทองของแสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาในกระจกรถตู้คันใหญ่ใหม่เอี่ยม หนึ่งในไม่กี่คันของคณะผู้บริหารรวมไปถึงพนักงานที่มีรายชื่อในการสัมมนาครั้งนี้ด้วย ร่างเล็กของเลขาหนุ่มกำลังก้มหน้าหลับอย่างหมดแรงตรงที่นั่งด้านในติดกระจกข้างกับเจ้านายตัวเองที่พยายามจะดึงเอากระเป๋าเอกสารออกจากมือของลูกน้องอย่างเห็นใจ ก็ตั้งแต่ลงเครื่องมาเขาบอกให้เอาไว้ด้านหลังก็ไม่ยอมเชื่อ
คิบอมเอามันออกมาอุ้มไว้เสียเองโดยที่รู้สึกว่ามันหนักใช่เล่นเหมือนกัน แววตาหนึ่งคู่ที่มองอยู่จากที่นั่งด้านหลังทำให้ดงแฮที่นั่งอยู่ติดกันหันมาสังเกตบ้าง ไม่ใช่ว่าจะดูไม่ออกหรอกนะว่าคยูฮยอนกำลังคิดอะไรกับซองมิน ใบหน้าหวานลอบยิ้มกับตัวเองก่อนจะหันมาเจอกับพี่ชายที่นั่งอยู่อีกข้าง
“เป็นไรน่ะเรา” ฮันคยองถามก่อนจะอ่านสายตาของดงแฮได้ มือบางตบลงที่แขนของน้องชายเบาๆเป็นเชิงบอกว่าอย่ายุ่งเรื่องคนอื่นเค้า
“ก็เปล่าหรอก แค่รู้สึกว่าน่ารักดี” หลังจากกระซิบบอกฮันคยองแล้วก็กลับ
ไปนั่งเฉยๆตามเดิมอย่างที่ผ่านมา ในความรู้สึกของดงแฮที่มีต่อคยูฮยอน เขาถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งตั้งแต่ต้นมาจนตอนนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยน แม้ว่าตอนหลังพอจะเข้าใจกับการกระทำของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนอยากจะเป็นมากกว่าเพื่อนก็ตาม แต่มันคงได้แค่นั้นในเมื่อเจ้าตัวเองก็กำลังสนใจใครบางคนอยู่อย่างที่เขาเข้าใจ
“หน้าผมมีอะไรติดอยู่เหรอดงแฮ”
“โทษที มองเพลินไปหน่อยน่ะ” ดงแฮบอกคยูฮยอนที่ตอนนี้แลดูเหมือนจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ .. ขณะเดียวกันนั้น ดงแฮก็ลืมนึกไปเลยว่าที่นั่งถัดไปด้านหลังของตัวเองกำลังมีสายตาหนึ่งคู่เฝ้ามองมาตลอด ซีวอนนั่งอยู่ข้างกับเลขาสาวของตัวเองที่กำลังคุยโทรศัพท์เป็นการส่วนตัวตั้งแต่ลงเครื่องมาได้ไม่นาน
รถตู้แต่ละคันเคลื่อนผ่านถนนตรงไปยังโรงแรมหรูที่หมาย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณริมเกาะติดกับชายทะเลฝั่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นโซนที่สวยไม่แพ้จากมุมอื่นเลยทีเดียว และเมื่อถึงโรงแรมแล้ว ขณะที่ผู้บริหารและพนักงานหลายคนรอเช็คอินตามห้องที่บริษัทจองไว้ให้เป็นคู่หรือว่าเดี่ยวตามแต่ละคนไป ขณะที่ยืนรอกันอยู่นั้น จู่ๆฮันคยองก็เป็นฝ่ายเอ่ยกับร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันเท่าไหร่นัก
“น้องมินยองมาด้วยแบบนี้ คงดีใจสิท่า” เอ่ยทีเล่นทีจริงก่อนที่คนฟังจะทำหน้าไม่ถูก
“พี่พูดแบบนี้เพราะอยากให้เป็นงั้นสิ” คิบอมถามกลับ ฮันคยองจึงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ไปตามเรื่อง ความรู้สึกระหว่างทั้งสองมันมันชัดเจนขึ้น แต่จะว่าไปมันก็ยังคงไม่หายคลุมเครืออยู่ดี
“อย่างว่าล่ะนะ ถ้าคุณยองเจมาด้วยพี่ก็คงดีใจไม่แพ้กัน” เมื่อฮันคยองถูกสวนกลับมาแบบนี้ก็เล่นเอาแทบจะยิ้มไม่ออกเหมือนกัน แต่ก่อนจะได้พูดอะไรกันต่อ ร่างเล็กของเลขาหนุ่มก็ตรงปรี่เข้ามาหาเจ้านายตัวเองโดยที่มีใครอีกคนเดินตามมาไม่ห่าง
“บอสครับ ผมช่วยถือนะ” ซองมินดึงเอากระเป๋าใบใหญ่ที่ใส่อะไรสักอย่าง
ของคิบอมมาจากมือโดยไม่ให้เจ้าของมันได้ตอบอะไรเลย คิบอมทำหน้างุนงงก่อนจะหันไปมองคยูฮยอนที่มาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆกัน ซึ่งมันทำให้เขาพอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว ฮันคยองก็เพียงแค่มองพลางนึกไปถึงว่าตั้งแต่มาด้วยกันคยูฮยอนก็ยังคงทำตัวติดดงแฮไม่เลิก ทั้งที่ดูท่าทางไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเลยระหว่างทั้งคู่
“นี่กุญแจห้องเรา เบอร์นี้นะครับ ตามไปได้เลย” ซองมินยกหมายเลขให้
คิบอมดูก่อนจะแบกเอากระเป๋าใหญ่ของคิบอมกับตัวเองเดินขึ้นลิฟต์ไปคนเดียว คนเป็นเจ้านายจะเรียกก็ไม่ทันเสียแล้ว
“อะไรของเค้านะ พนักงานเค้าก็ยืนรออยู่แท้ๆ” คิบอมว่าก่อนจะหันมายิ้มให้พนักงานโรงแรมคนหนึ่งที่ยืนอยู่กับรถลากกระเป๋าของแขก คยูฮยอนได้แต่ชะเง้อมองตามซองมินไปก่อนจะทำตัวปกติเมื่อสบตากับคิบอมและฮันคยองที่มองมาที่เขาเช่นกัน
“ได้กุญแจห้องเราแล้วเหรอคุณคยูฮยอน” ฮันคยองถามขึ้นทำเอาคนฟังทำหน้าสงสัย ดงแฮและคนอื่นๆก็เริ่มจะทยอยขึ้นห้องพักกันแล้ว ร่างบางเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังคยูฮยอนเพื่อรอไปด้วยกัน
“ห้องเรา ..” ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มรุ่นน้องทวนคำกับสิ่งที่ได้ยิน ฮันคยองพยักหน้ารับอีกทีเพื่อให้มั่นใจ
“ใช่ ก็ห้องเราไง”
“ผมต้องพักกับคุณฮันคยองเหรอครับ แล้วไหนว่าผมกับดงแฮ..”
“โทษนะ บังเอิญว่าก่อนเราจะมาห้องมันเต็มน่ะ คุณต้องพักกับผมหลังจากที่เปลี่ยนแผนนิดหน่อย”
“มันจะเต็มได้ไงกัน” คยูฮยอนพูดอุบอิบอยู่คนเดียวเพราะไม่สามารถค้านอะไรได้ แต่อีกคนที่ได้รับผลกระทบไปเต็มๆกลับไม่ได้ซักถามอะไร ก็เพราะว่ารู้ดียังไงล่ะว่าฮันคยองกำลังโกหก ดงแฮยิ้มให้คยูฮยอนเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรเพราะอีกฝ่ายกำลังหันมามองเขาด้วยสายตาขอโทษ ดงแฮรู้ดีแก่ใจว่าทุกคนกำลังทำอะไร
.. พี่ก็ทำไปได้นะ โกหกทั้งทีให้มันเนียนกว่านี้ไม่ได้หรือไง
“เป็นไรไป เสียดายที่ไม่ได้พักกับมันงั้นเหรอ” เสียงกระซิบข้างหูทำให้ดงแฮต้องขยับตัวออกมาเมื่อรู้ว่าใครบางคนมายืนซ้อนอยู่ข้างหลังโดยไม่บอก
“ไม่เจอกันหลายวัน ปากเสียไม่หายเลยนะ” ริมฝีปากบางเอ่ยกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มที่คนได้รับคงไม่ดีใจเท่าไหร่ แม้ว่านี่จะเป็นประโยคแรกตั้งแต่เจอกันที่อีกฝ่ายยอมพูดด้วยก็ตามที
“แล้วไม่เจอกันหลายวัน คิดถึงฉันบ้างรึเปล่า..”
.. ทุกทีเลย นายมันไม่เคยพลาดเลยที่จะทำให้ใครต้องหลงไปกับลมปากของนาย รวมทั้งฉันที่กำลังเป็น
ดงแฮจ้องหน้าซีวอนอย่างคนที่ไม่อยากจะพูดด้วย แม้ว่าแววตาที่มีนั้น มันกำลังบอกว่าเกลียด แต่ประโยคที่ได้ยินมันยิ่งทำให้เจ็บกว่าเดิม และก็เป็นอย่างทุกที คนหนึ่งมองด้วยแววตาเกลียดชังแต่อีกคนมีเพียงแววตาที่ราวกับร้องขอความรักอยู่ตลอดเวลา
ไม่นานนักซีวอนก็พาดงแฮออกจากโรงแรมไปหลังจากที่คิบอมและ
ฮันคยองเข้ามาอธิบายทั้งหมดให้ฟัง ทั้งสองมองหน้ากันอย่างเป็นห่วงสองคนที่ออกไปพักที่อื่นตามแผนที่วางกันเอาไว้
“จะดีเหรอคิบอม พี่ว่าดงแฮรู้ตัวนะ”
“ผมก็คิดว่าอย่างนั้น แต่อย่าห่วงเลย ซีวอนอยู่ทั้งคน ครั้งนี้มันคงไม่ปล่อยให้ดงแฮหนีไปไหนหรือเป็นอะไรอย่างที่ผ่านมาหรอก”
“สวัสดีค่ะพี่คิบอม พี่ฮันคยอง” จู่ๆเสียงใสของหญิงสาวที่เขาทั้งสองรู้จักดีก็เอ่ยทักทายด้วยความร่าเริง
“มินยอง”
“ครั้งแรกเลยนะคะที่มินยองมาไซปัน คุณพ่อบอกว่าพวกพี่มาเที่ยวที่นี่บ่อย ไงก็แนะนำบ้างนะคะ” ใบหน้าสวยหวานเอ่ยบอกอย่างน่ารักจนคิบอมอดจะเอ็นดูไม่ได้ ฮันคยองลอบมองคนข้างกายด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะขอตัวไปยังห้องพักโดยไม่ลืมไปดึงเอาคยูฮยอนที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้รับแขกให้ไปด้วยกัน .. คิบอมมองตามไปด้วยแววตาที่หมดหนทาง แล้วความรักครั้งนี้ของเขามันจะเป็นยังไงต่อไปล่ะ
แรงลมจากคลื่นน้ำทะเลสีมรกตพัดมาพาให้ชื่นใจ พร้อมกับใบไม้ที่ปลิวไหวไปมาท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆชวนให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก สองร่างในชุดลำลองเดินลุยทรายบริเวณชายหาดเพื่อตรงไปยังที่พักซึ่งเป็นบ้านหลังขนาดเล็กไม่กี่หลังที่ห่างกันออกไป ซีวอนเป็นฝ่ายที่แบกเอาประเป๋าใบใหญ่ทั้งหมดไว้คนเดียว เหลือเพียงใบเล็กๆเท่านั้นที่ดงแฮต้องการถือเอง ใบหน้าหวานยกยิ้มที่มุมปากขณะมองท่าทางที่ดูจะค่อยยังชั่วขึ้นมากเมื่อได้วางสัมภาระทุกอย่างลงเมื่อถึงที่หมาย
“บอกแล้วว่ามันหนักก็ไม่เชื่อ”
“แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกน่า เธอถือเองคงแย่กว่านี้แน่” ซีวอนยิ้มให้บ้าง ซึ่งทำให้ดงแฮเป็นฝ่ายที่กลับมาหน้าบูดเสียเอง ก็อย่างทุกที ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงคอยจะไม่พอใจเวลาที่อีกฝ่ายดีกับตัวเองแบบนี้ ..ก็คงเพราะความจริงที่ยังฝังใจ ไม่ว่าจะดีด้วยเท่าไหร่ ก็เป็นเพียงแค่การหลอกลวงที่ไม่สิ้นสุด
“ทำอะไรน่ะ !” ดงแฮร้องออกมาเมื่อกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองถูกดึงจากมือ
แล้วโยนลงไปกองยังเก้าอี้หวายถักข้างกับหน้าต่าง
“ก็อย่ามัวไปสนใจมันเลย วางๆไว้ตรงนั้นแหละดีแล้ว”
“นายจะบ้าเหรอ ฉันจะอาบน้ำ”
“อาบน้ำ .. งั้นก็เร็วๆเข้าสิ นี่ก็สายแล้วนะ”
“แล้วยังไง” ดงแฮถามอย่างเอาเรื่อง เขาชักจะอารมณ์เสียเข้าให้แล้วนะ ทำตามทุกอย่างแล้วยังมาคอยสั่งอยู่ได้
“ยังไม่ไปอีก หรือว่าต้องให้ช่วยอาบ” ร่างสูงขยับเข้าหาคนตรงหน้าที่เอาแต่จ้องหน้าเขา .. ได้ผล ดงแฮเพียงแค่มองอย่างเจ็บใจก่อนจะรีบไปดึงเอาเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าแล้วเข้าห้องน้ำไปเพราะแอบกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างนั้นจริงๆ และเมื่อร่างบางหายไปในห้องน้ำแล้ว ใบหน้าที่แสร้งยิ้มอยู่ตลอดเวลาก็กลับมาเครียดอย่างเดิม ซีวอนถอนหายใจกับตัวเองก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่เตียงนุ่มที่มีเพียงหลังเดียวในบ้านหลังนี้ ใบหน้าคมหลับตาลงอย่างใช้ความคิด เขาแค่กำลังทำใจรับกับความจริงที่กำลังจะมาถึง หากว่าทำให้ดงแฮกลับมาจำได้ สิ่งที่มันแย่กว่านั้นก็คงมาถึงเช่นกัน
.. เธอเองจะรู้ไหมว่าฉันในตอนนี้ไม่ได้สนุกอย่างที่เธอเคยคิดเลยนะ กี่วันกี่คืนแล้วที่เฝ้าคอยแต่ภาวนาให้ทุกอย่างกลับมาอย่างเดิม ทุกอย่างที่ฉันเป็นคนทำให้มันหายไป เพราะฉันคนเดียว
**************************
หลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน ตะวันก็เริ่มเปลี่ยนทิศมาอยู่ในระยะตั้งฉากกับศีรษะ อากาศสดใสในตอนกลางวันกลางเมืองของเกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองของที่นี่และนักท่องเที่ยวจากต่างแดน สองร่างเดินเคียงกันออกมาจากร้านอาหารกลางวันที่อีกคนคิดว่าควรจะมาที่นี่แต่แรกแล้วเพราะว่าตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนอกจากน้ำเปล่า
“วันนี้ว่างมาเที่ยวเหรอ” ใบหน้าหวานภายใต้หมวกผ้าปีกกลมหยีตาหลบแสงแดดลงเล็กน้อยเมื่อต้องเงยหน้าถามคนตัวสูงกว่า มือข้างหนึ่งถือแก้วน้ำอัดลมที่อีกฝ่ายยัดเยียดมาให้เอาไว้ นี่ยังไม่นับรวมกับที่ถูกลากออกมาแบบนี้ด้วยซ้ำไป
ซีวอนก้มมองคนข้างกายด้วยใบหน้าที่ดูจะสบายอารมณ์เหลือเกิน เขาไม่ตอบอะไรนอกจากพูดเรื่องที่ว่าจะไปไหนต่อดี
“นี่ ไปไหนก็ไปเหอะ มายืนอยู่แบบนี้มันร้อนนะ” ดงแฮบ่นพลางมองไปรอบๆลานน้ำพุกว้างที่มีผู้คนเดินไปมา บ้างก็ถ่ายรูปกับสถานที่ต่างๆ บ้างก็นั่งจิบน้ำหวานคลายร้อน มือบางถูกดึงให้เดินตามไปยังแนวสะพานหินอ่อนที่ถูกกั้นให้เป็นโซนดอกชบาหลากสี ดงแฮตาโตทันทีที่เห็น
“ไง สวยมั้ยล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะเลือนหายไปอย่างจงใจ ดงแฮหันหน้าหนีอย่างไม่อยากจะสนใจเท่าไหร่นัก แต่คนที่ภูมิใจนำเสนอกลับยังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิม ร่างสูงเดิมอ้อมมาหาอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน
“ถ่ายรูปกันเถอะ” ซีวอนไม่รอคำตอบ ร่างสูงเดินถอยหลังออกไปพลางยกกล้องขึ้นแล้วกดชัตเตอร์อย่างรวดเร็ว คนถูกถ่ายยังไม่ทันได้ตั้งตัวจึงมีเพียงใบหน้าเหวอๆกับท่าทางแปลกๆ
“เดี๋ยวก่อนสิ” ดงแฮหน้าขึ้นสีเรื่อยๆขณะที่เดินตรงมาหาคนถ่ายที่ก็ยังถ่ายต่อไปไม่เลิก ดงแฮร้องเรียกให้หยุดเพราะความอายเริ่มจะมากขึ้น แต่ซีวอนกลับมีเพียงเสียงหัวเราะและไม่ยอมหยุดถ่ายเลยแม้แต่น้อย .. เพราะสำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาพอะไร ขอให้เป็นแค่คนๆนี้มันก็ดูดีไปเสียหมด
คนตรงหน้าที่ไม่มีรอยยิ้มมาเสียนาน แค่ได้มีช่วงเวลาดีๆแบบนี้ด้วยกันเหมือนเดิมซีวอนก็พอใจเป็นอย่างมาก
ขณะที่สองร่างต่างยื้อยุดกันอยู่ แค่เวลาสั้นๆเท่านั้นที่ดงแฮรู้สึกว่าไม่อยากให้เวลาหมุนต่อไป จิตใต้สำนึกทั้งหมดถูกตีกลับมาที่หัวใจ แม้สมองจะต่อต้าน หากแต่วูบเดียวในความคิดกลับแผ่ซ่านความทรงจำมากมายออกมา ร่างบางที่เคลื่อนไหวไม่หยุดจู่ๆก็นิ่งไป ดวงตากลมที่มีชีวิตชีวาอย่างไม่รู้ตัวกำลังหรี่ลงเมื่อต้องก้มหน้าแล้วปล่อยให้อะไรบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว
“ดงแฮ !” ซีวอนเอ่ยเรียกอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าคนใกล้ตัวมีท่าทีที่แปลกไป มือหนาปล่อยกล้องออกจากมือให้สายมันคล้องไว้ที่คออย่างเดิมแล้วรีบประคองอีกฝ่ายเอาไว้เพราะกลัวว่าจะเป็นอะไรไปอย่างคราวที่แล้ว
“ ..ฉันไม่ได้เป็นไร” ร่างบางตอบกลับมาเสียงแผ่วทั้งที่ในใจไม่ได้เป็นอย่างที่กำลังบอก แววตาเศร้าๆทำให้ซีวอนผิดสังเกตอย่างมาก
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอมีอะไร รู้อย่างเดียวว่าเธอห้ามเป็นอะไรไปเด็ดขาด” เสียงทุ้มพูดราวกับสั่งแต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยการขอร้อง ใบหน้าคมยื่นมาใกล้คนตรงหน้าที่กำลังอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ดงแฮจ้องซีวอนไม่วางตาก่อนที่จะต้องรีบหลบตาไปเสียเอง
.. งั้นเหรอ เรื่องแบบนี้นายบอกฉันกี่ครั้งแล้วล่ะ .. บอกตั้งแต่มาไซปันด้วยกันครั้งก่อนแล้ว
“สบายดีนี่ ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย” น้ำเสียงแบบเดิมกลับมากลบเกลื่อนอะไรบางอย่างในใจ แม้ว่ามันแค่เลือนราง หรือแม้ว่ามากกว่านั้น แล้วจะทำอะไรต่อไปได้ .. ซีวอนโล่งใจที่อีกฝ่ายไม่เป็นอะไรมาก
“ถ่ายคู่กันนะ”
“หือ..” ดงแฮตั้งตัวไม่ทันเมื่อจู่ๆซีวอนก็รวบเอาตัวเองไปกอดไว้ ใบหน้าทั้งสองชิดกันก่อนที่กล้องถ่ายรูปจะถูกยกขึ้นมาถ่ายด้วยมือข้างเดียวของเจ้าของมัน
“นี่ทำอะไรน่ะ”
“ก็ถ่ายรูปไง”
“แล้วใครใช้ให้ ..”
“โอเคๆ งั้นรอเดี๋ยวนะ” ซีวอนได้ทีก็ถอยออกมาจากดงแฮที่ยืนหน้าแดงอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าคมลอบยิ้มกับตัวเองแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ เขาเดินขอร้องหญิงสาวกลุ่มหนึ่งที่มองพวกเขาอยู่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกันนักให้ถ่ายรูปให้ที
“จะดีเหรอซีวอน เกรงใจเค้า” ดงแฮค้านๆเบาๆทั้งที่กำลังรู้สึกไม่มั่นใจมากกว่า
“จะเกรงอะไรกัน แค่ถ่ายรูปเอง” ว่าแล้วก็ยืนกล้องให้หนึ่งในนั้นรับไป
แววตาของสาวๆมองมาที่เขาทั้งสองอย่างสนใจเช่นเดียวกับผู้คนที่ผ่านไปมา บ้างก็หยุดมอง บ้างก็ทำเหมือนอยากจะถ่ายรูปด้วย ซีวอนรวบเอาร่างบางเข้าชิดตัวเองก่อนจะยิ้มให้กล้องต่างกับดงแฮที่ทำหน้าไม่ถูก
“ยิ้มหน่อยสิ”
“อืม..” เป็นไปตามคาด หลังจากที่เสร็จจากรูปคู่แล้วตากล้องชั่วคราวที่ถูกรบกวนให้มาถ่ายรู้ให้ ต่างก็พากันตรงเข้ามาขอถ่ายรูปคู่กับทั้งสองคนด้วย ดงแฮรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศก่อนที่จะรู้ตัวว่าที่แท้แล้วเป้าหมายจริงๆของพวกเธอก็คือซีวอน ไม่ใช่ตัวเอง เขาถอยออกมาพร้อมกับกล้องของซีวอนที่ถูกฝากเอาไว้โดยที่ได้แต่ยืนมองห่างๆ ทิ้งให้สาวๆพวกนั้นได้ถ่ายรูปคู่กับอีกฝ่ายอย่างสนุกสนาน ใบหน้าคมได้เพียงมองมาเป็นเชิงขอโทษซึ่งมองไปแล้วมันก็อดหมั่นไส้ไม่ได้กับอาการของคนที่คิดว่าตัวเองหน้าตาดีนักหนา
“หมั่นไส้ .. “ ดงแฮบ่นอุบกับตัวเองขณะที่ยืนมองอยู่ ในยามที่อยู่กับตัวเองความคิดที่มีก็กลับมาอีก ถ้าจะบอกว่านึกออกแล้วอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร ถ้าเขาอยากจะถามอะไรแล้วจะยอมตอบกันหรือไม่ .. ทั้งหมดนั้นดงแฮก็ไม่แน่ใจนักหรอก ไม่แม้แต่จะมีความมั่นใจเหลืออยู่เลยด้วยซ้ำไป ถ้าไม่ใช่แล้วทั้งหมดคืออะไร
ความฝันหรือความไม่จริงที่คิดไปเอง ถ้าไม่ใช่ความทรงจำแล้วมันคืออะไร ..
มือบางทั้งสองยกกล้องที่ถือเอาไว้ขึ้นมา ใบหน้าหวานก้มมองตามจอแสดงภาพที่เรียวนิ้วกดเลื่อนไปเรื่อยๆ ภาพใหม่เมื่อครู่ค่อยๆเลื่อนย้อนกลับไปทีละภาพ ทีละภาพ ถึงภาพเก่าๆที่ยังไม่ได้ถูกลบออกไปจากการ์ดความจำ .. เช่นเดียวกับหยดน้ำตาไม่กี่หยดที่กำลังไหลริน ของคนที่อยากจะได้มันกลับคืนมา
ร่างสูงเดินกลับมาหาคนรักที่เขาคิดว่าคงกำลังไม่พอใจเป็นแน่
“ดูท่าคนน่ารักจะโกรธไม่น้อยนะ” ซีวอนเอ่ยแซวคนที่นั่งรออยู่ตรงม้านั่งใต้ต้นไม้ และท่าทางแบบนั้นก็บอกให้รู้ว่าคิดไม่ผิดเลยจริงๆ ดงแฮลุกขึ้นยืนพลางผลักกล้องออกไปให้เจ้าของมันตามเดิม
“กลับเถอะ ฉันเหนื่อย” พูดจบก็เดินนำออกไปทันทีทิ้งให้อีกคนทำหน้าไม่ถูก ซีวอนรีบเดินตามไปโดยไม่รอช้า
“อะไรกัน โกรธเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยตามหลังคนที่ไม่พูดไม่จา ซีวอนไม่เคยถือสาเลยกับอารมณ์ของดงแฮ เขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังป่วยและที่ป่วยก็เพราะตัวเองเป็นต้นเหตุ .. แน่นอน ซีวอนคิดไม่ผิดหรอกว่าดงแฮป่วย ดงแฮจำอะไรไม่ได้ แต่มันอาจไม่เป็นอย่างนี้ก็ได้หากว่าอีกฝ่ายจำไม่ได้เลยจริงๆ
“ก็เปล่าหรอก ตอนเย็นนายมีบุฟเฟ่ต์ที่โรงแรมไม่ใช่รึไง เดี๋ยวจะไม่ทันเอา”
“เกี่ยวตรงไหน ยังเหลือเวลาอีกเยอะแน่ะ หรือว่าเธอกลัวไม่ทัน”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ไป”
“ต้องไป”
“ไม่ไป” ดงแฮปฏิเสธอย่างไม่ลดละ
“เธอโกรธเรื่องเมื่อกี้..”
“ฉันจะโกรธอะไร ในเมื่อนายก็ออกจะฮอตดี”
“แต่คงไม่ฮอตแล้วล่ะ..” ซีวอนพูดค้างไว้ แต่ดงแฮก็ไม่ได้หยุดเดินแล้วหันมาหาอย่างที่ควรจะเป็น
“ทำไมล่ะ”
“ก็ฉันบอกเค้าว่าต้องขอตัวก่อน .. เพราะภรรยารออยู่นานแล้ว” เมื่อซีวอนพูดจบดงแฮก็หลับตาลงพร้อมกับที่ขาเดินช้าลงตามไปด้วย มือหนาถือโอกาสเอื้อมไปคว้าเอามือของคนตรงหน้ามาจับไว้แล้วเป็นฝ่ายที่เดินนำไปเอง
“กลับก็กลับ ก็ดีเหมือนกัน จะได้อยู่ด้วยกันนานๆ” พูดไปเองเหมือนไม่ได้คิดอะไรมาก หากแต่ในใจของชายหนุ่มกำลังร่ำร้องอยากจะขอคนรักคนเดิมกลับมาอยู่ข้างกายอย่างสุดหัวใจ เพราะที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลอย่างที่หวังไว้หรือไม่
ดวงตาทั้งคู่จ้องมองแผ่นหลังของคนที่จับมือของตัวเองเอาไว้ขณะที่เดินนำไปตามทางที่จะกลับ ภายใต้รอยยิ้มละลายใจของใครหลายคน ดงแฮไม่รู้เลยว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่ อยากถามว่ารู้บ้างไหมว่าความรักของเขามันมีค่ามากกว่าจะถูกเหยียบย่ำด้วยการกลับกลอกไปมาไม่มีที่สิ้นสุดอย่างนี้
.. ได้โปรดเถอะ อย่าทำแบบนี้กับความรักของฉันเลย ซีวอน
มื้อเย็นที่เป็นบุฟเฟ่ต์ซีฟู้ดของโรงแรมช่างถูกใจหลายๆคนนัก ยามเย็นที่บรรยากาศพลบๆอย่างนี้เมื่อได้ออกมานั่งทานอาหารทะเลบริเวณด้านนอกที่ถูกจัดไว้อย่างดีเพื่อรับลมทะเลก็ยิ่งเข้ากัน ทำให้แต่ละคนเจริญอาหารกันเต็มที่ ใบหน้าที่ไม่ค่อยจะรับแขกของเลขาหนุ่มกำลังจัดการกับก้ามปูชิ้นโตพร้อมกับสหายของมันในจานขนาดใหญ่บนโต๊ะมุมหนึ่งที่นั่งกันอยู่ไม่กี่คน หญิงสาวสองคนซึ่งมีตำแหน่งเป็นเลขาของซีวอนและฮันคยองต่างมองคนตรงหน้าไม่วางตา
“ซองมิน ฉันช่วยแกะเอามั้ย” หนึ่งในสองคนถามขึ้นเมื่อดูท่าว่าอีกฝ่ายจะไปไม่รอดกับการแกะอาหารทะเลจำพวกมีเปลือกแข็งทั้งหลาย
“นั่นสิ อยากจะเตือนว่าอย่ากินเยอะเพราะถ้าปวดท้องมีหวังพรุ่งนี้แย่แน่ ทำงานไม่ได้พอดี แต่ดูท่าว่านายจะแกะมันลำบากเหลือเกินนะ มานี่มา” อีกคนสมทบขึ้นก่อนจะบอกให้ยื่นจานมา
“ก็ดี ขอบใจนะ” เมื่อเสนอมาเขาก็ไม่อยากจะเกรงใจเท่าไหร่นัก ขณะที่นั่งกินไปคุยไปซองมินก็ถามถึงซีวอนว่าทำไมถึงไม่มา ก็ได้คำตอบที่ว่ามื้อนี้เจ้านายของเธอไม่ว่าง เหมือนเป็นนัยที่ต่างผ่ายต่างรู้กันดี ซองมินอมยิ้มนิดๆเมื่อนึกถึงคนทั้งคู่ บางทีเขาก็แอบเชื่อมั่นอยู่ไม่น้อยว่าซีวอนกับดงแฮจะกลับมาเป็นอย่างเดิมได้เพราะความรักที่มีให้กัน
“เฮ้อ .. รักแท้มันเป็นแบบนี้เองน่ะเหรอ” ร่างเล็กถอนหายใจเบาๆเมื่อนึกถึงเรื่องพวกนี้ แต่ไม่ทันจะได้คิดอะไรไปไกล จู่ๆเก้าอี้ตัวหนึ่งข้างกายที่ว่างอยู่ก็มีใครบางคนนั่งลงมาโดยไม่ถามอะไรเลย
“อะไรกัน ไม่รู้ว่ารักแท้เป็นแบบไหนงั้นเหรอ” ใบหน้าของคนที่ซองมินไม่สามารถสลัดออกจากหัวได้กำลังฉีกยิ้มมาให้เต็มๆจนอยากจะลุกวิ่งหนีไปเสียตอนนี้เลยทีเดียว
“มาทำไม” ซองมินถาม
“แหม นายนี่เป็นอะไรกันฮะ เจอหน้าทีมีแต่ไล่” คยูฮยอนพูดไปราวกับกำลังถูกเพื่อนรักทอดทิ้ง ใบหน้าหล่อเหลาหันไปยิ้มให้สองสาวก่อนจะหันมาหาคนข้างกายตามเดิม
“หึ .. คุณดงแฮของนายเค้าไม่ได้นั่งอยู่นี่หรอกนะ” ได้ยินที่ซองมินพูดแล้ว
รอยยิ้มบนใบหน้าของคยูฮยอนก็จางหายไป เขากำลังนึกถึงที่พี่ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกันเล่าให้ฟัง ก็ไม่เชิงว่าคังอินจะเล่าอะไรมากนัก แค่ได้ข่าวว่าเขาไปยุ่งกับอีกฝ่ายมากเกินไปเลยถูกเตือนเข้าให้ และที่รู้มาด้วยก็คือดงแฮความจำเสื่อม แม้ว่าเขาจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเพราะเหตุนี้เลยเลิกคิดไม่เหมาะสมด้วยอย่างเดิม แต่อันที่จริงถึงแม้ดงแฮจะเป็นอย่างไรก็ตามมันก็คงไม่เกี่ยว ในเมื่อเขากำลังรู้สึกว่าตัวเองมีบางอย่างมากกว่านั้น และสุดท้ายการที่เป็นเพื่อนกันกับดงแฮมันก็น่าจะดีกว่า
“คยูฮยอน คยูฮยอน .. คุณคยูฮยอน !” เสียงเล็กตะโกนเรียกเมื่อคนตรงหน้ามีท่าทีเหม่ออะไรสักอย่าง
“เอ่อ .. อืม เรียกทำไม”
“เปล่าหรอก กลัวว่าจะคิดถึงคุณดงแฮมากไปจนลืมหายใจน่ะ เดี๋ยวก็ได้ตายกันพอดี” ซองมินประชดก่อนที่จะเอื้อมมือไปรับเอาจานอาหารจากสองสาวที่มีน้ำใจช่วยเหลือ และก่อนที่เขากำลังจะใส่ใจกับการกินมากกว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆก็ต้องได้ชะงักไปเมื่อได้ยินอะไรบางอย่าง
“การที่เราคิดถึงใครสักคนมากไปเนี่ย มันอาจลืมหายใจได้เลยเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆต่างจากเวลาคุยกันปกติ แต่คนฟังก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยายาม
ฝืนใจทำเฉยเอาไว้
“..........”
“งั้นถ้าฉันตายไปจริงๆ แล้วนายจะรับผิดชอบในฐานะที่เป็นต้นเหตุหรือเปล่าล่ะ” ซองมินไม่รู้ว่าคยูฮยอนกำลังต้องการคำตอบหรือว่าแค่กำลังแกล้งกันอย่างที่ผ่านๆมา ถ้าการที่คนเราคิดไปเองแล้วจะเป็นการเข้าข้างตัวเอง ถ้าอย่างนั้นเขาก็อยากจะเลิกเข้าข้างตัวเองเสียที เก้าอี้ว่างข้างกายกลับมาว่างเปล่าตามเดิมอีกครั้ง
.. นายมันตัวปัญหาไม่เคยเปลี่ยน ชอบสร้างปัญหาให้ใจฉันไม่ปกติ ชอบมีคำถามให้ฉันรอคำตอบอยู่ฝ่ายเดียว
.. นายมีสิทธิ์อะไรกัน โจว คยูฮยอน
ลมเย็นพัดผ่านใบไม้หลากหลายพันธุ์ที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างดีในบริเวณโรงแรมเข้ามาปะทะใบหน้าของคนทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างกัน หลังจากอาหารมื้อเย็นแล้วคิบอมก็ชวนฮันฮยองออกมาชมวิวด้วยกัน
“ดงแฮน่าจะมาทานอะไรกับเราเนอะคิบอม พี่สงสารน้อง ป่านนี้จะคิดมากจนปวดหัวอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้” ฮันคยองนึกแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรได้เลย ทำได้แค่รออย่างเดียว
“ไม่นานหรอก ผมเชื่อว่าไม่นาน ..” คิบอมให้กำลังใจอีกฝ่าย เพราะเขาเองก็เชื่ออย่างนั้นจริงๆ รวมทั้งเรื่องของตัวเองและเจ้าของร่างโปร่งที่ยืนอยู่ข้างกัน
“ซีวอน แล้วนี่ทำไมยังไม่ไปโรงแรมล่ะ” ดงแฮตกใจเล็กน้อยที่ตื่นขึ้นมาในตอนเย็นที่เกือบจะพลบค่ำแล้วพบว่าอีกคนยังไม่ไปไหนเลย เมื่อสงสัยจึงเอ่ยถามร่างสูงที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงเก้าอี้หวายถักริมหน้าต่าง สายตาคมละจากสิ่งตรงหน้ามองมายังคนที่นั่งอยู่บนเตียง
“ก็เธอบอกจะไม่ไปไม่ใช่รึไง”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน นายก็ไปคนเดียวสิ”
“ไม่ล่ะ เธอไม่ไปฉันก็ไม่อยากไปแล้ว” ซีวอนตอบก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือในมือต่อไป ปล่อยให้คนฟังได้แต่นั่งอึ้งกับคำตอบของตัวเองอยู่อย่างนั้น
ไม่นานนักแม่บ้านที่มีหน้าที่จัดการเรื่องอาหารของแขกที่มาพักก็นำเด็กเสิร์ฟสองสามคนยกอาหารมื้อใหญ่มาให้เขาทั้งสองที่โต๊ะอาหารตรงมุมห้องก่อนจะกลับออกไป ดงแฮเห็นอาหารทะเลแต่ละอย่างตรงหน้าก็เกิดอาการท้องร้องขึ้นมาเอาดื้อๆ
“หิวล่ะสิ”
“.......”
“ก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่นะ” ว่าแล้วซีวอนก็จัดแจงเตรียมจะรับประทานอาหารมื้อนี้ให้อร่อยอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่อีกคนที่เขาอยากจะให้มานั่งด้วยกันกลับยังอยู่ที่เดิม ดวงตากลมหรี่ลงอย่างใช้ความคิดขณะที่มองอีกฝ่ายอยู่ ดงแฮอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่คิดว่ายังดีกว่า .. เพราะถึงยังไงก็ยังเหมือนเดิม
.. ต่อให้นายพูดออกมาฉันก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี
ยังไงเรื่องราวระหว่างเรามันก็ไม่ได้เปลี่ยนไป เพราะฉันก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยนใจ
“ดงแฮ เหม่ออะไรอยู่น่ะ” เสียงทุ้มพูดพลางทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ มือข้างหนึ่งยื่นออกมาหมายจะสัมผัสแต่อีกฝ่ายกลับลุกออกมาจากอีกฝั่งของเตียงแล้วเดินไปยังโต๊ะอาหาร มือของซีวอนที่ยื่นออกไปยังค้างอยู่ขณะที่มองตามร่างของอีกคนที่ทำเหมือนกับเขาเป็นคนอื่น ชายหนุ่มดึงมือกลับมาเหมือนเดิม แม้ว่าในใจมันกำลังวูบลงแต่เขาก็พยายามฝืนยิ้มต่อไป
.. ต่อให้เธอพูดว่าเกลียดฉันแค่ไหน ยังไงเรื่องราวระหว่างเรามันก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
เพราะฉันก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยนใจ .. ไปจากเธอ
***********************************
การสัมมนาถูกจัดขึ้นในเช้าวันถัดมาที่ห้องโถงขนาดกลางของโรงแรม
ที่ถูกจองเอาไว้สำหรับผู้บริหารและพนักงานจำนวนไม่กี่สิบคน บรรยากาศการสัมมนาเป็นไปด้วยดีตั้งแต่ในตอนเช้าจนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงท้ายในตอนบ่าย เสียงการบรรยายถึงแผนการโปรโมทสินค้ารูปแบบใหม่ที่กำลังทำอยู่ของหัวหน้าฝ่ายการตลาดดังขึ้นไปทั่วทั้งห้อง ชายหนุ่มอายุไม่มากนอกจากจะมีดีกรีจบจากเมือกนอกแล้วยังหน้าตาดีถึงขั้นเป็นดาราได้สบายๆเลยด้วย ผู้หญิงทุกคนไม่ว่าจะแก่จะสาวต่างก็แอบพอใจในจุดนี้อยู่ไม่น้อย
แม้ว่าอีกด้านของความคิดจะกำลังตั้งใจฟังที่อีกฝ่ายยืนพูดอยู่ก็ตาม มีเพียงบางคนเท่านั้นที่กำลังก้มหน้าก้มตาจดบันทึกให้เจ้านายอย่างไม่ได้สนใจอะไร ใบหน้าน่ารักเงยขึ้นมองคนที่กำลังพูดอยู่เป็นระยะสลับกับการจดบันทึกสิ่งที่ได้ยินลงไป ซองมินที่ในหัวมีแต่เรื่องงานกับงาน จู่ๆก็เผลอนึกถึงคนที่กำลังพูดเอาดื้อๆ เสียงของคยูฮยอนก้องอยู่ในโสตประสาททำให้ตัวเองเอาแต่จ้องคนๆนี้อย่างตั้งอกตั้งใจจนลืมจดบันทึกไปเสียอย่างนั้น ใบหน้าของคยูฮยอนหันมาสบตากับซองมินเข้าโดยบังเอิญ รู้ตัวแบบนั้นต่างฝ่ายต่างก็หันกลับมาทำหน้าที่ตัวเองอย่างเดิม
คิบอมสังเกตเห็นอาการของเลขาตัวเองจึงพอจะแน่ใจอะไรบางอย่างที่เขาก็คิดอยู่เหมืนกัน เหมือนกับที่ฮันคยองสังเกตท่าทางของซีวอนที่ดูจะเครียดทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวไม่แพ้กัน หลายครั้งในระหว่างที่การสัมมนากำลังดำเนินอยู่ คิบอมและฮันคยองต้องมองหน้ากันผ่านโต๊ะตัวยาวที่กั้นอยู่ตรงกลาง ทั้งสองจะรู้หรือไม่ว่าบางเรื่องที่ไม่ได้พูดออกไปนั้น แท้จริงแล้วกำลังคิดอย่างเดียวกัน
.. เรื่องของคนอื่นที่ว่าสำคัญ แล้วเรื่องของเราล่ะ
การสัมมนาในรูปแบบสบายๆได้ผ่านไปแล้ว ยกเว้นว่าใครจะเก็บเอาเรื่องงานไปเครียดต่อก็คงจะช่วยไม่ได้ เหลือปิดสัมมนาอีกทีก็พรุ่งนี้ ก่อนที่เช้าวันถัดไปจะเดินทางกลับ เมื่อได้เวลาทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนและใช้เวลาส่วนตัวดื่มด่ำกับบรรยากาศบนเกาะไซปันแห่งนี้ต่อจากเมื่อวานที่หลายคนคงยังไม่หนำใจ จะยกเว้นก็แต่ซองมินที่รู้สึกว่าการมาไซปันครั้งนี้มันช่างไม่ได้รู้สึกดีอย่างทุกครั้งที่เคยมาเลย เมื่อวานทั้งวันก็ไม่ได้ไปไหน วันนี้ก็คงจะเหมือนเดิมเพราะไม่มีอารมณ์
“ซองมิน !” เสียงเรียกจากคนที่เดินตามหลังมาทำให้เขาต้องหันกลับไปหา คยูฮยอนยิ้มให้นิดหน่อยก่อนจะตรงเข้ามาหา ร่างสูงเอื้อมมือไปข้างหน้าหมายจะคว้าเอาแฟ้มเอกสารหลายอันจากมือของคนตรงหน้ามาช่วยถือ แต่ซองมินกลับอุ้มมันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“ขอบใจนะ แต่ฉันถือเองได้ ว่าแต่นายมีอะไรรึเปล่าล่ะ ดูหน้าตาไม่โอเคนะ” ซองมินพูดถูก คยูฮยอนกำลังไม่โอเคจริงๆ เขาอยากจะบอกว่ามันยิ้มไม่ค่อยออก รู้สึกว่าหายใจติดขัด นี่ถ้าไม่ติดว่าแข็งแรงดีเขาคงคิดว่าตัวเองเป็นโรคอะไรสักอย่างไปแล้วแน่ๆ แต่ประเด็นสำคัญคือรู้ตัวดีว่าเป็นอะไร คยูฮยอนเงียบไม่ยอมพูดจนซองมินรู้สึกอึดอัดไม่แพ้กัน
“รู้สึกว่าตัวเองกำลังมีปัญหาบางอย่างน่ะ ไว้อีกหนึ่งชั่วโมงจะไปหาที่ห้องนะ” พูดจบก็เดินจากไปทิ้งให้ซองมินไม่เข้าใจว่าสรุปแล้วปัญหาที่ว่านั่นเขาจะช่วยแก้ได้อย่างไร
ทางด้านซีวอนหลังจากที่คุยเรื่องงานกับเลขาแล้วก็มีท่าทีเร่งรีบจะกลับไปหาใครบางคนที่เขาคิดถึงมาตลอด ในนี้ไม่เหลือใครแล้วนอกจากคิบอมและฮันคยองที่เดินเข้ามาขณะที่เขาจะเดินออกไป
“พยายามเข้าล่ะ” คิบอมพูดเพียงสั้นๆ ตามด้วยฮันคยองที่พยักหน้า
ให้อีกที ซีวอนเห็นอย่างนั้นแล้วก็พูดอะไรแทบไม่ออก ความรู้สึกผิดมาจุกแน่น
ในอกจนไม่กล้าจะพูดหรือออกความเห็นมากไปกว่านี้ ซึ่งทั้งสองคนก็ดูออก
“ไม่รู้ว่าตลอดมา ฉันทำไปได้ยังไงนะ” ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหนักใจ
“เป็นเพื่อนกันมาก็นาน ฉันคิดว่ารู้จักนายดีว่ะ” คิบอมให้กำลังใจ ซึ่งซีวอนก็ยิ้มขอบคุณจากใจเช่นกัน ใบหน้าคมหันมามองอีกคนที่ยืนอยู่ข้างคิบอมบ้าง
“ขอบคุณที่นายรักฉัน ..” ซีวอนพูดได้แค่นั้น ตามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วความรู้สึกผิดและเสียใจเป็นอย่างมาก ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก ไม่ใช่เพราะกำลังโกรธหรือว่าเกลียด แต่เพราะต่างฝ่ายต่างรู้กันดีอยู่แล้ว มือบางเอื้อมไปวางบนไหล่คนตรงหน้า ฮันคยองออกแรงบีบเบาๆให้รู้ว่าเขาเข้าใจดี
“โธ่เอ๊ย .. อย่าเข้าข้างตัวเองนักเลย คิดว่าฉันอกหักรักคุดจากนายจนเจียนตายสิท่า” ฮันคยองพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาอย่างไม่คิดอะไร แต่อีกสองคนกลับมองว่าแค่กลบเกลื่อนแน่ๆ
“หยุดเลยพวกนาย ฉันไม่ได้อยากเป็นคนแกล้งยิ้มทั้งที่ในใจร้องไห้นักหรอก หมายถึง เอ่อ .. ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว” ฮันคยองอธิบายจนซีวอนและคิบอมหลุดยิ้มออกมาจนได้
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ” ว่าแล้วซีวอนก็จับมือข้างหนึ่งของฮันคยองขึ้นมาและจับมืออีกข้างของคิบอมมากุมเอาไว้ เจ้าของมือทั้งสองก้มมองสิ่งที่ซีวอนทำก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองกันช้าๆ
“ .. อย่าให้เป็นแบบฉันเลยนะ สิ่งมีค่าต้องรู้จักรักษาเอาไว้ให้ดี”
“........”
“เพราะถ้าไม่มีเมื่อไหร่ ก็ไม่ต่างอะไรกับหัวใจที่หายไป”
.
.
Tbc. Chapter 18
ไม่นึกว่าจะมีคนมาอ่านด้วยซ้ำ .. พาร์ทนี้ เชวแบบได้ใจกว่าเดิมเหอะ ส่วนคุณภรรยาน่ะ อะไรๆๆๆๆ
ทำไมทำเหมือนจำได้ หรือว่ายังไงกัน เออเนอะ .. เริ่มจำได้แล้วล่ะาิ แต่กอนว่าคิดออกแล้วชัวร์
โอย .. เจอกันพาร์ทหน้าค่ะ
ความคิดเห็น